Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
(กดดัน!!! ) CTH กับการหาเงิน 20,000 ล้านบาท ( เหลือหุ้น 20% กู้ธนาคาร ขายกล่อง แถมต้องทำราคาถูกกว่า TRUE ) ติดต่อทีมงาน

ประเด็นหลัก

แผนจัดการแหล่งเงินทุน
      แต่ที่สำคัญคือ แหล่งเงินทุนที่สำคัญของซีทีเอชจะมาจากไหน?
     
      นายวิชัยกล่าวว่า เงินทุน 20,000 ล้านบาทจะมาจากแหล่งใหญ่คือ 1. จากกลุ่มผู้ถือหุ้นซีทีเอช ซึ่งเดิมมีทุนจดทะเบียน 1,000 ล้านบาท ชำระแล้ว 800 ล้านบาท ประกอบด้วย กลุ่มสมาชิกที่เป็นผู้ประกอบการเดิม 30%, นายวิชัย 25%, ไทยรัฐ 25% ส่วนอีก 20% ยังไม่มีการสรุป
     
      2. การกู้เงินจากสถาบันการเงิน ซึ่งขณะนี้มีอยู่อย่างต่ำ 3 แบงก์แล้วที่ตอบตกลงในเบื้องต้น คือ แบงก์กรุงเทพ แบงก์ไทยพาณิชย์ และแบงก์ธนชาต
     
      3. รายได้จากกล่องรับสัญญาณ ที่คาดว่าจะไม่ได้ขายแต่ใช้วิธีจ่ายเป็นค่ามัดจำประมาณ 500-600 บาท เบื้องต้นตั้งเป้าไว้ที่ 2.5 ล้านกล่อง โดยผลิตตามระบบมาตรฐานของยุโรปกับอเมริกา แต่ผลิตจากประเทศจีนเพื่อต้นทุนที่ต่ำ
     
       ราคาแพกเกจมีหลบใน
      อย่างไรก็ตาม ที่ซีทีเอชประกาศตั้งแต่แรกว่าราคาแพกเกจขั้นต่ำอาจจะเป็น 300-500 บาทนั้น ว่ากันว่าเป็นราคาเฉพาะพรีเมียร์ลีกเท่านั้น แต่เมื่อรวมกับค่าแพกเกจเดิมขั้นต่ำของซีทีเอชที่มีผู้ประกอบการมากกว่า 350 ราย เฉลี่ยแพกเกจลัประมาณ 350-400 บาทนั้น ก็เท่ากับว่าถ้าคิดอย่างหยาบๆ แพกเกจขั้นต่ำสุดที่จะมีพรีเมียร์ลีกดูได้ก็ต้องปาเข้าไปมากกว่า 650-900 บาท ซึ่งจริงหรือไม่คงต้องรออีกระยะ เพราะซีทีเอชย้ำว่า ราคาแพกเกจของซีทีเอชอย่างน้อยยต้องต่ำกว่าที่ทรูเคยขายแพกเกจที่มีพรีเมียร์ลีกดูได้ไม่น้อยกว่า 30-50% ซึ่งราคาของทรูวิชั่นส์สำหรับแพกเกจแพลทินัมเฮชดีดูพรีเมียร์ลีกได้ราคา 2,000 บาท
     
      ปัจจุบันซีทีเอชมีฐานสมาชิกประมาณ 3.5 ล้านครัวเรือน โดยตั้งเป้าหมายไว้ว่าภายใน 3 ปีจากนี้จะมีฐานสมาชิกเพิ่มเป็น 7 ล้านครัวเรือน ก็จะเป็นส่วนที่ทำรายได้เพิ่มขึ้นอีก
     
      นอกจากเงินทุนที่มาจากรายได้จากการขายกล่องและการขายแพกเกจสมาชิก ก็ยังมีรายได้จากการขายโฆษณาอีกส่วนหนึ่งที่จะเข้ามาหมุนเวียนในช่วงของการดำเนินการแต่ละฤดูกาลด้วย
     
      แหล่งข่าวจากซีทีเอชประเมินคร่าวๆ ว่า ทั้งสปอนเซอร์และเม็ดเงินโฆษณาที่จะเข้ามาสู่ช่วง 3 ปีของพรีเมียร์ลีกไม่น่าจะต่ำกว่า 5,000 ล้านบาท
     
      ฐานรายได้หลักของซีทีเอช ประเมินว่าจะต้องมาจากค่าบริการรายเดือน ค่าสมาชิก 50% ค่าโฆษณา 20-30% และรายได้อื่น เช่น จากอินเทอร์เน็ต จากโฮมชอปปิ้งในอนาคต





____________________________

ผ่าแผน “ซีทีเอช” ระดมทุน 2 หมื่นล้านจ่ายลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีกแพงสุดในโลก



เปิดแผน “ซีทีเอช” ระดมเงินทุนลุยโปรเจกต์ยักษ์พรีเมียร์ลีก วงในชี้ต้องเพิ่มทุนกว่าครึ่งจากเงินกู้แน่ สื่อนอกเผยไทยแย่งกันซื้อลิขสิทธิ์ส่งผลให้ต้องจ่ายแพงสูงสุดเป็นอันดับที่สองของโลกเพิ่มขึ้นถึง 432% ทะลุหมื่นล้านบาท
     
      หลังจากที่บริษัท เคเบิล ไทย โฮลดิ้ง จำกัด หรือซีทีเอช คว้าลิขสิทธิ์ถ่ายทอดฟุตบอลพรีเมียร์ลีก 3 ฤดูกาล (2013/2014, 2014/2015, 2015/2016) ในไทย ลาว และเขมร ไปได้แบบพลิกความคาดหมายแล้ว หลายฝ่ายต่างจับตาดูว่า แล้วจากนี้ซีทีเอชจะบริหารจัดการอย่างไร
     
      โดยเฉพาะในเรื่องของแหล่งเงินทุน กับโครงการที่ “วิชัย ทองแตง” ประธานกรรมการบริหารซีทีเอชย้ำว่า การลงทุนงานนี้ไม่น่าจะต่ำกว่า 20,000 ล้านบาท
     
      โจทย์หินเงินทุน 2 หมื่นล้าน
      การลงทุนหลักมี 2 ส่วน คือ 1. การลงทุนเพื่อวางโครงข่ายกว่า 7,000-8,000 ล้านบาท ซึ่งซีทีเอชไม่ได้วางระบบเองแต่เป็นในลักษณะของการเช่าจากทีโอที และซิมโฟนี่ โดยจะแล้วเสร็จเริ่มใช้ได้จริงช่วงต้นปีหน้าเป็นต้นไป และเป็นที่ค่อนข้างแน่นอนแล้วว่า ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2556 ซีทีเอชจะเริ่มทำการเชื่อมต่อสัญญาณระหว่างโครงข่ายเคเบิลทั่วประเทศของสมาชิกผู้ประกอบการทั้งหมดกับระบบกลาง เพื่อเป็นการทดลองก่อนที่จะเริ่มแพร่ภาพพรีเมียร์ลีกฤดูกาลใหม่ในปีหน้า
     
      2. การลงทุนเพื่อจัดซื้อและจัดหาคอนเทนต์มาลงในเคเบิลทีวีกว่า 13,000 ล้านบาท โดยเม็ดเงินจำนวนนี้เป็นงบในส่วนที่นำไปซื้อลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีกครั้งนี้ด้วย
     
      ว่ากันว่า มูลค่าการซื้อลิขสิทธิ์ครั้งนี้อยู่ที่ประมาณ 9,000 ล้านบาท แต่ก็ยังไม่มีการเปิดเผยจากนายวิชัยแต่อย่างใด
     
      ณ เวลานี้ซีทีเอชมียอดการใช้จ่ายจริงจากงบดังกล่าวอยู่ที่ 5,000 กว่าล้านบาท แบ่งเป็นการเช่าเทคโนโลยีไฟเบอร์ออปติก และการสั่งซื้อเซตท็อปบอกซ์ หรือกล่องรับสัญญาณ 2.5 ล้านกล่อง ซึ่งเป็นยอดทยอยจ่ายกับเจ้าหนี้ ส่วนมูลค่าซื้อพรีเมียร์ลีกนั้นจะแบ่งจ่ายแบบปีต่อปี ขณะนี้ยังไม่ได้เริ่มจ่าย ซึ่งนายวิชัยขอสงวนรายละเอียด
     
      อย่างไรก็ตาม ล่าสุดมีรายงานจากสื่อมวลชนต่างประเทศ เดลีเมล์ออนไลน์ ระบุว่า ประเทศไทย ซึ่งครอบคลุมลาว และกัมพูชา เป็นประเทศที่มีการซื้อลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีก 3 ฤดูกาลติดต่อกันแพงที่สุดติดอันดับที่สองของโลก ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 432% จากเดิมที่ค่าลิขสิทธิ์อยู่ที่ 38 ล้านปอนด์ มาเป็น 202 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 10,100 ล้านบาทเศษ (คิดจากอัตราแลกเปลี่ยนประมาณ 1 ปอนด์ต่อ 50 บาท) ขณะที่ประเทศพม่าแพงขึ้นสูงที่สุดในโลก 12,400% จากเดิม 0.2 ล้านปอนด์ มาเป็น 25 ล้านปอนด์ แต่ก็เป็นฐานตัวเลขที่ยังต่ำ แต่ค่าลิขสิทธิ์ที่แพงที่สุดคือ 205 ล้านปอนด์ แต่ทั้งทวีปแอฟริกา และเพิ่มขึ้นเพียง 20.5% ซึ่งไทยยังแพงกว่าทวีปอเมริกาที่ค่าลิขสิทธิ์อยู่ที่ 80 ล้านปอนด์ หรือเพิ่มขึ้นแค่ 280.9% ส่วนในเอเชียด้วยกันนั้น ญี่ปุ่นแพงขึ้น 36% จาก 22 ล้านปอนด์ เป็น 30 ล้านปอนด์ เกาหลีใต้เพิ่มขึ้นแค่ 6.6% จากเดิม 30 ล้านปอนด์เป็น 32 ล้านปอนด์
     
      แผนจัดการแหล่งเงินทุน
      แต่ที่สำคัญคือ แหล่งเงินทุนที่สำคัญของซีทีเอชจะมาจากไหน?
     
      นายวิชัยกล่าวว่า เงินทุน 20,000 ล้านบาทจะมาจากแหล่งใหญ่คือ 1. จากกลุ่มผู้ถือหุ้นซีทีเอช ซึ่งเดิมมีทุนจดทะเบียน 1,000 ล้านบาท ชำระแล้ว 800 ล้านบาท ประกอบด้วย กลุ่มสมาชิกที่เป็นผู้ประกอบการเดิม 30%, นายวิชัย 25%, ไทยรัฐ 25% ส่วนอีก 20% ยังไม่มีการสรุป
     
      2. การกู้เงินจากสถาบันการเงิน ซึ่งขณะนี้มีอยู่อย่างต่ำ 3 แบงก์แล้วที่ตอบตกลงในเบื้องต้น คือ แบงก์กรุงเทพ แบงก์ไทยพาณิชย์ และแบงก์ธนชาต
     
      3. รายได้จากกล่องรับสัญญาณ ที่คาดว่าจะไม่ได้ขายแต่ใช้วิธีจ่ายเป็นค่ามัดจำประมาณ 500-600 บาท เบื้องต้นตั้งเป้าไว้ที่ 2.5 ล้านกล่อง โดยผลิตตามระบบมาตรฐานของยุโรปกับอเมริกา แต่ผลิตจากประเทศจีนเพื่อต้นทุนที่ต่ำ
     
       ราคาแพกเกจมีหลบใน
      อย่างไรก็ตาม ที่ซีทีเอชประกาศตั้งแต่แรกว่าราคาแพกเกจขั้นต่ำอาจจะเป็น 300-500 บาทนั้น ว่ากันว่าเป็นราคาเฉพาะพรีเมียร์ลีกเท่านั้น แต่เมื่อรวมกับค่าแพกเกจเดิมขั้นต่ำของซีทีเอชที่มีผู้ประกอบการมากกว่า 350 ราย เฉลี่ยแพกเกจลัประมาณ 350-400 บาทนั้น ก็เท่ากับว่าถ้าคิดอย่างหยาบๆ แพกเกจขั้นต่ำสุดที่จะมีพรีเมียร์ลีกดูได้ก็ต้องปาเข้าไปมากกว่า 650-900 บาท ซึ่งจริงหรือไม่คงต้องรออีกระยะ เพราะซีทีเอชย้ำว่า ราคาแพกเกจของซีทีเอชอย่างน้อยยต้องต่ำกว่าที่ทรูเคยขายแพกเกจที่มีพรีเมียร์ลีกดูได้ไม่น้อยกว่า 30-50% ซึ่งราคาของทรูวิชั่นส์สำหรับแพกเกจแพลทินัมเฮชดีดูพรีเมียร์ลีกได้ราคา 2,000 บาท
     
      ปัจจุบันซีทีเอชมีฐานสมาชิกประมาณ 3.5 ล้านครัวเรือน โดยตั้งเป้าหมายไว้ว่าภายใน 3 ปีจากนี้จะมีฐานสมาชิกเพิ่มเป็น 7 ล้านครัวเรือน ก็จะเป็นส่วนที่ทำรายได้เพิ่มขึ้นอีก
     
      นอกจากเงินทุนที่มาจากรายได้จากการขายกล่องและการขายแพกเกจสมาชิก ก็ยังมีรายได้จากการขายโฆษณาอีกส่วนหนึ่งที่จะเข้ามาหมุนเวียนในช่วงของการดำเนินการแต่ละฤดูกาลด้วย
     
      แหล่งข่าวจากซีทีเอชประเมินคร่าวๆ ว่า ทั้งสปอนเซอร์และเม็ดเงินโฆษณาที่จะเข้ามาสู่ช่วง 3 ปีของพรีเมียร์ลีกไม่น่าจะต่ำกว่า 5,000 ล้านบาท
     
      ฐานรายได้หลักของซีทีเอช ประเมินว่าจะต้องมาจากค่าบริการรายเดือน ค่าสมาชิก 50% ค่าโฆษณา 20-30% และรายได้อื่น เช่น จากอินเทอร์เน็ต จากโฮมชอปปิ้งในอนาคต
     
      “ซีทีเอชคงไม่ใช่เป็นผู้จ่ายรายเดียว เพราะเราคงมีพันธมิตร เช่น ผู้ที่รับสิทธิ์ในการถ่ายทอดสดต่อเป็นช่วงๆ ในแพลตฟอร์มต่างๆ” แหล่งข่าวกล่าว
     
      นายวิชัยยืนยันว่า ลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีกจะเป็นตัวหลักในการสร้างรายได้ให้แก่ซีทีเอชตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป ซึ่งก็หมายความว่าเริ่มมีเงินทุนและรายได้เข้ามาบ้าง
     
      เพิ่มทุนเข้าตลาดหุ้นระดมทุน
      แหล่งข่าวจากซีทีเอชอธิบายว่า จากนี้จะต้อมีการเพิ่มทุนจดทะเบียนอีก และจะนำบริษัทฯ เข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยด้วยเพื่อเป็นช่อทางในการระดมทุน
     
      อีกทั้งจำนวนหุ้นที่เหลืออีก 20% นั้น แม้ว่าจะไม่สามารถสรุปกับทางนายไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม แห่งจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ได้ เนื่องจากแหล่งข่าววงในระบุว่าทางนายไพบูลย์ต้องการเข้ามาถือหุ้นในนามส่วนตัว แต่ทางซีทีเอชต้องการให้เอาจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่เข้ามาถือหุ้นแทน แต่หลังจากนี้เชื่อได้ว่าจะมีผู้สนใจขอเข้าถือหุ้นเป็นจำนวนมากเนื่องจากซีทีเอชมีพรีเมียร์ลีกเป็นแม่เหล็กดูดอย่างแรง
     
      ชี้ซีทีเอชต้องขาดทุนต่อเนื่อง
      อย่างไรก็ดี แหล่งข่าวจากวงการตลาดเงินตลาดทุนกล่าววิเคราะห์ถึงการบริหารจัดการแหล่งเงินทุนของซีทีเอชไว้ว่า
     
      “ลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีกที่ซีทีเอชได้มาไม่สามารถสร้างผลตอบแทนที่คุ้มค่าให้แก่การลงทุนได้ แต่มองว่าเป็นกลยุทธ์ดำเนินธุรกิจมากกว่า โดยใช้ลิขสิทธิ์ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกเป็นหัวหอกในการสร้างแรงจูงใจให้คนเข้ามาเป็นสมาชิก ต่อจากนั้นจะมีการต่อยอดธุรกิจอื่นๆ เข้ามาเพิ่มเติมเพื่อช่วยสร้างจุดคุ้มทุน กระแสเงินหมุนเวียนและทำกำไรให้ธุรกิจ ซึ่งทำให้เชื่อว่าโดยรวมซีทีเอชจะต้องขาดทุนจากต้นทุนรายการที่สูงไปต่อเนื่อง 2-3 ปี กว่าจะเริ่มมีฐานลูกค้าที่เพียงพอช่วยบริษัทลดภาระได้
     
      โดยเฉพาะค่าลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีกนั้น หากมีมูลค่าถึง 9,000 ล้านบาท ก็หมายถึงเงินลงทุนเฉลี่ยปีละ 3,000 ล้านบาท ยิ่งรวมกับแผนลงทุนในด้านการวางโครงข่ายตามแผนธุรกิจที่ใช้รวม 20,000 ล้านบาทใน 3 ปี ถือเป็นโจทย์ที่ท้าทายมากสำหรับซีทีเอช
     
      ขณะเดียวกันมองว่า ค่าลิขสิทธิ์ฟุตบอลอังกฤษที่ซีทีเอชชนะคงไม่ได้หมายถึงบริษัทต้องหาเงินจำนวนมากไปจ่ายให้หมดภายในทันที แต่อาจมีค่ามัดจำส่วนหนึ่ง ที่เหลือทยอยจ่ายเป็นงวด ซึ่งนั่นหมายถึงจะช่วยผ่อนปรนความตึงเครียดทางการเงินได้อีกระดับ
     
      ต้องเพิ่มทุนครึ่งหนึ่งของวงเงินกู้
      ส่วนวงเงินกู้ยืมเพื่อใช้ลงทุนเพิ่มเติม ด้วยความที่เป็นบริษัทใหม่และยังมีขนาดเล็ก หากเงินลงทุน 20,000 ล้านบาทก็จะทำให้บริษัทจำเป็นต้องเพิ่มทุนจดทะเบียนขึ้นไปถึงครึ่งหนึ่งของวงเงินที่ต้องการกู้ยืมธนาคารเพื่อใช้เป็นหลักค้ำประกัน ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย
     
      โดยในเรื่องนี้หากเปรียบเทียบกับทรูวิชั่นส์ที่ดำเนินกิจการมาก่อน การระดมทุนจำนวนมหาศาลของบริษัทลูกของ บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น น่าจะมีน้ำหนักและความได้เปรียบมากกว่า ดังนั้นมีความเป็นไปได้ที่ผู้ถือหุ้นต้องลงขันเงินทุนบางส่วนด้วยเงินตนเอง
     
      ปัจจุบันตัวเลขโดยประมาณของผู้บริโภคที่เป็นสมาชิกเคเบิลภูมิภาคทั่วประเทศอยู่ถึง 10-15 ล้านจาน หากโอนมาเป็นสมาชิกซีทีเอชประมาณ 10 ล้านจาน ค่าแพกเกจรายเดือน 500 บาท ก็จะมีเม็ดเงินเข้าสู่บริษัทเดือนละ 5,000 ล้านบาท ยังไม่นับเม็ดเงินจากรายได้ค่าโฆษณา และค่าสัมปทานที่จะเรียกเก็บจากสถานีโทรทัศน์ และเคเบิลท้องถิ่นในกัมพูชา และสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวอีก

ASTV ผู้จัดการ
http://www.manager.co.th/Business/ViewNews.aspx?NewsID=9550000144379

จากคุณ : So magawn
เขียนเมื่อ : 27 พ.ย. 55 23:59:18




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com