โศกนาฏกรรมของผู้บริโภคสื่อไทย
20 มกราคม 2549 18:37 น.
ไอทีวี...จากสถานีเพื่อสาธารณะ สู่มือ "ชินคอร์ป" สู่มือสิงคโปร์
อยากรู้ว่า "กองทุนรัฐบาลสิงคโปร์" เข้ามาครอบงำเมืองไทยอย่างน่ากลัวเพียงใด หาอ่านจาก Bizweek รายสัปดาห์ของกรุงเทพธุรกิจฉบับวางแผงเมื่อวานนี้ เจาะลึกข้อมูลที่คนทั่วไปไม่เคยรู้มาก่อน
Bizweek ขุดคุ้ยแล้วได้ข้อมูลว่า กองทุนรัฐบาลสิงคโปร์เข้ามาแฝงตัวอยู่ในพอร์ตของตลาดหุ้นไทยถึง 1.08 แสนล้านบาท เป็นการฝังรากในตลาดหลักทรัพย์ไทย ก่อนที่จะเดินแผนกินรวบหุ้น SHIN ของครอบครัวนายกฯ หลังจากฟันกำไรเฉพาะหุ้น ADVANCE ตัวเดียว 45,900 ล้านบาท เพราะต้นทุนในพอร์ตแค่หุ้นละ 23 บาท
ช่วง 5 ปี สิงคโปร์กวาดเงินปันผลหุ้น ADVANCE กับ SHIN และ CSL ไปอีก 8,763 ล้านบาท
ดังนั้น ทีมข่าวที่ไปเจาะเรื่องนี้จึงสรุปให้ฟังอย่างน่าทึ่งว่า รวมกันแล้วกองทุนรัฐบาลสิงคโปร์ได้เก็บกำไรตุนในกระเป๋าเฉียด 5.5 หมื่นล้านบาท
จึงไม่เป็นการเลยความเป็นจริงที่จะบอกว่าการเทคโอเวอร์ "ชินคอร์ป" คราวนี้ จึงเสมือนเป็นการได้กิจการยักษ์นี้มาฟรีๆ ด้วยกำไรจากส่วนต่างราคาหุ้น และปันผลบนหน้าตัก ขณะเดียวกัน ก็ปูทางลงให้ครอบครัวนายกฯ ไทย...ทำนอง "สมบัติผลัดกันชม"
อยากทราบรายละเอียดเรื่องทั้งหมด ว่าด้วย "deal ประวัติศาสตร์" ของไทยครั้งนี้ รีบไปหา Bizweek มาอ่านเสีย
ประเด็นคำถามสำคัญและละเอียดอ่อนยิ่งที่แทรกเข้ามากับ "ดีล" ของชินคอร์ปครั้งนี้ คือสัมปทานเอาคลื่นความถี่ของรัฐ (แปลว่าประชาชน, ไม่ใช่ของรัฐบาล) อย่าง "ไอทีวี" ไปอยู่ในการซื้อขายระหว่าง "เทมาเซค" ของสิงคโปร์กับ "ชินคอร์ป"
ต้องถือว่าเป็นเรื่องไม่ชอบมาพากลอย่างยิ่งที่ชินคอร์ปจะเอาสถานีโทรทัศน์ของไทยไปขายรวมอยู่ใน "ดีล" ครั้งนี้ด้วย เพราะต่างชาติไม่มีสิทธิที่จะเป็นเจ้าของหรือบริหารหรือทำกำไรจากคลื่นความถี่ของประชาชนคนไทย
แม้เพียงแค่ให้ไอทีวีอยู่ใน "ดีล" ครั้งนี้ และอ้างว่าเทมาเซคจะเสนอขายคืนกิจกรรมอื่นที่ไม่ใช่โทรศัพท์มือถือ, ก็ต้องถือว่าต่างชาติเกิดมีอำนาจต่อรองและทำกำไรจากการได้สิทธิใช้สัมปทานรัฐว่าด้วยคลื่นความถี่นี้จาก "ชินคอร์ป" ขึ้นมาทันที
แปลว่า รัฐบาลสิงคโปร์มีสิทธิจะกำหนดและตัดสินว่าจะขายไอทีวีให้ใครก็ได้ เป็นอำนาจที่ได้จากการที่ "ชินคอร์ป" ยอมเสนอตัวเอาทรัพย์สินสมบัติที่ได้จากสัมปทานรัฐไปเสนอต่อกองทุนรัฐบาลสิงคโปร์อย่างน่าสงสัยคลางแคลงยิ่งนัก
ตามข้อมูลของตลาดหลักทรัพย์ล่าสุด บริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) มีผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุดรายเดียวคือ ชินคอร์ป ซึ่งถืออยู่ร้อยละ 53 ของหุ้นทั้งหมด โดยที่เบอร์สองที่ถืออยู่ 9.13 เปอร์เซ็นต์ คือกองทุนเปิด ไทยพาณิชย์ไทยแลนด์รีคัฟเวอรี่ฟันด์ นอกนั้นเป็นผู้ถือหุ้นรายย่อยต่ำกว่า 1 เปอร์เซ็นต์ทั้งสิ้น
วันนี้ ไอทีวีกำลังจะกลายเป็นสมบัติในพอร์ตหุ้นของรัฐบาลสิงคโปร์ มีอำนาจจะตั้งราคา, จะเสนอขายใครหรือไม่ขายใครก็ได้, โดยที่ชินคอร์ปยังไม่เคยอธิบายกับประชาชนคนไทยเจ้าของคลื่นความถี่และเจ้าของกระบวนการสื่อสารในประเทศว่า กำลังเกิดอะไรขึ้นกับสัมปทานดาวเทียม, โทรศัพท์มือถือ, และสถานีโทรทัศน์ที่มีผลกระทบต่อความมั่นคง, เสถียรภาพทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศเป็นอย่างยิ่ง
ไอทีวีเกิดมาด้วยอุดมการณ์ของประชาชนหลังเหตุการณ์พฤษภาคมทมิฬ ต้องการให้ประชาชนคนไทยมีสถานีโทรทัศน์เอกชนที่ไม่ขึ้นอยู่กับอำนาจรัฐ เพื่อรับใช้ข่าวสารอย่างซื่อสัตย์ต่อประเทศ
ต่อมาเจ้าหนี้ธนาคารเอาไอทีวีไปขายให้ "ชินคอร์ป" กลายเป็นธุรกิจครอบครัว ทำทีวีเพื่อผลกำไรเป็นเป้าหมายหลัก
วันนี้ "ชินคอร์ป" ใช้ไอทีวีเป็นหนึ่งในเครื่องมือธุรกิจที่จะขายให้ได้กำไรสูงสุด...และตกไปอยู่ในมือต่างด้าวสิงคโปร์แล้ว
วิญญาณของผู้เรียกร้องความเป็นธรรมในเหตุการณ์พฤษภาคมทมิฬจะรู้สึกอย่างไรครับ?
จาก กาแฟดำ กรุงเทพธุรกิจ
จากคุณ :
batseboy
- [
21 ม.ค. 49 10:40:26
]