CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    **เชิญเที่ยวมชม "สัปดาห์มหกรรมขายชาติ" ตอนที่ ๒** (เอาเกลือทา)

    นิทรรศการวันนี้เป็นตอนที่สองแล้ว  ตอนที่หนึ่ง อยู่ที่นี่นะครับ
    http://www.pantip.com/cafe/rajdumnern/topic/P4015115/P4015115.html

    นักล่าอาณานิคมยุคใหม่

    ถ้าคุณจินตนาการว่า นักล่าอาณานิคมหมายถึง  การส่งกำลังทหาร และแต่งตั้งผู้แทนเข้าไปควบคุมประเทศหนึ่งๆ ให้ส่งส่วยทรัพยากรให้กับประเทศแม่แล้วล่ะก้อ  ผมขอให้ตัดนิยามนั้นทิ้งไปเลย

    การล่าอาณานิคมในสมัยปัจจุบันนี้  ใช้สมองและกำลังเงินที่เหนือกว่า บวกความร่วมมือของคนขายชาติบางคน ก็สามารถยึดประเทศหนึ่งให้เป็นประเทศราชได้แล้ว   มาติดตามดูกลวิธีกันนะครับว่า ทำกันอย่างไร

    ผมได้อารัมภบทเรื่องสิงคโปร์กับยุทธศาสตร์ที่เขาใช้ทำมาหากินกันไปในตอนที่แล้ว  ที่ต้องร่ายยาวก็เพราะ ประวัติการดิ้นรนของคนชาตินี้มันมีที่มา  ไม่ใช่ว่า จู่ๆ เขาจะจู่โจมยึดประเทศไหนเป็นประเทศราชได้เลยซะที่ไหน  กำลังคนก็น้อยกว่าทุกประเทศ (ประมาณ ๕ ล้านคน)  อาณาเขตก็เล็กกว่าจังหวัดหนึ่งของประเทศไทยเสียอีก  แล้วจะเป็นเจ้าอาณานิคมได้อย่างไร  จริงไหมครับ

    จากการที่เป็นศูนย์กลางทางการค้า และปรับเป็นศูนย์กลางทางการเงินด้วยนี่แหละครับ ทำให้สิงคโปร์กลายเป็นประเทศ"เจ้าสัว" คือ มีเงินทุนสำรองและมีเครดิตสูงมากในสายตาชาวโลก  ก้าวต่อไปของสิงคโปร์ คือ ต้องการเป็นศูนย์กลางของการลงทุนและการเคลื่อนย้ายเงินทุนขนาดยักษ์ในภูมิภาค

    ศูนย์กลางของการลงทุนไม่ใช่ ชักชวนใครเอาเงินมาลงทุนเพื่อสร้างผลผลิตที่เป็นสินค้าโดยใช้แรงงานนะครับ  ในที่นี้ เป็นการลงทุนโดยใช้ตราสารหนี้ อนุพันธ์ และเงินตราต่างประเทศ (ซึ่งล้วนแต่เป็นกระดาษ) ทั้งสิ้น

    แต่คราวนี้ สิงคโปร์มิได้มุ่งหวังแค่ ค่าคอมมิชชั่นเหมือนเดิมแล้ว (เพราะมันกินแล้วหมดไป)  แต่ต้องการทรัพยากรของประเทศอื่นๆ ด้วย (เพราะมันกินได้ไม่มีวันหมด)
    นี่จึงเรียกว่า นักล่าอาณานิคม ตามนิยามสมัยใหม่ไงครับ

    ขณะที่..
    ประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคนี้ มีทุกอย่าง ยกเว้น เงิน จึงกระหายเงิน
    แต่..
    สิงคโปร์ไม่มีทรัพยากรซักอย่าง ยกเว้น เงิน  จึงกระหายทรัพยากร


    นี่จึงเป็นข้อแตกต่างที่ต้องทำความเข้าใจกันก่อนนะครับ  เพราะ ความโลภ และกระหายเงินนี่แหละครับ คือ จุดอ่อนที่สิงคโปร์แทรกซึมประเทศต่างๆ เหล่านั้นได้  ด้วยความร่วมมือของนักการเมืองปล้นชาติไม่กี่คน สิงคโปร์ก็สามารถเอาเท้าข้างหนึ่งแหย่เข้ามาได้แล้ว

    นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของสิงคโปร์ที่ชื่อ ลี เซียน หลง คนนี้ไม่ธรรมดานะครับ  นอกจากเป็นทายาททางสายเลือดของนายลี กวน ยู แล้ว เขายังเป็นนักเศรษฐศาสตร์และการเงินตัวฉกาจคนหนึ่งของโลก  ดูประวัติของเขาสิครับ..

    Lee Hsien Loong was born on 10 February 1952.
    He was educated in Nanyang Primary School, Catholic High School and National Junior College.
    Awarded the President's Scholarship in 1970 and the Singapore Armed Forces (SAF) Scholarship in 1971, Mr Lee studied at the University of Cambridge, where he graduated in 1974 with First Class Honours in Mathematics and a Diploma in Computer Science (with distinction).

    In 1979, he became a Mason Fellow at the Kennedy School of Government, Harvard University, graduating in 1980 with a Master's degree in Public Administration.

    เรียกว่า เกิดมาเพื่อเป็นนายกรัฐมนตรีของสิงคโปร์โดยแท้เลยเชียว เพราะมีทั้งบารมี (ของพ่อ) และความรู้ ความสามารถ

    นอกจากเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว  นายลี ยังเป็นรมต.การคลังอีกตำแหน่งหนึ่งด้วย ก็ลองคิดดูสิครับว่า  กระเป๋าตังค์ของสิงคโปร์อยู่ใน(อุ้ง)มือของคนๆ เดียว จริงหรือไม่

    ถ้าเทียบความรอบรู้และทักษะเรื่องเศรษฐศาสตร์การเงินกับนายกทักษิณแล้ว  คนละเรื่องเลยครับ เพราะนอกจากจะใช้วิธีไต่เต้าทางการเมืองมาเป็นลำดับในตำแหน่งต่างๆ ในคณะรัฐมนตรีแล้ว(ไม่ใช้เงินแต่ใช้บารมี)  นายลี ยังเป็นคนพูดน้อย แต่คมและต่อยแม่น การพูดในสังคมโลกน้อย ทำให้เวลาพูดที มีคนเงี่ยหูฟัง และไม่มีใครล่วงรู้สิ่งที่ซ่อนอยู่ในจิตใจเขาได้  ส่วนของเรา ออกในแนว “พล่าม” (Plam) มากกว่า

    การนำสิงคโปร์ไปสู่ประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างถาวรยั่งยืน คือ เป้าหมายของนายลี  และที่นายลี กำลังดำเนินการอยู่นี้ คือ เข้าไปยึดหัวหาดการลงทุนแบบระยะยาวเท่านั้น (ตลอดชีวิตของชาติ) โดยการฝังตัวอยู่กับเศรษฐกิจพื้นฐานของประเทศนั้นๆ  ผ่านตลาดทุน (Capital Market) นั่นเอง


    ทำได้อย่างไรล่ะ?

    การที่ประเทศหนึ่งเอาทรัพยากรของประเทศมากระจายเป็นหุ้น เพื่อให้ประชาชนทั่วไปถือครอง  ทรัพยากรนั้น ไม่ว่า จะเป็น แร่ธาตุ  น้ำประปา  ไฟฟ้า  หรือ ธรณี ก็แล้วแต่  ก็เท่ากับเป็นการ โปรยทรัพยากรด้วยการหว่านออกไป   ถ้าคนที่เก็บสิ่งที่โปรยออกมา เป็นประชาชนในประเทศส่วนใหญ่  ทรัพยากรก็เป็นของประชาชนส่วนนั้น  แต่ถ้าคนที่เก็บเป็นนักการเมือง และนายทุนไม่กี่คน  ทรัพยากรส่วนนั้นก็เป็นของนักการเมืองและนายทุนเหล่านั้นตลอดไป (มือใครยาวสาวได้สาวเอา)

    แต่..ถ้าหาก.. คนที่เก็บเป็นชาวต่างชาติ เช่น สิงคโปร์ เป็นต้น  ทรัพยากรส่วนนั้นก็จะหายไปจากความเป็นไทย และเป็นของเขาตลอดไปเช่นกัน (ชั่วอายุขัยของชาติ)
    ถ้าเขาไม่คิดขายออกมา

    ผมพูดถึงตรงนี้มองเห็นภาพหรือยังครับ

    สิงคโปร์ไม่จำเป็นต้องมาลงทุนประกอบกิจการ ไฟฟ้า น้ำประปา  ธรณี หรือ สายการบิน ในประเทศไทยหรอก (เพราะถึงขนเงินแสนล้านมาลงก็จะเป็นได้แค่ ผู้ลงทุนที่มีสัมปทาน ไม่มีสิทธิ์เป็นเจ้าของทรัพยากรธรรมชาติเหล่านั้น)  แต่ก็สามารถเป็นเจ้าของทรัพยากรในประเทศไทยได้  ด้วยการเคลื่อนย้ายเงินขนาดใหญ่มาลงทุนในตลาดทุนเท่านั้นเอง

    ในอดีต..
    เจ้าอาณานิคม ยึดส่วยจากประเทศราชไป  หลายปีผ่านไป  เขาก็ต้องประกาศปลดปล่อยความเป็นไทให้ประเทศเหล่านั้นมีอิสรภาพ ภราดรภาพอย่างสมบูรณ์ เพราะแรงกดดันของนานาชาติ

    แต่ในกรณี เจ้าอาณานิคมที่สิงคโปร์เป็นอยู่นี้  ไม่มีวันที่เราจะหลุดพ้นได้นะครับ  ตราบใดที่ยังมีตลาดทุน และมีกฎหมายรองรับความเป็นเจ้าของให้ต่างชาติอยู่เช่นนี้  เรากำจัดเขาออกไปไม่ได้  แม้จะออกกฎหมายมาจำกัดสิทธิ์การถือครองในภายหลัง  ก็ไม่สามารถส่งผลกลับไปทบทวนสิ่งที่กระทำลงไปแล้วในอดีตได้

    และการลงทุนในตลาดทุนของทุกประเทศที่เปิดเสรีทางการเงินและการลงทุน ก็มีกฎหมายสากลรองรับอยู่  ไม่สามารถหยุด หรือ ระงับได้ง่ายๆ นะครับ  เพราะมีประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจหนุนหลังอยู่ข้างหลัง  (พวกนั้นก็ทำอย่างเดียวกันกับสิงคโปร์นี่แหละ)


    แม้ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศจะไม่เห็นด้วยและหวังจะรักษาทรัพย์สมบัติของชาติเอาไว้  แต่การตัดสินใจของคณะบุคคลบางคนสามารถผูกพันคนทั้งหมดของประเทศได้ ด้วยการตัดสินใจเพียงครั้งเดียว


    ที่ผมกล่าวมาทั้งหมดนี้  มีหลักฐานอ้างอิงอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยนะครับ  ให้กดลิงค์นี้ www.settrade.com เข้าไปดูข้อมูลบัญชีผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทชั้นนำที่เคยเป็นรัฐวิสาหกิจของไทยได้

    แล้วคุณจะพบว่า หัวหาดของเราถูกบางประเทศยึดโยงเอาไว้แล้ว ตั้งแต่เริ่มมีการกระจายหุ้น และไม่เคยลดจำนวนการถือครองลงเลย  มีแต่จะเพิ่มขึ้น

    แต่ในบัญชีรายชื่อกองทุนและสถาบันการเงินชั้นนำของต่างชาติที่ถือหุ้นอยู่ในอดีตรัฐวิสาหกิจไทยนี้ ยังมีเงื่อนงำบางอย่างซุกซ่อนอยู่ ซึ่งผมจะกล่าวในตอนต่อไป  มันไม่ใช่ของต่างชาติทั้งหมดหรอก มีนักการเมืองไทยสวมหน้ากากอยู่ด้วย

    สิ่งที่คุณเห็น ไม่ใช่ทุกอย่างที่คุณรู้  แต่สิ่งที่ผมเห็น คุณอาจไม่รู้มาก่อนก็ได้

    พอกล่าวถึงเรื่องต่างชาติเข้ามาถือครองทีไร  ผมจะพบกับหน่วยคอมมานโดที่ปกป้อง..ชาติของนายก ทุกทีว่า..

    ๑/ มันมาถือหุ้นก็จริง แล้วมันเอาของเรากลับไปได้มั้ยล่ะ?
    ๒/ ที่อเมริกาก็มีตลาดทุน เขาเอากิจการสาธารณูปโภคมาขายในตลาดหุ้น ต่างชาติก็มีสิทธิ์ซื้อ ไม่เห็นมีใครโวยว่าขายชาติเลย?

    ผมเข้าใจครับ ว่า ฝ่ายปกป้องผลประโยชน์..ชาติของนายก ต้องทำหน้าที่อย่างสมบูรณ์ที่สุดอยู่แล้ว  แต่ก็อยากให้ฟังคำอธิบายของผม (ในฐานะตัวแทนประชาชน) ด้วยว่า..

    ๑/ จริงอยู่ เขามาแงะเอาทรัพยากรของเรากลับคืนประเทศของเขาไปไม่ได้หรอกครับ  แต่เราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า เขาคือ *เจ้าของร่วม*(Resources Partner)  มีสิทธิ์ที่จะกำหนดราคาขายสินค้า และบริการ ได้เท่าเทียมกับเจ้าของตัวจริง และถ้าเจ้าของร่วมรายใหญ่ (ในที่นี้คือ กท.การคลัง) ที่มีนักการเมืองกระหายหิวมาควบคุมดูแลเป็นใจให้  ร่วมมือกันขึ้นราคาสินค้า และบริการนั้นๆ ตามใจชอบ  โดยใช้มติที่ประชุมใหญ่เสียงข้างมาก  ผมถามหน่อยว่า  ประชาชนตาดำๆ ที่ต้องพึ่งสินค้าและบริการนั้นๆ  จะทำอย่างไรได้?

    เหมือนบ้านที่คุณอยู่และเป็นเจ้าของพื้นที่มานานตั้งแต่บรรพบุรุษ  วันหนึ่ง พ่อของคุณขายพื้นที่ในบ้านให้คนต่างถิ่นที่คุณไม่รู้จักไปส่วนหนึ่งแล้ว  ห้องนอนห้องใหญ่ของคุณถูกแบ่งให้เขาไปครึ่งหนึ่ง เขายึดเป็นพื้นที่ของเขาโดยชอบธรรม  คุณต้องใช้ห้องน้ำร่วมกับเขาไปตลอดชีวิต
    คุณจะรู้สึกอย่างไร?

    แล้วถ้าผมถามกลับว่า..เขาขุดพื้นที่ในบ้านคุณกลับภูมิลำเนาของเขาได้หรือเปล่า?  และจำเป็นหรือที่เขาจะต้องขุดมันกลับไป  ในเมื่อคุณก็ไล่เขาออกไปไหนไม่ได้น่ะ  

    ลองจินตนาการดูนะครับ  แต่ไม่ต้องถึงกับไปฆ่าพ่อตัวเองที่ทำเช่นนั้นหรอกนะ

    ๒/  ที่อเมริกา มีบริษัทไฟฟ้า ประปา โทรศัพท์ พลังงาน ฯลฯ ที่เป็นสาธารณูปโภคพื้นฐาน มากมายหลายร้อยแห่ง  มีทั้งที่เป็นของเอกชน และเป็นของรัฐ  ใครอยากจะซื้อก็ไปซื้อได้นะครับ บางแห่งเปลี่ยนเจ้าของมาแล้วนับสิบครั้ง  เขายินดีขายให้ด้วย ถ้าคุณแน่พอที่จะบริหารให้มีกำไร  เพราะไม่ใช่กิจการผูกขาดเหมือนรัฐวิสาหกิจบ้านเรา
    พอถึงตรงนี้  ก็หัวหดไปตามๆ กัน เพราะถ้าไม่ผูกขาด และต้องแข่งขันกับอีกหลายสิบเจ้า  นักลงทุนกระจอกงอกง่อยก็เอามือซุกกระเป๋ากันหมด

    เอาล่ะ..
    ถามผมมามากแล้ว  พวกปกป้องผลประโยชน์..ชาติของนายก ช่วยตอบคำถามผมด้วยนะครับว่า..

    ๑) ทำไมรัฐวิสาหกิจที่กำไรดี และดำเนินกิจการแบบผูกขาดเมื่อแปรรูปแล้ว ถึงต้องขายให้ต่างชาติด้วย  ทำไมไม่ใช้วิธี ขายในประเทศก่อน  หากคนในประเทศซื้อกันจนอิ่มหนำกันแล้ว  ที่เหลือค่อยขายให้ต่างชาติก็ได้  
    เหตุใด จึงใช้วิธี กันส่วนหนึ่งไว้ให้ชาวต่างชาติ  แต่คนในประเทศต้อง จับฉลากแย่งกันซื้อ

    ๒) ต่างชาติที่เข้ามาซื้อหุ้น ปตท. ณ วันที่เปิดให้จองซื้อได้ในราคา ๓๕บาท  ณ เวลานี้ ราคา ๒๔๖ บาทแล้ว  ผลต่างคิดเป็นกำไรจำนวนมหาศาล (แทบจะสร้าง ปตท.ได้อีกแห่งหนึ่ง)  ถ้าจะให้ต่างชาติถอนคืนไป (ตกลงเราจะไล่พวกเขาให้พ้นไปแล้วนะ)  เรามีปัญญาหาเงินมาจ่ายคืนให้เขาหรือเปล่าครับ  จำนวนนี้เป็นแสนๆ ล้านบาทไปแล้ว? ให้เวลาคิด ๑๐ วินาที
    .
    .
    ติ๊กต้อก ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ
    .
    .
    โอเค..หมดเวลาคิด
    ผมตอบให้เลยครับว่า  ไม่มีปัญญาหรอก  และถ้าเช่นนั้น ในอนาคต ปตท.กลายเป็น ๓๐๐ และ ๕๐๐ ตามลำดับ ซึ่งอาจจะอีกสิบปีข้างหน้า  ก็จะยิ่งไม่มีปัญญาเข้าไปใหญ่  จริงไหมครับ  เพราะถึงตอนนั้น  หากจะซื้อหุ้นคืน  คุณอาจต้องระดมงบประมาณประจำปีของประเทศไปซื้อเลยก็ได้ (นี่ผมสมมุติแค่ ปตท.แห่งเดียวนะเนี่ย!!)

    ๓) ทำไมสิงคโปร์เลือกลงทุนเฉพาะหุ้นหลัก ที่เคยเป็นทรัพยากรของชาติเป็นรัฐวิสาหกิจของไทยเล่าครับ  หุ้นจดทะเบียนมีกว่า ๔๐๐ บริษัท ทำไมกระจุกตัวสนใจซื้ออยู่แค่หุ้นดิน น้ำ ลม ไฟฟ้า ของไทยล่ะครับ  ทั้งๆ ที่หุ้นอื่นก็เปิดให้ต่างชาติเข้าไปร่วมทุน  และมีผลประกอบการที่ดีไม่น้อยเช่นกัน


    เห็นไหมครับว่า ตอนนี้สิงคโปร์ไม่เอาแค่ค่าคอมมิชชั่นแล้ว  มันเอาอนาคตของชาติของคุณไปด้วย
    ผมถึงบอกไงล่ะครับว่า  ..เราตกเป็นประเทศราชของเขาไปแล้ว ตลอดชาติไทยนี้!!

    สวัสดีชาวทาสทั้งหลาย  สบายดีอยู่หรือครับ wink

    (ยังไม่จบนะครับ  ผมแค่แล่เนื้อ แล้วเอาเกลือทา แต่พรุ่งนี้ ผมจะสับบ๊ะช่อให้ดู  อย่าลืมติดตามตอนต่อนะครับ)

    จากคุณ : *bonny - [ 12 ม.ค. 49 08:01:12 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป