ในปี 2549 ข่าวการขายหุ้นของตระกูลชินวัตรให้เทมาเซคหรือบริษัทด้านการลงทุนของรัฐบาลสิงค์โปร์คงจะได้เป็นข่าวใหญ่ติดอันดับท๊อป 5 ประจำปีนี้ของประเทศไทยอย่างแน่นอน เพราะผู้ขายคือครอบครัวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกฯ คนที่ 23 ของประเทศไทย และด้วยจำนวนเงินมหาศาลถึง 7 หมื่นล้านบาท หรือ ถ้าเอาแบงค์พันบาทขนาด 16 * 7 ซม. มาปูจะได้พื้นที่กว่า 7 แสน 8 หมื่นตารางเมตร หรือมากกว่า 480 ไร่ ! หรือเกือบครึ่งหนึ่งของที่ดินที่ นางเนื่อม ชำนาญชาติศักดา ซึ่งได้ทำพินัยกรรม ฉบับลงวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๑๒ ยกที่ดินให้กับวัดธรรมิการามวรวิหาร ซึ่งในปัจจุบันเป็นที่ตั้งของสนามกอลฟ์อัลไพน์นั่นเอง !
สำหรับการขายหุ้นด้วยจำนวนเงินมหาศาลขนาดนี้ ท่านย่อมต้องตระหนักดีถึงในสองประเด็นหลักก็คือ 1) จะขายหุ้นที่ไหนอย่างไรเพื่อเกิดค่าใช้จ่ายและเสียภาษีให้น้อยที่สุด 2) เมื่อได้เงินมาแล้วจะคงสภาพเงินก้อนนี้อย่างไรเพื่อให้เกิดความสุ่มเสี่ยงน้อยที่สุด
ตามกฎกระทรวงฉบับที่ 126 ข้อ 2 (23) เงินได้จากการขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยให้ได้รับการยกเว้นภาษี
แน่นอนถ้าครอบครัวของท่านขายหุ้นชินวัตรในตลาดหลักทรัพย์ประเทศไทย ท่านจะไม่เสียภาษีจากกำไรในการขายหุ้น หรือ Capital Gain แม้แต่บาทเดียว ท่านอาจจะต้องเสียค่าคอมมิสชั่นซึ่งไม่เกินร้อยละ 0.2675 หรือ ไม่เกิน 187 ล้านบาท ซึ่งโดยทั่วไปพวกโบรกเกอร์จะลดค่าคอมมิสชั่นให้อยู่แล้วสำหรับ Big Lot
และถ้าท่านขายหุ้นดังกล่าวนอกตลาดหลักทรัพย์ และไปโอนขายกันที่สิงค์โปร์ ท่านจะเสียภาษีจาก Capital Gain ไม่น้อยกว่า 2 หมื่นล้าน และยังต้องเสียภาษีอากรแสตมป์ในสัญญาโอนหุ้นอีกพันละหนึ่งบาท หรือ 70 ล้านบาท ดูยังไงท่านคงไม่เลือกทางนี้แน่นอน เพราะประวัติของท่านเป็นคนที่ชอบพูดให้คนอื่นฟังว่าตัวเองเป็นคนรักชาติ เพียงแต่ในความเป็นจริงท่านเป็นคนไม่ค่อยชอบเสียเงินให้รัฐเท่าไหร่ ทั้งยกเลิกจ่ายสัมปทานมือถือเปลี่ยนเป็นภาษีสรรพสามิตและให้ประชาชนจ่ายแทน ยกเว้นภาษี 8 ปี 1.6 หมื่นล้านบาทจากการลงทุนดาวเทียม ลดค่าสัมปทานไอทีวี 1.7 หมื่นล้าน หรือลดค่าเทียบท่าเมื่อ แอร์เอเชีย เปิดทำการวันแรก เป็นต้น
อย่างไรก็ตามการที่ท่านจะขายหุ้นผ่านตลาดหลักทรัพย์ท่านก็จะเกิดความสุ่มเสี่ยงที่ว่าเงิน 7 หมื่นล้านบาทที่สามารถเอามาปูได้พื้นที่กว่า 7 แสน 8 หมื่นตารางเมตร จะเอาออกนอกประเทศอย่างไร เพราะถ้าเงินก้อนนี้อยู่ในประเทศไทยล้วนแต่มีความสุ่มเสี่ยงทุกเสี้ยววินาที ทั้งกลุ่มสนธิที่กำลังจ้องล้มรัฐบาล ทั้งปัญหาคอรัปชั่นที่ต้องกลบกระแสด้วยกลยุทธ Wag the Dog รายวัน อย่างรายเลียลิตี้โชว์ ขับมอเตอร์ไซค์บนถนนหลวงไม่สวมหมวกกันน๊อค แจกเงินมือเป็นระวิง หรือ เสริฟ์ท่านด้วยน้ำส้มใส่แก้วไวน์ขณะสอนหนังสือเด็ก อ.อาจสามารถ (ดูรูปได้จากคมชัดลึก)
อย่างไรก็ตามปัญหานี้ค่อนข้างง่าย เพราะแค่ท่านเปิดบริษัทสักแห่งในสิงค์โปร์ ประเทศหุ้นส่วนของท่าน และให้บริษัทดังกล่าวเรียกหุ้นทุนเท่ากับจำนวนเงินและวันเดียวกันกับที่ขายหุ้นชินวัตรได้ และฝากเงินไว้ที่นั่น แค่นี้เงินของท่านก็ปลอดภัยไร้กังวลแล้ว อย่างมากก็ถูกครหาว่ารักชาติน้อยกว่าคนอื่น ซึ่งก็เป็นแค่ลมปาก ซึ่งก่อนหน้านี้เรื่องร้ายๆ กว่านี้ท่านก็ฝ่ามาแล้ว
และที่เป็นไปได้มากก็คือ สรรพากรอาจตีความเข้าข้างท่าน ซึ่งข้อนี้ก็เป็นไปแล้วกรณีที่ท่านโอนหุ้นให้คนใช้ คนขับรถ แล้วไม่ต้องเสียภาษี หรือในปี 2545 ทางกรมสรรพากรได้มีคำวินิจฉัยภาษีอากรในกรณีที่คุณหญิงพจมาน ภริยานายกรัฐมนตรี ขายหรือโอนหุ้นชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด โดยไม่ผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ให้กับนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ ว่าผู้รับโอนไม่จำเป็นต้องนำเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (4) (ช) ตามประมวลรัษฎากรมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จนกว่าผู้รับโอนจะขายหุ้นดังกล่าวไปโดยได้รับประโยชน์ และถ้านายบรรณพจน์ นำหุ้นชินคอร์ปที่ได้รับโอนมาขายในตลาดหลักทรัพย์ก็จะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้ ตามมาตร 42 (17) และกฎกระทรวงฉบับที่ 126 ข้อ 2 ซึ่งผู้ที่ขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์จะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้
หรืออีกอย่างท่านสามารถออก พรก. ให้ยกเว้นภาษีเป็นพิเศษให้ตรงกับกรณีที่ท่านกำลังจะทำ ซึ่งเป็นไปได้....แต่ค่อนข้างยากเพราะใช้เวลาพอสมควร และอาจถูกวิจารณ์ค่อนข้างหนัก
บทสรุป ..... หลังจากการขายหุ้นชินวัตร ไม่ว่าท่านมีเงินแค่ไหน ท่านจะเสียภาษีแค่ไหน ชิวิตคนไทยไม่รู้ว่าจะเปลี่ยนไปอย่างไร แต่ที่แน่ๆ สิงค์โปร์กำลังเป็นเจ้าของเศรษฐกิจไทยผ่านตลาดทุน และผ่านความอนุเคราะห์ของท่านในฐานะพันธมิตรทางธุรกิจมาช้านาน
สิงค์โปร์เข้ามาถือครองธุรกิจมากมายในประเทศไทย จากธุรกิจธนาคาร ถึงกลุ่มสื่อสาร ธนาคารจากสิงค์โปร์ทั้ง ยูโอบี ดีบีเอส ก็ได้เป็นเจ้าธนาคารไทยอยู่หลายแห่ง ทั้ง ไทยทนุ แบงค์เอเชีย ไทยธนาคาร ธนาคารทหารไทย และขณะนี้สิงค์โปร์กำลังจะครองเครือค่ายสื่อสารที่ใหญ่ที่สุดของประเทศอย่างเป็นทางการ และนอกจากนี้ยุทธศาสตร์ทางทหารได้อยู่ในความสุ่มเสี่ยงทางทหารจากการอนุญาตให้ใช้อุบลฯเป็นฐานฝึกบินของนักบินสิงค์โปร์
ผมว่าคนสิงค์โปร์น่าจะรักท่านมากกว่าคนในหมู่บ้านที่ท่านไปทำรายการเลียลิตี้โชว์เมื่อ 5 วันที่ผ่านมาเสียอีก
จากคุณ :
SAC
- [
21 ม.ค. 49 19:23:39
]