CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    "รัฐบาลพระราชทาน"ข้อควรคำนึงในการเรียกร้อง

    "รัฐบาลพระราชทาน"

    ข้อควรคำนึงในการเรียกร้อง

    วิถีการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของประเทศไทยเรานั้น มีที่มา วิวัฒนาการ และคุณลักษณะพิเศษต่างไปจากบ้านเมืองอื่นอยู่หลายประการ

    ด้วยเหตุนี้ หลายต่อหลายครั้ง เมื่อเกิดความขัดแย้งยุ่งยากใดๆ ในเมืองไทย อันก่อให้เกิดอารมณ์ที่ขุ่นหมองขึ้นในหัวจิตหัวใจ คนจำนวนไม่น้อยจึงหวังอ้างเอาพระบารมีปกเกล้าฯ เป็นที่พึ่ง

    จนในบางโอกาส อาจลืมนึกถึงหลักการตามครรลองของระบอบประชาธิปไตย ซึ่งเป็นระบอบที่เราเลือกใช้ และนิยมนับถือกันว่าดีที่สุดนั้น มีวิถีทางเฉพาะอย่างไร

    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต่อหลักการที่เรายอมรับกันโดยทั่วไปว่าพระมหากษัตริย์ทรงวางพระองค์เป็นกลาง และทรงสถิตเป็นหลักชัยอยู่เหนือการวิพากษ์วิจารณ์ทางการเมือง

    จะด้วยเหตุผลกลใดก็แล้วแต่ ในระยะนี้ ได้เกิดกระแสเรียกร้องรัฐบาลพระราชทานและนายกรัฐมนตรีพระราชทานขึ้นอย่างหนาหู เมื่อฟังเผินๆ ก็ดูคล้ายจะเป็นการแสดงออกซึ่งน้ำใจจงรักภักดี

    เช่น การกล่าวอ้างว่าสมควรจะถวายพระราชอำนาจคืนไปยังพระมหากษัตริย์ เพื่อจักได้พระราชทานพระบรมราชวินิจฉัยชี้ชัดเลือกสรรบุคคลผู้สมควรดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หรือคณะรัฐบาล สุดแต่พระราชอัธยาศัยทุกประการ

    ท่ามกลางกระแสดังกล่าว ก็เกิดประเด็นสงสัยขึ้นในใจใครหลายคนว่า สถานการณ์บ้านเมืองขณะนี้ เป็นจลาจลวุ่นวายถึงขั้นเรียกได้ว่าหมดหนทางเยียวยา กระทั่งกฎหมายสิ้นสภาพบังคับ ถึงขนาดว่าต้องรบกวนเพราะยุคลบาลให้พระองค์ต้องทรงตัดสินพระราชหฤทัย มีพระบรมราชวินิจฉัยชี้ขาดในทางการเมืองแล้วกระนั้นหรือ?

    นอกจากนี้ ยังเป็นการสมควรแล้วหรือไม่ที่เราจะปลุกกระแสเรียกร้องขอรัฐบาลพระราชทานจากพระมหากษัตริย์โดยไม่ขวนขวายหาทางแก้ปัญหาด้วยวิธีอื่นใดตามวิถีทางแห่งรัฐธรรมนูญ?

    รวมทั้งเกิดมีข้อควรคำนึงว่าการพระราชทานรัฐบาลในภาวะวิกฤต เฉกเช่นอดีตสมัยนั้น เป็นพระบรมราชวินิจฉัยที่พระราชทานมาเองในยามที่ทรงพระราชดำริเห็นสมควร มิใช่ธุระของผู้หนึ่งผู้ใดในการรบเร้าร้องขอ เช่นนั้นหรือไม่?

    การเรียกร้องรัฐบาลเช่นว่านั้น จะส่งผลดีต่อพระบรมเดชานุภาพของพระมหากษัตริย์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐของพวกเราชาวไทยหรือไม่ ...เป็นเรื่องที่น่าคิดคำนึง และยิ่งน่ากังวลใจ เมื่อพิจารณาอุทาหรณ์ในหลายประเทศ (ที่ไม่ได้ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย) เช่น บรูไน ซาอุดีอาระเบีย ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้ตั้งคณะรัฐบาลได้โดยพระราชอัธยาศัยของพระองค์เอง จะพบว่าสิทธิเสรีภาพของประชาชนในการตรวจสอบ หรือวิจารณ์รัฐบาลก็ดำเนินไปได้อย่างไม่ใคร่สะดวก

    และแน่นอนว่าเมื่อใดบุคคลที่ได้รับมอบหมายตามพระราชอัธยาศัยให้ดำรงตำแหน่งระดับสูงในคณะรัฐบาลดำเนินนโยบายผิดพลาด หรือถูกวิพากษ์วิจารณ์ด้วยเหตุผลใดๆ ก็ดี พระเดชานุภาพแห่งพระเจ้าแผ่นดินของประเทศเหล่านี้ก็ถูกกระทบกระเทือนโดยตรงเมื่อนั้น

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงวางบรรทัดฐานการวางพระองค์ของพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยของไทยเรานั้น ทรงถึงพร้อมด้วยพระปรีชาสามารถ แม้จะทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจตามกฎหมายและตามราชประเพณีหลายประการ แต่ก็ทรงบริหารพระราชอำนาจนั้นอย่างมีขอบเขต

    หากไม่จำเป็นอย่างยิ่งยวดแล้ว ก็หาได้ทรงนิยมใช้พระเดชเชิงบัญชาสั่งการทางการเมือง ตามลักษณะ "โองการ" ของเทวราชผู้ทรงอำนาจ หากแต่ทรงใช้พระคุณ โดยเฉพาะพระปัญญาคุณ และพระมหากรุณาธิคุณในลักษณะของธรรมิกราชผู้ทรงธรรมในการพระราชทานคำแนะนำและคำตักเตือนแก่ฝ่ายบริหารเป็นการภายใน เพื่อฝ่ายบริหารจะได้รับใส่เกล้าฯ มาพิจารณาเป็นแนวทางและใช้สติสำนึกในการปฏิบัติ

    นับเป็นจุดเชื่อมประสานวิถีประชาธิปไตยกับการมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขได้อย่างสมานสนิทลงตัว และเป็นหนทางที่ทำให้ทรงดำรงความเป็นกลางในทางการเมืองไว้ได้เสมอมิมีด่างพร้อย

    ในรัชกาลปัจจุบัน แนวพระราชดำริต่อหลักการที่ว่าในระบอบประชาธิปไตยนั้น พระมหากษัตริย์ทรงวางพระองค์เป็นกลางทางการเมือง ปรากฏในพระราชดำรัสที่พระราชทานสัมภาษณ์แก่ผู้สื่อข่าวในรายการพิเศษเรื่อง "The Soul of the Nation" ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ บีบีซี ไว้เมื่อพุทธศักราช 2522 ความว่า

    "เราพยายามวางตัวให้เป็นกลาง และร่วมมือโดยสันติวิธีกับทุกฝ่าย เพราะเชื่อว่าความเป็นกลางนี้จำเป็นสำหรับเรา..."

    ส่วนแนวพระราชดำริในหลักการที่ว่า พระมหากษัตริย์ทรงอยู่เหนือการเมืองนั้น ปรากฏแจ้งชัดในคราวที่มีการร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2517 ซึ่งได้ระบุให้ประธานองคมนตรี เป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการในการแต่งตั้งสมาชิกวุฒิสภา

    ในครั้งนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทาน บันทึกพระราชกระแสเรื่องร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2517 มีเนื้อความในข้อ 2 แสดงให้เห็นชัดเจนว่าทรงยึดถือตามหลักที่ว่าพระมหากษัตริย์ทรงอยู่เหนือการเมือง ทั้งยังไม่ทรงต้องพระราชประสงค์ที่จะให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งที่ทรงเลือก หรือทรงแต่งตั้งตามพระราชอัธยาศัย ไปเกี่ยวข้องพัวพันเสมือนหนึ่งองค์กรทางการเมือง

    ขออัญเชิญความตอนหนึ่ง จากบันทึกพระราชกระแสดังกล่าวที่เคยตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์สยามรัฐฉบับวันที่ 7 ตุลาคม 2517 มาเพื่อพิจารณาเป็นแนวทางใส่เกล้าฯ ดังต่อไปนี้

    "ตามมาตรา 107 วรรค 2 แห่งร่างรัฐธรรมนูญนี้ บัญญัติให้ประธานคณะองคมนตรีเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งสมาชิกวุฒิสภานั้น ไม่ทรงเห็นด้วยอย่างยิ่ง เพราะประธานองคมนตรีเป็นผู้ที่พระมหากษัตริย์ทรงเลือกและแต่งตั้งตามพระราชอัธยาศัยตามความในมาตรา 16 เป็นการขัดกับหลักที่ว่าพระมหากษัตริย์ทรงอยู่เหนือการเมือง (ในระบอบประชาธิปไตย) ทั้งจะทำให้ประธานองคมนตรีอยู่ในสภาพเหมือนเป็นองค์กรทางการเมือง ซึ่งขัดกับมาตรา 17 ด้วย"

    เพียงแนวคิดที่จะให้ประธานองคมนตรีซึ่งเป็นบุคคลที่พระองค์ทรงเลือกและแต่งตั้งตามพระราชอัธยาศัยเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการในการแต่งตั้งบุคคลทางการเมือง เช่น สมาชิกวุฒิสภา นั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ยังไม่ทรงเห็นด้วยอย่างยิ่ง

    ดังนี้ ผู้ที่กำลังเรียกร้องให้มีรัฐบาลพระราชทานอาจไม่ทันฉุกคิดก็เป็นได้ว่า "รัฐบาล" ตามวิถีทางแห่งระบอบประชาธิปไตย นั้นก็คือองค์กรทางการเมืององค์กรหนึ่ง ซึ่งย่อมถูกวิพากษ์วิจารณ์ ถูกเพ่งเล็งสงสัย และถูกตรวจสอบซักฟอกได้ หากมีข้อผิดพลาดในการตัดสินใจก็ดี หรือในปฏิบัติการใดๆ ก็ดี ความรับผิดชอบทั้งนั้นย่อมตกแก่คณะรัฐบาล

    "รัฐบาลพระราชทาน" ย่อมอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่จะต้องถูกเพ่งเล็งวิพากษ์วิจารณ์ได้โดยสาธารณชนดุจกันแล้วเราท่านไม่กังวลกันบ้างหรือว่า คำวิพากษ์วิจารณ์ต่อรัฐบาลพระราชทานหรือบุคคลในรัฐบาลนั้นๆ อาจจะกระทบกระเทือนล่วงละเมิดไปถึงองค์พระมหากษัตริย์ ผู้ทรงเป็นหลักชัยของประเทศ อันจะขัดต่อความในมาตรา 8 แห่งรัฐธรรมนูญ ที่ระบุว่า "องค์พระมหากษัตริย์ ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเลยมิได้"

    กล่าวโดยสรุปก็คือ การเรียกร้องรัฐบาลพระราชทานนั้นอาจทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ ต้องพัวพันเกี่ยวข้อง และรับผิดชอบโดยตรงในการตัดสินใจทางการเมือง ประหนึ่งเป็นองค์กรทางการเมืององค์กรหนึ่งไปเสียโดยไม่จำเป็น

    การใช้พระราชอำนาจในการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีพระราชทาน ในภาวะวุ่นวายทางการเมืองเช่นที่เคยมีมาในอดีตนั้น ล้วนบังเกิดด้วยพระราชญาณทัศนะอันรอบคอบและแยบคาย เพื่อแก้ไขภาวะจลาจลของบ้านเมืองที่จำเป็นเฉพาะหน้า

    เช่น เมื่อเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 จอมพลถนอม กิตติขจร นายกรัฐมนตรี ได้กราบถวายบังคมลาออกจากตำแหน่ง ทั้งนี้ หากจะรอให้มีการซาวเสียงกันในสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ก็จะเนิ่นช้าไป เพราะเหตุการณ์ในบ้านเมืองขณะนั้นยังวุ่นวายไม่น่าไว้วางใจนัก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนาย สัญญา ธรรมศักดิ์ องคมนตรี เป็นนายกรัฐมนตรี โดยมีประธานสภานิติบัญญัติลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ

    การตัดสินพระราชหฤทัยพระราชทานนายกรัฐมนตรีในภาวะวิกฤตเช่นนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้มีพระบรมราชวินิจฉัยสอดส่องเห็นสถานการณ์ล่อแหลมอันตรายของประเทศ ในเวลาที่สภาพการบังคับใช้กฎหมายตกอยู่ในภาวะปั่นป่วน เป็นสุญญากาศทางการเมือง แล้วจึงทรงแสดงพระราชบริหารในการนั้นออกมาด้วยดุลพินิจของพระองค์เอง เพื่อผลประโยชน์ของชาติเป็นสำคัญ มิได้เป็นด้วยกระแสรบเร้า "ตั้งเรื่อง" ขึ้นไปขอพระราชทานรบกวนเบื้องพระบรมบาทยุคล

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงเป็นที่เคารพสักการะอย่างสูงสุดของพวกเราชาวไทยทั้งหลายนั้น ทรงเป็นรัตตัญญูผู้รู้ราตรีนาน ทรงมีประสบการณ์ได้ทอดพระเนตรเห็นความเป็นไปในด้านการเมืองการปกครองของไทยในยุคสมัยประชาธิปไตยมามากที่สุด เพราะทรงพบพานกับสถานการณ์ทางการเมืองในรูปแบบต่างๆ มาตลอดระยะที่ทรงดำรงอยู่ในมไหสูรยราชสมบัติ นับถึงบัดนี้ได้ 60 ปี เนิ่นนานกว่ารัฐบาลทุกยุคทุกสมัยที่เพียงผ่านมาแล้วก็ผ่านไปในระยะเวลาอันสั้น

    อาณาราษฎรผู้ได้อาศัยพระบรมโพธิสมภารเป็นที่พึ่งจึงพึงตระหนักในความจริงข้อนี้ เพื่อให้เกิดความอบอุ่นใจและมั่นใจว่า เมื่อได้ทรงพระราชดำริตริตรองด้วยพระราชอัจฉริยภาพทั้งด้านนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์อันสุขุมคัมภีรภาพแล้วว่าบ้านเมืองเดือดร้อนแสนสาหัสถึงขนาด

    หากทรงพระราชดำริเห็นสมควรที่จะทรงแสดงพระราชบริหารในการใดไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม เพื่อความผาสุกของประชาชน พระพ่อเมืองของพวกเราย่อมไม่ทรงดูดาย

    และด้วยเดชะพระบารมีธรรม และพระราชอำนาจที่ยังทรงมีบริบูรณ์อยู่ตามนัยแห่งบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ กับทั้งพระบรมราชกุศโลบายอันล้ำเลิศ แน่นอนว่า สมเด็จพระบรมธรรมิกมหาราชาธิราชเจ้า พระองค์นั้น ย่อมทรงตัดสินพระราชหฤทัยได้ด้วยพระองค์เอง ที่จะเสด็จลงมาทรงบำราบยุคเข็ญ แก้ไขวิกฤตการณ์นานาได้ ตามสถานและกาลสมัยอันเหมาะสม

    ดังที่เคยปรากฏมีกรณีตัวอย่างให้เห็นประจักษ์อยู่แล้ว



    โดย ชัชพล ไชยพร อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

    ที่มา หนังสือพิมพ์ มติชน หน้า 7 ฉบับประจำวันที่ 12 ม.ค. 2549

    ***จากเวปไซต์ http://www.sondhi-mgr.com/webboard/cont.php?id=114***

    จากคุณ : enudumdum - [ 17 ม.ค. 49 10:35:48 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป