PANTIP.COM : P4080562 +++ ยาพารา ที่สนธิบอก รพ.รัฐจ่ายมีแต่แป้ง ความจริงแล้ว...+++{แตกประเด็นจาก P4079494} [การเมือง]

ความคิดเห็นที่ 21

ยาพาราต้องผสมแป้งถูกนะ แต่ไปถามคนที่เรียนเภสัชดีกว่า แล้วจะรู้ว่ายาไทยกับยาฝรั่งต่างกันยังไง

จากคุณ : สะเหร่อคุง - [ 5 ก.พ. 49 22:24:05 ]

งั้นคนเรียนเภสัช ขอตอบแล้วกันค่ะ

สิ่งที่แตกต่างกันระหว่างยาไทยกับยาฝรั่ง ซึ่งในที่นี้เราจะเรียกว่าlocal made prodoct (LM) หมายถึงยาที่มีการผลิตในประเทศไทย กับ Original (OG) ซึ่งเป็นยาที่ผลิตโดยบริษัทต่างชาติผู้คิดค้นตัวยาสำคัญก็แล้วกันนะคะ เพราะว่าถ้าเรียกกันว่ายาฝรั่งอาจหมายรวมถึงยา LM ที่ทำในต่างประเทศก็ได้ ดังนั้นจะไม่กล่าวถึงแล้วกันค่ะ เพราะว่าในต่างประเทศก็มีบริษัทยาเยอะแยะ ประเทศไทยก็นำเข้าจากบริษัทเหล่านั้นอยู่เหมือนกันค่ะ ความแตกต่างของ LM กับ OG ก็คือ
1. OG มีการวิจัยและพัฒนามานานตั้งแต่การค้นหาตัวยาใหม่ๆ ศึกษาประสิทธิภาพในการรักษาโรคและพิษของยาทั้งในหลอดทดลองและในสัตว์ทดลอง รวมถึงการศึกษาวิจัยในมนุษย์จนมั่นใจแล้วว่ายานี้สามารถรักษาได้จริงและมีความเป็นพิษน้อยจนสามารถผลิตจำหน่ายได้ ซึ่งทำให้ต้องใช้ต้นทุนในการวิจัยและพัฒนามาก จึงมีการจดสิทธิบัตรขึ้นมาคุ้มครอง แต่ก่อน LM สามารถที่จะ copy ยานั้นได้ทันที แต่เนื่องจากกฎหมายสิทธิบัตรทำให้ LM บ้านเราจึงต้องพัฒนาตามหลัง 10-20 ปี การใช้ยาตามหลังมีข้อดีก็คือ ยานั้นได้ทดลองใช้กับมนุษย์มาตั้ง 10-20 ปีจนมั่นใจแล้วว่ามีประสิทธิภาพและมีผลข้างเคียงต่ำ แพทย์สามารถสั่งจ่ายได้อย่างชำนาญ มีเภสัชตำรับเขียนมารับรองวิธีการวิเคราะห์ควบคุมคุณภาพแล้วจนเป็นที่ยอมรับกันทั่วโลก การทำ LM ในบ้านเราก็จะมีขั้นตอนตั้งแต่การสั่งซื้อวัตถุดิบจากต่างประเทศเข้ามา ตั้งตำรับ ทดสอบและทดลองผลิต ศึกษาคุณสมบัติทางกายภาพ เคมี และศึกษาเปรียบเทียบชีวสมมูลในมนุษย์ ว่ามีค่าเภสัชจลนศาสตร์เหมือนหรือคล้ายกับยาต้นแบบอย่างไร ต้นทุนการวิจัยจึงใช้ต่ำกว่ายา OG แต่ในฐานะเภสัชกรผู้พัฒนาสูตร จะพัฒนาสูตรให้ได้ดีขนาดไหนนั้น ก็ย่อมขึ้นอยู่กับประสบการณ์และความรู้ในการเลือกสรรสารช่วยต่างๆ มาประกอบกันเพื่อให้ได้ยาที่มีการละลายตัวดี การดูดซึมดี มันก็เหมือนทำอาหารแหล่ะค่ะ ไม่ใช่ว่าคนอิตาลีจะทำพิซซ่าอร่อยอยู่ชาติเดียวเท่านั้น ให้คนไทยทำพิซซ่าก็ได้ บางทีการปรุงแต่งรสชาติอาจถูกปากคนไทยด้วยกันมากกกว่า ดังนั้นจะเห็นได้ว่า ยาใหม่ๆ ที่บริษัทบ้านเราผลิตออกมาจะมีการศึกษาชีวสมมูลในคนไทย เพื่อเป็นการยืนยันว่ามีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับ OG
2. วัตถุดิบที่ใช้ คุณภาพของแหล่งวัตถุดิบในโลกนี้มีความแตกต่างกันอย่างมาก OG มักมีแหล่งวัตถุดิบที่เป็นมาตรฐานอยู่แล้วและไม่เปลี่ยนแปลงอะไรง่ายๆ กระบวนการสังเคราะห์วัตถุดิบได้ถูกศึกษาอย่างต่อเนื่อง จนมักจะเห็นสิทธิบัตรใหม่ในการสังเคราะห์ยาเสมอๆ แต่ LM จะพยายามหาแหล่งวัตถุดิบที่ราคาต่ำๆ แต่มาตรฐานพอใช้ได้ แบบว่า ต้องผ่านการควบคุมคุณภาพ อาจไม่ดีมากแต่ถูก มาใช้ในการผลิต ดังนั้นทำให้ LM จึงพบปัญหาในการผลิตค่อนข้างบ่อย ทำให้ต้องปรับโน่นปรับนี่ตลอดเวลา อันนี้ไม่เถียงเรื่องการสังเคราะห์นะคะ วัตถุดิบจากจีน หรืออินเดีย บางแหล่งก็ดีจน OG ต้องใช้ก็มี อย่ามองแต่ว่า อเมริกาดี ยุโรปดี บริษัทขายวัตถุดิบบางแห่งเป็นประเภทยี่ปั๊ว รับซื้อจากจีนมาวิเคราะห์ที่อิตาลี ติดตราอิตาลีมาขายก็เยอะ การสังเคราะห์นักเคมีทุกคนย่อมรู้ว่า มีหลายวิธีการให้ได้มาซึ่งผลิตภัณฑ์เหมือนกัน การใช้คะตะลิตส์แตกต่างกันย่อมให้ %yield ที่แตกต่างกัน วิธีใครวิธีมัน พูดกันเรื่อง Isomer ของสารกันดีกว่าว่า บริษัทไหนเจ๋งจริงที่สามารถแยกได้ว่า Isomer ไหนมีผลต่อการรักษา Isomer ไหนมีผลข้างเคียง และแยกอันดีมาขายได้ในปริมาณที่สูงกว่า แต่ LM บ้านเรายังไม่ถึงขนาดวิเคราะห์หา Isomer หรอกค่ะ เราเลยเชื่อในคำบอกเล่าของผู้ขายว่า อันนี้น่าจะดีกว่าเพราะผู้ผลิตมีระบบคุณภาพอันโน้นอันนี้รองรับอยู่ คงไม่โกหกม้าง..
3. กระบวนการผลิตยาในประเทศไทย กะ ต่างประเทศ อันนี้ก็ไม่ค่อยทราบเท่าไหร่ว่าต่างประเทศขนาดไหน แต่ในบ้านเรา คนงานไทยไม่ค่อยให้ความสำคัญกับสุขอนามัยในการผลิตยาเท่าที่ควร แม้ว่าจะมีมาตราฐาน GMP รองรับ แต่คนงานไทยมักเป็นพวกมักง่าย ชอบฝ่าฝืนและชอบละเลย ไม่รักษากฏระเบียบ อันไหนลัดได้ข้าขอลัด อันไหนเลี่ยงได้ ก็จะเลี่ยง แม้ว่าด้วยค่าแรงที่ไม่มากนักทำให้ต้นทุนตรงนี้ต่ำเตี้ย แต่ด้วยเหตุผลนี้ทำให้มาตรฐานการผลิตในบริษัทในประเทศบางแห่งต้องพบปัญหาอยู่อย่างเสมอๆ เภสัชกรอย่างเราๆ ที่ทำหน้าที่ควบคุมการผลิตก็ลำบากใจอยู่เหมือนกันค่ะไม่ได้โทษว่าคนไทยมักง่ายนะ แต่เจอบ่อย
4. การควบคุมคุณภาพ เป็นปัญหาตั้งแต่ ผู้ผลิต ยัน อย. ไม่รู้ทำไม อย. ไม่เข้มงวดเท่าที่ควรในเรื่องการควบคุมคุณภาพของยา การที่ผู้ผลิตขอเปลี่ยนแปลงวิธีวิเคราะห์เอย เปลี่ยนสูตรเอย แม้ว่าจะทำให้ดีขึ้น ก็ใช้เวลาในการอนุมัตินานแสนนาน จนทำให้ไม่อยากเดินไปขอเปลี่ยนอะไร และเมื่อหน่วยงานของรัฐไม่ฉายแสงส่องเข้าไป พื้นที่มืดมนมันก็ไม่เห็นฝุ่น ผู้ผลิตก็เลยไม่ค่อยกระตือรืนล้นในการเก็บกวาดอะไรที่มันไม่เข้าที่เข้าทาง (คำพูดนี้เคยได้ยินท่านนายกฯ พูดในข่าวอยู่วันนึง เลยยกตัวอย่างเปรียบเทียบ)
5. นโยบายรัฐ 30 บาท (แหม ไม่อยากพูดถึงเลย) แต่มันทำให้บริษัทยาในประเทศแทบจะฆ่ากันตายไปข้างหนึ่งเพื่อลดต้นทุน และแย่งชิงตลาดการประมูลใน รพ.ของรัฐ ทำให้ทุกบริษัทกดราคาวัตถุดิบ ไม่สรรหาแรงงานคุณภาพ ลดต้นทุนในการควบคุมคุณภาพ ฯลฯ
แต่ว่ายาพารานะคะ ใช้มาเป็นร้อยๆ ปีแล้ว จะยี่ห้อไหนก็แก้ปวดลดไข้ได้เหมือนกัน ต่างกันก็แต่ยี่ห้อไหนออกฤทธิ์เร็วช้ากว่ากันเท่านั้นแหล่ะค่ะ อีกอย่างกินถูกขนาดหรือเปล่า 10-15 มิลลิกรัม/กก./ครั้ง ลองคำนวณดูนะคะ ว่าคุณหนักเท่าไหร่ ควรกินกี่เม็ด
แก้ไขเมื่อ 06 ก.พ. 49 01:00:15

จากคุณ : jusuran - [ 6 ก.พ. 49 00:01:22 ]