CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    **ขอเชิญเที่ยวงาน "สัปดาห์มหกรรมขายชาติ" ตอนที่ ๓** (สับบ๊ะช่อ)

    ตอนที่ ๑..
    http://www.pantip.com/cafe/rajdumnern/topic/P4015115/P4015115.html
    ตอนที ๒..
    http://www.pantip.com/cafe/rajdumnern/topic/P4017356/P4017356.html

    เมื่อวานนี้ทาเกลือโรยพริกไท ไปแล้ว  วันนี้ขอสับบ๊ะช่อเลยนะครับ  อย่างไรก็ตาม เนื้อหาบทความทั้งหมดนี้ เป็นเพียงข้อสันนิษฐาน  (เพราะความเป็นจริงเป็นอย่างไร  เขาบอกคุณไม่ได้หรอกครับ  คุณต้องใช้สติปัญญาไตร่ตรองเอาเองว่า เป็นเช่นว่านี้จริงหรือไม่)
    ที่แน่ๆ คือ ถ้าคุณอ่านบทความตอนนี้จบแล้ว  คุณจะตอบคำถามเหล่านี้ได้..
    ๑/ ทำไมต้องแปรรูปรัฐวิสาหกิจทั้งๆ ที่มีการคัดค้านทั่วประเทศ
    ๒/ ทำไมแปรรูปแต่รัฐวิสาหกิจที่มีกำไรงดงาม และดำเนินกิจการแบบผูกขาด
    ๓/ ทำไมต้องกันสัดส่วนผู้ถือหุ้นต่างชาติให้ได้รับอภิสิทธิ์ในการจองหุ้นรัฐวิสาหกิจก่อนคนไทย
    ๔/ ทำไมต้องดิ้นรนทำโครงการอภิมหาโปรเจ็ค ทั้งๆ ที่ประเทศใกล้จะถังแตก
    ๕/ ทำไมต้องเร่งรีบเปิด FTA กับประเทศยักษ์ๆ  ทั้งๆ ที่คู่ค้าของเราก็มีประเทศเล็กๆ แต่ไม่สนใจ
    ๖/ ทำไมยอมให้สิงคโปร์มาใช้น่านฟ้าไทยฝึกเครื่องบินเอฟ๑๖ นานถึง ๑๕ ปี
    ๗/ ทำไมชินต้องขายหุ้นตัวเองให้ต่างชาติ
    “”””””””””””””””””””””

    หลังจากเที่ยวงานมหกรรมในวันนี้จบแล้ว  พวกคุณจะลืมไปได้เลย  สำหรับ การคอร์รัปชั่นประเภท พืชผลเกษตร..งบรพช...ทุจริตยา..ทัวร์นกขมิ้น..ฮั้วการประมูล ฯลฯ
    เพราะคุณจะตระหนักได้ว่า  มันมีการคอร์รัปชั่นที่เป็นอภิมหากาพย์ที่คุณจะไม่มีวันลืมได้อีกในชาตินี้


    ขั้นตอนการขายชาติ

    ผมได้เกริ่นเอาไว้แต่แรกแล้วว่า สิงคโปร์เป็นตลาดกลางทางการเงินของภูมิภาคนี้มาระยะหนึ่งแล้ว  และก็มีนักการเมืองหลายประเทศ นิยมไปเปิดบัญชีผ่านตัวแทน (Norminee) ที่นั่น  *โดยการอำนวยความสะดวกให้ของรัฐบาลสิงคโปร์* ที่ทำตาขยิบไว้ข้างหนึ่ง  ที่ต้องทำอย่างนั้น เพราะ สิงคโปร์รู้ว่า ถ้าความเป็นจริงนี้ถูกเปิดเผยออกไป  หายนะจะมาเยือนนักการเมืองเหล่านั้น และอนาคตของสิงคโปร์ก็พังทลายลงไปด้วยเช่นกัน

    ในอดีต..
    เงินสกปรกจะถูกส่งไปเก็บไว้ที่เกาะเคย์แมนบ้าง  สวิสเซอร์แลนด์บ้าง  แต่หลังๆ นี้ ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้นแล้ว  ส่งไปเก็บรักษาไว้ที่สิงคโปร์ก็ปลอดภัยด้วยเช่นกัน  เพราะรัฐบาลเขาจะดูแลให้คุณเสมือนคุณดูแลเอง
    ความนิยมไปรับ-จ่ายเงินสินบนกันในต่างประเทศและเปิดบัญชีนอร์มินี่ที่สิงคโปร์นี้  เพิ่งมาคึกคักกันเมื่อประมาณ ๑๕ ปีที่แล้วนี่เอง   เมื่อตลาดหุ้นไทยในยุคหนึ่งถูกกำหนดชะตากรรมโดยเงินกองทุนชาวต่างชาติ  เนื่องจากกฎหมายห้ามมิให้เจ้าของหุ้นนั้นๆ กระทำการซื้อ-ขาย(ปั่น) หุ้นของตัวเอง  ครั้นจะให้คนอื่นปั่นให้เช่นกรณีเสี่ยสอง วัชรศรีโรจน์ (จำเลยคดีปั่นหุ้นที่ถูกตัดสินให้พ้นผิดไปแล้ว) ก็ไม่เนียนพอ และถูกจับได้  จนเสี่ยสองเกือบจะต้องเข้าคุก(แทนคนอื่น)
     
    นักการเมือง และนักธุรกิจไทยเจ้าของกิจการที่ใหญ่อันดับต้นๆ และรวยติดอันดับโลกไม่กี่คนนี่แหละครับที่เป็นต้นกำเนิดของการ “โยนเงินไปต่างประเทศ แล้ววกกลับมาปั่นหุ้นตัวเอง”  จนร่ำรวยมหาศาล กลายเป็นอัครมหาเศรษฐีเช่นทุกวันนี้

    นอร์มินี่เป็นใคร?

    เป็นใครก็ได้ครับที่ยอมกราบแทบเท้าเจ้าของตัวจริงได้  อาจเป็นคนหิ้วกระเป๋าเกรดเอ..ทนายความขายตัว..หรือ ญาติพี่น้อง  ข้อสำคัญคือ ต้องไว้วางใจได้๑๐๐%

    บัญชีของนอร์มินี่เหล่านี้จะถูกปิดเป็นความลับ  แม้กฎหมายสากลก็เล่นงานไม่ได้โดยง่าย  เว้นแต่จะพบว่า ผู้เปิดบัญชีมีความผิดในฐานะ “อาชญากรระหว่างประเทศ” เท่านั้น  ซึ่งหากมีคำพิพากษาและนำสืบหลักฐานเชื่อมโยงได้  สิงคโปร์ก็ต้องจำใจอายัดเช่นกัน

    เงินผิดกฎหมายต่างๆ ทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็น เงินกินเปล่า, ค่าคอมมิชชั่นอาวุธ, เครื่องบิน หรือ เงินงบประมาณของประเทศที่ถูกยักยอก  จะถูกนำไปเก็บไว้ในบัญชีนอมินี่ เพื่อ รอการฟอกให้เป็นเงินบริสุทธิ์

    การทำให้เป็นเงินบริสุทธิ์ ๑๐๐% เรียกการฟอกนี้ว่า Monney Refinery  
    ทำได้หลายวิธีครับ  ทั้ง Backdoor listing  (ซื้อกิจการในตลาดหลักทรัพย์)  ซื้อกิจการที่กำลังจะเน่าแล้วในราคาแสนแพง  หรือ เข้ามาในรูปของเงินลงทุนจากต่างประเทศ (จริงๆ เจ้าของเงินเป็นคนไทยเอง) เข้ามาซื้อหุ้นในราคาแพงกว่าตลาดปกติ

    ขั้นตอนฟอกครั้งสุดท้ายนี้ ก็มักจะไปลงที่การซื้อที่ดินราคาแพงกว่าปกติ (จ่ายเงินมาก ใบเสร็จนิดเดียว)
    ค่าก่อสร้างโครงการอันมโหฬาร
    การไปซื้อบริษัทที่กำลังจะเจ๊งในราคาแพง
    หรือ ตั้งบริษัทขึ้นมาใหม่เพื่อรองรับการลงทุนที่มีแต่การขาดทุนไม่สิ้นสุด

    บ้านเราที่เห็นในตลาดหุ้นในแต่ละวัน  มีชาวต่างชาติส่วนหนึ่งขนเงินมาลงทุนเยอะๆ  อย่านึกว่า เป็นฝรั่งเสมอไปนะครับ   ส่วนใหญ่เป็นต่างชาติผมดำ  และบางทีก็เป็น ผมดำ+ผมทอง ร่วมมือกัน  วัตถุประสงค์เพื่อตบตาแมงเม่า กับ อีกวัตถุประสงค์ คือ เข้ามาฝังตัวเพื่อรอการฟอกเงิน

    ถ้าตลาดหลักทรัพย์มีกฎหมายรองรับที่จะสืบค้นที่มาของNorminee ในต่างประเทศ  เงินเหล่านี้ก็จะหายไปในทันที  เพราะไม่มีใครกล้าเอาเงินมาเสี่ยง  เพราะส่วนมาก เป็นนอมินีที่ใช้เงินที่ผิดกฎหมายมาทั้งสิ้น

    ย้อนกลับไปที่การเปิดบัญชีกับสถาบันการเงินในสิงคโปร์ผ่านระบบตัวแทนอีกทีนะครับ  จริงๆ แล้ว ไม่ได้มีเฉพาะนักการเมืองไทย มีนักการเมืองจากหลายประเทศ รวมทั้งอาชญากรทางการเงินทั้งหลายด้วย
     
    เมื่อนอร์มินีของอาชญากรทางการเงินได้เปิดบัญชีแล้ว ก็จะมีเงิน(ผิดกฎหมาย) โอนเข้ามาในบัญชี  แล้วก็จะมีการสั่งจ่ายเงินออกไปลงทุนในกองทุน และตราสารหนี้ที่สิงคโปร์สร้างขึ้นมา (ตรงนี้คือ ผลประโยชน์ที่สิงคโปร์เจ้าภาพได้รับในฐานะที่เป็นตัวเชื่อม) จนหมด  บัญชีตัวแทนนั้นก็จถถูกปิดไปเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบ  อาชญากรทางการเงินจะถือใบโอนลอยกรรมสิทธ์ในกองทุนและตราสารหนี้แทน  

    ตรงนี้เห็นไหมครับว่า เขาฟอกขั้นที่๑ ไปแล้ว  คือ ตามสืบไม่ได้แล้ว  เพราะบัญชีถูกปิดไปแล้ว  ส่วนเอกสารโอนลอยนั้น ก็เป็นที่ยอมรับได้ว่า ถูกกฎหมายแม้จะไม่ระบุชื่อ  ขายเมื่อไร ใครขาย  ก็ได้เงินสดบริสุทธิ์กลับมา ๑๐๐%(หลังหักค่าคอมมิชชั่น) ทั้งสิ้น

    แต่พวกขี้ฉ้อจะไม่ขายหรอกครับ  เพราะอะไร เพราะขายแล้วได้เงิน มันก็ต้องไปเปิดบัญชีนอร์มินี่เพื่อฝากเงินอีกน่ะสิ  ดังนั้น ถือกระดาษที่เป็นตราสารทางการเงินเอาไว้ดีกว่า

    บางคนถามว่า ทำไมไม่ขายแล้วขนเงินเข้ามาในประเทศล่ะ?

    ตอบง่ายๆ ได้ว่า..  มันมีจำนวนหลายหมื่นล้านบาทแล้ว  ขืนขนเข้ามาไม่ว่าจะซ่อนในกระเป๋าเดินทาง  หรือ เปิดบัญชีกับสถาบันการเงินในประเทศ  ก็ต้องถูกตรวจสอบได้น่ะสิครับ  ถ้าจำนวนแค่หลักล้านย่อยๆ ก็ไม่กระไร  ทยอยๆ ขนเข้ามาก็ได้  แต่เท่าที่มาคะเนดู   ปัจจุบันมีหลายหมื่นล้านบาท หรือ อาจถึงแสนล้านแล้วก็ได้

    กองทุน และตราสารเหล่านี้ ก็จะไปหารายได้นอกประเทศ  เพราะในประเทศมีขีดจำกัดเรื่องการหาผลประโยชน์จำนวนมหาศาล และขนาดตลาดในประเทศไม่อำนวย   เขาก็จะขนเงินเข้ามาลงทุนในประเทศไทย และประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคอีกนั่นแหละ

    ดังนั้น  นักการเมืองที่ยักยอกเงินออกไป ก็จะได้เด้งที่สองตรงนี้  คือ มีเงินกลับไปกลับมา ลงทุนระหว่างประเทศในภูมิภาค  ซึ่งได้ผลตอบแทนเป็นเงินปันผล  และส่วนต่างของราคาหุ้น Capital Gain จำนวนหนึ่ง

    ตรงนี้มีบางคนถึงบางอ้อหรือยังครับว่า ทำไมมีบางคนอยากแปรรูปรัฐวิสาหกิจนัก  และกำหนดสัดส่วนให้นักลงทุนชาวตางชาติได้ซื้อแบบง่ายๆ   ก็เพราะเงินลงทุนจำนวนนับร้อย นับพัน และนับหมื่นล้านของพวกเขามันจมอยู่ในบัญชีเงินกองทุน  ตราสารหนี้ของกองทุนต่างชาติที่เขาถืออยู่ในรูปของตราสารโอนลอยไงครับ

    พูดง่ายๆ เลยนะครับ..
    กองทุนต่างชาติได้มากเท่าไร  นักการเมืองก็พ่วงร่างแหได้มากด้วยเท่านั้น  เพราะเขามีเงินของเขาอยู่ในกองทุนด้วย

    ถึงตรงนี้  หลายๆ คนก็จะร้องว่า..อ้าว!! งั้น(สมมุติ) แสดงว่า หุ้นปตท.ที่ตอนนี้มี หุ้นออกจำหน่ายทั้งหมด ๒,๘๐๐ล้านหุ้น(ราคาพาร์ ๑๐บาท/หุ้น)  มีกำไรสะสมที่ยังไม่ได้แบ่งปันจากอดีตถึงปัจจุบันประมาณ ๑๖๕,๐๐๐ล้านบาท และคาดว่าปีนี้จะมีกำไรสุทธิอีกเห็นๆ ประมาณ ๑๐๐,๐๐๐ล้านบาท
    รวมแล้วสิทธิประโยชน์ของผู้ถือหุ้นปตท.ทั้งหมด คาดว่าจะมีประมาณ ๒ แสนกว่าล้านบาทนี้

    กองทุนต่างชาติที่ถือหุ้นในปตท.ตอนนี้มีอยู่ประมาณ ๓๐% ก็แน่นอนว่า เป็นของเขาแน่ๆ  ๖ หมื่นล้านบาทครับ

    แต่ไอ้ ๖ หมื่นล้านบาทนี้ มันไม่ใช่ของนักลงทุนต่างชาติหมดหรอกพระคุณท่าน  ก็เพราะมีนักการเมืองขี้ฉ้อในประเทศส่วนหนึ่งไปซื้อกองทุนเหล่านี้เอาไว้ก่อนที่เขาจะมาซื้อหุ้นปตท.ที่ทางเรากันสัดส่วนเอาไว้ให้

    ก็เลยกลายเป็นเด้งที่สองที่นักการเมืองได้  คือ เด้งแรก ได้ฟอกเงิน  เด้งสอง ได้แฝงตัวมาเป็นเจ้าของปตท.ร่วมกับนักลงทุนต่างชาติ  และเด้งสุดท้าย คือ  ได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนในกองทุนอย่างงดงาม

    เห็นไหมครับว่า กำไรมันงดงามยิ่งกว่าการคอร์รัปชั่นใดๆ เสียอีก  แค่ร่วมมือกันกับต่างชาติเท่านั้น

    ทำไมต้องแปรรูปกฟผ.  (การประปา) (องค์การโทรศัพท์) (การสื่อสารแห่งประเทศไทย)?

    เอ..
    หลายคนเริ่มสงสัย  ก็เฉพาะ ปตท.  อสมท.  การบินไทย  มันก็กินกันไม่หมดทั้งชาติแล้ว  ทำไมต้องแปรรูปรัฐวิสาหกิจอื่นๆ อีกด้วยล่ะ?  บอนนี่ หาเรื่องมาด่าหรือเปล่า?

    ถ้าตอบแบบโฆษกรัฐบาล ก็จะตอบว่า.. เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ  และเพื่อหาแหล่งเงินทุนในราคาถูกเพื่อขยายกิจการของรัฐวิสาหกิจนั้น  (ถูกไหมครับ  ท่านสุรนันท์)

    จริงๆ ก็เป็นเพียงผลพลอยได้ครับ   แต่ถ้ามีนักข่าวจอมกวนคนหนึ่งย้อนถามกลับไปที่ท่านสุรนันท์ว่า  “ท่านครับ ถ้ามีวัตถุประสงค์เช่นนั้น ทำไมไม่แปรรูปขสมก.  องค์การรสพ.ล่ะครับท่าน  จะได้เพิ่มประสิทธิภาพเสียทีและมีเงินไปลงทุนซื้อรถใหม่ไม่ต้องขอรัฐบาล”  คำตอบของคุณสุรนันท์ ก็คงประมาณ  “เอ็งอย่าถามมาก เดี๋ยวถูกจดชื่อ”

    เหตุผลสำคัญที่สุด แท้จริงคือ..

    * สัดส่วนการถือหุ้นของต่างชาติในหุ้นรัฐวิสาหกิจที่แปรรูปแล้วมันเต็มเอี้ยดไปแล้วตามกฎหมาย เพิ่มไม่ได้อีก  หมายถึง กองทุนต่างชาติอยากซื้อก็ซื้อไม่ได้แล้ว ติดข้อจำกัดทางกฎหมายเรื่อง % การถือครองของต่างชาติ*

    ขอสมมุติอีกทีน่า..
    ถ้าคุณเป็นนักการเมืองขี้ฉ้อ(คนนั้น)  คุณกอบโกยเงินที่ยักยอกประเทศมาเดือนละ ๑๐๐ล้านบาทไปไว้ที่บัญชีนอร์มินี่ในสิงคโปร์ทุกเดือนๆ  แล้วก็ถ่ายโอนไปซื้อกองทุนและตราสารหนี้  เพื่อให้เขามาซื้อหุ้นพื้นฐานสำคัญๆ ในประเทศที่คุณบริหารอยู่   แต่เมื่อพบว่า สัดส่วนที่นี่มันเต็มหมดแล้ว  เงินเข้ามาไม่ได้แล้ว
    คุณจะทำอย่างไร???

    อึดอัดใช่ไหมครับ  เพราะว่า ผมบอกแล้วว่า กองทุนในสิงคโปร์เขาต้องขนเงินไปลงทุนยังประเทศต่างๆ ที่ไหนดี เขาก็ไป  เพื่อฝังราก และเพื่อผลกำไร  แต่เมื่อเข้าประเทศที่คุณบริหารประเทศอยู่ไม่ได้  เขาก็ต้องไปหาที่อื่นๆ ที่ไกลหูไกลตาคุณ
    แล้วคุณจะยอมไหม?

    พุทธ่อ..แน่นอนอยู่แล้วว่า..
    คุณคงไม่อยากเป็นเจ้าของกิจการไฟฟ้า  ประปา  รถยนต์ในเกาหลี  ในจีน ในใต้หวันหรอกน่า  ถ้าให้เลือกได้ คุณก็อยากให้กองทุนต่างชาติที่คุณลงทุนอยู่เข้ามาลงทุนในประเทศที่คุณบริหารอยู่  เพื่ออนาคตของคุณและครอบครัว

    ในเมื่อเส้นทางการลงทุนมันตัน  ก็เลยจำเป็นต้องเปิดช่องทางใหม่ๆ เพิ่มขึ้นไงล่ะครับ  เพื่อให้กองทุนเหล่านี้เข้ามาได้  และการแปรรูปการไฟฟ้า  การประปา  การสื่อสาร  องค์การโทรศัพท์  ก็เป็นสิ่งที่คุณเลือกแล้วว่า ดีแน่ๆ กำไรเห็นๆ  และไม่มีความเสี่ยง เพราะเป็นกิจการสาธารณูปโภคที่ถูกผูกขาด

    โถ..มันจะเสี่ยงได้ยังไงล่ะครับ  คุณกับคณะดูแลเองกับมือ  กท.การคลังที่ถือหุ้นใหญ่สุดก็มีคนของคุณเองเข้าไปบริหารจัดการ (แม้แต่กรรมการผู้จัดการใหญ่ปตท.คนก่อน คุณยังดึงมาดูแล(ผลประโยชน์ของคุณ)ได้เลย..จริงไหมล่ะ)

    แก้ไขเมื่อ 13 ม.ค. 49 11:45:05

    แก้ไขเมื่อ 13 ม.ค. 49 11:39:06

    จากคุณ : *bonny - [ 13 ม.ค. 49 08:38:09 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป