CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    **ขอเชิญเที่ยวงาน "สัปดาห์มหกรรมขายชาติ" (ตอนที่ ๑)**

    --อย่าเพิ่งตกใจนะครับ  คุณไม่ต้องไปเมืองทองธานี ไบเทคบางนาหรือที่ไหนๆ หรอก  ในกระทู้ของผมนี่แหละครับ  ผมเป็นคนจัดงานเอง  คือ สัปดาห์มหกรรมขายชาติ ๑๑-๑๗ มค.นี้ ที่นี่ที่เดียว  ผมชำแหละทั้งสัปดาห์ครับ
    ใครจะร่วมชำแหละกับผมก็ได้ หรือ จะนั่งดูเฉยๆ ก็ไม่ว่ากัน
    เชิญมาเที่ยวงานกันให้เยอะๆ นะครับ คนจัดจะได้มีกำลังใจจัดงาน มหกรรมงาบ ในครั้งต่อไป

    หมายเหตุ..
    --บทวิเคราะห์ชิ้นนี้เป็นเพียงข้อสันนิษฐาน..
    --การอ่านบทวิเคราะห์นี้เข้าใจ ต้องมีความรู้พื้นฐานทั้งด้านการเมืองและการเงินการลงทุนพอสมควร
    --บทวิเคราะห์นี้ค่อนข้างยาว และแบ่งเป็นหลายตอน อาจทำให้ท่านเมื่อยล้าและเสียสายตาได้ แต่จะไม่ทำท่านเสียรู้
    .........................................

    สิงคโปร์ มหาอำนาจทางการค้า

    ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นี้  ประเทศที่ถือว่าเป็นมาเฟียทางการเงินมายาวนาน ก็คือ สิงคโปร์
    เนื่องจากเป็นประเทศเล็ก ที่ไม่มีทรัพยากรอะไรมากพอที่จะขุดมาเลี้ยงตัวเองและอนาคตของชาติได้  จึงต้องอาศัยทรัพยากรที่มีอยู่ คือ มันสมองมนุษย์ เป็นปัจจัยสำคัญในการหารายได้เข้าประเทศ

    ในอดีต..
    สิงคโปร์ยุคลี กวน ยู เป็นศูนย์กลางทางการค้าของภูมิภาคเอเชีย พูดง่ายๆ ก็คือ ตลาดแลกเปลี่ยนสินค้า (Trading Centre)  ใครอยากซื้ออะไร อยากขายอะไร  ไม่ต้องไปติดต่อไกลถึง ยุโรป อเมริกา ตะวันออกกลาง แค่ไปที่สิงคโปร์ ก็มีแค็ตตาล็อกทุกอย่างให้เลือกชม และจับจ่ายได้แล้ว

    สมัยก่อนประเทศในแถบเอเชียมีอุปสรรคทางด้านภาษา (Language barrier) คือ พูดภาษาท้องถิ่นของตัวเองแต่ไม่พูดภาษาอังกฤษ  แต่สิงคโปร์เป็นชาติเดียวที่ไม่มีภาษาท้องถิ่นเป็นของตนเอง  เพราะประกอบไปด้วยคนหลายเชื้อชาติมารวมตัวกันที่นี่ จึงมีภาษาท้องถิ่นทั้ง จีน..อินเดีย..มาเลย์..อังกฤษ ปะปนกันอยู่  แต่นายลี กวน ยู มองการณ์ไกลว่า ตลาดเสรีในอนาคต ตลาดของประเทศที่พูดภาษาอังกฤษจะมีกว้างขวางกว่า พูดภาษาอื่นๆ  จึงใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการมาโดยตลอด
    นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ประเทศรอบๆ ภูมิภาคนี้นิยมเดินทางไปติดต่อการค้าที่สิงคโปร์เพราะไม่ว่าคุณจะพูดภาษาอะไร ก็มีพ่อค้าที่พูดคุยกับคุณรู้เรื่อง

    ประเทศสิงคโปร์เป็นเกาะเล็กๆ (เล็กกว่า กทม.เสียอีก) จึงไม่มีอุตสาหกรรมหนัก ที่ลงทุนผลิตเพื่อการส่งออก แต่เป็นอุตสาหกรรมแค่ลงทุนเพื่อเพียงพอต่อการบริโภคกันในประเทศเท่านั้น  ชาวสิงคโปร์ทุกคนเป็นพ่อค้า  ไม่ชนิดใดก็ชนิดหนึ่ง (แรงงานก่อสร้าง แรงงานในครัวเรือน ใช้วิธีจ้างชาวต่างชาติแทบทั้งสิ้น คนสิงคโปร์จึงเป็นนายจ้างของคนจนทุกเชื้อชาติ)

    *ประเทศที่มีแต่พ่อค้า  ไม่มีเกษตรกร  ไม่มีผู้ก่อการร้าย ไม่มีคนยากจน  ก็ต้องบริหารประเทศโดยพ่อค้าเท่านั้น*

    ประชาชนชายทุกคนของสิงคโปร์เป็นแค่ทหารนอกประจำการ(ส่วนใหญ่)  เรียกมาฝึกเมื่อไรก็มา ฝึกแล้วก็กลับไปทำการค้าต่อ  ไม่มีใครยึดความก้าวหน้าในทางการทหารเพื่อแสวงยศนายพลเอกเหมือนบางประเทศ  ดังนั้น ตัดสิทธิ์การปฏิวัติของเผด็จการทหารไปได้เลย  มีแต่เผด็จการทุนนิยมเท่านั้นที่เรืองอำนาจ

    และเพราะเผด็จการทุนนิยมนี่แหละครับที่ทำให้สิงคโปร์เจริญรุดหน้ากว่าชาติอื่นๆ ในภูมิภาคนี้ เพราะคนที่จะทำการโค่นล้มอำนาจก็ต้องเป็นทุนนิยมเช่นกัน  สรุปแล้ว หนีไม่พ้นระบบทุนนิยมไปได้หรอก  ดังนั้น คนที่คิดจะล้มอำนาจก็ไม่รู้ว่า จะยึดอำนาจไปทำไม  ยึดมาก็ต้องไม่มีทรัพยากรอะไรให้กอบโกย เพราะมีแต่มนุษย์ที่มันสมองพัฒนาแล้วทั้งนั้น (คนสิงคโปร์จบการศึกษาระดับปริญญามากกว่า ๙๐% อ่านหนังสือมากเป็นลำดับหนึ่งของภูมิภาคนี้) บริหารยากเย็นจะตาย

    การซื้อ-ขายอาวุธยุทโธปกรณ์จัดการโดยคณะรัฐบาลซึ่งก็คือ ตัวแทนพ่อค้าในประเทศ  พ่อค้าและนายหน้าเวลาซื้อของก็รู้ๆ กันอยู่ คือ  ต่อรองเก่งชะมัดยาด ต้องการซื้อมาถูกและขายราคาแพง  รัฐบาลสิงคโปร์ก็เช่นกัน

    ไอ้เรื่อง.. ไปขอเช่าที่แสดงสินค้าที่นิวยอร์คในราคาแพงกว่าชาวบ้านอื่นๆ ยี่สิบ สามสิบเปอร์เซ็นต์อย่างบางประเทศทำ (แล้วดันถูกจับได้) นั้น  ที่สิงคโปร์ไม่เคยปรากฏ

    เพราะอะไร?  ก็เพราะประชาชนก็พ่อค้า สื่อสารมวลชน ตลอดจนฝ่ายค้านก็เป็นพ่อค้ากันหมด  พ่อค้าย่อมรู้ไส้รู้พุงพ่อค้า  คุณหลอกเขาไม่ได้หรอก เพราะเขาไม่ได้ฉลาดน้อยกว่าคุณ

    ไอ้ที่จะมาหลอกเอาบริษัทที่ล้มแล้วมาสวมชื่อเป็นที่ปรึกษา  หรือ จ่ายเงินไปนับพันๆล้าน โดยไม่มีของมาให้เห็นอย่างที่บางประเทศทำนั้น  ที่สิงคโปร์ทำไม่ได้ครับ  เขารู้ทันกันหมด

    นี่จึงเป็นคำตอบว่า ทำไมผลสำรวจจากนักธุรกิจทั่วโลกของโพลล์ที่เป็นสากลออกมาทีไร  สิงคโปร์ได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีคอรัปชั่นน้อยที่สุดในเอเซียทุกทีไป

    สิ้นยุคลี กวน ยู  นายโก๊ะ จ๊ก ตง เป็นผู้นำ  ก็ดำเนินนโยบายอย่างเดียวกันมาตลอด  แต่ในยุคของนายโก๊ะ บทบาทในการค้าขายของสิงคโปร์ลดน้อยลงไป  เนื่องจาก หลายประเทศรอบๆ เอเชียที่เคยดักดาน  พูดภาษาอังกฤษต้องเปิดพจนานุกรมนั้นกำลังหมดไป  พ่อค้าในหลายประเทศเลือกที่จะส่งตัวแทนไปเจรจาการค้ากับผู้ซื้อ หรือ ผู้ขายโดยตรง  โดยไม่ผ่านนายหน้าสิงคโปร์อีกต่อไป

    *แม้แต่เส้นทางทางการบินที่สิงคโปร์เคยเป็นจุดศูนย์กลางก็กำลังจะถูกยึด*

    จากคุณ : *bonny - [ 11 ม.ค. 49 11:13:52 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป