ความคิดเห็นที่ 1 เข้ามาปูเสื่อ รอคนมาเล่า แต่คิดว่าต้องย้อนซัก 10-20 ปีเลยละมั้งครับ ถ้าจะรู้เหตุจริงๆ จากคุณ : siwarut - [ 16 ม.ค. 49 20:26:19 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ไม่ค่อยเคลียร์ในคำถามของเจ้าของกระทู้นะคะแต่จะลองตอบดู การที่สหรัฐอเมริกาใช้กำลังทหารเข้าโค่นล้มอดีตประธานาธิบดีซัดดัม ฮุสเซ็นแห่งอิรัคนั้น  ประธานาธิบดีบุชท่านได้ประกาศอย่างชัดเจนค่ะว่าเหตุผลที่ใช้ในการบุกอิรักนั้นประกอบไปด้วยเหตุผลหลัก 4 ข้อด้วยกันคือ 1...ซัดดัมละเมิดข้อตกลงหยุดยิงที่ทำไว้กับยูเอ็นในเรื่องเกี่ยวกับอาวุธ(Saddam's material breach of the cease fire accords concerning weapons.) 2...ซัดดัมให้การสนับสนุนการก่อการร้่ายสากล(Saddam's sponsorship of international terrorism.) 3...เพื่อปลดปล่อยชาวอิรักให้พ้นจากการปกครองของเผด็จการซัดดัมและพรรคบาธ(To liberate the Iraqi People.) 4...เพื่อเสริมสร้างความมีเสถียรภาพในตะวันออกกลาง(To remove the instability caused by Saddam in the Middle East.) บุชได้กล่าวถึงเหตุผลทั้ง 4 ข้อนี้สำหรับเป็นเหตุผลที่ใช้ในการบุกอิรักในการกล่าวสุนทรพจน์ต่อ องค์การสหประชาชาติหรือ UN ในวันที่ 12 กันยายน 2545 และต่อประชาชนชาวอเมริกันในวันที่ 17 มีนา 2546 ก่อนสงครามอิรักจะเริ่มขึ้น ประธานาธิบดีบุชท่านไม่เคยพูดเลยว่าเหตุผลอาวุธร้ายแรง WMD เป็นเหตุผลเดียวที่อเมริกาใช้บุกอิรัค  พวกที่พูดบิดเบือนกล่าวหาว่าบุชอ้างเรื่องอาวุธร้ายแรงเพียงอย่างเดียวใช้บุกอิรัคก็คือ Liberal Media สื่อฐานันดรสี่ นั่นเองค่ะ ที่ร่วมพันธมิตรกับกลุ่มนิยมการเมืองซ้ายจัด(โดยเฉพาะกลุ่มนักวิชาการผู้มีเกียรติบางคนที่สิงอยู่ตามกระดาษเปื้อนหมึกทั้งหลาย) กลุ่มเสรีนิยมสุดโต่ง กลุ่มต่อต้านบุชและจากกลุ่ม left-wing democrat ที่กล่าวหาว่ารัฐบาลของประธานาธิบดีบุชโกหกเรื่องอาวุธร้ายแรงของอิรักเพื่อนำมาเป็นสาเหตุใช้ในการบุกอิรักโดยมีวาระซ่อนเร้นแอบแฝงอยู่เบื้องหลัง (เป็นคำกล่าวหาบุชซึ่งขาดหลักฐานสนับสนุนและไม่สามารถพิสูจน์ได้จนกระทั่งปัจจุบันนี้)  ประธานาธิบดีอเมริกาโกหกสุ่มสี่ส่มห้าไม่ได้หรอกค่ะเพราะประธานาธิบดีอเมริกาไม่ได้อยู่เหนือกฏหมาย ดังนั้นความคิดสำหรับผู้ที่มีความเข้าใจว่า "WMDเป็นเหตุผลเดียว" ที่บุชใช้บุกอิรักนั้นเป็นการมองข้ามข้อเท็จจริงค่ะ  เข้าใจค่ะว่าทุกคนย่อมมีเหตุผลเป็นของตัวเองในการเลือกที่จะเชื่อหรือไม่เชื่อในเหตุผลทั้ง 4 ข้อที่กล่าวมานั้นแต่สิ่งสำคัญที่สุดที่ เอื้องคิดว่าผู้เสพข่าวควรจะตระหนักไว้ก็คือการตั้งคำถามกับตัวเองว่าเหตุผลทั้ง 4 ข้อที่กล่าวมานั้นมีเหตุผลข้อใดบ้่างที่อเมริกาไม่ปฏิบัติตามในสงครามอิรักครั้งนี้..เรื่องอาวุธทำลายล้างสูงของอิรักซึ่งเป็นหนึ่งในสี่เหตุผลหลักที่อเมริกาใช้ในการบุกอิรักนั้นรัฐบาลบุชก็ได้รับรายงานมาจากของหน่วยข่าวกรองของซี ไอ เอเป็นหลักรวมไปถึงหน่วยข่าวกรองของอังกฤษ เยอรมันและรัสเซียด้วย..อย่างที่เราได้ทราบข่าวมาก่อนหน้านี้แล้วว่าผลสรุปของรายงานการสอบสวนของคณะกรรรมาธิการข่าวกรองวุฒิสภาของสหรัฐฯที่ได้กล่าวตำหนิรายงานของ CIA ที่ระบุว่าอิรักมีอาวุธร้ายแรงไว้ในครอบครองรายงานฉบับนั้นซีไอเอได้ส่งมอบให้กับฝ่ายความมั่นคงของประธานาธิบดีบุชซึ่งได้ใช้เป็นเหตุผลหนึ่งในการบุกอิรักนั้นว่าเป็นข้อสันนิษฐานที่เกินจริง ไม่มีหลักฐานด้านงานข่าวกรองมารองรับอย่างเพียงพอ ("overstated or "not supported by the raw intelligence reporting.")และแพต โรเบิร์ตส์ ประธานคณะกรรมาธิการข่าวกรองวุฒิสภาได้พบว่าสัญญาณบอกเหตุที่สำคัญที่สุดถึงความล้มเหลวของหน่วยข่าวกรองก็คือหลังจากปี1998 และชุดคณะผู้ตรวจสอบอาวุธของยูเอ็นได้เดินทางออกนอกประเทศอิรักไปแล้วนั้น CIA ไม่มีแหล่งข่าวบุคคลที่คอยทำหน้าที่ฝังตัวเพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับ WMD ที่ถือว่าเป็นอาวุธเป้าหมายของซัดดัมอยู่ในประเทศอิรักเลยและโรเบิร์ตส์ยังเห็นว่าส่วนสำคัญที่สุดที่ทำให้ศักยภาพด้านข่าวกรองของซีไอเอล้มเหลวในครั้งนี้ก็คือมาจากความล่มสลายในวัฒนธรรมของหน่วยงานและองค์กรด้านข่าวกรองและการบริหารงานที่ขาดประสิทธิภาพซึ่งความล้มเหลวเหล่านี้ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการอัดฉีดงบประมาณรวมไปถึงการเพิ่มทรัพยากรด้านบุคคลากร ค่ะแต่ในขณะเดียวกันรายงานการสอบสวนของคณะกรรรมาธิการข่าวกรองวุฒิสภาของสหรัฐฯมิได้ระบุว่า CIA ทิ้งหรือละเลยหลักฐานการฝ่าฝืนมติของยูเอ็นและความพยายามของซัดดัมในการขัดขวางคณะผู้ตรวจสอบWMDของยูเอ็นมาโดยตลอดที่ห้ามอิรักมีอาวุธต้องห้ามไว้ในครอบครองในส่วนตรงนี้สำคัญค่ะเพราะว่าเหตุผลเรื่อง WMD นั้นไม่ใช่เป็นเรื่อง *the presence of WMD* แต่เป็นเรื่องของ *the absence of evidence* ที่ถูกขนย้ายออกไปหรือถูกทำลายเนื่องจากว่ามีจำนวนอาวุธหรือวัตถุที่ถูกสะสม(stockpiles)ไว้เหล่านั้นหายไปโดยไร้ร่องรอยไม่สามารถถูกอธิบาย ชี้แจงหรือให้เหตุผลได้ว่าจำนวนอาวุธหรือวัตถุที่ถูกสะสมเหล่านั้นอันตรธานหายไปไหนและนี่คือที่มาของข้อสัณนิษฐานโดยทุกคนที่คิดว่าอิรักกำลังพัฒนา WMD programจะ large-scale หรือไม่ก็ตามแต่ที่สุดของความจริงก็คือ ซัดดัมละเมิดมติของยูเอ็น (Saddam was in breach of the UN resolutions) อย่างต่อเนื่อง.. จริงๆแล้วรัฐบาลสหรัฐตื่นตัวกับภัยคุกคามของอิรักและการก่อการร้ายช้าเสียด้วยซ้ำไปค่ะซัดดัม ฮุสเซ็นมีเวลาพิสูจน์ตัวเองทางด้านการทูตและพิสูจน์ความจริงใจในการปลดหรือทำลายอาวุธมาเป็นเวลายาวนานกว่าสิบสองปีแล้วนะคะแต่เค้าไม่ทำแล้วอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ที่วิจารณ์สงครามอิรัก(เพื่อโค่นล้ม Saddam's Regime) ในครั้งนี้ว่าเป็นสงครามที่ผิดพลาดคิดว่าวิถีทางการฑูตจะใช้ได้ผลกับซัดดัมล่ะคะ? ปฏิบัติการจิ้งจอกทะเลทรายสมัยคลินตันก็เคยใช้ขู่ซัดดัมมาแล้วแต่ก็ไม่เคยได้ผลค่ะซัดดัมฝ่าฝืนมติสหประชาชาติถึง17 ฉบับภายในเวลา12 ปีที่่ผ่านมาและก็ต้องไม่ลืมด้วยว่าเรื่องที่บอกว่าอิรักมีอาวุธร้ายแรงไว้ในครอบครองนั้นถูกเชื่อโดยทุกคนที่มีส่วนในการสนับสนุนและต่อต้านสงครามอิรักในครั้งนี้ไม่ว่าจะเป็น: 1. The entire Clinton administration leadership, 2. องค์การสหประชาชาติ (The United Nations ) และ 3. French Government ซึ่งเชื่อว่าอิรักกำลังพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ ...และนี่คือข้อเท็จจริงค่ะ จากคุณ : เอื้องอัยราวัณ - [ 16 ม.ค. 49 22:20:16 ]

ความคิดเห็นที่ 3 และเอื้องอยากจะขอกล่าวถึงเหตุผลข้อที่หนึ่งคือ "Saddam's material breach of the cease fire accords concerning weapons." ในรายละเอียดตรงนี้อีกครั้งหนึ่งค่ะเพราะดูเหมือนทุกคนจะมองข้ามสาระสำคัญในส่วนตรงนี้ไปเสียแล้ว..จากประเด็นตรงนี้เราจะเห็นได้ชัดเจนว่า อิรักฝ่าฝืนมติสหประชาชาติทั้งหมด 17 ฉบับตลอดระยะเวลาสิบสองปีที่ผ่านมาซัดดัมมีความสามารถในการมีอาวุธผลิตอาวุธ...อเมริกาคิดว่าซัดดัมมีอาวุธและเช่นเดียวกับประชาคมโลกที่คิดว่าซัดดัมก็ยังคงครอบครองอาวุธไว้เช่นกัน..อาวุธที่ซัดดัมครอบครองอยู่ก็สามารถถูกส่งผ่านตกไปอยู่ในมือขององค์กรหรือกลุ่มก่อการร้ายได้ข้อเท็จจริงตรงนี้สิคะสำคัญ ทุกคนมีสิทธิคิดต่างแต่ความจริงที่ปรากฎและตรวจสอบได้ก็คือ เรื่องที่อิรักมีอาวุธในครอบครองนั้นทั้งบุชและสภาครองเกรสซึ่งประกอบด้วยเดโมแครตและรีพับลิกันมองดูข้อมูลจากแหล่งข่าวกรองเดียวกัน(same intelligence) สภาครองเกรสเห็นชอบให้อเมริกาบุกอิรักก็มาจากพื้นฐานข้อมูลอันเดียวกันและก็เป็นข้อมูลอันเดียวกันนี้เองที่รัฐบาลคลินตันมีอยู่ในมือ..และก็ต้องไม่ลืมด้วยค่ะว่าทั้งรัฐบาลบุชและคลินตันมีความเห็นเหมือนกันว่า "Saddam Hussein needed to be removed " นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมบิล คลินตันถึงลงนามอนุมัติผ่านร่างพระราชบัญญัติ " Iraq Liberation Act of 1998" (Public Law 105-338)  ให้เป็นกฎหมายต่อไปเมื่อวันที่31ตุลาคม1998 ทีนี้ลองมาวิเคราะห์กันค่ะว่า Saddam's material breach of the cease fire accords concerning weapons นั้นมีความหมายว่าอย่างไร องค์การสหประชาชาติคือ the body ที่ออก resolution มาเพื่อบังคับใช้ให้อิรักปฏิบัติตามตามที่ซัดดัมได้ลงนามไว้ตั้งแต่สงครามอ่าวครั้งแรกสิ้นสุดลง มีมติออกมาหลายฉบับมติแล้วมติเล่าแต่ซัดดัมก็เลือกที่จะเพิกเฉยไม่ปฏิบัติตามและเมื่อพูดถึง "pre-emption" นั้นก็ต้องไม่ลืมด้วยนะคะว่าสิ่งที่บุชทำก่อนคือตัดสินใจหาความร่วมมือจากประชาคมโลกซึ่งมีสหประชาชาติเป็นตัวแทนและประเมิณดูว่าถ้าหากประชาคมโลกนั้นไม่สามารถกดดันให้อดีตผู้นำอิรักปลดอาวุธได้..ผลที่ตามมาจะเกิดอะไรขึ้น U.N. Security Council Resolution 1441 กล่าวไว้ว่าอย่างไรทุกคนคงไม่ลืมนะคะ Res.1441กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า: " show us your arms and destroy them, or your programs and destroy them." ไม่อย่างนั้นแล้ว "Iraq will face serious consequences as a result of its continued violations of its obligations " ภายใต้มาตรา 13 นี่คือใจความหลักของ Resolution 1441 และเป็นคำตัดสินที่เห็นพ้องต้องกันอย่างเป็นเอกฉันท์ (unanimous verdict) ภายในองค์การสหประชาชาติ หรือพูดอีกอย่างหนึ่งให้เข้าใจก็คือ the worlds of the U.N. Security Council กล่าวว่าพวกเราเห็นพร้อมกันอย่างเป็นเอกฉันท์ว่าอิรักภายใต้ซัดดัมนั้นอันตรายดังนั้นมันไม่ได้มีความหมายหมายถึงแค่บุชและอเมริกาแต่หมายถึงทั้งประชาคมโลกก็คิดเช่นเดียวกันว่าซัดดัมเป็นอันตรายและจำเป็นอย่างยิ่งต้องถูกปลดอาวุธ ทางเลือกเดียวของซัดดัมก็คือซัดดัมต้องปลดอาวุธและเมื่อเค้าไม่ยอมปฏิบัติตามสิ่งที่เค้าเองได้ลงนามและสัญญาไว้จะมี serious consequences ที่ตามมาในภายหลัง จริงๆแล้วก็เป็นสหประชาชาตินั่นเองค่ะที่ไม่สามารถผลักดันมติที่ตัวเองออกมาให้มีผลบังคับใช้ในทางปฏิบัติอย่างมีประสิทธิภาพอย่างแท้จริง สำหรับรายงานล่าสุดของ Duelfer ที่ปรึกษาพิเศษสำนักข่าวกรองกลางสหรัฐฯ (ซีไอเอ) ในฐานะหัวหน้ากลุ่มสำรวจอาวุธในอิรักได้สรุปเกี่ยวกับอิรักและWMDไว้ดังนี้ค่ะ Duelfer concluded that the stockpiles of WMD have not been found BUT Saddam Hussein planned to restart his weapons programs, including his nuclear program, as soon as he could convince a gullible and increasingly malleable United Nations to lift the economic sanctions on Iraq. "[Saddam] wanted to end sanctions while preserving the capability to reconstitute his weapons of mass destruction when sanctions were lifted," a summary of the report says จากคุณ : เอื้องอัยราวัณ - [ 16 ม.ค. 49 22:27:06 ]

ความคิดเห็นที่ 4 และเมื่อพูดถึงเหตุผลข้อที่ 1 คือ ซัดดัมละเมิดข้อตกลงหยุดยิงที่ทำไว้กับยูเอ็นในเรื่องเกี่ยวกับอาวุธ( Saddam's material breach of the cease fire accords concerning weapons) ในความคิดเห็นที่ 2 และ 3 นั้นเอื้องอยากจะขออธิบายถึงรายละเอียดพอสังเขปที่ถกกันในยูเอ็นนิดหน่อยค่ะเนื่องจากว่ามีคอลัมนิสต์ในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการหลายคนกล่าวเป็นไปในทำนองว่าอเมริกาว่าทำตัวกร่างไม่เคารพองค์กรนานาชาติแห่งนี้(United Nation)   .จริงๆแล้วมันก็มีการคานอำนาจกันอยู่ในยูเอ็นอยู่แล้วล่ะค่ะหากอเมริกามีอำนาจสามารถบังคับยูเอ็นได้จริงอย่างที่หลายๆคนกล่าวหาก่อนสงครามอิักจะเริ่มขึ้น second resolution คงผ่านไปด้วยดีแล้วล่ะค่ะจริงๆต้องบอกว่าอเมริกานี่ยังเคารพยูเอ็นอยู่นะถึงได้พยายามออก second resolution และการที่เคยมีคนกล่าวว่า "วิถีการดำเนินการแบบพหุภาคีนิยมประสบความล้มเหลวในการรับมือกับปัญหาความขัดแย้งใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้น และการที่ประเทศมหาอำนาจดำเนินนโยบายต่างประเทศโดยให้ความสำคัญกับยูเอ็นน้อยลงเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในกรณีที่สหรัฐอเมริกาบุกอิรัก !" นั้นต้องขอแย้งตรงนี้หน่อยค่ะว่าในส่วนตรงนี้นั้นต้องบอกว่า เป็นความอ่อนแอของสหประชาชาติเองที่ไม่สามารถบังคับใช้มติที่ตัวเองออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพตั้งแต่สงครามอ่าวเปอร์เซียครั้งที่หนึ่ง(The Gulf War) ค่ะ มีหลายคนเข้าใจว่าอเมริกาไม่ฟังเสียงยูเอ็นหรือให้ความสำคัญกับยูเอ็นน้อยลงซึ่งตรงนี้ไม่เป็นความจริงเลยค่ะและยังมีกลุ่มที่คัดค้านสงคราม(อาจไม่รักสันติจริงตามลมปากคือคัดค้านแต่สงครามอิรักแต่สงครามในแอฟริกากลับนิ่งเฉย)ได้กล่าวบิดเบือนข้อเท็จจริงว่าอิรักยอมปฏิบัติตามคำเรียกร้องของยูเอ็นโดยสดุดี(หลังจากที่ถูกอเมริกาภายใต้คลินตันและอังกฤษบอมบ์ทางอากาศผู้แทนชาติสมาชิกของยูเอ็นบางชาติออกมาประณามการตัดสินใจบอมบ์ของบิลคลินตันครั้งนี้ด้วยค่ะ) แต่จริงๆแล้วหากไปอ่านในรายละเอียดของรายงานในยูเอ็นจริงๆแล้วหาเป็นเช่นกลุ่มที่คัดค้านสงคราม ต่อต้านอเมริกากล่าวหาค่ะ  เพราะหลังจากที่มีการดีเบทกันอย่างเผ็ดมันท่ามกลาง Security Council membersในการแก้ไขสถานการณ์ในอิรัก(ในปี1999) เพื่อหาทางออกนั้นอเมริกาและอังกฤษยืนยันว่าอิรักจำต้องถูกปลดอาวุธให้เรียบร้อยเสียก่อนก่อนที่จะมีการยกเลิกการคว่ำบาตรแต่จีน ฝรั่งเศส และรัสเซีย ก็ยืนยันกระต่ายขาเดียวว่าอิรักถูกปลดอาวุธเรียบร้อยแล้วและแย้งว่าควรจะมีการผ่อนปรนการคว่ำบาตรควรเพื่อโน้มนาวให้อิรักกระทำตามข้อเรียกร้องยูเอ็นเป็นครั้งสุดท้ายในส่วนตรงนี้ตัวแทนของอิรักกล่าวยืนยันว่าจะต้องยกเลิกการคว่ำบาตรเสียก่อนก่อนจึงจะยอมให้มีการกลับ เข้าไปปลดอาวุธของ inspectorsในอิรักอีกครั้ง ที่เห็นชัดเจนตรงนี้ก็คือชาติสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแบ่งออกเป็นสองฝ่ายและอิรักยังคงไม่ยอมให้คณะผู้ตรวจสอบอาวุธของยูเอ็นกลับเข้าไปในอิรักจนกว่าจะมีการยกเลิกการคว่ำบาตรนั่นเอง เมื่อเป็นเช่น นี้Security Council จึงได้ออก Resolution 1284 เพื่อแต่งตั้งทีมรับช่วงการทำงานต่อจากUNSCOMซึ่งประกอบไปด้วยทีม UN Monitoring การพิสูจน์หาหลักฐาน ของอาวุธทำลายล้างสูงที่ขาดหายไปโดยไร้ร่องรอย และทีมInspection Commission (UNMOVIC)แต่จีน ฝรั่งเศสและรัสเซียกลับงดเว้นไม่ลงคะแนนเสียงให้กับRes.1284ฉบับนี้ค่ะ....จะว่าไปแล้วเนื้อหาในResolutionฉบับนี้ได้เอื้อประโยชนให้กับอิรักในการขายน้ำมันภายใต้โครงการ"น้ำมันแลกอาหาร(ที่ลูกชายนายโคฟี อันนันมีเอี่ยวด้วย)" อย่างไม่มีวงจำกัดเสียด้วยซ้ำและเงื่อนไขการยกเลิกมาตรการการคว่ำบาตร จะถูกเพิ่มขยายเป็นเวลายาวนานถึง 4 เดือนหากเพียงอิรักร่วมมือกับ คณะผู้ตรวจสอบอาวุธชุดใหม่ ซึ่ง Resolutionฉบับนี้ให้สิทธิ new UN teamเข้าไปตรวจไซท์ทุกๆแห่งในอิรัคที่ต้องสงสัยว่าจะเป็นแหล่งสะสมอาวุธต้องห้าม.(เหตุผลเรื่องWMDนั้นไม่ใช่เป็นเรื่อง the presence of WMD แต่เป็นเรื่องของ *the absence of evidence* ค่ะและRes.1284 ก็เขียนไว้อย่างชัดเจนแล้วว่ามันเป็นเช่นนั้นจริงๆค่ะ) Res.1284 ฉบับนี้ยังเรียกร้องคณะผู้ตรวจสอบอาวุธชุดใหม่UNMOVICและIAEA สรุปรายงานรายการของอาุวุธต้องห้ามที่ยังไม่ถูกกำจัดหรือทำลายภายในเวลา 60วัน เพื่อว่าอิรักจะได้เข้าใจถึงบทบาทของตัวเองว่าจะต้องทำอะไรบ้างเพื่อให้ เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ยูเอ็นต้องการ แล้วเกิดอะไรขึ้นคะทีนี้? อิรัคปฏิเสธ Res.1284 ฉบับนี้ ค่ะ.. หากยังจำกันได้เมื่อตอนที่ประธานาธิบดีบุชกล่าวสุนทรพจน์ในปี 2002 และยกให้อิรักภายใต้ซัดดัมเป็นหนึ่งในสมาชิก "อักษะแห่งความชั่วร้าย" ร่วมกับอิหร่านและเกาหลีเหนือซึ่งก็ไม่ผิดจากความจริงแต่ประการใดนักยกเว้นกลุ่มที่ต่อต้านอเมริกาและคณะรัฐบาลบุชอย่างสุดโต่งเท่านั้นถึงจะมองตรงข้ามอย่างขวางหูขวางตา จริงๆคำกล่าวของบุชนี่ในทางการมืองแล้วถือว่าเป็นการทำสงครามจิตวิทยาักับพวกเผด็จการโดยตรงเลยล่ะค่ะ เพราะหลังจากนั้นเพียงเดือนเดียวเจ้าหน้าที่ของอิรักก็รีบแจ้นมาพบกับ Secretary-general Annan และ UNMOVIC Executive Chairman Blix เพื่อถกกันเรื่องการตรวจสอบอาวุธอิรักเป็นครั้งแรกหลังจากปี1998 แต่เจ้าหน้าที่ยูเอ็นล้มเหลวในการเจรจาครั้งนี้ค่ะในการที่จะนำ inspectorsกลับเข้าไปในอิรักคืนรวมไปถึงความล้มเหลวในการเจรจากับอิรักที่เกิดขึ้นในเดือนพฤษภาและกรกฏาปีเดียวกัน(2002)ด้วยเพราะอิรักสร้างเงื่อนไขไว้เยอะมากค่ะพูดง่ายๆก็คือต้องการเล่นแง่เพื่อยืดระยะเวลาออกไปเท่านั้นเอง . หลังจากการเจรจาที่ล้มเหลวของยูเอ็นประธานาธิบดีบุชได้กล่าวสุนทรพจน์ที่ UN อีกครั้งเรียกร้องให้ UN ปฏิบัติตามบังคับใช้มติที่ตัวเองออกมาให้ได้ผลอย่างมีประสิทธิภาพสำหรับการปลดอาวุธอิรักพูดง่ายๆก็คืออย่าออก Res.มาเพียงเพื่อเป็นการเขียนเสือให้วัวกลัวเท่านั้นและอเมริกาก็ส่งสัญญาณให้กับยูเอ็นอย่างชัดเจนว่าหากยูเอ็นยังคงละล้าละลังไม่ปฏิบัติตามมติที่ตัวเองออกมาอย่างจริงจังอเมริกาจะทำเอง (The United States will..) หลังจากที่บุชได้กล่าวสุนทรพจน์ที่UNเพียงไม่กี่วันจากนั้นทางแบกแดดประกาศว่าจะยอมให้ inspectors กลับคืนเข้ามาในอิรักอีกครั้งอย่างไม่มีเงื่อนไข (หากอิรักมีความจริงใจในการปลดอาวุธจริงทำไมไม่ยอมตั้งแต่แรก) อิรักและเจ้าหน้าที่ยูเอ็นตกลงกันที่จะเจรจาในเรื่องการกลับเข้ามาของ inspectors อีกครั้ง. อเมริกาเตือนยูเอ็นว่าอิรักเพียงต้องการถ่วงเวลาออกไปเรื่อยๆเท่านั้นเองอย่างไรก็ตามอเมริกาได้นำเสนอแนวทางในการแก้ปัญหาใหม่โดยเสนอมติสหประชาชาติฉบับใหม่(to declare Iraq in material breach of its obligation to disarm) ที่เรียกร้องให้อิรักยอมให้ weapons inspectors เข้าไปตรวจได้ทุกๆไซท์ที่ต้องสงสัยในการเก็บอาวุธต้องห้ามอย่างอิสระไม่มีเงื่อนไขและอนุมัติให้ใช้กำลังทางทหารได้หากอิรักไม่ปฏิบัติตาม.. second U.N. resolution ฉบับใหม่นี้ได้รับการสนับสนุนจากอเมริกา อังกฤษ บุลแกเรียและสเปนแต่ก็ถูก ฝรั่งเศส รัสเซียและจีนวีโต้กลับไม่ผ่านอเมริกาจึงถอน resolution ฉบับใหม่นี้กลับคืนและสงครามในการโค่นล้มซัดดัมจึงเริ่มต้นขึ้นและผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายเคยกล่าวด้วยค่ะว่าอเมริกามี legal support เพียงพอในการใช้กองกำลังทางทหารบุกอิรักเพื่อโค่นซัดดัมในครั้งนี้ซึ่งวางอยู่บนพื้นฐานresolution 1441และ อีกสอง resolution ก่อนหน้านี้คือ Res.678 ซึ่งอนุมัติให้ใช้กำลังทางทหารกับอิรักได้และ Res. 687 ซึ่งกล่าวถึงเงื่อนไขการหยุดยิง เมื่อสิ้นสุด 1991 Gulf War อิรักไม่เคยปฏิบัติตามเงื่อนไขที่เขียนไว้ในข้อตกลงหยุดยิงที่อิรักเป็นผู้ลงนามเลยดังนั้นการใช้ "force" จึงถูกต้องตามกระบวนการทางกฏหมายด้วยประการทั้งปวงค่ะ สภาความมั่นคงของสหประชาชาติมีหน้าที่ "รักษาสันติภาพ" และเรียกร้องความช่วยเหลือจากประเทศสมาชิกให้ส่งกำลังไปช่วย ถ้าหากมีความจำเป็นในการรักษาสันติภาพคณะมนตรีนี้ประกอบด้วยสมาชิกถาวร (Permanent members) 5 ประเทศ คือ จีน ฝรั่งเศส สหภาพโซเวียต อังกฤษ และสหรัฐฯ และสมาชิกไม่ถาวร (Non-permanent members) อีก 10 ประเทศ สมาชิกถาวรมีสิทธิ์ยับยั้ง คือป้องกันการกระทำของสภาความมั่นคงเมื่อประเทศสมาชิกถาวรไม่เห็นด้วย องค์การสหประชาชาติ เหมือนเช่นกันกับ "สันนิบาตชาติ" ในอดีต ในบางกรณีคือไม่มีทางใดทำให้ประเทศมหาอำนาจทำงานร่วมมือกันได้ค่ะ นอกจากว่าประเทศมหาอำนาจประเทศนั้นๆต้องการทำด้วยความสมัครใจบางทีคุณค่าจริงๆ ของสหประชาชาติก็คือเป็น"เวทีของการอภิปรายเท่านั้นเอง" ยกตัวอย่างเช่น เมื่อครั้งอดีตประธานาธิบดีบิล คลินตันและ NATO ต้องการใช้กำลังทหารเข้าไปแทรกแซงในโคโซโวนั้นถูกคัดค้านอย่างหนักจากรัสเซียที่ยืนกรานว่าจะวีโต้ทุกๆ resolution ที่ออกมาทั้งที่ความขัดแย้งก็เป็นหตุให้คนตายไปเรื่อยๆเหมือนดังเช่นที่ฝรั่งเศสประกาศไว้นั่นล่ะค่ะว่าจะใช้สิทธิวีโต้สำหรับสงครามอิรักในครั้งนี้ ดังนั้นการใช้กำลังทหารเข้าไปแทรกแซงในโคโซโวของอเมริกาภายใต้คลินตันนั้นจึงปราศจากการอนุมัติของยูเอ็นเช่นกันค่ะ แต่กลับไม่มีสื่อลิเบอร์รัลมีเดีย(ซึ่งเป็นพวกเดียวกับเดโมแครต) หรือสื่อในยุโรปอย่าง BBC เรียกว่าเป็นสงครามที่ผิดกฏหมายเลย   มันแปลกค่ะในเมื่อหลายคนใช้มาตรฐานการอนุัมัติของยูเอ็นเข้าตัดสินถึงความถูกต้องชอบธรรมของสงครามอิรักในครั้งนี้ การใช้กำลังทหารเข้าไปแทรกแซงในโคโซโว ของนาโตก็ควรจะใช้มาตรฐานเดียวกัน จะว่าไปแล้วในกรณีของ Bosnia นั้นเกิดสงครามมานานแล้ว แต่ยูเอ็นก็ไม่ขยับเลยค่ะ ไม่รู้ยูเอ็นมัวไปทำอะไรอยู่ ก่อนหน้านี้ทำอะไรกันอยู่ก็ไม่ทราบนะคะก่อนจะส่งทหารเข้าไปช่วย หรืออย่างในกรณีของรวันด้าก็เช่นกัน French intervention in Rawanda นั้นก็ปราศจากการอนุัมัติของยูเอ็นเช่นกันค่ะแต่ทั้งรวันด้าและโคโซโวทำไมพวกต่อต้านสงครามอิรัคถึงไม่บอกว่าเป็นการกระทำที่ิผิดกฏฺหมาย? มันแปลกดีค่ะ  อย่างนี้เรียกว่าทำตัวสองมาตรฐานก็คงจะไม่ผิด รายละเอียดเกี่ยวกับการอนุมัติของยูเอ็นตั้งแต่ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมานี่ยังมีอีกเยอะค่ะที่จะนำมาโต้แย้ง กลุ่มนักกฏหมายหัวเสรีนิยมที่ต่อต้่านสงครามอิรัคเรียกให้ถูกก็คือไม่ได้ต่อต้านสงครามอิรัคหรอกค่ะแต่ต่อต้านรัฐบาลบุชมากกว่า  ทั้งในรวันด้าประชาชนถูกสังหารและฆ่าล้างเผ่าพันธ์ ในโคโซโว ประชาชนถูกสังหารและฆ่าล้างเผ่าพันธ์ ในอิรัก ประชาชนถูกสังหารและฆ่าล้างเผ่าพันธ์ เช่นกัน ทั้งสงครามในรวันด้า สงครามในโคโซโวและสงครามอิรักนั้นต่างก็ไม่ได้รับการอนุัมัติจากยูเอ็นเช่นกันค่ะ แก้ไขเมื่อ 16 ม.ค. 49 23:23:26 จากคุณ : เอื้องอัยราวัณ - [ 16 ม.ค. 49 22:54:30 ]

ความคิดเห็นที่ 5 เคยโพสต์ไว้นานแล้ว ช่วงสงครามอ่าวรอบสอง จริงๆ ต้องย้อนหลังไปตั้งแต่ตอนที่พรรคบาธของซัดดัมขึ้นมามีอำนาจเลยครับ ขอลำดับขั้นตอนการก้าวสู่อำนาจของซัดดัมสั้นๆ อย่างนี้ก่อนนะครับ - 1937 ซัดดัม ผู้ฉายแววแห่งความโหดเหี้ยมของกาหลิบอัซซัฟฟาฮฺและอัลมันศูรแห่งมหานครแบกแดดในครั้งอดีต ลืมตาขึ้นมาดูโลก - ทศวรรษที่ 1940 พรรคบาอัษ (หรือบาธ ตามที่ฝรั่งเรียก) ก่อตั้งขึ้น  ซัดดัมเข้าร่วมพรรคนี้ในเวลาต่อมา พรรคบาธมีแนวคิดชาตินิยมอาหรับค่อนข้างรุนแรง - 1956 เข้าร่วมในการรัฐประหารปี 1956 เพื่อล้มกษัตริย์วงศ์ฮาชิไมท์ที่มีอังกฤษหนุนหลัง แต่ไม่สำเร็จ - 1958 กษัตริย์วงศ์ฮาชิไมท์ถูกโค่นล้มจนได้ โดยอับดุลการีม กอเซ็ม ที่มีหัวโน้มเอียงไปทางโซเวียต - 1963 พรรคบาธเข้ายึดอำนาจ ซัดดัมเดินทางกลับบ้าน แต่หนึ่งเดือนหลังจากนั้นพรรคบาธก็ถูกฝ่ายปฏิปักษ์โค่นล้ม - 1968 พรรคบาธได้ครอบครองอิรัคอย่างถาวร หลังจากพลัดกันรุกและรับกับฝ่ายปฏิปักษ์หลายครั้ง ปรากฏว่า อะหมัด ฮัซซัน บากิร ได้เป็นประธานาธิบดี   -  1979 ซัดดัมได้ขึ้นเป็นประธานาธิบดีอิรัค ต่อจากอะหมัด บากิร - 1980 อิรัคบุกอิหร่าน เพราะอยากได้คาบสมุทรชัต อัลอรับ แต่การรบยืดเยื้ออยู่ 8 ปี แล้วอิรัคก็เซ็นต์สัญญาสงบศึกโดยไม่ได้อะไร - 1990 อิรัคบุกคูเวต ที่กล่าวมาเป็นข้อมูลพื้นๆครับ ลองดูลึกๆ ซิครับว่ามีอะไรลึกๆเกิดอะไรขึ้นบ้างในเหตุการณ์เหล่านั้น 1. ความสัมพันธ์ระหว่างซัดดัมและพรรคบาธ กับอเมริกา - จากบทสัมภาษณ์ของ James Akins (ซึ่งเคยประจำอยู่ที่สถานทูตอเมริกาในอิรัคระหว่างปี 1963-1965 ต่อมาได้เป็นทูตอเมริกาประจำซาอุดิอราเบีย) สรุปได้ว่า หลังจากที่มีการล้มระบบกษัตริย์ (ที่สนับสนุนตะวันตก) ในปี 1958 แล้ว นายกอิรัคชื่ออับดุลการีม กอเซ็ม ก็นำอิรัคเข้าไปซบอกโซเวียต ความช่วยเหลือจำนวนมากจากโซเวียตเข้าสู่อิรัค อเมริกาเริ่มมีความระแวงว่าในที่สุดอิรัคจะเป็นคอมมิวนิสต์ “และนั่นมันก็ทำให้เรา(อเมริกา)ต้องตัดสินใจกระทำการสิ่งใดสิ่งหนึ่งลงไป (ด้วยการสนับสนุนพรรคบาธ !) “ พรรคบาธซึ่งแม้ในที่สุดจะเผยโฉมให้เห็นความเป็นเผด็จการ แต่สำหรับอเมริกาตอนนั้น กลับมองว่าเป็นพรรคที่เป็นทั้งประชาธิปไตย เซคคิวลาร์ และสังคมนิยม และคนในกระทรวงต่างประเทศอเมริกาจำนวนมากคิดอย่างนั้น ดังนั้นเมื่อพรรคนี้ก้าวขึ้นสู่อำนาจ “ จึงเป็นที่พอใจของเรา(อเมริกา) อย่างมาก คอมมิวนิสต์ถูกปราบปราม ผู้คนจำนวนมากถูกประหารชีวิต ดูเหมือนว่ามันจะเป็นพัฒนาการครั้งสำคัญ ความสัมพันธ์ระหว่างอเมริกากับอิรัคเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ ถึงการมีการแลกเปลี่ยนทูตไปประจำ แต่ก่อนที่มันจะชัดเจน ผม (James Akins) ก็ย้ายไปประจำที่อื่นในปี 1965 - บทสัมภาษณ์ของ Dr. Ahmad Chalabi ผู้นำกลุ่มต่อต้านซัดดัม (the Iraqi National Congress) สรุปได้ว่า อเมริกากลัวว่าคอมมิวนิสต์จะขึ้นมาอำนาจในอิรัค อเมริกาจึงติดต่อกับเจ้าหน้าที่ของพรรคบาธ ที่อเมริกาเห็นว่าเป็นองค์กรชาตินิยมที่เหมาะสมในการต่อกรกับแนวคิดมากซิสซ์ในโลกอาหรับและโลกที่สาม อเมริกาช่วยเหลือพรรคนี้ในทุกๆทาง พวกเขาได้รับอนุญาตให้เคลื่อนไหวในประเทศอาหรับที่อเมริกามีอิทธิพลอยู่ ไม่ว่าในเลบานอน ในอียิปต์ ถึงขั้นที่ว่า พวกนี้สามารถเคลื่อนไหวเรียกร้องให้มีการกำจัดบุคคลที่เป็นคอมมิวนิสต์ ซึ่งพวกเขามีรายชื่ออยู่ 1,600 คน ผ่านทางสถานีวิทยุแห่งหนึ่ง บุคคลที่มีบทบาทอย่างสูงในองค์กรนี้ขณะนั้นก็คือ ซัดดัม ซึ่งขณะนั้นอยู่ที่ไคโร แม้จะไม่ชัดเจนว่าอเมริกามีบทบาทมากน้อยเพียงใดในการปฏิวัติของพรรคบาธในปี 1968 แต่ชัดเจนมากตอนปฏิวัติครั้งแรกในปี 1963 ดูเหมือนว่านโยบายของอเมริกาต่ออิสราเอล จะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างอเมริกากับอิรัคไม่ราบรื่นนัก ปรากฏว่าในเดือน ก.พ. 1968 หกเดือนก่อนการปฏิวัติ ผู้นำพรรคบาธคนหนึ่งได้เข้าพบกับนายทหารอิสราเอลในอังกฤษ พร้อมกับยื่นข้อเสนอว่าถ้าอิสราอลสนับสนุนการปฏิวัติครั้งนี้ อิรัคจะถอนทหารออกจากจอร์แดน ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริงๆหลังปฏิวัติสำเร็จ - บทสัมภาษณ์ของ SAID K. Aburich (นักเขียนชีวประวัติกี่ยวกับซัดดัม ในหนังสือ Saddam Hussein: The Politics of Revenge เขาเคยคลุกคลีในวงในกับรัฐบาลอิรัค แม้แต่กับซัดดัมเอง เดินทางไปมาระหว่างตะวันตกกับอิรัค เพื่อทำธุรกิจค้าอาวุธ) สรุปได้ว่า ตอนที่ลี้ภัยอยู่ในอียิปต์ ซัดดัมติดต่อกับสถานทูตอเมริกาหลายครั้ง ถึงขั้นที่ว่าหน่วยราชการลับอียิปต์เคยห้ามปรามเขา จุดประสงค์ของซัดดัมก็คือเพื่อร่วมมือกับอเมริกาในการโค่นล้มรัฐบาลของอับดุลการีม กอเซ็ม อเมริกาเกี่ยวข้องกับการปฏิวัติของพรรคบาธในปี 1963 อย่างชัดเจน มีหลักฐานที่ชี้ให้เห็นว่า CIA ติดต่อกับเจ้าหน้าที่ทหารของพรรคบาธ มีการตั้งศูนย์บัญชาการในคูเวตเพื่อวางแผนและสั่งการในช่วงปฏิวัติ CIA ได้มอบรายชื่อของพวกหัวซ้ายในอิรัคแก่พรรคบาธเพื่อให้กำจัด มีผู้คนกว่า 700 คนถูกจับกุมและสังหาร หลังการปฏิวัติสำเร็จ จากคุณ : โมเสส - [ 16 ม.ค. 49 23:17:26 ]

ความคิดเห็นที่ 6 2. อเมริกาอยู่เบื้องหลังการตัดสินใจบุกอิหร่านของซัดดัมมากน้อยเพียงใด ? - จากบทสัมภาษณ์ของ James Akins (ซึ่งเคยประจำอยู่ที่สถานทูตอเมริกาในอิรัคระหว่างปี 1963-1965 ต่อมาได้เป็นทูตอเมริกาประจำซาอุดิอราเบีย) สรุปได้ว่า การโค่นล้มอำนาจของชาห์แห่งอิหร่านทำให้ดุลยภาพแห่งอำนาจในตะวันออกกลางเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง อเมริกาเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ อเมริกามีรายงานที่น่าเชื่อถือว่าเกิดความระส่ำระสายในอิหร่านตอนที่มีการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ ทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจและการทหาร ทหารหนีทัพและผู้เข้ามารับช่วงต่อก็เป็นเด็กหนุ่มๆที่ขาดประสบการณ์ รายงานฉบับดังกล่าวถูกส่งไปยังซาอุดิอราเบีย ซึ่งกลัวว่าอิทธิพลของมุลลอฮฺในอิหร่านจะแผ่มายังซาอุ มีผู้คนจำนวนมากเชื่อว่าซาอุดิอราเบียได้มอบรายงานดังกล่าวไปให้ซัดดัม แต่ทางซาอุดิก็ไม่ได้บอกอะไรเราเกี่ยวกับเรื่องนี้ และทางการอิรัคก็ไม่เคยบอกเราว่าซาอุมอบรายงานดังกล่าวให้หรือไม่ แต่ถึงแม้ว่าเขาได้อ่านรายงานนั้นหรือไม่ ซัดดัมก็คงมีข้อสรุปอยู่ในใจของตนเองแล้วว่าเขาควรบุกอิรัคหรือไม่ - บทสัมภาษณ์ของ SAID K. Aburich (นักเขียนชีวประวัติกี่ยวกับซัดดัม ในหนังสือ Saddam Hussein: The Politics of Revenge เขาเคยคลุกคลีในวงในกับรัฐบาลอิรัค แม้แต่กับซัดดัมเอง เดินทางไปมาระหว่างตะวันตกกับอิรัค เพื่อทำธุรกิจค้าอาวุธ) สรุปได้ว่า ก่อนเริ่มสงครามกับอิหร่าน ซัดดัมเดินทางไปยังชาติอาหรับหลายประเทศ รวมถึงจอร์แดน ที่มีหลักฐานน่าเชื่อว่าเขาได้พบกับเจ้าหน้าที่ CIA ที่กษัตริย์ฮุซเซ็นแนะนำให้รู้จัก ไม่เป็นที่สงสัยเลยว่าหัวข้อที่ถกเถียงกันระหว่างซัดดัมกับกษัตริย์ฮุซเซ็นก็คือแผนการบุกอิหร่าน หลังจากนั้นแล้วซัดดัมก็บินไปซาอุ แล้วต่อที่คูเวต ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมซัดดัมถึงไปที่สามชาตินี้ เพราะทั้งสามชาติสนิทสนมกับอเมริกา การได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากชาติน้ำมันเหล่านี้ และการสนับสนุนทางด้านอาวุธจากชาติตะวันตกและอเมริกาโดยผ่านสามชาตินี้ ขณะที่อิหร่านมีลิเบียกับซีเรียเป็นพันธมิตร สองชาติไม่อาจจะจัดหาอาวุธจากตะวันตกสนับสนุนได้ และหลังจากนั้น การตัดสินใจบุกอิหร่านก็เริ่มขึ้น Howard Teicher เจ้าหน้าที่ NSC (the National Security Council) ช่วงปี 1982 –1987 กล่าวว่า รัฐบาลอเมริกันให้การสนับสนุนอิรัคอย่างไม่เปิดเผย “William Casey ผู้อำนวยการ CIA เป็นหัวหอกในการดำเนินความพยายามเพื่อให้แน่ใจว่าอิรัคจะมีอาวุธ การส่งกำลังบำรุง และยานพาหนะที่เพียงพอเพื่อหลีกเลี่ยงความสูญเสียในสงครามอิหร่าน-อิรัค สิ่งที่อเมริกาสนับสนุนก็คือการให้เครดิตทางการเงินและข่าวกรอง ขณะเดียวกันก็ประสานกับประเทศที่สามในการขายอาวุธแก่อิรัค เพื่อให้แน่ใจว่าอิรัคจะมีอาวุธตามที่ต้องการ อเมริกายังได้เคยให้คำแนะนำทางด้านการวางแผนยุทธศาสตร์การรบ เช่นในปี 1986 เรแกนได้ส่งสาร์สถึงซัดดัมโดยผ่านประธานาธิบดีมุบารัคแห่งอียิปต์ แนะนำให้อิรัคเพิ่มการโจมตีทางอากาศต่ออิหร่าน ยังมีข้อเสนอแนะทำนองนี้อีกหลายครั้งส่งไปยังซัดดัมโดยผ่านผู้นำชาติตะวันตกและอาหรับที่พบกับซัดดัม” “ผมเคยเข้าประชุมครั้งหนึ่ง ซึ่ง Casey ผอ.ซีไอเอได้บันทึกรายการอาวุธที่อิรัคต้องการ เช่น คลัสเตอร์บอมบ์ และอาวุธที่จะยับยั้งการแทรกซึมของอิหร่าน Casey ถึงกับเคยยืนกรานว่าคลัสเตอร์บอมบ์จะเป็นอาวุธที่สมบูรณ์แบบที่อิรัคจะสามารถยับยั้งคลื่นมนุษย์ของทหารอิหร่านที่บุกเข้ามาได้ “ ในสมัยของบุชผู้พ่อ การช่วยเหลือในรูปของการให้เครดิตทางการเงินแก่อิรัค ดำเนินการโดยผ่าน Bank of Credit and Commerce International (BCCI), และ the Banca Nacional del Lavoro (BNL) โดยการค้ำประกันของรัฐบาลอเมริกัน “อาวุธส่วนใหญ่ที่ซัดดัมได้รับจากตะวันตกไม่ได้เป็นเพียงอาวุธธรรมดาๆ หากแต่เป็นอาวุธที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง คอมพิวเตอร์ เฮลิคอบเตอร์ อาวุธเคมี ฯลฯ เรารู้ว่าเครือข่ายบริษัทค้าอาวุธต่างๆ ทั้งที่อยู่ในอเมริกาและต่างประเทศ ต่างกระตือรือร้นในการขายอาวุธให้ซัดดัม จนกระทั่งถึงเดือนสิงหาคม 1990 ตอนที่ซัดดัมบุกคูเวตนั่นแหละ การช่วยเหลือจึงหยุดลง” “และเรารู้ว่า ธนาคารแห่งหนึ่งในแอตแลนตา ซึ่งเป็นธนาคารสาขาของ Banca Nacional del Lavoro ธนาคารที่ใหญ่ที่สุดของอิตาลี ได้ใช้ เงินกู้ที่ค้ำประกันโดยรัฐบาลสหรัฐ เพื่อช่วยเหลืออิรัคเป็นจำนวนเงินถึง 5 พันล้านดอลลาร์ ระหว่างปี 1985-1989 ดูเหมือนว่าเงินกู้บางส่วนที่รัฐบาลค้ำประกัน มีจุดประสงค์เพื่อช่วยเหลืออิรัคทางด้านการเกษตร แต่มันถูกนำไปใช้ซื้อเครื่องจักรกล ไม่ใช่เมล็ดพันธุ์พืช ทั้ง ธนาคารกลางและกระทรวงเกษตรต่างเตือนถึงการจัดซื้อในทางที่ผิดๆของอิรัค ดูเหมือนว่าชาวอเมริกันต้องกลายเป็นหนี้ เพราะการค้ำประกันเงินกู้ของรัฐบาลอเมริกัน ที่ในที่สุดกลายเป็นหนี้สูญให้กับอิรัคเป็นเงินถึง 2 พันล้านดอลลาร์” Russ W. Baker ซึ่งพยายามสืบสาวหาความจริงเกี่ยวกับปฏิบัติการนี้ ได้เขียนใน Colombia Journalism Review (CJR) ฉบับเดือน March/April เขาเรียกมันว่า Iraq gate นอกจากอาวุธธรรมดาแล้ว อเมริกายังเป็นผู้ส่งอาวุธเคมีและเชื้อโรครายสำคัญแก่อิรัค จากคุณ : โมเสส - [ 16 ม.ค. 49 23:19:52 ]

ความคิดเห็นที่ 7 3. ซัดดัมถูกหลอกให้บุกคูเวต ! ฮาๆๆๆๆ หลังสงครามอิหร่าน-อิรัค ความสัมพันธ์ระหว่างอเมริกากับอิรัคก็ยังคงมีอย่างต่อเนื่อง การจัดส่งเทคโนโลยีและอาวุธยังดำเนินอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งก่อนปี 1990 ไม่นาน นโยบายต่ออิรัคของอเมริกาก็กลับเปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือ เริ่มมีการพูดถึงการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่อิรัคก่อขึ้นต่อชาวเคอร์ด มีการระงับเครดิตที่ปล่อยให้รัฐบาลอิรัค รวมทั้งการเปิดเผยแผนพัฒนาอาวุธหลายชนิดของอิรัค รวมถึงปืนใหญ่มหากาฬที่ตั้งอยู่บนภูเขาในตอนกลางของอิรัค มีการยึดอุปกรณ์สำหรับการพัฒนาอาวุธที่กำลังจะจัดส่งไปให้อิรัคในยุโรป ลองติดตามดูความเคลื่อนไหวของทั้งอเมริกาและอิรัคก่อนที่ซัดดัมจะตัดสินใจบุกคูเวตซิครับ - 28 เมษายน 1990 วุฒิสมาชิกโดล เยือนอิรัคในวันครบรอบวันเกิดของซัดดัม พร้อมทั้งชี้แจงว่าภาพพจน์ของซัดดัมที่กำลังเลวร้ายลงในสายตาของตะวันตกเป็นผลมาจากการโหมโรงที่ผิดพลาดของสื่อ ซึ่งมันสามารถแก้ไขได้ด้วยนโยบายการสร้างความสัมพันธ์ - 21 ก.ค. 1990 ซัดดัมสั่งเคลื่อนพล 30,000 คนพร้อมรถถังประชิดชายแดนคูเวต เขาโกรธเคืองที่คูเวตผลิตน้ำมันเกินโควต้าที่โอเปคกำหนด ทำให้ราคาน้ำมันถูกลง ขณะนั้นอิรัคต้องการรายได้จากน้ำมันเพื่อใช้ในการบูรณะประเทศหลังสงคราม - 25 ก.ค. 1990 April Glaspie ทูตอเมริกาประจำอิรัคเข้าพบซัดดัม แสดงความเห็นใจต่ออิรัคที่ต้องการให้ราคาน้ำมันสูงขึ้น เพื่อนำเงินมาบูรณะประเทศ แต่เธอกลับไม่มีความเห็นต่อความขัดแย้งด้านพรมแดนและน้ำมันที่กำลังเกิดขึ้นระหว่างอิรัคกับคูเวต เป็นท่าทีที่แตกต่างโดยสิ้นเชิงกับท่าทีของประธานาธิบดีมุบารัคแห่งอียิปต์ ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าว พยายามอย่างยิ่งยวดที่จะเข้ามาไกล่เกลี่ยความขัดแย้ง - วันเดียวกัน กระทรวงต่างประเทศ สั่งระงับการถ่ายทอดเสียงผ่าน the Voice of America ในบทความที่ระบุว่า อเมริกามีพันธะสัญญาอย่างแรงกล้าที่จะสนับสนุนมิตรประเทศของอเมริกาในอ่าวเปอร์เซีย” - 31 ก.ค. 1990 John Kelly รมช.ต่างประเทศอเมริกากล่าวที่รัฐสภาว่า อเมริกาไม่ได้มีพันธะสัญญาหรือข้อตกลงใดๆว่าจะต้องปกป้องคูเวต คำกล่าวของเขาถูกถ่ายทอดผ่าน BBC เช่นกัน ซึ่งรับฟังได้ที่แบกแดด ซึ่งความขัดแย้งระหว่างอิรัคกับคูเวตกำลังจะระเบิดเต็มทน ไม่แปลกใจเลยว่าซัดดัมจะคิดอย่างไร หากได้ยินคำกล่าวเช่นนี้ - 1 ส.ค. 1990 หนึ่งวันหลังคำกล่าวของ John Kelly CIA พบว่าทหารอิรัคเคลื่อนพล 100,000 คนประชิดชายแดนคูเวต ทั้ง CIA และหน่วยข่างกรองของกระทรวงกลาโหม (DIA) ยืนยันแล้วว่าซัดดัมกำลังจะบุกคูเวต แต่รัฐบาลของบุชกลับไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ในวันนั้น ตัวแทนทั้งของฝ่ายอิรัคและคูเวตกำลังเจรจากันอยู่ที่เจดดะห์ ซาอุดิอราเบีย แต่การเจรจาล้มเหลว นักวิจารณ์บางคนเห็นว่าความล้มเหลวเกิดจากข้อเสนอของอิรัคที่ต้องการให้คูเวตปฏิบัติตามข้อเรียกร้องของตนทุกประการ และดูเหมือนว่าฝ่ายอิรัคประสงค์จะให้การเจรจานั้นล้มเหลว ขณะที่บางคนวิเคราะห์ว่าความล้มเหลวเกิดจากความหยิ่งยะโส และท่าทีที่เมินเฉยของฝ่ายคูเวต ทำให้ตัวแทนของฝ่ายอิรัควอลก์เอาต์ออกจาที่ประชุม - หลังเที่ยงคืนของวันที่ 2 ส.ค. 1990 กองทัพรถถังของอิรัคก็เคลื่อนเข้าสู่พรมแดนของคูเวต มีคำถามที่ยังเป็นข้อข้องใจมาจนถึงบัดนี้ว่า ท่าทีของอเมริกาที่เกิดขึ้นในช่วงดังกล่าว เป็นเพราะการประเมินสถานการณ์ที่ผิดพลาดของรัฐบาลบุชผู้พ่อ หรือเป็นความจงใจที่จะหลอกล่อ สมคบคิดกัน (the conspiracy theory) ให้ซัดดัมบุกอิรัค เพื่อที่อเมริกาจะสามารถแผ่อำนาจเข้าไปในตะวันออกกลาง ผู้ที่มีความเห็นอย่างหลังนี้ก็เช่น Agee 1990, Emery 1991, Frank 1991, Yousif in Bresheeth and Yuval-Duvis 1991, and Becker in Clark et al. 1992 แต่เมื่อดูจากผลของสงครามอ่าว ที่ทำให้อเมริกาสามารถเข้าไปสถาปนาฐานทัพทั้งในซาอุดิ คูเวตและกาตาร์ ทั้งๆที่มันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในช่วงสงครามเย็น ก็ทำให้ทฤษฎงทฤษฎีสมคบคิด conspiracy ค่อนข้างสมเหตุสมผลพอสมควร ลองมาดูทางซัดดัมบ้างนะครับ ว่าเขาคิดอย่างไรตอนที่จะบุกคูเวต Said K. Aburich (เคยคลุกคลีอยู่ในวงการรัฐบาลอิรัค เป็นตัวแทนในการติดต่อซื้อขายอาวุธของซัดดัม รวมทั้งเข้าร่วมในแผนการจัดหาอาวุธนิวเคลียร์ของซัดดัม) เล่าให้เราฟังว่า หลังสงครามกับอิหร่าน ไม่มีใครรู้ว่าซัดดัมทำให้อิรัคติดหนี้ต่างชาติอยู่เป็นจำนวนเท่าใด ประมาณกันว่าอยู่ราวๆ 65-100 พันล้านเหรียญ ซึ่งก็มากโขอยู่ เขาบอกชาวอิรัคว่าเขาเป็นผู้ชนะสงคราม ชาวอิรัคต้องการเห็นผลที่ได้จากการชนะสงครามซึ่งเขาไม่สามารถสนองตอบได้ เขาพยายามหันเข้าหาชาติอาหรับ ซาอุดิและคูเวต เพื่อช่วเหลือในแผนฟื้นฟู แต่ทั้งสองชาติกลับเฉยเมย ยิ่งไปกว่านั้น มีการเปลี่ยนแปลงในนโยบายต่างประเทศของอเมริกา แทนที่จะสนับสนุนเขา ปล่อยเงินกู้ให้อิรัค กลับกล่าวโจมตีการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้นในอิรัค มีการกล่าวถึงหนทางที่จะสนับสนุนชาวเคอร์ด รวมทั้งการสอบสวนสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต ชาติในยุโรปก็ดูเหมือนจะสนองตอบอย่างทันทีทันใดกับนโยบายที่เปลี่ยนไปของอเมริกา มีการจับอุปกรณ์ที่จะผลิต the supergun ( อภิมหาปืนใหญ่ –ขอเรียกอย่างนี้แล้วกัน) ในหลายๆประเทศพร้อมกัน ซัดดัมรู้สึกว่ากำลังถูกกดดัน เขาคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องที่บังเอิญ ตะวันตกรู้ว่าเขากำลังอ่อนแอ และนี่มันก็เป็นโอกาสที่จะทำให้เขายิ่งอ่อนแอต่อไปหรือแม้แต่โค่นล้มเขา เขาบอกยัสเซอร์ อราฟัต และมุบารัคว่ามันเป็นการสมคบคิดกันต่อต้านอิรัค เขาเชื่อในทฤษีการสมคบคิด และเขาก็เชื่อว่าสิ่งที่เขากำลังต่อสู้เป็นการสมคบคิด ซัดดัมเคยคาดคิดถึงปฏิกิริยาตอบโต้จากอเมริกาหรือไม่ ? Said K. Aburish บอกว่า ไม่ เขาไม่คาดว่าอเมริกาจะมีปฏิกิริยาต่อการบุกคูเวตของเขาเช่นนั้น เขาวิเคราะห์สถานการณ์ด้วยตนเอง ตอนที่เขาพบปะกับ April Glaspie ทูตอเมริกาประจำแบกแดด ท่าทีของเธอทำให้ซัดดัมเชื่อว่านั่นเป็นสัญญาณไฟเขียวให้อิรัคบุกคูเวตได้ แน่นอน นั่นเป็นสิ่งที่ชี้ให้เห็นถึงความด้อยการศึกษาของเขา มันเป็นไปไม่ได้ที่อเมริกาจะยินยอมให้คนอย่างซัดดัมครอบครองและควบคุมราคาน้ำมันในตะวันออกกลางได้ มันเป็นไปไม่ได้ แก้ไขเมื่อ 16 ม.ค. 49 23:26:25 จากคุณ : โมเสส - [ 16 ม.ค. 49 23:20:47 ]

ความคิดเห็นที่ 8 สภาความมั่นคงของสหประชาชาติมีหน้าที่ "รักษาสันติภาพ" และเรียกร้องความช่วยเหลือจากประเทศสมาชิกให้ส่งกำลังไปช่วย ถ้าหากมีความจำเป็นในการรักษาสันติภาพคณะมนตรีนี้ประกอบด้วยสมาชิกถาวร (Permanent members) 5 ประเทศ คือ จีน ฝรั่งเศส สหภาพโซเวียต อังกฤษ และสหรัฐฯ และสมาชิกไม่ถาวร (Non-permanent members) อีก 10 ประเทศ สมาชิกถาวรมีสิทธิ์ยับยั้ง คือป้องกันการกระทำของสภาความมั่นคงเมื่อประเทศสมาชิกถาวรไม่เห็นด้วย องค์การสหประชาชาติ เหมือนเช่นกันกับ "สันนิบาตชาติ" ในอดีต ในบางกรณีคือไม่มีทางใดทำให้ประเทศมหาอำนาจทำงานร่วมมือกันได้ค่ะ นอกจากว่าประเทศมหาอำนาจประเทศนั้นๆต้องการทำด้วยความสมัครใจบางทีคุณค่าจริงๆ ของสหประชาชาติก็คือเป็น"เวทีของการอภิปรายเท่านั้นเอง" ยกตัวอย่างเช่น เมื่อครั้งอดีตประธานาธิบดีบิล คลินตันและ NATO ต้องการใช้กำลังทหารเข้าไปแทรกแซงในโคโซโวนั้นถูกคัดค้านอย่างหนักจากรัสเซียที่ยืนกรานว่าจะวีโต้ทุกๆ resolution ที่ออกมาทั้งที่ความขัดแย้งก็เป็นหตุให้คนตายไปเรื่อยๆเหมือนดังเช่นที่ฝรั่งเศสประกาศไว้นั่นล่ะค่ะว่าจะใช้สิทธิวีโต้สำหรับสงครามอิรักในครั้งนี้ ดังนั้นการใช้กำลังทหารเข้าไปแทรกแซงในโคโซโวของอเมริกาภายใต้คลินตันนั้นจึงปราศจากการอนุมัติของยูเอ็นเช่นกันค่ะ แต่กลับไม่มีสื่อลิเบอร์รัลมีเดีย(ซึ่งเป็นพวกเดียวกับเดโมแครต) หรือสื่อในยุโรปอย่าง BBC เรียกว่าเป็นสงครามที่ผิดกฏหมายเลย   มันแปลกค่ะในเมื่อหลายคนใช้มาตรฐานการอนุัมัติของยูเอ็นเข้าตัดสินถึงความถูกต้องชอบธรรมของสงครามอิรักในครั้งนี้ การใช้กำลังทหารเข้าไปแทรกแซงในโคโซโว ของนาโตก็ควรจะใช้มาตรฐานเดียวกัน จะว่าไปแล้วในกรณีของ Bosnia นั้นเกิดสงครามมานานแล้ว แต่ยูเอ็นก็ไม่ขยับเลยค่ะ ไม่รู้ยูเอ็นมัวไปทำอะไรอยู่ ก่อนหน้านี้ทำอะไรกันอยู่ก็ไม่ทราบนะคะก่อนจะส่งทหารเข้าไปช่วย หรืออย่างในกรณีของรวันด้าก็เช่นกัน French intervention in Rawanda นั้นก็ปราศจากการอนุัมัติของยูเอ็นเช่นกันค่ะแต่ทั้งรวันด้าและโคโซโวทำไมพวกต่อต้านสงครามอิรัคถึงไม่บอกว่าเป็นการกระทำที่ิผิดกฏฺหมาย? มันแปลกดีค่ะ  อย่างนี้เรียกว่าทำตัวสองมาตรฐานก็คงจะไม่ผิด รายละเอียดเกี่ยวกับการอนุมัติของยูเอ็นตั้งแต่ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมานี่ยังมีอีกเยอะค่ะที่จะนำมาโต้แย้ง กลุ่มนักกฏหมายหัวเสรีนิยมที่ต่อต้่านสงครามอิรัคเรียกให้ถูกก็คือไม่ได้ต่อต้านสงครามอิรัคหรอกค่ะแต่ต่อต้านรัฐบาลบุชมากกว่า  ทั้งในรวันด้าประชาชนถูกสังหารและฆ่าล้างเผ่าพันธ์ ในโคโซโว ประชาชนถูกสังหารและฆ่าล้างเผ่าพันธ์ ในอิรัก ประชาชนถูกสังหารและฆ่าล้างเผ่าพันธ์ เช่นกัน ทั้งสงครามในรวันด้า สงครามในโคโซโวและสงครามอิรักนั้นต่างก็ไม่ได้รับการอนุัมัติจากยูเอ็นเช่นกันค่ะ จากคุณ : เอื้องอัยราวัณ - [ 16 ม.ค. 49 23:22:14 ]

ความคิดเห็นที่ 9 4 จริงหรือไม่ที่ทีมคณะผู้ตรวจสอบอาวุธในอิรัคเต็มไปด้วย CIA ? อิรัคทำท่ายึกยักตลอดกับคณะผู้ตรวจสอบอาวุธของ UN จนดูเหมือนว่า ภารกิจนี้จะไม่มีที่สิ้นสุด และการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่ออิรัคที่ดำเนินมานับสิบปีก็ยังคงดำเนินต่อไปเป็นเหตุให้เด็กๆชาวอิรัคเกือบล้านต้องเสียชีวิตลงเนื่องจากขาดเวชภัณท์ ยารักษาโรค ทำไมอิรัคถึงมีพฤติกรรมเช่นนั้น หรือมีใครต้องการให้อิรัคต้องแสดงพฤติกรรมเช่นนั้น ? Rolf Ek้us อดีตหัวหน้าคณะผู้ตรวจสอบอาวุธในอิรัคระหว่างปี 1991-1997 เป็นผู้ให้คำตอบนี้ได้ดีที่สุด เขาระบุว่าเป้าหมายของคณะฯ ก็คือการตรวจสอบว่าอิรัคพยายามซุกซ่อน หรือผลิตอาวุธที่มีอาณุภาพทำลายล้างสูงหรือไม่ หรืออยู่ในฐานะที่จะเป็นผู้ครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ เคมีและอาวุธชีวภาพได้หรือไม่ ในบทสัมภาษณ์ที่ให้ไว้กับ Radio 3 ของสวีเดน เขายอมรับอย่างเปิดเผย(แน่มาก) ว่าอเมริกาพยายามให้คณะของเขาเป็นสปายให้ เขาบอกว่า ทีมของเขาพยายามที่จะปลีกหนีจากแรงกดดันต่างๆของประเทศสมาชิกที่มีบทบาทใน UN โดยเฉพาะอเมริกา ซึ่งเขาพบว่าพยายามจะแทรกซึมสายลับเข้าไปในทีมของเขา “ผมคิดเสมอมาว่าลูกน้องทุกคนในทีมของผมเป็นคนซื่อสัตย์ แต่จริงแล้วไม่ ผมรู้ในภายหลังว่าลูกน้อง 2 คนที่ซื่อสัตย์มากที่สุดนั้น จริงๆแล้วเป็น CIA เราถูกแทรกซึม และรู้สึกขุ่นเขือง เมื่อทราบเรื่องนี้” Ek้us ยังได้กล่าวหาอเมริกาว่าเข้ามาจุ้นจ้านให้คณะของเขาปฏิบัติหน้าที่ที่เกินเลยขอบเขตของอำนาจหน้าที่ เป็นต้นว่า พยายามตรวจสอบที่อยู่ของซัดดัม รวมทั้งการสืบค้นความลับเกี่ยวกับอาวุธสงครามทั่วไปของอิรัค “อเมริกาต้องการยุแหย่อิรัค ด้วยการให้เราสืบค้นสถานที่ต่างๆเป็นต้นว่า ที่ทำการรัฐบาลที่สำคัญๆ และสถานที่ทางประวัติศาสตร์ อเมริกาทกให้งานของ UN ในอิรัคมีภัยคุกคาม และทำให้รัฐบาลอิรัคระแวงสงสัย” จาก CIA agents posed as "UN inspectors" in Iraq by Frank in Stockholm Wednesday, July 31, 2002 ด้วยเหตุนี้ จึงไม่แปลกเลย ที่เราจะพบทางสื่อว่าอิรัคพยายามปกปิดและไม่ยอมให้ความร่วมมือในการตรวจสอบของคณะผู้ตรวจสอบอาวุธ (อย่างที่อเมริกาต้องการให้เป็น) ! จากคุณ : โมเสส - [ 16 ม.ค. 49 23:24:49 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ***สำหรับรายละเอียดเกี่ยวกับการอภิปรายในยูเอ็นเรื่องสงครามอิรัคที่เอื้องนำมาลงในความเห็นที่ 4 นั้นเอื้องนำมาจาก "รายงานของยูเอ็นโดยตรง" ค่ะคุณ KazeNoPrism มิได้นำมาจากบทความของนักคอลัมนิสต์คนใดคนหนึ่ง จากคุณ : เอื้องอัยราวัณ - [ 16 ม.ค. 49 23:32:01 ]

ความคิดเห็นที่ 11 5-โกหกคำโตของอเมริกาเกี่ยวกับอิรัค (ซึ่งตอนนี้ ความจริงก็ปรากฏออกมาให้เห็นแล้ว) 1. การที่ชาวอิรัคนับล้านคน( ครึ่งหนึ่งเป็นเด็ก) ต้องตายลงในช่วงที่มีการคว่ำบาตร เป็นเพราะซัดดัมละเลยหรือจงใจให้เป็นเช่นนั้น ทั้งๆที่ UN อนุญาตให้มีการขายน้ำมันบางส่วนเพื่อมนุษยธรรมแล้ว แต่ซัดดัมกลับเอาเงินนั้นไปซื้ออาวุธ แทนที่จะซื้ออาหาร ความจริงก็คือ เงินทั้งหมดที่ได้จากการขายน้ำมัน ถูกจัดสรรโดยคณะผู้ตรวจสอบของ UN เกือบ 40 % ถูกใช้ในการซ่อมบำรุงและค่าใช้จ่ายของเจ้าหน้าที่ UN นอกจากนี้ ปัญหาจากการที่อเมริกามักจะหน่วงเหนี่ยวสินค้า ซึ่งบางทีเรื่องง่ายๆ ก็ต้องผ่านขั้นตอนการตรวจนับเดือน ทำให้อาหารเหล่านั้นเสียหายจำนวนมาก เป็นเวลาเกือบสิบปี ที่อเมริกาสั่งห้ามการขายคลอไรน์ ซึ่งจำเป็นต่อระบบสาธารณูปโภค เช่น การประปา อุปกรณ์ผลิตไฟฟ้า และการชลประทาน แม้แต่ดินสอสำหรับนักเรียนก็ถูกสั่งห้าม จนกระทั่งว่า ทาง EU คัดค้านมาตรการดังกล่าวและตำหนิอเมริกา ล่าสุดตอนที่ราคาน้ำมันสูงขึ้นเมื่อสองปีที่แล้ว รายได้จากการขายน้ำมันของอิรัคเพิ่มสูงขึ้นเป็น 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งในจำนวนนี้ 35 % ถูกจัดสรรให้แก่ UN ที่เหลือคือ 2.6 พันล้านดอลลาร์จึงถูกมอบแก่รัฐบาลอิรัค ซึ่งมีประชากร 20 ล้านคน นั่นหมายความว่า ชาวอิรัคแต่ละคนจะได้รับเงินจากการขายน้ำมันนี้ 130 ดอลลาร์/คน/ปี หรือ 36 เซนต์/คน/วัน สำหรับอาหารและยารักษาโรค ! แน่นอนว่าชาวอิรัคต้องการบูรณะระบบการเกษตรและการขนส่งเพื่อเลี้ยงตนเอง แต่มันถูกสกัดกั้นไว้โดยอเมริกา 2. อิรัคไม่ยอมให้อเมริกาและ UN ตรวจสอบอาวุธที่อานุภาพร้ายแรง นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้อเมริกาต้องถล่มอิรัค ความจริงก็คือ อิรัคยอมให้คณะผู้ตรวจสอบอาวุธเข้าไปตรวจนับครั้งไม่ถ้วน ตั้งแต่ปี 1991 –1998 แต่อเมริกาก็ยังคงไม่ยินยอมให้มีการยกเลิกมติคว่ำบาตร Scott Ritter อดีตเจ้าหน้าที่ผู้ตรวจสอบของ UN ยอมรับว่า อาวุธที่มีอานุภาพร้ายแรงของอิรัคถูกทำลายจนหมดสิ้นแล้วนับตั้งแต่ปี 1996 http://europe.cnn.com/2001/WORLD/meast/02/18/iraq.airstrike/index.html แต่แล้วในปี 1998 อเมริกากลับเรียกร้องในสิ่งที่เกินเลยออกไป นั่นคือขอตรวจสอบข้อมูลส่วนบุคคลของเจ้าหน้าที่รัฐบาล ซึ่งทำให้อิรัคมองเห็นว่าความต้องการที่ไม่สิ้นสุดของอเมริกา ไม่อาจจะทำให้การคว่ำบาตรถูกยกเลิกไปได้ หากเราย้อนหลังกลับไปดูเรื่องนี้ ในปี 1998 จะเห็นว่า อเมริกานั่นแหละที่เป็นตัวปัญหาต่อการตรวจสอบอาวุธ เหตุผลสำคัญที่อิรัคปฏิเสธคณะผู้ตรวจสอบ หลังจากที่ยอมให้เข้าไปตรวจสอบและทำลายมานานร่วม 8 ปี ก็คือว่า CIA ได้แทรกซึมเข้าไปในคณะผู้ตรวจสอบอาวุธ ลองดูพาดหัวข้อข่าว 3 ข่าว ในปี 1999 นะครับ เขาว่าอย่างไร the New York Times reported (1/7/99) “เจ้าหน้าที่รัฐบาลอเมริกันกล่าววันนี้ว่า สายลับอเมริกันได้แทรกซึมเข้าไปทำงานร่วมกับทีมผู้ตรวจสอบอาวุธของ UN” the Washington Post (3/2/99) “อเมริกาส่งสายลับและเครื่องมือในการจารกรรมเข้าไปในทีมงานของ UN ถึง 3 ปี โดยที่ UN ไม่ทราบเรื่องดังกล่าวเลย” the Boston Globe (1/6/99). ”จากแหล่งข่าวทั้งของอเมริกาและ UN ชี้ให้เห็นว่า สายลับของอเมริกาที่แฝงตัวอยู่ในทีม พยายามแทรกซึมเข้าไปในหน่วยงานต่างๆของรัฐบาลอิรัค และพยายามติดตามความเคลื่อนไหวของซัดดัม” แม้ทำเนียบขาวและ CIA จะปฏิเสธเรื่องดังกล่าว เจ้าหน้าที่ UNSCOM ที่ถูกกล่าวหากลับออกมายอมรับ และกล่าวว่า “ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า มันเป็นเรื่องปัญญาอ่อน หากจะเชื่อว่าอเมริกาหรือรัฐบาลอื่นๆ ไม่ได้ใช้โอกาสที่คณะผู้ตรวจสอบอาวุธเข้าไปในอิรัค เพื่อล้วงความลับของประเทศที่ซึ่งก่อสงครามอ่าวในปี 1991 ขึ้นมา และประเทศนี้ก็ยังตั้งประจัญหน้ากับกองทัพของอเมริกาและอังกฤษอยู่จนทุกวันนี้ “USA Today reported (3/3/99). หนำซ้ำ อเมริกายังได้ใช้ ข้อมูลที่คณะผู้ตรวจสอบอาวุธได้รับในการกำหนดเป้าหมายโจมตี ตอนที่อเมริกาบอมบ์อิรัคเมื่อเดือนธันวาคม 1998 อีกด้วย ..........อเมริกาต่างหาที่ทำให้การตรวจสอบอาวุธของทีม UNSCOM ไม่ได้รับความเชื่อถือจากอิรัค ..........และปัญหาของเรื่องก็คือ “อเมริกา” นั่นเอง 3. UN เป็นผู้กำหนดให้มีการคว่ำบาตรต่ออิรัค ขณะที่อเมริกาเป็นผู้ปฏิบัติตามมติของ UN ความจริงก็คือ เกือบทุกประเทศในโลกต้องการให้มีการยกเลิกการคว่ำบาตรที่ไม่เกี่ยวข้องกับทางทหารต่ออิรัค แต่เพราะการใช้สิทธิวีโต้ของอเมริกาที่ทำให้ข้อเสนอดังกล่าวต้องตกไป หลายประเทศเริ่มถกเถียงถึงบทบาทของ UN ในกรณีนี้ เพราะมันทำให้ UN ต้องแปดเปื้อนไปกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนครั้งใหญ่หลวง ไม่มีใครต้องการการคว่ำบาตรที่โหดเหี้ยมและรุนแรง มีผลทำให้ผู้คนต้องล้มตายมากมายเช่นนี้ (โดยเฉพาะในโลกที่เจริญแล้วอย่างทุกวันนี้) International War Crimes Tribunal United States War Crimes Against Iraq http://deoxy.org/wc/warcrim2.htm#7 จากคุณ : โมเสส - [ 16 ม.ค. 49 23:33:55 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ความจริงที่ปรากฏหลังสงคราม - อิรัคไม่ได้มีอาวุธร้ายแรงแต่อย่างใด แถมมีข่าวฉาวโฉ่เมื่อไม่นานมานี้ ที่ CAI กุข้อมูลเพื่อเป็นข้ออ้าง จริงๆ CIA คือแพะของบุชมากกว่า ปัจจุบัน ผลพวงจากการยึดครองของอเมริกา ทำให้อิรัคกลายเป็นสวรรค์สำหรับพวกผู้ก่อการร้าย น้ำมัน ซึ่งเป็นเศรษฐกิจสำคัญของอิรัคถูกครอบงำโดยบริษัทน้ำมันอเมริกา สงครามกลางเมืองที่ไม่มีทีท่าว่าจะสิ้นสุด ทำให้ผู้คนล้มตายนับหมื่นคน และอเมริกาต้องคงกำลังนับแสนไว้อยู่ต่อไป ดูรายละเอียดเพิ่มเติมทั้งบทสัมภาษณ์ผู้ที่เกี่ยวข้องและชีวประวัติใน http://www.pbs.org/wgbh/pages/frontline/shows/saddam/ http://www.gseis.ucla.edu/faculty/kellner/papers/gulfwar1.htm http://www.pbs.org/wgbh/pages/frontline/shows/unscom/interviews/gellman.html http://www.media-criticism.com/Washington_Post_UNSCOM_1999.html แก้ไขเมื่อ 16 ม.ค. 49 23:47:42 จากคุณ : โมเสส - [ 16 ม.ค. 49 23:39:52 ]

ความคิดเห็นที่ 13 อ้อ..ลืมรูป จากคุณ : โมเสส - [ 16 ม.ค. 49 23:50:28 ]

ความคิดเห็นที่ 14 5555+++ บังโมตกเป็นเหยื่อของ Liberal Media สื่อฐานันดรสี่ในอเมริกา แล้วค่ะ(หลักฐานในความคิดเห็นที่ 12 .. อิอิ) อย่างที่เอื้องพูดไว้ในความคิดเห็นที่ 2 เด๊ะเลยอ่ะ... เอิ๊กๆๆ จากคุณ : เอื้องอัยราวัณ - [ 16 ม.ค. 49 23:51:25 ]

ความคิดเห็นที่ 15 แล้วไม่ทราบว่า เพาเวลล์ไปแถลงอ้างหลักฐานจะบุกอิรัค ที่ UN หาหอกอะไรหละครับ ? มติ UN ที่อเมริกาพยายามผลักดัน ก็เฉพาะให้อิรัคยอมให้คณะตรวจสอบอาวุธเข้าไปตรวจไม่ใช่หรือครับ  ซึ่งจนปัจจุบันนี้ อเมริกาก็ยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าอิรัคมีอาวุธร้ายแรงที่ว่า การบุกอิรัคก็ทำให้อิรัคกลายเป็นแหล่งฝึกฝนของฝ่ายต่อต้าน ระบบเผด็จการซัดดัมนั้น ในกระทู้นี้ก็ชัดเจนว่าอเมริกาเคยเป็นผู้สนับสนุน และที่สำคัญ เสถียรภาพในตะวันออกกลางปัจจุบัน หมายถึง ราคาน้ำมันที่แพงสูงขึ้นและกำไรที่กอบโกยมหาศาลโดยบริษัทพวกพ้องของบุชหรือครับ ? แก้ไขเมื่อ 17 ม.ค. 49 00:11:25 จากคุณ : โมเสส (โมเสส) - [ 17 ม.ค. 49 00:07:02 ]

ความคิดเห็นที่ 16 Scott Ritter อดีตเจ้าหน้าที่ผู้ตรวจสอบของ UN ที่ให้สัมภาษณ์ CNNยุโรปที่บังนำมาลงในความเห็นที่ 11 น่ะมีชะนักปักหลังอยู่นะบัง รายงานใหม่ของยูเอ็นเค้าก็ออกมาแล้วค่ะว่าการคว่ำบาตรและ Oil For Food program นี่เปิดโอกาสให้มีการคอรัปชั่นในยูเอ็นขนาดไหน คณะกรรมการสอบสวนอิสระของสหประชาชาติ (ยูเอ็น) เผยรายงานชิ้นใหม่ระบุมีบริษัทราว 2,200 แห่งทั่วโลกพัวพันการติดสินบนโครงการน้ำมันแลกอาหารในอิรักทำให้อดีตรัฐบาลซัดดัม ฮุสเซน โกยเงินเข้ากระเป๋าถึง 1,800 ล้านดอลลาร์ ซัดดัมรวยเละมีเงินถุงเงินถังค่ะ มีเงินไปติดสินบนประเทศในยูเอ็นหลายๆประเทศให้โหวตเข้าข้างตัวเองในที่ประชุม Security council มองๆไปแล้วเห็นมีแต่ความล้มเหลวจะรอให้ซัดดัมแก่ตายไปรึก็เจอนายอุเดย์ ลูกชายซึ่งซาดิสต์เสียยิ่งกว่าผู้พ่ออีกยิ่งมองก็ยิ่งเห็นแต่ว่ามัน'doom'ค่ะ แค่เหตุผลนี้อันเดียวก็ Justify war แล้วไม่ต้องมองไปถึงว่าจะ spread democracy หรอกเพราะ Bloood for oil ตัวจริงเีสียงจริงเริ่มแย้มๆออกมาแล้วค่ะเอื้องขอยกตัวอย่างรายชื่อแค่สองสามชื่อนะคะเพราะถ้าให้เขียนหมดหนึ่งนี่หน้ากระดาษก็ไม่พอค่ะ เริ่มที่คนนี้เลยค่ะ 1. Scott Ritter อดีตหัวหน้าผู้ตรวจสอบอาวุธยูเอ็น (ในความคิดเห็นที่ 11 ที่บังโมอ้างอิงมาจากสื่อ Liberal media .. อิอิ) แปลกใจรึเปล่าคะบังโมว่ามีชื่อคนนี้คนที่โจมตีประธานาธิบดีบุชตลอดเวลานั้นได้รับเงินล็อตแรกเป็นจำนวนถึง 40,000  เลยทีเดียว ยังมีรายละเอียดการติดสินบนของ Scott Ritter อีกเยอะค่ะเดี๋ยวจะค่อยๆทยอยนำมาเสนอนะคะ 2. บุคคลที่สองคือหัวหน้าโครงการน้ำมันแลกอาหารได้รับเงินจากอดีตประธานาธิบดีซัดดัม ฮุสเซ็นไปหลายล้านเลยทีเดียวและอีกคนหนึ่งคือฌอง แบร์นาร์ เมริเม อดีตเอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำยูเอ็น( French Ambassador to the UN) และชาร์ลส์ ปาสกา อดีตรัฐมนตรีมหาดไทยฝรั่งเศสที่ได้รับเงินจากซัดดัมฮุสเซ็น และ 3. George Gallowayนักการเมืองชาวอังกฤษ(มีภรรยาเป็นชาวปาเลสไตน์) ที่ออกมาด่าอเมริกาด้วยความร้อนตัวได้รับเงินจากซัดดัม ฮุสเซ็นไปหลายล้านเลยทีเดียว รายงานหนา 500 หน้าฉบับดังกล่าวระบุว่า บริษัทที่เกี่ยวข้องกับการจ่ายค่าธรรมเนียมผิดกฎหมาย หรือยัดเงินใต้โต๊ะให้กับรัฐบาลซัดดัม มาจาก 66 ประเทศ ซึ่งรวมถึงบริษัทยักษ์ใหญ่ใน รัสเซีย ฝรั่งเศส เยอรมนี และสวิตเซอร์แลนด์ โดยรัสเซียมีการทำสัญญาซื้อน้ำมันทั้งที่ถูกและผิดกฎหมายจากอิรักมากที่สุด เป็นจำนวน 19,300 ล้านดอลลาร์ หรือราวร้อยละ 30 ของน้ำมันที่ขายทั้งหมด ภายใต้โครงการนี้ อิรักขายน้ำมันได้รวมเป็นเงิน 64,200 ล้านดอลลาร์ ให้กับ 248 บริษัท ในจำนวนนี้มี 139 บริษัทที่จ่ายค่าเซอร์ชาร์จผิดกฎหมาย ส่วนราว 3,614 บริษัทที่ขายสินค้าเพื่อมนุษยธรรมให้กับอิรักเป็นเงินทั้งหมด 34,500 ล้านดอลลาร์ มีบริษัทที่จ่ายสินบนให้กับซัดดัม 2,253 บริษัท จึงไม่แปลกเลยค่ะที่กลุ่มคนเหล่านี้ออกมาต้านสงครามปฏิญาณตนว่าจะเอาตัวเข้าเป็นโล่ห์บังกระสุนแต่เอื้องก็ไม่เห็นเหล่าผู้กล้าที่กล่าวไว้ก่อนสงครามจะเริ่มแม้แต่คนเดียวกระทำในอย่างที่ตนได้พูดไว้ค่ะและที่สำคัญลูกชายนายโคฟี อันนันเองนั่นแหละค่ะที่ทุจริตในโครงการน้ำมันแลกอาหาร..หุหุหุ ยังจะมีความจริงที่ปรากฏออกมาเรื่อยๆค่ะบังโมเพียงแต่ว่าบังโมอย่าตกข่าวสารหรือละเลยข้อเท็จจริงเป็นพอ เหมือนอย่างที่รายงานของ Duelfer สรุปในตอนท้ายค่ะว่า "Saddam wanted to end sanctions while preserving the capability to reconstitute his weapons of mass destruction when sanctions were lifted" เห็นรึเปล่าคะบังโม Liberal Media น่ะอ่านได้แต่อย่าเชื่อหมดยึดคำขวัญวันเด็กของท่านนายกฯไว้ค่ะว่า "อยากฉลาด ต้องขยันอ่าน ขยันคิด" 5555+++ จากคุณ : เอื้องอัยราวัณ - [ 17 ม.ค. 49 04:39:17 ]

ความคิดเห็นที่ 17 "แล้วไม่ทราบว่า เพาเวลล์ไปแถลงอ้างหลักฐานจะบุกอิรัค ที่ UN หาหอกอะไรหละครับ ? มติ UN ที่อเมริกาพยายามผลักดัน ก็เฉพาะให้อิรัคยอมให้คณะตรวจสอบอาวุธเข้าไปตรวจไม่ใช่หรือครับ  ซึ่งจนปัจจุบันนี้ อเมริกาก็ยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าอิรัคมีอาวุธร้ายแรงที่ว่า" บังโมพูดเพราะจังเลยค่ะ โมโห อารมณ์เสียมาจากไหนเหรอบัง? จาตอบดีมั๊ยเนี่ยะ?!? ขอคิดดูก่อน!!  อืมม ... ตอบให้ก็แล้วกัน พระพยอมท่านเคยพูดไว้ว่า "โกรธคือโง่โมโหคือบ้า"  นะบัง เอ เอื้องกำลังคุยกับคนบ้าอยู่หรือเปล่าเนี่ย? 5555+( ล้อเล่นค่ะ) ....  ตอบหน่อยดีกว่าเดี๋ยวคนแก่จาน้อยใจ...อิอิ ที่  Scott Ritter ให้สัมภาษณ์ว่า " Scott Ritter อดีตเจ้าหน้าที่ผู้ตรวจสอบของ UN ยอมรับว่า อาวุธที่มีอานุภาพร้ายแรงของอิรัคถูกทำลายจนหมดสิ้นแล้วนับตั้งแต่ปี 1996 " ในคห. ที่11นั้น คำให้สัมภาษณ์ของ Scott Ritter นี้ก็ขัดกับความเป็นจริงค่ะเพราะว่า หากซัดดัมทำลายอาวุธที่มีอานุภาพร้ายแรงจนหมดสิ้นแล้วนับตั้งแต่ปี 1996 อย่างที่ Scott Ritterให้สัมภาษณ์ คำถามมีอยู่ว่า: ไฉนองค์การสหประชาชาติ(UN) ก็ยังเชื่อว่าซัดดัมยังคงครอบครองอาวุธเหล่านั้นไว้? ด้วยเหตุนี้ค่ะคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาตินั้นจึงยินยอมพร้อมใจกันออก Res.1441 (อย่าลืมนะคะว่า Res. 1441 ออกก่อนส่ามเดือนก่อนสงครามอิรักจะเริ่มขึ้นสงครามอิรัคเริ่มในปี 2003 นะคะเดือนมีนาคม) และยอมรับในเนื้อหาของมติฉบับนี้ด้วยคะแนนเสียงเป็นเอกฉันท์ 15-0 และยังกล่าวด้วยว่า "..ภัยคุกคามอันเนื่องมาจากอิรักภายใต้ซัดดัม ฮุสเซ็นที่ไม่ยินยอมให้ความร่วมมือกับ council resolutions, ข้อกำหนดการแพร่ขยายอาวุธที่มีอำนาจทำลายล้างสูงและจรวดขีปนาวุธพิสัยไกลได้ทำให้อิรักเป็นภัยคุกคามต่อสันติภาพและความมั่นคง..." นี่คือคำพูดของคณะมนตรีความมั่นคงเองค่ะ....คณะมนตรีความมั่นคงออกมติฉบับนี้มาทำไมหากเชื่อว่าซัดดัมปลดอาวุธหมดแล้ว? หลักฐานก็เห็นอยู่ทนโท่คือ "Res. 1441" แต่พวกกลุ่มต่อต้านบุช กลับทำตัว "เอาหูไปนา เอาตาไปไร่" ซะอย่างนั้นและพยายามจะ rewrite history เรื่อง WMD นั้นไม่ใช่เพียงแค่บุชเท่านั้นที่คิดว่าซัดดัมมี  WMD คลินตันเองก็เชื่อว่าซัดดัมมีอาวุธร้ายแรงเหล่านั้นเช่นกันและคลินตันยังกล่าวเองด้วยว่าซัดดัมเป็นภัยคุกคามกับอเมริกาหรือแม้แต่**องค์การสหประชาชาติ(UN)**ก็ยังเชื่อว่าซัดดัมยังคงครอบครองอาวุธเหล่านั้นไว้เพราะว่าตัวเค้าเองไม่เคยให้รายละเอียดเกี่ยวกับรายงานที่บ่งบอกว่าเกิดอะไรขึ้นกับ"รายการอาวุธที่ยังไม่มีในบันทึกที่มอบให้กับยูเอ็นที่ยูเอ็นร้องขอนี่จึงเป็นที่มาของคำกล่าวที่ว่าเหตุผลเรื่อง WMD นั้นไม่ใช่เป็นเรื่อง"the presence of WMD"แต่เป็นเรื่องของ"the absence of evidence" ที่เป็นพื้นฐานของข้อใหญ่ใจความในรายละเอียดที่แสดงอยู่ใน"มติยูเอ็นที่ 1441(Resolution 1441)" และก็เป็นระยะเวลาถึง 12 ปีที่ยูเอ็นเรียกร้องให้ซัดดัมปลดอาวุธและยื่นรายงานเกี่ยวกับ "unaccounted weapons" ต่อเจ้าหน้าที่ตรวจสอบอาวุธของยูเอ็นและเนื่องจากการไม่ให้ความร่วมมือของซัดดัมเองและการละเมิดต่อมติยูเอ็นหลายๆฉบับของอิรัก....ด้วยเหตุนี้เองนี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้หลายๆคนเชื่อว่าอิรักภายใต้ซัดดัมยังคงมีอาวุธร้ายไว้ในครอบครอง แม้กระทั่ง "Iraqi Kurds" ในอิรักเองก็ยังเชื่อว่าซัดดัมมีอาวุธร้ายแรงเหล่านั้น...ก่อนที่สงครามอิรักจะเริ่มขึ้นในครั้งนี้นั้นมีเด็กและผู้หญิงชาวเคิร์ดจำนวนมากมายได้อพยพมุ่งหน้าขึ้นภูเขาเพราะกลัวว่าซัดดัมอาจจะใช้อาวุธเคมีตอบโต้อเมริกาและบรรดาพันธมิตรรวมไปถึงชาวเคิร์ดที่ช่วยในการสู้รบครั้งนี้ด้วย.... Res. 1441 ออกก่อนส่ามเดือนก่อนสงครามอิรักจะเริ่มขึ้น  สงครามอิรัคเริ่มในเดือน มีนาคมปี 2003 นะคะ Scott Ritter บอกว่าอาวุธที่มีอานุภาพร้ายแรงของอิรัคถูกทำลายจนหมดสิ้นแล้วนับตั้งแต่ปี 1996 จึงตลกสิ้นดีและเป็นการพูดไม่ตรงตามข้อเท็จจริง และนี่คือคำพูดของ Jacques Chirac ผู้ซึ่งต่อต้านนสงครามอิรัคตัวยงแต่ฝรั่งเศสก็เป็นหนึ่งในชาติที่ยกมือสนับสนุน Res. 1441 รวมไปถึงรัสเซีย จีนและเยอรมนีด้วย "...Baghdad's regime เคยใช้อาวุธทำลายล้างสูงมาแล้วในอดีต...กว่าช่วงสี่ปีที่ผ่านมา หลังจากที่ไม่มี international inspectors คอยตรวจสอบอาวุธในอิรัค ปัจจุบันนี้มีหลักฐานมากมายที่นำไปสู่ความคิดที่ว่าประเทศอิรัคได้ดำเนินการพัฒนากำลังทางทหารและอาวุธอย่างต่อเนื่อง" -- Jacques Chirac, October 16, 2002   ดังนั้นการที่บังโมมากล่าวหาว่าอเมริกาใช้ข้ออ้างเรื่อง WMD หลอกลวงชาวโลกจึงจึงเป็นการจงใจมองข้ามข้อเท็จจริงโดยสิ้นเชิงค่ะ... ถ้าหากว่าอเมริกาหลอกลวงเรื่อง WMD แล้ว UN ที่มี รัสเซีย จีนและเยอรมนีต่อต้านสงครามอิรัคก็ต้องหลอกลงชาวโลกด้วยเช่นกันค่ะหากใครที่กล่าวโทษแต่อเมริกาเพียงประเทศเดียวนั่นแสดงว่าความมีอคติอยู่เหนือเหตุผลแล้วแถมยังแสดงให้เห็นถึงความเป็นสองมาตรฐานด้วย .. จริงมั๊ยคะบังโม? แก้ไขเมื่อ 17 ม.ค. 49 07:13:17 แก้ไขเมื่อ 17 ม.ค. 49 06:14:36 จากคุณ : เอื้องอัยราวัณ - [ 17 ม.ค. 49 05:11:09 ]

ความคิดเห็นที่ 18 "การบุกอิรัคก็ทำให้อิรัคกลายเป็นแหล่งฝึกฝนของฝ่ายต่อต้าน" จริงๆแล้วอิรัคและพรรคบาธภายใต้ซัดดัมนี่ให้ที่พักพิงแก่ Zarqawi ก่อนที่สงครามอิรัคจะเริ่มขึ้นแล้วนะบังโม และต่อไปนี้เป็น Relevant facts (พอสังเขปยังไม่ใช่รายละเอียด) เกี่ยวกับ การสนับสนุนการก่อการร้ายของอิรักภายใต้ผู้นำอย่างซัดดัม ฮุสเซ็นซึ่งเป็นหนึ่งในเหตุผลที่บุชใช้บุกอิรัค ** เมื่อวันที่ 28 เดือนมีนาคม 2535 หน่วยข่าวกรองของอิรักได้รวบรวมเอกสาร 20 หน้าที่บันทึกรายชื่อของพวกผู้ก่อการร้ายที่รัฐบาลซัดดัมพิจราณาแล้วว่าเป็น* intelligence assets* ส่วนบนของแต่ละหน้าในรายงานฉบับนั้นได้มีการเขียนกำกับไว้ว่าเป็นเอกสารลับสุดยอด หรือ "Top Secret." ในหน้าที่14ของเอกสารฉบับนี้นั้นมีรายชื่อของศัตรูหมายเลขหนึ่งของอเมริกาคือ โอซามา บินลาเดนนั่นเองรายงานของหน่วยข่าวกรองอิรักในเอกสารฉบับนี้นั้นยังได้ระบุอีกว่า "..บินลาเดนมีความสัมพันธ์อันดีกับฝ่ายความร่วมมือของเราในซีเรีย "..แปลกใจรึเปล่าคะว่าทำไมถึงไปโยงกับซีเรียได้ถ้าหากหลายคนรู้ถึงประวัติความเป็นมาของพรรคบาธแล้วจะเข้าใจว่าพรรคบาธของซัดดัมฮุสเซ็นกับกลุ่ม Barth Partyในซีเรียนั้นก็คือพี่น้องเรือนร่างเดียวกันนั่นเอง เพราะพรรคบาธนั้น (The Baath Party) ถูกก่อตั้งขึ้นในช่วงต้นปี1940sโดยนักศึกษาชาวซีเรียสองคนคือ Michel Aflaq และ Salah ad Din al Bitar นั่นเองค่ะและปัจจุบันบาธในซีเรียและบาธของซัดดัมก็ยังคงร่วมอุดมการณ์เดียวกันอยู่มีิติการมองการเมืองที่เหมือนกัน และเอกสารฉบับนั้นก็ถูกตรวจสอบและลงนามโดย Defense Intelligence Agency ความมีอยู่ของเอกสารฉบับนี้ ** ซัดดัม ฮุสเซ็นทำหน้าที่เป็นเจ้าภาพจัดประชุมสำหรับกลุ่มก่อการร้ายในแบกแดดอย่างสม่ำเสมอตลอดระยะเวลาในช่วงปี 1990s. Mark Fineman ยังได้รายงานถึงการประชุมนั้นในครั้งนี้ในบทความของเค้าเมื่อวันที่ 26 มกราคมปี 2536 ว่า ผู้เข้าร่วมประชุมส่วนใหญ่เป็นตัวแทนจากองค์กร Islamic organizations on Earth Mark ได้เขียนในบทความของเค้าอีกว่า "...อาฟกันมูจาฮีดีน(นักรบศักดิ์สิทธิ์), Palestinian militants, Sudanese fundamentalists, และ Islamic Brotherhood Pakistan's Party of Islam." ได้เข้าร่วมในการประชุมกลุ่มก่อการร้ายอย่างเป็นทางการในครั้งนี้ด้วย ซึ่งมีผู้พูดในที่ประชุมคนหนึ่งได้กล่าวสรรเสริญซัดดัมฮุสเซ็นว่า: "...มูจาฮิดซัดดัม ฮุสเซ็นผู้นำอันทรงพลังของประเทศอิรักได้กระทำความกล้าหาญในการต่อต้านพวกนอกศาสนาพวกไม่เชื่อในองค์อัลเลาะห์มุสลิมทุกๆคนมีหน้าที่ๆจะต้องทำคือต่อต้านสหรัฐอเมริกา " ค่ะมาดูว่าอัล ซอวาฮิรีย์ ผู้นำอันดับที่ 2 ของอัลกออิดะห์รองจากมือขวาของ บิน ลาดินกล่าวกับประชาชนชาวอเมริกันและกลุ่มพันธมิตรว่าอย่างไรบ้าง: ไอมาน อัล ซอวาฮิรีย์ได้กล่าวเรียกร้องให้หนุ่มสาวมุสลิมทั่วโลกลุกขึ้นต่อสู้กับสหรัฐฯและพันธมิตรเหมือนกับการต่อต้านในอิรัก อัฟกานิสถาน ปาเลสไตน์ ตลอดจนในดินแดนเชชเนีย ถึงแม้นว่าบรรดาแกนนำของอัลกออิดะห์ บินลาเดนจะมอดม้วยมรณาหรือถูกจับตัวไปก็ตาม "... เราไม่ควรรอจนกระทั่งกองทัพ สหรัฐ อังกฤษ ฝรั่งเศส ยิว เกาหลีใต้ อังการี โปแลนด์บุกเข้าอียิปต์ คาบสมุทรอาหรับ เยเมน และอัลจีเรีย ก่อนที่เราจะลุกขึ้นต่อต้าน ..." "...พวกเราจงลุกขึ้นกันต่อสู้บัดนี้ ผลประโยชน์ของสหรัฐฯ อังกฤษ ออสเตรเลีย ฝรั่งเศส โปแลนด์ นอร์เวย์ เกาหลีใต้ และญี่ปุ่นแผ่ขยายไปทั่วทุกหนแห่ง พวกเขาทั้งหมดมีส่วนร่วมการบุกอัฟกานิสถาน อิรัก เชชเนีย และช่วยทำให้อิสราเอลอยู่รอดได้.." ซอวาฮิรีย์กล่าว ค่ะสงครามควรเป็นทางเลือกสุดท้ายแต่ก็ต้องไม่ลืมว่าสงครามเป็นหนทางเลือกทางเดียวของผู้ก่อการร้ายเสมอนั่นทำไมโลกเสรีประชาธิปไตยจึงก้าวช้ากว่าก้าวของผู้ก่อการร้ายเราจึงได้เห็นการหลั่งเลือดและน้ำตาให้กับคนบริสุทธิ์ที่ต้องจบชีวิตไม่เคยจางหายไปตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน...จากคำพูดของซอวาฮิรีย์นั้นพิสูจน์ได้อย่างชัดเจน   ** อับดุล ราห์มาน ยาสซิน คือชาวอิรักผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการทำสารเคมีเพื่อใช้ทำระเบิดในการถล่มระเบิดตึก WTC ครั้งแรกเมื่อปี1993 ซึ่งตัวยาสซินเองนั้นได้ให้การรับสารภาพสองครั้งต่อเจ้าหน้าที่FBI และอีกครั้งในสถานีโทรทัศน์ของอเมริกายาสซินหลบหนีไปอยู่อิรักเมื่อปี1993 ด้วยความช่วยเหลือของเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานในหน่วยข่าวกรองของอิรักคนหนึ่งซึ่งทำงานอยู่ในสถานทูตอิรัก ณ กรุงอัมมันประเทศจอร์แดนผู้สื่อข่าวคนหนึ่งของนิวส์วีคได้สัมภา๋ษณ์เพื่อนบ้านของราห์มานในกรุงแบกแดดผู้ซึ่งเปิดเผยว่าราห์มานนั้นมีชีวิตความเป็นอยู่อย่างอิสรเสรีและทำงานให้กับรัฐบาลอิรักทหารอเมริกันได้ค้นพบเอกสารของรัฐบาลซัดดัมหลังสงครามอิรักซึ่งเป็นหลักฐานยืนยันในเรื่องนี้ด้วยเอกสารฉบับนี้ได้แสดงให้เห็นชัดเจนเลยว่ายาสซินได้รับที่พักพิงและเงินสนับสนุนจากรัฐบาลซัดดัมโดยตรง ** ในเดือนต่อมาปีเดียวกันนั่นเอง (1993) เจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองของอิรักคนหนึ่งชื่ออับเดล ฮุสเซ็นได้เข้าตีสนิทกับ Wali al Ghazali ซึ่งเป็นบุรุษพยาบาลอยู่ที่เมืองนาจาฟ และ Ghazali ยังได้พบปะกับ IIS agent อีกคนหนึ่งนามว่า Abu Mrouwah ผู้ซึ่งมอบหมายภาระเร่งด่วนให้เค้ารับไปหลายๆคนคงจะสงสัยว่าว่าภาระเร่งด่วนนั้นคืออะไร? ใช่ค่ะการลอบสังหารอดีตประธานาธิบดีผู้พ่อ George H.W. Bush ระหว่างเดินทางมาเยือนคูเวตนั่นเองซึ่งต่อมาตำรวจของคูเวตได้ค้นพบGhazali และ Iraqi Intelligence assets กับระเบิดน้ำหนักสองร้อยปอนด์ในรถโตโยต้าแลนส์ครุยเซอร์ Ghazali ได้สารภาพกับศาลของคูเวตว่าเค้าถูกบังคับให้ทำงานชิ้นนี้โดยกลุ่มคนผู้ซึ่งไร้ความเมตตาเค้ายังกล่าวด้วยว่า: "...ผมหวาดกลัวรัฐบาลซัดดัม รัฐบาลซัดดัมได้กดดันให้ผมต้องทำงานชิ้นนี้ " ** และจากรายงานของหลายสำนักข่าวผู้ช่วยผู้อำนวยการข่าวกรองของอิรักFaruq Hijaziได้พบปะติดต่อแบบเผชิญหน้ากันโดยตรงกับ บิน ลาเดนในปี1994 บิน ลาเดนได้ขออาวุธ anti-ship minesและค่ายฝึกฝนการก่อการร้ายในอิรักกับ Hijazi ไม่มีรายงานระบุว่าอิรักตอบรับคำร้องขออันนี้   ** ในปีเดียวกัน(1994)เอกสารของหน่วยข่าวกรองอิรักซึ่งถูกตรวจสอบโดยหน่วยข่าวกรองของอเมริการะบุว่ารัฐบาลซูดานได้พบปะกับอูเดย์ ฮุสเซ็นและผู้อำนวยการหน่วยข่าวกรองของอิรัคเพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างอิรัคกับกลุ่มอัลไคด้า ** และจากเอกสารของหน่วยข่าวกรองอิรักอันเดียวกันนี้ได้กล่าวว่าบินลาเดนก่อนหน้่านี้ได้มีการนัดหมายล่วงหน้ากับเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองของอิรักคนหนึ่งและ "presidential approval" นี้ถูกส่งไปยัง Iraqi Intelligence service อีกทีเพื่อดำเนินการนัดหมายอย่างเป็นทางการในการพบกับบินลาเดน บินลาเดนยังได้เรียกร้องให้อิรักร่วมต่อต้านกองกำลังต่างชาติ ในซาอุดิอาระเบีย ด้วยข้อเรียกร้องของบินลาเดนอันนี้เองซัดดัม ฮุสเซ็นยอมตกลงที่จะออกอากาศการเทศนาทางโทรทัศน์ของนักการศาสนาหัวรุนแรงคนหนึ่งที่ต่อต้านกษัตริย์ซาอุฯในราชวงศ์ปัจจุบัน . ** รัฐบาลคลินตันเองยังได้กล่าวอ้างถึงความเข้าอกเข้าใจ ("understanding") ระหว่างอิรักและอัลไคด้าที่มีใจความสำคัญว่า "...อัลไคด้าเข้าใจในรัฐบาลอิรัก อัลไคด้าจะไม่ปฏิบัติการอันใดที่ขัดแย้งกับรัฐบาลอิรัก อัลไคด้าจะให้ความร่วมมือกับรัฐบาลอิรัก " ** 9/11 Commission report รายงานว่าอิรักและอัลไคด้ามีการติดต่อสานความสัมพันธ์ที่เป็นมิตรต่อกันที่ดูเหมือนว่าจะยังไม่พัฒนาไปสู่ปฏิบัติการความร่วมมือระหว่างกันอย่างเต็มตัวรายงานนี้ยังให้รายละเอียดเกี่ยวกับการพบกันระหว่างเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองอิรักระดับอาวุโสและผู้ก่อการร้ายอัลไคด้าตลอดช่วงใน spring และ summer ในปี1998 ที่ผ่านมาและยังได้ระบุว่าเจ้าหน้าที่ของอิรักได้เสนอที่พักพิงให้กับบิน ลาเดนในอิรักอีกด้วย ** ในการเสนอที่พักพิงให้กับบิน ลาเดนในอิรักนั้นถูกรวบรวมอยู่ในรายงานของ Senate Intelligence Committee ที่เห็นพ้องต้องกันอย่างเป็นเอกฉันท์ จากรายงานหน้า335ของ Senate report ยังได้สรุปไว้ว่ามีรายงานข่าวกรองจากแหล่งอื่นๆด้วยที่ให้ข้อมูลว่าซัดดัม ฮุสเซ็นได้ยืนยันในการให้ที่พักพิงแก่บิน ลาเดน   ** และจากรายงานของ Senate Intelligence ในหน้าที่ 316ได้รายงานว่าจากปี1996 ถึงปี 2003 หน่วยข่าวกรองของอิรัก(IIS)ได้เน้นปฏิบัติการการก่อการร้ายโดยวางเป้าหมายไปที่ผลประโยชน์ของชาวตะวันตกโดยเฉพาะผลประโยชน์ของอเมริกาและอิสราเอล CIAได้สรุปรายงานด้านข้อมูลข่าวกรอง 50 ฉบับจากหลายๆแหล่งข่าว10 intelligence reportsได้ระบุว่าปฏิบัติการหน่วยข่าวกรองของอิรัก(IIS)ได้วางเป้าหมายปฏิบัติการโจมตีไปที่ Radio Free Europe และ Radio Liberty ในกรุงปรากในปี1998 และจากรายงานของ CIA ที่ได้รับรายงานมาจากหลายๆแหล่งข่าวได้ประเมิณว่า IIS มีแผนการโจมตีผลประโยชน์ของอเมริกาในช่วงปี2002 ** Senate report หน้า 331ได้ระบุว่า: "...มีรายงาน12 ฉบับที่ได้รับจากหลายๆแหล่งข่าวที่CIAได้ระบุว่าเป็นรายงานที่น่าเชื่อถือได้ได้อ้างคำแถลงในรายงานนั้นว่าอิรักหรือ Iraqi nationalได้เกี่ยวข้องกับความพยายามในการเสาะแสวงหาการครอบครองอาวุธเคมีและชีวภาพของกลุ่มอัลไคด้า " ** Abu Musab al Zarqawi ได้เดินทางมาถึงอิรักในเดือนพฤษภาคมปี2002ได้อาศัยอยู่ในกรุงแบกแดดโดยที่รัฐบาลแบกแดดก็ได้รับรู้ถึงการมาของเค้าและการเดินทางเข้ามาอิรักของ Zarqawi นั้นได้เกิดขึ้นก่อนสงครามอิรักจะเริ่มขึ้นด้วยนะคะ ** Senate Intelligence Committee report หน้า 337 ได้อ้างถ้อยแถลงของรายงานฉบับหนึ่งที่ระบุว่าอิรักสนับสนุนการก่อการร้ายดังต่อไปนี้: "...มีรายงานจากหลายแหล่งข่าวระบุว่า Zarqawi ผู้วางแผนของกลุ่มก่อการร้ายอัลไคด้าได้พำนักอยู่ในกรุงแบกแดดเรียบร้อยแล้ว " หน่วยข่าวกรองต่างประเทศหน่วยงานหนึ่งยังได้ยืนยันว่า IISได้รับรู้เรียบร้อยแล้วว่า Zarqawi อยู่ในแบกแดดทั้งๆที่รัฐบาลแบกแดดอ้างว่าไม่สามารถสืบหาตัว Zarqawi พบ และรายงานในหน้า 338ได้อธิบายเพิ่มเติมต่อไปอีกว่า Zarqawi และเครือข่ายของเค้าได้ปฏิบัติการทั้งในแบกแดดและพื้นที่ๆกลุ่มชาวเคริ์ดปกครองตนเอง.. HUMINT ได้รายงานว่ารัฐบาลแบกแดดรับรู้อย่างแน่นอนว่า Zarqawi อยู่ในแบกแดดเนื่องจากว่าหน่วยข่าวกรองต่างประเทศหน่วยงานนั้นได้ให้ข้อมูลตรงนี้กับรัฐบาลอิรักโดยตรง ** Hudayfa Azzam ลูกชายของ Abdullah Azzam ซึ่งเป็นที่ปรึกษาของบิน ลาเดนมายาวนานได้ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวAFP ของฝรั่งเศสว่ารัฐบาลอิรักได้ทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดกับกลุ่มอัลไคด้าในอิรักก่อนที่สงครามอิรักจะเริ่มขึ้นแล้วHudayfa Azzam กล่าวให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่29 สิงหาคม 2004 ว่า "..ซัดดัมได้ต้อนรับพวกเค้าอย่างอบอุ่นและสมาชิกอัลไคด้าในวัยฉกรรจ์เหล่านี้ก็ได้เข้ามาในอิรักเป็นจำนวนมากและจัดตั้งองค์กรขึ้นมาเพื่อต่อต้านการยึดครองของอเมริกา" Azzam ได้กล่าวให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมด้วยว่า: ".. นักรบอัลไคด้าได้แทรกซึมเข้ามาในอิรักด้วยความช่วยเหลือของกลุ่ม Kurdish mujahideen จากอาฟกานิสถานนักรบอัลไคด้าเหล่านี้ได้ข้ามภูเขาในอิหร่านมาและเมื่ออัลไคด้ากลุ่มนี้มาถึงซัดดัมได้ควบคุมการปฏิบัติงานต่อสมาชิกอัลไคด้าในวัยฉกรรจ์เหล่านี้โดยตรงอย่างเข้มงวด " จากคุณ : เอื้องอัยราวัณ - [ 17 ม.ค. 49 06:40:33 ]

ความคิดเห็นที่ 19 และในความเป็นจริงแล้วถึงแม้โอซามา บิน ลาเดนจะมอดม้วยมรณาแต่นั่นไม่ได้หมายความว่าการก่อการร้ายจะหมดไปเพราะนี่คือสงครามการต่อสู้กับพวกคลั่งในลัทธิศาสนนิยมดังนั้นสงครามในอิรักจึงเป็นส่วนหนึ่งของสงครามการต่อต้านการก่อการร้ายในความพยายามที่จะสกัดกั้นไม่ให้ผู้ก่อการร้ายได้ครอบครองอาวุธทำลายล้างสูงไว้ใครอบครองอันจะเป็นประโยชน์ในการปกป้องในชนรุ่นต่อไปเพราะถ้าหากผู้ก่อการร้ายสามารถครอบครองอาวุธเหล่านั้นได้ ก็จะเป็นภัยคุกคามต่อทุกประเทศและต่ออารยธรรมในท้ายที่สุด จากคุณ : เอื้องอัยราวัณ - [ 17 ม.ค. 49 06:44:22 ]

ความคิดเห็นที่ 20 กระทู้นี้ เล่นกันสองคนเองเหรอ ฮ่าๆๆ จากคุณ : Haa (batseboy) - [ 17 ม.ค. 49 09:23:36 ]

ความคิดเห็นที่ 21 คุณเอื้องเอ๊ย...ป่านนี้ยังมานั่งแก้ต่างให้ พ่ออเมริกาอีกเหรอ คนบริสุทธิ์ตายเป็นล้าน ไม่ใช่ญาติพี่น้องคุณเอื้องใช่มั๊ย เคยโพสท์อะไรไว้ ความจริงมันปรากฎแล้ว ยังมาเถียงข้างๆคูๆอีก สหรัฐฝ่าฝืนมติสหประชาชาติ ฆ่าคนตามอำเภอใจ หลักฐานอะไรตอนหลังก็บอกว่าเข้าใจผิดก็หายกันเหรอ บ้านเมืองไม่มีกฎหมายเหรอครับ โลกนี้ไม่มีกฎหมายเหรอ และขอโทษเหอะ ประเทศที่เคยใช้อาวุธร้ายแรงที่สุดประหารชีวิตมนุษย์ด้วยกันอย่างป่าเถื่อนคือ อเมริกาครับ จากคุณ : ยุพราชปราบเมกา (ยอดมือปราบ) - [ 17 ม.ค. 49 10:15:37 ]

ความคิดเห็นที่ 22 สวัสดีค่ะคุณยอดมือปราบ  ...ขอบคุณค่ะที่ัยังจำกันได้  อเมริกาเป็นแม่ของ เอื้องอ่ะค่ะไม่ได้เป็นพ่อ ตรวจสอบข้อมูลหน่อย  5555+++ ไม่ทราบว่าอิรัคเป็นบิดาคุณยอดมือปราบหรือเปล่าคะถึงได้ร้อนตัว ... หุ หุ หุ  เอื้องแก้ข้อกล่าวหาที่หลายคนกล่าวว่าอเมริกาโกหกค่ะคุณยอดมือปราบเพราะข้อเท็จจริงคืออเมริกาไม่ได้โกหกไงคะ เพราะหากอมริกาโกหกทั้งยูเอ็น และหลายๆชาติที่นำข่าวกรองมาแชร์ร่วมกันก็คงต้องโกหกไปด้วยจริงมั๊ยคะ? คุณพูดถูกค่ะที่เคยพูดว่า: "เวลามันพิสูจน์หลายๆเรื่องที่แกเคยโพสท์ไว้ " เพราะสิ่งที่เอื้องเคยพูดไว้ในอดีตที่ห้องนี้ปัจจุบันเป็นเครื่องพิสูจน์ได้ดีค่ะว่าิ่สิ่งที่เอื้องพูดนั้นไม่ผิดจากสถานการณ์โลกที่เกิดขึ้นอยู่ในตอนนี้เลยนะคะแต่คนที่ไม่ชอบแนวความคิดทางการเมืองของเอื้องอย่างคุณอาจจะค้านหัวชนฝาเหมือนเดิม...เหอๆ  หัวโนรึเปล่าคะ เอิ๊ก เอิ๊ก เอิ๊ก และจริงๆแล้วตั้งแต่เข้ามาเล่นที่ห้องนี้ได้หลายปีดีดักเนี่ยก็เข้าใจค่ะว่าแต่ละคนมองแต่ละประเด็นไม่เหมือนกันขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคนเพราะแต่ละคนให้ความถูกต้องกับความถูกใจได้ไม่เท่ากัน แต่เนื่องจากว่าความคิดเห็นของเอื้อง วางอยู่บนพื้นฐานที่เกาะติดข้อเท็จจริงเสมอจึงอาจไม่เป็นที่ถูกใจกลุ่มคนที่ไม่ชอบอเมริกาอย่างคุณที่เก่งแต่พูดเสียดสีคนอื่นแต่ขาดข้อมูลเชิงประจักษ์สนับสนุนความคิดตัวเองอย่างนี้เค้าเรียกว่าพูดตามลมปากค่ะ โดยส่วนตัวเอื้องคิดว่าราชดำเนินจะกลายเป็นกระดานเสวนาที่น่าเข้าร่วมแจมมากกว่านี้ค่ะหากว่า สุภาพบุุรุษในห้องนี้บางคนลดอาการที่ชอบข่มผู้ร่วมสนทนาและอัตตาลงไปนิดเสริมข้อเท็จจริงในบางประเด็น และอาการเบ่งและขี้โอ่ลงไปเสียบ้าง  การมีความคิดเห็นแตกต่างก็ไม่จำเป็นต้องเป็นศัตรูกัน ชิงชังกันเสมอไปใช่มั๊ยคะ? ราชดำเนินจะน่าอยู่ก็ด้วยความร่วมมือร่วมใจของทุกคนค่ะกฏ กติกามีไว้เพื่อเตือนจิตสำนึกของการอยู่่ร่วมกันในสังคมเท่านั้นเอง ... แก้ไขเมื่อ 17 ม.ค. 49 10:48:38 จากคุณ : เอื้องอัยราวัณ - [ 17 ม.ค. 49 10:45:36 ]

ความคิดเห็นที่ 23 หึ..หึ ผมอดยิ้มไม่ได้เมื่อเห็นความไร้เดียงสาของคุณเอื้องจริงๆ ช่างมันเหอะผมรู้ว่าสมองคุณมันมีแต่เมกาอยู่ในหัว หาว่าผมเสียดสีคุณงั้นเหรอครับ ...เอาหล่ะผมจะพูดอีกครั้งก็ได้ "คนบริสุทธิ์ตายเป็นล้าน ไม่ใช่ญาติพี่น้องคุณเอื้องใช่มั๊ย" อิรักไม่ใช่พ่อผม ผมไม่ได้ชอบซัดดัม แต่ผมไม่ชอบ และเกลียดมากๆๆๆ คือวิธีที่อเมริกาปฎิบัติต่ออิรัก ผมยอมถูกตราหน้าว่าอะไรก็ได้ผมไม่สน แต่ผมจะด่าไอ้พวกหน้าเนื้อใจเสือ และสาปแช่ง พวกชั่วๆ แทนผู้บริสุทธิ์ที่ตายอย่างไร้ความผิด ุทกคน การเมืองระหว่างประเทศ คุณเอื้องเพียงได้อ่านและเชื่อตามเขาบอกเท่านั้นเอง ขำจริงๆ ไว้สงครามเกิดในอเมริกาเมื่อไหร่พวกเมกาจะได้รู้สึกกันบ้าง จากคุณ : ยุพราชปราบเมกา (ยอดมือปราบ) - [ 17 ม.ค. 49 15:46:42 ]

ความคิดเห็นที่ 24 คุณเอื้องก็โปรอเมริกา คุณโมเสสก็แอนตี้อเมริกา จขกท อ่านแล้วก็เอาบวกกันแล้วหารสองก็จะได้ภาพที่ชัดขึ้น คือข้อมูลมีส่วนจริงทั้งสองฝ่าย ขึ้นอยู่กับว่าจะมองมุมไหน จริงๆแล้ว เรื่องการต่างประเทศ เป็นเรื่องของการสมดุล ระหว่าง อำนาจ+ผลประโยชน์+ความชอบธรรม คนโง่ที่ถูกหลอกให้ไปตายและผู้บริสุทธ์คือเหยื่อเสมอ ประเทศมหาอำนาจทำอะไรต้องมีผลประโยชน์ร่วมด้วย เสมอ เพื่อคงไว้ซึ่งความเป็นประเทศมหาอำนาจให้ยาว นานที่สุด จากกรีซมาโรมัน จากโรมัน ก็เป็นออตโตมัน จากออตโตมัน ก็เป็นโปรตุเกส โปรตุเกสก็เป็นสเปน สเปนก็มาอังกฤษ และอเมริกาในที่สุด ไม่มีจักรวรรดิไหนยืนยัง ประวัติศาสตร์ จะบอกเล่าเรื่องราวทุกอย่างให้เราเห็นเอง ----------------------------------------------------------------------- ในเรื่องนี้ซัดดัมคือเบี้ยใช้แล้วทิ้ง ที่ถูกหลอกล่อด้วยผลประโยชน์ บนกระดานภูมิภาคที่เรียกว่าตะวันออกลางซึ่งมีผลโยงไปถึงกระดาน ที่เรียกว่าโลก ------------------------------------------------------------------------- เรื่อง การเมคข้อมูล ถูกวิจารณ์แม้แต่ในอเมริกาเอง จะเห็นได้ว่า ในอเมริกาเองก็มีผู้เชื่อว่า รัฐบาลบุชเมคข้อมูลมากเกือบครึ่ง ทำให้ปัจจุบันรัฐบาลบุชกำลังเสียรูปขบวนอย่างหนัก เมื่อกระแสโลก มองว่าอเมริกาเป็นผู้รุกรานอิรักและพยายามที่จะยึดครองอิรัก จากคุณ : Pongkm (Pongkm) - [ 17 ม.ค. 49 17:36:22 ]

ความคิดเห็นที่ 25 5555+++.... ชื่อคุณก็บอกอยู่แล้วว่า "ยุพราชปราบเมกา " ดังนั้นมันจึงไม่แปลกเมื่อคุณประกาศจุดยืนอยู่ตรงข้ามกับอเมริกาย่อมต้องมองอเมริกาในแง่ลบไว้ก่อนอย่าบอกนะคะว่าคุณเป็นกลาง ขำกลิ้งค่ะ เหอ เหอ ใช่ค่ะคุณคนบริสุทธิ์ตายเป็นล้านจริงๆค่ะสมัยอดีตเผด็จการซัดดัมและพรรคบาธไงคะ  แต่คนบริสุทธิ์ส่วนใหญ่ที่ตายในสงครามอิรัคครั้งนี้นี่เกิดจากพวกมือระเบิดพลีชีพจากอดีตสมุนพรรคบาธ  พวกอาหรับฟาสซิสต์ที่เดินทางมาจาก ซาอุฯ ซีเรีย จอร์แดน ปาเลสไตน์และอิหร่าน และกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรงในยุโรปหาใช่กองทัพพันธมิตรและกองกำลังอิรัคไม่และไม่ทราบว่าคุณตกข่าวหรืออย่างไรไม่ทราบนะคะประชาชนอิรัคและกองกำลังตำรวจของอิรัคส่วนใหญ่ที่เสียชีวิตเนี่ยเกิดจากน้ำมือของมือระเบิดพลีชีพอาหรับฟาสซิสต์ค่ะ และำจำนวนคนที่เสียชีวิตในสงครามครั้งนี้ก็ไม่ถึงล้านค่ะ ไม่ทราบว่าคุณเอาตัวเลขมาจากไหนคะที่บอกว่าเป็นล้าน? พูดเกินจริงค่ะ!!!  ซัดดัมฆ่าล้างเผ่าพันธุ์น่ะใช่ค่ะยอดทะลุล้านแน่!!  แล้วจำนวนคนที่เสียชีวิตนี่คุณก็ต้องแยกด้วยนะคะว่าในจำนวนนั้นเป็นพวกผู้ก่อการร้ายกี่คน คนบริสุทธิ์กี่คนที่ถูกฆ่าตายโดยกลุ่มก่อการร้ายในอิรัค . พวกคุณชอบเอาจำนวนคนที่เสียชีวิตในสงครามอิรัคนี่มาอ้างมากๆทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วประชาชนที่เสียชีวิตด้วยน้ำมือของพวกผู้ก่อการร้ายเนี่ยคิดเป็นเปอร์เซ็นมากที่สุดแต่คนที่ตายจากฝีมือของเผด็จการมานานนับ10ปีคุณกลับเงียบกริบปล่อยให้คนบริสุทธ์ตายไปเรื่อยๆหากคุณต่อต้านสงครามจริงคุณต้องกล่าวถึงพวกที่ถูกฆ่าล้างผ่าพันธ์ในซูดาน ในแอฟริกาด้วย จึงจะได้ชื่อว่าเป็นผู้รักสันติจริง คุณรู้ได้อย่างไรว่าเอื้องไม่สงสารคนบริสุทธ์ที่ตายในสงครามครั้งนี้? อย่าเอามาตรฐานที่คุณคิดว่ามีคุณธรรมของคุณมาตัดสินคนอื่นเลยค่ะ สำหรับเอื้องแล้วอยู่ร่วมแผ่นดินกับพวกผู้ก่อการร้ายมุสลิมหัวรุนแรง(ไม่ได้หมายถึงมุสลิมทั้งหมดนะคะ)ไม่ได้ค่ะเพราะพวกผู้ก่อการร้ายเหล่าี้นี้ต้องถือว่าเป็นคนที่โหดร้ายและใจดำมากค่ะ แม้แต่ในกฎกติกาของการทำสงครามจะรู้กันเป็นสากลว่าจะต้อง"ละเว้นผู้หญิงกับเด็ก" แต่พวกผู้ก่อการร้าย ฆ่าคนบริสุทธิ์แบบสุ่มเพื่อให้เกิดจำนวนคนตายบาดเจ็บสาหัสมากที่สุด หากคุณคิดว่าคุณไม่อีนังขังขอบกับพวกผู้ก่อการร้ายหัวรุนแรงนั่นก็แล้วแต่คุณค่ะแต่เอื้องจะไม่แช่งให้ใครเจอการก่อการร้ายเหมือนอย่างที่คุณกำลังสาปแช่ง หรอกค่ะเพราะการแช่งคนนั้นบอกได้ดีว่าจิตใจเรายังมีความพยาบาทอยู่ซึ่งผู้รักสันติโดยแท้ไม่ควรแม้แต่จะคิดนะคะคุณว่ามั๊ย?? หากคุณจะคิดว่าเอื้องอ่านและเชื่อตามเขาบอกนั่นก็เป็นสิทธิ์ของคุณที่จะประเมิณสติปัญญาคนอื่นค่ะแต่เอื้องก็วางหลักการสนทนาของตัวเองโดยยึดคติเสมอว่าต้องพูดอยู่บนสิ่งที่เป็นข้อเท็จจริงและความคิดเห็นส่วนตัวเป็นหลักไม่จมปลักอยู่กับมุมมองเพียงด้านเดียวเพียงเพราะมีความเกลียดเกาะกินในหัวใจ เพราะหากเรามีแต่ความเกลียดเสียแล้วจะทำให้เราเกิดความมืดบอดทางปัญญาแบบถาวรค่ะ อ้อ... อยากให้คุณรับทราบไว้ด้วยว่าเอื้องแค่เข้ามาตอบคำถามและให้ข้อมูลเจ้าของกระทู้ค่ะไม่ได้มาเถียงหรือหาเรื่องกับใคร.. จากคุณ : เอื้องอัยราวัณ - [ 17 ม.ค. 49 17:41:33 ]

ความคิดเห็นที่ 26 สวัสดีค่ะคุณ Pongkm  .... นั่นสินะคะคุณPongkm ....คุณยุพราชปราบเมกา นี่เค้าลำเอียงชะมัดดเลยว่าแต่เอื้องคนเดียว คุณ Pongkm ยังดูออกเลยเนอะว่าบังโมแอนไทอเมริกา(ได้ยินเสียงบังโมจาม ฮ้าดดด  เช้ยยย มาแต่ไกล 555++ )  เอื้องคิดว่าคนที่สร้างกำแพงในการรับรู้ข้อเท็จจริงจะมองไม่เห็นว่าการเมืองโลกในปัจจุบันนี้เค้าเดินไปอย่างไรค่ะ  และเอื้องคิดว่าโปรอเมริกาไม่ได้เสียหายค่ะเพราะอเมริกาประเทศนี้ก็สร้างคุณประโยชน์ให้กับ โลกไว้มากมายหากจะเทียบกับซัดดัมคงนำมาเทียบกันไม่ได้ ไม่มีจักรวรรดิไหนยืนยงนั่นเป็นคำกล่าวที่ถูกต้องค่ะเอื้องเห็นด้วยกับคุณนะคะ  แต่คุณPongkmคะ ณ ปัจจุบันนี้ที่ใครๆเค้าก็ตราหน้าว่าอเมริกาเป็นจักรวรรดินิยมนั้นเอื้องยังไม่เห็นหลักฐานเลยค่ะ  อเมริกาเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่ได้มิใช่เป็นแบบพวกจักรวรรดินิยมในสมัยก่อนค่ะแต่เพราะรากฐานของประเทศนั้นก่อกำเนิดมาจากความเชื่อใน democracy and freedom ค่ะ จนถึงตอนนี้นะคะเอื้องยังไม่เห็น American Imperialism เหมือนอย่าง classic imperialismแบบจักรวรรดินิยมอังกฤษหรือแบบที่บรรดาชาติยุโรปล่าอาณานิคมในอัฟริกาหรือเอเชียในสมัยก่อนเลยค่ะ สิ่งที่ประจักษ์แก่สายตาเอื้องในตอนนี้มีแต่ "American Mercantilism" ค่ะ.....อิ อิ  ซัดดัมเค้าเป็นเผด็จการค่ะคุณPongkm เค้าหลงอำนาจเค้าเองค่ะจึงนำพาให้เค้าพบจุดจบเช่นนี้ ส่วนเรื่องที่คุณPongkm กล่าวว่า "การเมคข้อมูล ถูกวิจารณ์แม้แต่ในอเมริกาเอง จะเห็นได้ว่าในอเมริกาเองก็มีผู้เชื่อว่า รัฐบาลบุชเมคข้อมูลมากเกือบครึ่ง"  นั้นข่าวนี้ต้องดังหน่อยค่ะในช่วงเวลาที่ผ่านมาเพราะมีการเลือกตั้งซ่อมผู้ว่าการรัฐในบางรัฐและเดี๋ยวจะมีการเลือกตั้ง สว. แล้ว เดโมแครตเลยต้องขุนเรื่อง "Plamegate" เอามาตีรีพับลิกันค่ะ เป็นเรื่องชิงความได้เปรียบทางการเมืองในอเมริกาล้วนๆค่ะคุณ Pongkm แต่ก็เงียบไปแล้วค่ะเพราะ มีเพียงหนังสือพิมพ์ The New York Times และ Washington post 2 สำนักอยู่เท่านั้นค่ะที่ยังเชื่อถือนายโจเซฟ วิลสันหรือมิสเตอร์ Incredible จอมโกหกอยู่เพียงสองสำนักเท่านั้น อิอิ และหากคุณPongkm คิดว่าข้อมูลที่เอื้องนำเสนอเป็นความจริง ... คุณPongkm เคยสงสัยแบบเอื้องรึเปล่าคะว่า คณะมนตรีความมั่นคงออกมติฉบับ Res. 1441 นี้มาทำไมหากเชื่อว่าซัดดัมปลดอาวุธหมดแล้ว?!? และ Blix เป็นคนพูดเองนะคะว่าสงครามอิรัคครั้งนี้อเมริกายึดถือ Resolution นั้นเป็นความชอบธรรมค่ะ มาถึงตรงนี้ทำให้นึกถึงสุนทรพจน์ของท่านประธานาธิบดีบุชค่ะที่ได้กล่าวไว้อย่างกินใจว่า: "....รูปแบบของลัทธิสุดโต่งนี้ใช้อิสลาม เป็นเครื่องมือสร้างความรุนแรง สนับสนุนวิสัยทัศน์ทางการเมือง นั่นคือ การจัดตั้งจักรวรรดิเผด็จการที่ปฏิเสธอิสรภาพทางการเมือง และศาสนา โดยอาศัยลัทธิก่อการร้าย การล้มล้าง และก่อกบฏ บรรดาผู้นำของกลุ่มก่อการร้ายเหล่านี้ แสร้งทำเป็นพวกที่ถูกรุกราน และเป็นตัวแทนของคนไร้อำนาจต่อต้านศัตรูผู้ยิ่งใหญ่แต่ความจริงก็คือ ผู้นำของกลุ่มก่อการร้ายเหล่านี้ทะเยอทะยานอย่างไม่สิ้นสุดเพื่อที่จะครอบครองจักรวรรดิ และปรารถนาไม่ให้ผู้ใดมีอำนาจ นอกจากพวกของตัว "   และลัทธิจักรวรรดินิยมที่เอื้องมองเห็นกำลังมีคนพยายามสร้างตอนนี้คือ "มหารัฐอิสลามบริสุทธิ์ " หรือ Great Caliphate ก็คือ "ลัทธิจักรวรรดินิยมในอีกรูปแบบหนึ่งที่ใช้อุดมการณ์ที่เรียกว่า "ศาสนา" เป็นหัวใจในการแผ่ขยายอาณาเขตของตน จักรวรรดินิยมรูปแบบนี้สิทธิและเสรีภาพของปัจเจกบุคคลได้ถูกริดรอนอย่างสิ้นเชิงเหมือนอย่างที่รัฐบาลตาลีบันนำมาใช้ในอัฟกานิสถานซึ่งหากใครไม่ทำตามที่ จักรวรรดิต้องการเค้าคนนั้นและครอบครัวก็จะต้องถูกสังหารโดนตีตราว่าเป็น "พวกนอกศาสนา หรือ Infidel "...... "รัฐทางศาสนาโดยบริสุทธิ์" จึงหมายถึง "ระบบทรราชย์อย่างสมบูรณ์" นั่นเองค่ะ เพราะรูปแบบของรัฐชนิดนี้ จะไม่ยอมให้คนในปกครองมี "ความคิดเห็นแตกต่างได้" ด้วยการจำกัดแม้กระทั้งเสรีภาพในการคิด ซึ่งเป็นเสรีภาพขั้นพื้นฐานสิ่งเดียวที่มนุษย์สมควรมีอย่างสมบูรณ์และไม่ควรถูกริดรอน.... จากคุณ : เอื้องอัยราวัณ - [ 17 ม.ค. 49 18:49:48 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ก๊ากๆๆๆ เอื้อง ฟังไว้บ้างก็ดี ที่คุณ Pongkm และยอดมือปราบ กล่าวไว้ถูกต้องทีเดียว แถมกว่าครึ่งของเมกาเองก็เชื่อว่าบุชเมคข้อมูลขึ้นมา "บรรดาผู้นำของกลุ่มก่อการร้ายเหล่านี้ แสร้งทำเป็นพวกที่ถูกรุกราน และเป็นตัวแทนของคนไร้อำนาจต่อต้านศัตรูผู้ยิ่งใหญ่แต่ความจริงก็คือ ผู้นำของกลุ่มก่อการร้ายเหล่านี้ทะเยอทะยานอย่างไม่สิ้นสุดเพื่อที่จะครอบครองจักรวรรดิ และปรารถนาไม่ให้ผู้ใดมีอำนาจ นอกจากพวกของตัว "   นั่นมันอาการมุสาของบุช ตอนที่เอามาหลอกอิรัคเป็นตัวอันตรายต่อชาวอเมริกา ทั้งๆที่ความจริง อเมริกาใช้เวลาไม่ถึงเดือนก็โค่นซัดดัมลงได้ เพื่ออะไร เพื่ออเมริกาจะได้ครอบครองแหล่งน้ำมัน หรืออีกนัยหนึ่ง เพื่อคงไว้ซึ่งความเป็นประเทศมหาอำนาจให้ยาวนานที่สุด อย่างที่ คุณ Pongkm ว่ามานั่นแหละ ฮิๆๆๆ โดนใจ นี่ครับ ข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับ จขกท ทุกอย่างมันชัดเจนอยู่แล้ว Who Forged the Niger Documents? http://www.alternet.org/story/21704 Cheney's Office Is A Focus in Leak Case http://www.washingtonpost.com/wp-dyn/content/article/2005/10/17/AR2005101701888_pf.html 237 Administration Lies http://www.byethetimes.com/id1.html Tomgram: Jim Lobe on Timing the Cheney Nuclear Drumbeat http://www.tomdispatch.com/index.mhtml?pid=9301 Iraq's Real Weapon Of Mass Destruction http://uscrusade.com/newsupdate/viewnews.cgi?newsid1071662144,70808,.shtml British Dossier on Iraq Scandal http://www.uscrusade.com/2003/British_Dossier_on_Iraq_Scandal.html ปล. ในราชดำเนิน เวลาสนทนาไม่จำเป็นต้องมีการข่มผู้ร่วมสนทนา แต่จะเคยมี  ก็แต่บางคน ที่ฟาดงวงฟาดงาพาลไปว่าคนอื่นลบกระทู้ตัวเอง ไม่ดูให้ดีก่อนว่ากระทู้นั้นหมดอายุแล้ว เอะ... ใครหว่า ?  ฮิๆๆๆๆ จากคุณ : โมเสส - [ 17 ม.ค. 49 23:06:49 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ไปเจอมา เลยเอามาให้ จขกท อ่าน นั่นแหละครับ สภาพของอิรัค 5 ปีก่อนสงครามอ่าวรอบสอง ฮาโรลด์ พินเทอร์ เดลี่เทเลกราฟ 11 ธันวาคม 2002 เมื่อต้นปีนี้ ผมเข้ารับการผ่าตัดใหญ่เพื่อรักษาโรคมะเร็ง การผ่าตัดและอาการข้างเคียงที่ตามมาภายหลังเป็นเสมือนฝันร้าย ผมรู้สึกเหมือนคนว่ายน้ำไม่เป็นที่ต้องลอยคอผลุบ ๆ โผล่ ๆ อยู่ท่ามกลางมหาสมุทรมืดมิดลึกล้ำไร้ที่สิ้นสุด แต่ในที่สุด ผมไม่ได้จมน้ำตายและยินดียิ่งนักที่ยังมีชีวิตรอดมาได้ กระนั้นก็ตาม ผมพบว่าการตื่นจากฝันร้ายส่วนตัว กลับกลายเป็นการตื่นมาพบกับฝันร้ายส่วนรวมที่ใหญ่หลวงยิ่งกว่ามิรู้เท่าไร นั่นคือฝันร้ายของความบ้าคลั่ง อวิชชา จองหอง งี่เง่าและกระหายสงครามของรัฐบาลอเมริกัน ชาติมหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่โลกเคยรู้จักกำลังประกาศสงครามกับคนทั้งโลก ถ้าท่านไม่อยู่ฝ่ายเรา ท่านก็เป็นฝ่ายตรงข้ามกับเรา ประธานาธิบดี ยอร์จ ดับเบิลยู. บุชกล่าว เขายังพูดอีกว่า: เราจะไม่ยอมให้อาวุธร้ายแรงที่สุดในโลกตกอยู่ในเงื้อมมือของผู้นำที่ชั่วร้ายที่สุดในโลก พูดได้ดีทีเดียว ส่องกระจกดูสิวะ ไอ้เพื่อนยาก แกเองนั่นแหละ ขณะนี้อเมริกากำลังพัฒนาระบบ อาวุธทำลายล้าง ทันสมัย และพร้อมที่จะเอาออกมาใช้ในเวลาที่มันเห็นว่าเหมาะสม อเมริกามีอาวุธทำลายล้างมากยิ่งกว่าประเทศที่เหลือทั้งหมดในโลกรวมกัน อเมริกาเมินหนีข้อตกลงนานาชาติว่าด้วยอาวุธชีวภาพและอาวุธเคมี ไม่อนุญาตให้มีการตรวจสอบโรงงานของตัวเอง ความหน้าไหว้หลังหลอกที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังคำแถลงการณ์และพฤติกรรมของรัฐบาลอเมริกันแทบจะเป็นเรื่องตลกไปแล้ว อเมริกาเชื่อว่า ยอดผู้เสียชีวิต 3,000 รายในนิวยอร์ก คือคนตายจำนวนเดียวที่มีอยู่ คือคนตายจำนวนเดียวที่มีความสำคัญ เพราะพวกเขาเป็นคนตายชาวอเมริกัน ส่วนความตายของคนอื่น ๆ เป็นเรื่องไม่จริง ไม่มีตัวตน ไม่มีคุณค่าความหมาย จำนวนคนตาย 3,000 รายในอัฟกานิสถานไม่เคยมีการเอ่ยถึง เด็กอิรักหลายแสนคนที่ตายเพราะการคว่ำบาตรของรัฐบาลอเมริกันกับอังกฤษจนทำให้เด็ก ๆ ขาดยารักษาโรค ไม่เคยมีการเอ่ยถึง ผลกระทบของกากยูเรเนียมที่อเมริกานำมาใช้ในสงครามอ่าว ไม่เคยมีการเอ่ยถึง ระดับของกัมมันตภาพรังสีในอิรักสูงอย่างน่าสยดสยอง ทารกเกิดมาโดยไม่มีสมอง ไม่มีนัยน์ตา ไม่มีอวัยวะเพศ ตรงที่ ๆ มีปาก หู หรือทวารหนัก สิ่งที่ไหลออกมาจากทวารทั้งหมดนี้มีแต่เลือด คนตาย 200,000 รายในติมอร์ตะวันออกเมื่อปี ค.ศ. 1975 โดยน้ำมือของรัฐบาลอินโดนีเซีย แต่ได้รับการหนุนหลังและสนับสนุนจากอเมริกา ไม่เคยมีการเอ่ยถึง คนตาย 500,000 รายในกัวเตมาลา, ชิลี, เอลซัลวาดอร์, นิคารากัว, อุรุกวัย, อาร์เจนตินาและไฮติ ในปฏิบัติการทางทหารที่อเมริกาสนับสนุนและให้เงินอุดหนุน ไม่เคยมีการเอ่ยถึง จำนวนคนตายเป็นล้าน ๆ ในเวียดนาม ลาวและกัมพูชา ไม่เคยมีการเอ่ยถึงมานานแล้ว สภาพชีวิตอันสิ้นหวังของประชาชนชาวปาเลสไตน์ ตัวแปรที่เป็นหัวใจสำคัญของความไม่สงบสุขในโลก แทบไม่เคยมีการเอ่ยถึง แต่นี่ช่างเป็นการตัดสินปัจจุบันอย่างผิดพลาดและเข้าใจประวัติศาสตร์คลาดเคลื่อน ประชาชนไม่เคยลืม พวกเขาไม่เคยลืมความตายของญาติมิตร ไม่เคยลืมการทรมานและความพิการ ไม่เคยลืมความอยุติธรรม ไม่เคยลืมการกดขี่ ไม่เคยลืมการก่อการร้ายของมหาอำนาจผู้ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่แค่ไม่ลืม พวกเขายังตอบโต้ด้วย วินาศกรรมครั้งร้ายแรงในนิวยอร์กเป็นเรื่องที่ไม่เหนือความคาดหมายและไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ มันเป็นปฏิบัติการล้างแค้นต่ออเมริกาที่ประกาศตัวเป็นรัฐก่อการร้ายอย่างต่อเนื่องและเป็นระบบมาตลอดเวลาหลายปี ในทุก ๆ ส่วนของโลก ในอังกฤษ ประชาชนได้รับคำเตือนให้ ระมัดระวัง เพื่อเตรียมตัวรับการก่อการร้ายที่อาจเกิดขึ้น แค่ภาษาที่ใช้ก็บ้าบอคอแตกแล้ว การระมัดระวังจะทำได้หรือเป็นไปได้อย่างไร? คอยเอาผ้าพันคอพันปิดปากเพื่อป้องกันแก๊สพิษหรือ? กระนั้นก็ตาม การโจมตีของผุ้ก่อการร้ายเป็นไปได้อย่างยิ่ง เพราะมันเป็นผลลัพธ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ จากการที่นายกรัฐมนตรีของเราคอยทำตัวเป็นสุนัขรับใช้อเมริกาอย่างน่าดูแคลนและน่าอดสู กรณีที่เห็นได้ชัดคือ การโจมตีระบบรถไฟใต้ดินของลอนดอนด้วยแก๊สพิษของผู้ก่อการร้ายเพิ่งถูกสกัดขัดขวางไปเมื่อไม่นานมานี้ แต่ความรุนแรงเช่นนั้นอาจเกิดขึ้นจริง นักเรียนหลายพันคนที่เดินทางด้วยรถไฟใต้ดินทุกวัน หากมีการโจมตีด้วยแก๊สพิษจนทำให้นักเรียนเสียชีวิต ความรับผิดชอบทั้งหมดจะต้องตกอยู่กับนายกรัฐมนตรีของเรา มิพักต้องกล่าวว่า นายกรัฐมนตรีไม่เคยเดินทางด้วยรถไฟใต้ดินเลยด้วย การวางแผนทำสงครามต่ออิรัก แท้ที่จริงก็คือการวางแผนฆาตกรรมพลเรือนหลายพันคนล่วงหน้า เพื่อช่วยให้พวกเขารอดพ้นจากเผด็จการในประเทศของตัวเอง อเมริกากับอังกฤษกำลังดำเนินไปตามเส้นทางที่รังแต่จะทำให้ความรุนแรงขยายวงออกไปทั่วโลก และถึงขั้นหายนะในท้ายที่สุด เห็นได้ชัดว่า อเมริกาอยากบุกโจมตีอิรักใจจะขาดอยู่แล้ว ข้าพเจ้าเชื่อว่า อเมริกาทำทั้งนี้มิใช่เพียงเพื่อต้องการควบคุมแหล่งน้ำมันในอิรักเท่านั้น แต่เพราะรัฐบาลอเมริกันปัจจุบันเป็นสัตว์ป่ากระหายเลือดด้วย การทิ้งระเบิดเป็นภาษาอย่างเดียวที่มันรู้จัก เรารู้ดีว่า ชาวอเมริกันจำนวนมากขยะแขยงต่อท่าทีของรัฐบาลตัวเอง แต่ดูเหมือนพวกเขาทำอะไรไม่ได้มากนัก นอกเสียจากยุโรปจะค้นพบความสามัคคี ภูมิปัญญา ความกล้าหาญและเจตจำนงที่จะท้าทายและต่อต้านมหาอำนาจอเมริกัน มิฉะนั้นแล้ว ยุโรปจะกลายเป็นดังคำประกาศของ Alexander Herzen ที่ว่า เราไม่ใช่หมอ เราคือตัวเชื้อโรค ฮาโรลด์ พินเทอร์ (Harold Pinter) เป็นนักเขียนบทละครร่วมสมัยชาวอังกฤษที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่ง บทความนี้คัดมาจากคำปาฐกถาของเขา ในโอกาสเข้ารับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ที่มหาวิทยาลัยตูริน http://www.fridaycollege.org/index.php?&file=forum&obj=forum.view(cat_id=tr-war,id=35)&PHPSESSID=d3977404068c80e60eb94941e3e44975 จากคุณ : โมเสส - [ 18 ม.ค. 49 00:11:38 ]

ความคิดเห็นที่ 29 5555+++  คนที่ขาดเหตุผลจนตรอกด้วยคำถามอย่าง บังโมสิ่งที่เอื้องเห็นเป็นประจำก็คือคล้อยตามความคิดเห็นของคนอื่นอย่างเช่นคุณ Pongkm และคุณ ยอดมือปราบและพูดทับถมทันทีเพื่อต้องการดิสเครดิตความเห็นของเอื้องว่่าเชื่อถือไม่ได้เพื่อทำให้ตัวเองดูดีขึ้น ประเภทความคิดเห็นที่มีลักษณะแบบนี้ล่ะค่ะบังซึ่งเป็นจุดหนึ่งที่ทำให้คนที่มีความคิดเห็นดีๆมีเหตุผลเสริมด้วยข้อเท็จจริงเค้าเบื่อหน่ายห้องราชดำเนินตรงนี้ คุณ Pongkmก็แสดงความคิดเห็นตามมุมมองของคุณ Pongkm ค่ะ แต่เอื้องก็มีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่คุณ Pongkm พูดมาค่ะบัง  ....สิ่งที่เอื้องไม่เห็นด้วยกับ คุณ Pongkm ก็คือว่าที่คุณ Pongkm กล่าวว่า "บุชเมคข้อมูลขึ้นมา" นั้นเอื้องไม่เห็นด้วยและไม่เป็นความจริงแต่ประการใด คุณPongkmอาจจะไม่ได้ติดตามข่าวอย่างใกล้ชิดจึงพลาดการรับรู้้ข้อเท็จจริงเรื่องราวอีกด้านหนึ่งของเหรียญไปค่ะ   ข้อกล่าวหาที่บอกว่า บุชเมคข้อมูลขึ้นมานั้นเป็นเพียงข้อกล่าวหาของฝ่ายตรงข้ามกับบุชเพื่อชิงความไ้ด้เปรียบทางการเมืองเท่านั้นเองค่ะ มิใช่ถูกพิสูจน์แล้วว่าเป็นข้อเท็จจริงเพราะฤดูกาลเลือกตั้งวุฒิสมาชิกใกล้เข้ามาแล้วฝ่ายเดโมแครตที่มีแต่จะสาละัวันเตี้ยลงจึงต้องออกมาแต่งนิยายขายหน่อยค่ะ เิอิ๊กๆๆ นั่นเพราะว่าความจริงคือ เมื่อกลางปีที่แล้วได้มีการออก รายงานการสอบสวนของคณะกรรรมาธิการข่าวกรองวุฒิสภาของสหรัฐฯ(Senate Intelligence Committee) ที่มีความหนาประมาณ 500 หน้า.....รายงานชิ้นนี้ถือว่าเป็น bipartisan report ค่ะเพราะคณะกรรมาธิการประกอบไปด้วยวุฒิสมาชิกที่มาจากทั้งสองพรรคคือ"รีพับริกัน" และ "เดโมแครต"... ในรายงานชิ้นนี้ลบล้างข้อกล่าวหาของพวก left-wing democrat ที่กล่าวาว่าบุชเมคข้อมูลขึ้นมาได้่ดีค่ะบังโม ในรายงานฉบับนี้ได้กล่าวถึงบทบาทของคณะรัฐบาลบุชกับรายงานข่าวกรองว่า:   ".....ทางคณะกรรรมาธิการไม่พบหลักฐานใดๆที่แสดงว่าเจ้าหน้าที่ในคณะรัฐบาลชุดนี้พยายามที่จะบังคับ ...ขู่เข็ญ....ใช้อิทธิพลหรือกดดันนักวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อเปลี่ยนการประเมินของพวกเค้าในส่วนที่เกี่ยวข้องกับอาวุธทำลายล้างสูงของอิรัค "  ซึ่งก็ตรงกับใน รายงานของริชาร์ด บัตเลอร์(published by the British) เมื่อปีที่แล้วนั้นก็ได้ข้อสรุปที่คล้ายกันค่ะคือไม่พบหลักฐานใดๆที่แสดงถึงความจงใจในการบิดเบือนข้อมูลข่าวกรอง   สิ่งสำคัญทีไม่ควรลืมและมองข้ามก็คือว่า ทั้งพรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกันนั้นก็ได้ดูข่าวกรองจากแหล่งเดียวกันอย่างที่ประธานาธิบดีบุชดูด้วยนั่นเองค่ะ  คุณ Pongkm อาจจะไม่ทราบในส่วนตรงนี้ค่ะบัง....และแหล่งข่าวกรองนี้ก็ไม่ได้มาจากสหรัฐอเมริกาเพียงแหล่งเดียวแต่มาจากแหล่งข่าวกรองของอังกฤษ อิตาลี เยอรมันและอีกหลายประเทศในยุโรป... ประธานาธิบดีอเมริกาโกหกสุ่มสี่ส่มห้าไม่ได้หรอกค่ะบังเพราะประธานาธิบดีอเมริกาไม่ได้อยู่เหนือกฏหมายในอดีตก็มีให้เห็นมาแล้วซึ่งบังอาจจะยังไม่ทราบ นั่นทำไมเอื้องถึงได้กล่าวไว้ในความคิดเห็นที่หนึ่งว่าเรื่องที่บอกว่าอิรักมีอาวุธร้ายแรงไว้ในครอบครองนั้นถูกเชื่อโดยทุกคนที่มีส่วนในการ"สนับสนุนและต่อต้านสงครามอิรัก" ในครั้งนี้ไม่ว่าจะเป็น: 1. The entire Clinton administration leadership, 2. องค์การสหประชาชาติ (The United Nations ) และ 3. French Government ซึ่งเชื่อว่าอิรักกำลังพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ ... และนี่คือข้อเท็จจริงค่ะ ล่าสุดตอนนี้อาจจะมีการสอบสวนเพิ่มเติมเกี่ยวกับว่า ฝรั่งเศสและรัสเซียได้เคยให้ความช่วยเหลือ satellite images แก่  former Iraqi regime ช่วงก่อนสงครามอิรัคจะเริ่มขึ้นหรือเปล่า?!? ด้วยเหตุนี้ไงคะเอื้องจึง ถามคุณPongkmไปว่า หากคุณPongkm คิดว่าข้อมูลที่เอื้องนำเสนอเป็นความจริง ... คุณPongkm เคยสงสัยแบบเอื้องรึเปล่าคะว่า คณะมนตรีความมั่นคงออกมติฉบับ Res. 1441 นี้มาทำไมหากเชื่อว่าซัดดัมปลดอาวุธหมดแล้ว?!? และ Blix เป็นคนพูดเองนะคะว่าสงครามอิรัคครั้งนี้อเมริกายึดถือ Resolution นั้นเป็นความชอบธรรมค่ะ และก็เป็นคำถามเดียวกับที่เอื้องถามบังโมว่า: Res. 1441 ออกก่อนส่ามเดือนก่อนสงครามอิรักจะเริ่มขึ้น  สงครามอิรัคเริ่มในเดือน มีนาคมปี 2003 นะคะ Scott Ritter บอกว่าอาวุธที่มีอานุภาพร้ายแรงของอิรัคถูกทำลายจนหมดสิ้นแล้วนับตั้งแต่ปี 1996 จึงตลกสิ้นดีและเป็นการพูดไม่ตรงตามข้อเท็จจริง ดังนั้นการที่บังโมมากล่าวหาว่าอเมริกาใช้ข้ออ้างเรื่อง WMD หลอกลวงชาวโลกจึงจึงเป็นการจงใจมองข้ามข้อเท็จจริงโดยสิ้นเชิงค่ะ... ถ้าหากว่าอเมริกาหลอกลวงเรื่อง WMD แล้ว UN ที่มี รัสเซีย จีนและเยอรมนีต่อต้านสงครามอิรัคก็ต้องหลอกลงชาวโลกด้วยเช่นกันค่ะหากใครที่กล่าวโทษแต่อเมริกาเพียงประเทศเดียวนั่นแสดงว่าความมีอคติอยู่เหนือเหตุผลแล้วแถมยังแสดงให้เห็นถึงความเป็นสองมาตรฐานด้วย . จริงมั๊ยคะบังโม? " เพื่ออะไร เพื่ออเมริกาจะได้ครอบครองแหล่งน้ำมัน หรืออีกนัยหนึ่ง เพื่อคงไว้ซึ่งความเป็นประเทศมหาอำนาจให้ยาวนานที่สุด อย่างที่ คุณ Pongkm ว่ามานั่นแหละ ฮิๆๆๆ โดนใจ " และนี่เป็นอาการเดียวกับพวกกลุ่มก่อการร้ายเลยค่ะที่กล่าวมดเท็จอ้างว่าพวกตัวถูกรุกรานจากพวกนอกศาสนาเพื่อจะยึดทรัพยากรน้ำมันในตะวันออกกลางและข่มเหงอิสลามทั้งที่ในความเป็นจริงแ้ล้วผู้นำของกลุ่มก่อการร้ายเหล่านี้ทะเยอทะยานอย่างไม่สิ้นสุดเพื่อที่จะครอบครองจักรวรรดิ และบ่อน้ำมันเสียเอง และปรารถนาไม่ให้ผู้ใดมีอำนาจ นอกจากพวกของตัวแถมยังแสดงให้เห็นถึงความคิดด้วยว่าเห็นชอบกับการกระทำของพวกผู้ก่อการร้ายว่าเป็นความชอบธรรมไปเสียแล้ว ... เหอ เหอ เหอ จากคุณ : เอื้องอัยราวัณ - [ 18 ม.ค. 49 06:45:47 ]

ความคิดเห็นที่ 30 ส่วนเรื่องที่บังโมกล่าวว่า "แต่จะเคยมี  ก็แต่บางคน ที่ฟาดงวงฟาดงาพาลไปว่าคนอื่นลบกระทู้ตัวเอง ไม่ดูให้ดีก่อนว่ากระทู้นั้นหมดอายุแล้ว เอะ... ใครหว่า ?  ฮิๆๆๆๆ"  นั้น แงๆๆ  ไม่ย๊อม ไม่ยอม บังโมใส่้้ร้ายเอื้องค่ะ 5555+++ จริงๆเรื่องนี้มันจบไปแล้วนะคะบัง เอื้องมีสิทธิสงสัยได้ค่ะและก็ไม่ใช่ความผิดของเอื้องด้วย เป็นความผิดพลาดทางเทคนิคของทางพันทิพนิดหน่อยค่ะ และเอื้องก็ได้รับคำชี้แจงและคำขออภัยจาก webmaster เค้าเรียบร้อยแล้วด้วยก่อนเอื้องเดินทางไป ดี.ซี. และก็มีการแนะนำที่พันทิพเปิดบริการ www.bloggang.com ให้ด้วยค่ะ ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ดี  นี่เป็นคำชี้แจงจาก webmaster ค่ะบัง ____________________ แต่ถ้าคุณเอื้องมองว่านั่นคือคำด่า ผมก็ต้องขออภัยด้วยครับ เรื่องคลังกระทู้ ผมได้รับแจ้งจากโปรแกรมเมอร์ว่า HDD ของเราเต็ม เขาจึงพักการโอนไฟล์ไปลงที่คัลงชั่วคราว ตอนนี้เราได้แก้ปัญหา HDD แล้ว กระทุ้ที่ค้างอยู่ ก็กำลังทะยอยไปลงคลัง เป้นความสัตย์จริง ไม่ได้โกหกเพื่อเอาตัวรอดแต่อย่างใด บางปัญหา เราไม่อาจจะชี้แจงทำให้เข้าใจได้ หลักฐานก็ให้ดูไม่สะดวก อยู่ที่ความไว้เนื้อเชื่อใจกันละครับ เดี๋ยวผมจะ fwd ให้ดูครับ ปล ที่พันทิปเราก็มีบริการ www.bloggang.com ครับ คิดว่าคุณเอื้องคงทราบแล้ว ลองใช้บริการดูก็ได้ครับ เร็วๆ นี้จะมีการอัพเกรด feature อีกระลอก ให้ถูกใจผู้ใช้ยิ่งขึ้น On Mon, 25 Jul 2005 08:14:42 -0300 ____________________ จริงๆแล้วไม่ต้องการพูดเรื่องนี้เลยค่ะเพราะเป็นเรื่องที่เอื้องคุยกับ webmaster สองคนแต่ที่ต้องพูดก็เพราะตัวเองมีศักดิ์ศรีและไม่ต้องการให้ใครมาเข้าใจผิดว่าเราโกหกและบังโมก็มักจะหยิบยกเรื่องนี้นำมาดิสเครดิตเอื้องอัยราวัณคนนี้อยู่บ่อยๆ ทั้งที่เอื้องก็เคยชี้แจงใ้ห้บังฟังมาครั้งหนึ่งแล้ว ทำไมนิสัย เด็กเลี้ยงแกะ ของบังแบบนี้ถึงแก้ไม่หายซะทีน๊าาา  5555+++ แก้ไขเมื่อ 18 ม.ค. 49 07:00:55 จากคุณ : เอื้องอัยราวัณ - [ 18 ม.ค. 49 06:55:29 ]