 |
iPad Mini
Apple เริ่มต้นการเปิดตัว iPad Mini ด้วยการกล่าวนำว่า เจ้า iPad Mini ตัวนี้หาใช่เพียงแค่ขนาดตัวเท่านั้นที่แตกต่าง หากแต่ยังเป็นการดีไซน์ใหม่แบบยกชุดอีกด้วย โดย iPad Mini มาพร้อมความบางเพียงแค่ 7.2 มม. ซึ่งเทียบเป็น 23% บางลงกว่าเจ้า iPad 4th Generation เสียอีก ส่วนน้ำหนักของมันนั้นก็เพียงแค่สามขีดนิดๆ เท่านั้น คร่าวๆ แล้วก็หนักประมาณสมุดรายงานบางๆ หนึ่งเล่มนั่นเอง!
สิ่งที่น่าสนใจและแตกต่างจากข้อมูลก่อนหน้านี้ที่มีหลุดกันมาคือขนาดของหน้าจอ ซึ่ง Apple เลือกที่จะใส่หน้าจอขนาด 7.9″ มาให้แทนหน้าจอ 7″ มาตรฐานแท็บเล็ตขนาดเล็กทั่วไปในปัจจุบัน นั่นทำให้ iPad Mini มาพร้อมกับขนาดหน้าจอที่ใหญ่กว่า Galaxy 7.7 ของซัมซุงเล็กน้อย และขยับโพซิชั่นการขายของมันมาอยู่ในตลาดแท็บเล็ตขนาดกลางแทนขนาดเล็ก
หน้าจอเป็นหน้าต่างสะท้อนความคมชัด!
หนึ่งในเหตุผลหลักที่ Apple เลือกใช้หน้าจอขนาด 7.9″ นั้นก็เพราะ iPad Mini จะได้ยังสามารถคงความละเอียดหน้าจอไว้ได้ที่ 1024*768 อย่างที่ iPad 2 มี นั่นหมายความว่าทุกๆ เกมที่รันบน iPad 2 ได้ จะสามารถรันบน iPad Mini ได้อย่างสวยงามไม่มีเหลื่อมล้ำในด้านภาพให้ขัดใจเล่น
หากมองกันที่ตัวเลข 0.9″ ที่มีมากกว่าแท็บเล็ตตลาด 7″ ทั่วไปนั้นอาจเผลอสรุปไปได้ว่าการอัพเกรดในครั้งนี้ไม่ได้น่าหลงไหลสักเท่าไหร่นัก แต่พอมามองกันในแง่ของความเป็นจริง iPad Mini บนหน้าจอ 7.9″ นั้นมีพื้นที่หน้าสัมผัสถึง 29.6 ตารางนิ้ว ในขณะที่แท็บเล็ตทั่วไปที่ 7″ มีพื้นที่หน้าสัมผัสเพียง 21.9 ตารางนิ้วเท่านั้น หรือหากว่ากันโดยสรุปแล้ว iPad Mini จะมีเนื้อที่หน้าจอมากกว่าแท็บเล็ต 7″ เช่น Nexus 7 ถึง 26% เลยทีเดียว ซึ่งทั้งหมดนี้ส่งผลถึงภาพที่คมชัดเต็มจอมากขึ้นในการเล่นเกมและการท่องเว็บนั่นเอง
พอพูดถึงเรื่องของการท่องเว็บแล้ว เจ้า iPad Mini พร้อมด้วยตัวช่วยอย่างเว็บบราวเซอร์ซาฟารีเวอร์ชั่นของ iPad Mini นั้นจะทำให้คุณสามารถเยี่ยมชมเว็บไซต์ได้กว้างกว่าแท็บเล็ต 7″ ทั่วไปในแนวตั้งถึง 49% และในแนวนอนถึง 67% เลยทีเดียว
เมื่อมองลึกลงไปในจอแก้วบางนั้นล่ะ
iPad Mini มาพร้อมชิปเซ็ทดูโอคอร์ A5 เหมือนอย่างที่ iPad 2 มี แต่ที่มีมากกว่าคือกล้องหน้าระดับ HD ที่ทำให้สามารถเล่น FaceTime HD (720p) ได้แบบไม่แตกลายงาเหมือนใน iPad 2 นอกจากนี้ยังมีกล้อง iSight ความละเอียด 5 ล้านพิกเซลเพื่อการถ่ายภาพและวิดีโอที่ความละเอียด Full HD 1080p เหมือนอย่าง iPhone 5 และ iPod Touch Gen 5 ที่เพิ่งเปิดตัว รวมไปจนถึง iPad 4 ที่เปิดตัวในวันเดียวกันนี้อีกด้วย
เช่นเดียวกับผลิตภัณฑ์อื่นๆ ของ Apple ที่เปิดตัวมาตั้งแต่ iPhone 5 เป็นต้นมา เจ้า iPad Mini มาพร้อมพอร์ตเล็กๆ ที่ชื่อ Lightning Connector และมีการเพิ่มประสิทธิภาพความไวในการใช้งาน Wifi ขึ้นมาให้มากกว่าเดิม
เจ้า iPad Mini มีสองสีให้เลือกเช่นเดียวกับผลิตภัณฑ์ตัวอื่นๆ อีกหลายๆ ตัวของ Apple (หากไม่นับ iPod Touch ตัวล่าสุด) โดยสีที่ให้เลือกก็มีสีดำและสีขาว แต่หากคุณต้องการเพิ่มสีสันให้กับมัน คุณสามารถเลือกสมาร์ทโคฟเวอร์ที่มีทั้งสีแดง สีชมพู สีน้ำเงิน สีเขียว และสีโทนเทาได้ตามแต่ใจต้องการ
ค่าตัวของนวัตกรรมใหม่นี้
แน่นอนว่าความน่าใช้ น่าสนใจของเจ้า iPad Mini ที่ว่านี้มาพร้อมต้นทุนของมัน เพราะเหตุนี้ Apple จึงเลือกเปิดราคามาที่ $329 (ประมาณ 10,500 บาท) สำหรับตัว 16กิ๊กไวไฟ ส่วนตัว 32กิ๊กไวไฟนั้นมาพร้อมราคา $429 (ประมาณ 13,700 บาท) และในตัว 64 กิ๊กไวไฟนั้นเปิดตัวมาที่ราคา $529 (ประมาณ 17,000 บาท และหากคุณต้องการเทียบราคากับรุ่นเด่นเจนดังอีกตัวอย่าง Kindle Fire HD ที่มาพร้อมหน้าจอ 7″ นั้น ตัวหลังนี้เปิดตัวมาที่ราคา $199 (ประมาณ 6,500 บาท) เท่านั้นเอง
หากคุณสนใจตัว 3G (หรือ LTE สำหรับต่างประเทศ เพราะเขาไปถึงโน่นกันแล้ว) เจ้า iPad Mini เปิดตัวมาที่ราคา $459 สำหรับ 16 กิ๊ก $559 สำหรับ 32 กิ๊ก และ $659 สำหรับ 64 กิ๊ก (ประมาณ 14,700 บาท 17,900 บาท 21,000 บาท) ตามลำดับ
Apple จะเริ่มเปิดพรีออร์เดอร์สำหรับประเทศในกลุ่มที่หนึ่งในวันที่ 26 ตุลาคมนี้ และจะส่งออกตัวไวไฟไปถึงมือผู้จองในวันที่ 2 พฤศจิกายน 2555 ส่วนตัว LTE ต้องรอถัดจากนั้นไปอีก 2 สัปดาห์โดยเริ่มจากในอเมริกาเป็นที่แรก
จากคุณ |
:
Aekio
|
เขียนเมื่อ |
:
24 ต.ค. 55 20:56:44
|
|
|
|
 |