CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    แด่ "ศรีธนญชิน" คนไทยไม่ได้กินแกลบ

    จากมติชน

    โดย วันชัย ตัน

    9 กุมภาพันธ์นี้เป็นวันครบรอบ 5 ปี ที่คุณทักษิณ ชินวัตร หัวหน้าพรรคไทยรักไทย สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จในปี 2544

    ก่อนหน้าที่คุณทักษิณจะเป็นนายกรัฐมนตรี ราคาหุ้นของบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น ของครอบครัว "ชินวัตร" ในตลาดหลักทรัพย์มีราคาเคลื่อนไหวประมาณหุ้นละ 21 บาท

    หุ้นของบริษัทเอไอเอสเจ้าของโทรศัพท์มือถือระบบจีเอสเอ็มมีราคาเคลื่อนไหวประมาณหุ้นละ 44 บาท ขณะที่หุ้นของบริษัทคู่แข่งด้านโทรคมนาคมอย่างหุ้นบริษัทยูคอม เจ้าของดีแทคราคาห่างกันไม่มากคือหุ้นละ 38 บาท และหุ้นบริษัททรูหรือทีเอในอดีตราคาหุ้นละ 24 บาท

    5 ปีผ่านไปภายใต้การบริหารประเทศของคุณทักษิณ หุ้นของบริษัท ชินคอร์ป มีราคาพุ่งขึ้นเป็นหุ้นละ 48 บาท หุ้นเอไอเอสราคาพุ่งสูงถึงหุ้นละ 106 บาท ขณะที่หุ้นยูคอมมีราคาหุ้นละ 47 บาท แต่หุ้นบริษัททรูตกต่ำลงเหลือหุ้นละ 11 บาท

    5 ปี ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รัฐบาลเอื้อประโยชน์ให้หุ้นของตระกูลชินวัตรพุ่งติดจรวดขึ้นสูงสุด จนเมื่อคาดว่าหุ้นเหล่านี้คงจะไม่สามารถทำกำไรไปมากกว่านี้แล้ว ในภาวะที่รัฐบาลไทยรักไทยที่เคยได้รับความนิยมกำลังอยู่ในช่วงขาลง

    สิ่งที่ครอบครัวชินวัตรรอคอยก็มาถึง

    ช่วงเทศกาลปีใหม่ที่ผ่านมา ครอบครัวของนายกรัฐมนตรีผู้ถือหุ้นใหญ่บริษัท ชินคอร์ป เดินทางไปสิงคโปร์หลายวันท่ามกลางข่าวลือว่าจะมีการขายหุ้นให้สิงคโปร์

    แต่นายกฯก็ออกมาปฏิเสธว่า

    "ไม่มีเลย เดินช็อปปิ้ง กินข้าวสนุกสนานอยู่กับลูกกับเมีย"

    แต่พอถูกนักข่าวสัมภาษณ์หนักเข้าเกี่ยวกับการขายหุ้นชิน คอร์ป จนทำให้ราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์มีการเคลื่อนไหวผิดปกติ โดยที่ทางตลาดไม่ได้ทำอะไรเลย คุณทักษิณก็พูดออกมาหน้าตาเฉยว่า

    "ไม่ทราบ ต้องไปถามลูกผม ไม่ใช่มาถามผม"

    พอนักข่าวรุกถามต่อไปว่าทำไมมีข่าวลือออกมาตลอดเวลา คุณทักษิณก็พูดว่า

    "คนมันอยากเขียน เขียนอะไรก็ได้ คนมันอยากกุข่าว กุอะไรก็ได้ แต่ผมยังไม่พบใครเลย"

    จนเมื่อวันที่ 20 มกราคม ได้มีสัญญาณบอกเหตุเมื่อค่าเงินบาทแข็งขึ้นผิดปกติ ทำให้ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ออกมาเปิดเผยว่า เป็นเพราะมีการโอนเงินจำนวนมหาศาลจากต่างประเทศ เพื่อมาชำระการซื้อหุ้น

    แต่วันนั้นคุณทักษิณก็ยังออกมาปฏิเสธว่า "ไม่รู้ เพราะไม่ได้ชำระ"

    พอหนังสือพิมพ์ลงข่าวกระหึ่มรู้กันทั้งเมืองว่า ผู้ที่จะมาซื้อหุ้นชิน คอร์ป คือ กลุ่มเทมาเส็กจากประเทศสิงคโปร์ คุณทักษิณก็แสดงความไร้เดียงสาออกมาว่า

    "ไม่รู้ต้องไปถามลูก ผมไม่ใช่เจ้าของหุ้น ลูกเป็นเจ้าของ...ผมไม่เคยแนะนำลูก มีแต่ลูกแนะนำผม ผมยังขอเงินเมียใช้อยู่เลย"

    ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันที่ 9 มกราคม รายงานว่า นายพานทองแท้ ชินวัตร ลูกชายของนายกรัฐมนตรีกล่าวในงานเลี้ยงสังสรรค์ของพนักงานชิน คอร์ป ว่า "ไม่รู้เรื่องการขายหุ้นดังกล่าว เพราะเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ หากผู้ใหญ่ขายก็คงจะขายตาม"

    คุณทักษิณปฏิเสธการขายหุ้นชิน คอร์ป มาตลอด ราวกับว่าต้องการรอให้การแก้ไข พ.ร.บ.โทรคมนาคมให้ต่างชาติเป็นเจ้าของธุรกิจโทรคมนาคมที่ถือเป็นความมั่นคงของชาติ จากการถือหุ้น 25% เป็น 49% มีผลบังคับใช้ในวันจันทร์ที่ 23 มกราคมเสียก่อน

    และวันนั้นเอง คนไทยทุกคนก็ได้รับรู้ถึงการขายหุ้นครั้งประวัติศาสตร์ระหว่างผู้ถือหุ้นใหญ่ของชิน คอร์ป ประกอบด้วย น.ส.พิณทองทา ชินวัตร นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ นายพานทองแท้ ชินวัตร น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และนางบุษบา ดามาพงศ์ ได้ขายหุ้นทั้งหมด 1,487,740,120 หุ้น ให้กับบริษัทตัวแทนของเทมาเส็กจากสิงคโปร์ ในราคาหุ้นละ 49.25 บาท และตระกูลชินวัตรรับทรัพย์ไปเต็มๆ 73,300 ล้านบาท

    เมื่อนักข่าวไปถามคุณทักษิณถึงสาเหตุการขายหุ้นของบุคคลในครอบครัว นายกรัฐมนตรีของไทยตอบด้วยความน่ารักน่าเอ็นดูว่า

    "ลูกๆ อยากให้พ่อสบายใจ ทำงานการเมืองได้เต็มที่ รู้ว่าพ่ออยากทำงานจึงอยากให้พ่อทำงานได้เต็มที่ นั่นคือสิ่งที่ลูกๆ เขาตกลงใจกัน"

    พอนักข่าวถามว่า ทำไมไม่ขายหุ้นตั้งแต่เมื่อห้าปีก่อนที่จะเข้ารับตำแหน่ง เพื่อป้องกันข้อครหาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน คุณทักษิณเริ่มมีอาการหงุดหงิดกล่าวว่า

    "อันนี้รับออเดอร์จาก บ.ก.สั่งให้มาถาม รู้สึกจะเป็นคำถามมาตรฐานคล้ายๆ กัน"

    แต่เมื่อนักข่าวยืนยันว่าไม่ใช่คำถามจาก บ.ก. แต่สังคมต้องการคำตอบจากเรื่องนี้ คุณทักษิณก็เฉไฉไปอีกว่า

    "ปัดโธ่ ก็บอกแล้วไงว่าเงิน 7 หมื่นล้านบาท ไม่ใช่ใครจะมาซื้อง่ายๆ คนมีสตางค์มีกี่คนในโลกนี้ใช่ไหม มันไม่ใช่ขนมเข่งนี่ เดินเข้าไปในตลาดจะขายได้"

    พอนักข่าวถามต่อว่า การซื้อขายหุ้นครั้งนี้มีเจตนาเลี่ยงภาษีหรือไม่ เพราะใช้ช่องว่างของกฎหมายทำให้ไม่ต้องจ่ายภาษีแม้แต่บาทเดียวเลย ประสานเสียงกับอธิบดีกรมสรรพากรและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังก็ออกมายืนยันว่าไม่ต้องเสียภาษี คุณทักษิณได้ตอบคำถามว่า

    "อะโธ่..ผมทำอย่างตรงไปตรงมา ผมตัวเบ้อเร่อเท่อ ผมไม่ทำอย่างตรงไปตรงมาได้ยังไง โธ่..ผมตัวเล็กๆ ที่ไหน มันลอดเล็ดได้ที่ไหน ผมตัวเบ้อเร่อเท่อยิ่งต้องตรงไปตรงมา"

    นี่คือคำพูดของบุคคลที่เป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย ผู้รับผิดชอบต่ออนาคตของประเทศ แต่บัดนี้ความน่าเชื่อถือในคำพูดได้ล้มละลายไปโดยสิ้นเชิงแล้ว

    เพราะคุณทักษิณไม่เคยตอบคำถามนักข่าวอย่างตรงไปตรงมา ไม่เคยแยกแยะว่ากำลังทำหน้าที่ผู้นำประเทศหรือทำหน้าที่นักธุรกิจ การตอบคำถามในประเด็นขายหุ้นชิน คอร์ป จึงกลายเป็นคำตอบแบบเด็กเล่นขายของ

    ที่ผ่านมาคุณทักษิณอาจจะคิดว่าคนไทยทั่วไปกินแกลบ ว่านอนสอนง่าย พูดอะไรคนไทยก็เชื่อหมด

    แต่เหตุการณ์การขายหุ้นมูลค่า 73,000 ล้านบาท เข้ากระเป๋าครอบครัวชินวัตร และคำพูดกลับไปกลับมาของคุณทักษิณตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมา ได้ทำให้คนไทยจำนวนมากเพิ่งตาสว่าง และเริ่มเข้าใจคำว่า "ซุกหุ้น โอนหุ้น ผลประโยชน์ทับซ้อน คอร์รัปชั่นแบบบูรณาการ ทุจริตเชิงนโยบาย โกงทั้งโคตร แด-กันจัง" ไปจนถึง "อัครยำประเทศ" ไม่ใช่คำกล่าวหาที่เลื่อนลอยอีกต่อไป

    คุณทักษิณทำให้คนไทยตาสว่างขึ้นมาว่า สาเหตุที่ทำให้บริษัทเอไอเอสมีรายได้ปีละ 90,000 ล้านบาท ทิ้งคู่แข่งขาดกระจุย เพราะได้รับผลประโยชน์จากการ พ.ร.ก.จัดเก็บภาษีสรรพสามิตกิจการโทรคมนาคมมากที่สุด จากเนื้อหาใน พ.ร.ก.กีดกันคู่แข่งรายใหม่ที่จะเข้ามาแข่งขัน

    "ชิน แซทเทลไลท์" ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้จากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) คิดเป็นเงิน 16,000 ล้านกว่าบาท มิหนำซ้ำธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้ายังถูกผู้มีอำนาจบีบบังคับให้เอาเงินภาษีของคนไทย 4,000 กว่าล้านบาท ไปปล่อยให้กับบริษัทโทรคมนาคมของพม่าที่มาซื้อบริการดาวเทียมของชินแซทฯ และบริษัทแห่งนี้เป็นของผู้นำพม่าที่ปัจจุบันหมดอำนาจไปแล้ว จึงไม่แน่ใจว่าบริษัทนี้ยังอยู่สบายดีหรือไม่

    ไม่รวม "แอร์เอเชีย" ธุรกิจหนึ่งของครอบครัวชินวัตรที่สามารถไปแย่งเส้นทางที่ทำกำไรจากการบินไทยได้ง่ายดาย และล่าสุดอนาคตของสนามบินดอนเมืองมีแนวโน้มจะเป็นสนามบินของโลว์คอสแอร์ไลน์ ซึ่งแน่นอนว่าบริษัทที่ได้ประโยชน์สูงสุดคือแอร์เอเชีย

    นี่คือหนังตัวอย่างเล็กน้อยที่คนไทยเริ่มเงี่ยหูฟังมากขึ้นว่า ลำพังทำธุรกิจธรรมดา ไม่มีเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน ไม่ได้ใช้อำนาจทางการเมืองกลั่นแกล้งคู่แข่งทางธุรกิจ จะสามารถสร้างเนื้อสร้างตัวได้เกือบแสนล้านเชียวหรือ

    ก่อนเป็นนายกรัฐมนตรี คุณทักษิณพูดเสมอว่า "ผมรวยแล้ว ผมพอแล้ว"

    5 ปีผ่านไป เราคงรู้แล้วสิว่าคนไทยแข็งแรงขึ้นหรือชินวัตรแข็งแรงขึ้นกันแน่

    และขอบคุณ "ศรีธนญชิน" ที่ทำให้คนไทยไม่ได้กินแกลบอีกต่อไป

    จากคุณ : batseboy - [ 29 ม.ค. 49 15:14:52 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป