PANTIP.COM : P4109417 ประชามติVSประชาพิจารณ์ อะไรกันนักกันหนา [การเมือง]

ความคิดเห็นที่ 6

รัฐธรรมนูญไม่ใช่ของเล่น

บทนำ

การใช้คำพูดว่าจะจัดให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ทำ "ประชาพิจารณ์" ที่ออกจากปากของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีนอกจากจะถูกตอบโต้จากคนอีกฝ่ายหนึ่งว่า พ.ต.ท.ทักษิณต้องการเบี่ยงเบนจากตัวเองที่โดนโจมตีและกลายเป็นกระแส "ทักษิณ-ออกไป" ให้คนในประเทศพุ่งเป้ามาให้ความสนใจ"รัฐธรรมนูญ"ว่าควรจะแก้หรือไม่แก้แทน การมีดำริเช่นนี้ยังเท่ากับว่า พ.ต.ท.ทักษิณกำลังสร้างความสับสนอลหม่านให้บังเกิดขึ้นในสังคมไทย ประการแรก การให้ กกต.ดำเนินการในวันเดียวกับการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) เขาเรียกว่า"ประชามติ"ไม่ใช่"ประชาพิจารณ์" อีกประการหนึ่งการจะสอบถามความเห็นของประชาชนทั้งประเทศควรตั้งคำถามที่ชัดเจน เหมาะสมกับสภาพการณ์ของปัญหาที่กำลังมีความขัดแย้งกันอยู่ในสังคม ไม่ใช่ถามกว้างๆ แบบเหวี่ยงแหโดยจับสาระใจความไม่ได้และกลายเป็นความสูญเสียอันใหญ่หลวงจากการทำประชามติ

รัฐธรรมนูญมาตรา 214 มี 9 วรรค แต่สาระที่สำคัญ บัญญัติไว้ดังนี้

ในกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นว่า กิจการในเรื่องใดอาจกระทบถึงประโยชน์ได้เสียของประเทศชาติหรือประชาชน นายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี อาจปรึกษาประธานสถาผู้แทนราษฎรและประธานวุฒิสภาเพื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้มีการออกเสียงประชามติได้

การออกเสียงประชามติต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์ในการขอปรึกษาความเห็นของประชาชนว่าจะต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์ในการขอคำปรึกษาความเห็นของประชาชนว่าจะให้ความเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบกิจกรรมสำคัญในเรื่องใดเรื่องหนึ่งตามวรรคหนึ่งซึ่งมิใช่เรื่องที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนี้ การออกเสียงประชามติที่เกี่ยวกับตัวบุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือคณะบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ จะกระทำมิได้

ประกาศตามวรรคหนึ่งต้องกำหนดวันให้ประชาชนออกเสียงประชามติซึ่งจะต้องไม่ก่อนเก้าสิบวัน แต่ไม่ช้ากว่าหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา และวันออกเสียงประชามติต้องกำหนดเป็นวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร

ในระหว่างที่ประกาศตามวรรคหนึ่งมีผลใช้บังคับ รัฐต้องดำเนินการให้บุคคลฝ่ายที่เห็นชอบและไม่เห็นชอบกับกิจการนั้น แสดงความคิดเห็นของตนได้โดยเท่าเทียมกัน

การรออกเสียงประชามติตามมาตรานี้ให้มีผลเป็นเพียงการให้คำปรึกษาแก่คณะรัฐมนตรีในเรื่องนั้น

ประเด็นก็คือ แม้รัฐธรรมนูญจะเป็นกฏหมายสูงสุดที่เกิดผลกระทบต่อประเทศชาติและประชาชน การแก้ไขรัฐธรรมนูญควรให้ประชาชนเข้ามีส่วนร่วมในการออกความคิดเห็น แต่ด้วยความที่รัฐธรรมนูญมีรายละเอียดในหลายประเด็นและหลายมาตราที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าสมควรได้รับการแก้ไข เช่น การปลดล็อค 90 วัน,การกำหนดให้ผู้จะลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.ต้องจบปริญญาตรีเป็นอย่างต่ำ,การทำให้องค์กรอิสระไม่ถูกแทรกแซง ครอบงำจากอำนาจทางการเมือง ฯลฯ ดังนั้น การลงประชามติที่จัดโดยคณะรัฐมนตรีด้วยการถามประชาชนทั้งประเทศว่า ควรแก้หรือไม่ควรแก้รัฐธรรมนูญจึงเป็นคำถามที่หยาบและไม่สื่อความหมาย ตลอดทั้งกระบวนการให้ความรู้และการระดมความเห็นของประชาชนก็ยังไม่ได้เริ่ม

สิ่งที่ควรดำเนินการเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยหลักแล้ว องค์กรอิสระอย่าง กกต. ป.ป.ช. ศาลรัฐธรรมนูญ ฯลฯ ควรจะมีข้อสรุปว่าการปฏิบัติงานที่ผ่านมาในรอบ 5 ปีมีอะไรเป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติงานบ้าง เป็นปัญหาของรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายประกอบรัฐ ธรรมนูญหรือตัวบุคคล หรือเป็นเพราะสังคมไทยมีลักษณะเฉพาะของตัวเองแบบนี้ และควรจะแก้ไขให้ดีขึ้นได้อย่างไร ประการต่อมาการรับฟังเสียงสะท้อนจากนักวิชาการ สื่อมวลชน กลุ่มประชาชนวงการต่างๆ ในฐานะเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย การเข้ามีส่วนร่วมทางการเมือง การตรวจสอบการใช้อำนาจของผู้ดำรงตำแหน่งทั้งหลายจะต้องปรับ แก้ไขในส่วนไหน อย่างไร ทั้งนี้อาจจะมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นชุดหนึ่งที่เป็นกลางเพื่อรังฟังข้อเสนอแนะและต้องใช้การศึกษาวิจัยอย่างเป็นระบบ ไม่ใช่นั่งนึกนั่งฝันกันเอง

ในท่ามกลางความเห็นที่แตกต่างกันและมีลักษณะของความหลากหลายในแนวความคิดอย่างมากในเรื่องของรัฐธรรมนูญ มีคนบางส่วนเสนอให้มีการปฏิรูปการเมืองรอบ 2 โดยให้แก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 313 มีการใช้ถ้อยคำว่าถวายคืนพระราชอำนาจซึ่งไม่สามารถสื่อสารให้เกิดความเข้าใจในหมู่ประชาชนได้ว่า การดำเนินการนั้นชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่และจะดำเนินไปได้อย่างไรให้ตลอดรอดฝั่ง โดยได้รับการยอมรับจากทุกฝ่าย ไม่ใช่เป็นความใฝ่ฝันส่วนตัวของคนเพียงบางส่วน

เพื่อขจัดความสับสนทั้งหลายทั้งปวง รัฐบาลโดย พ.ต.ท.ทักษิณจะต้องประกาศให้ชัดแจ้งว่าจะทำอะไร อย่างไร จะประชาพิจารณ์หรือประชามติ หากทำประชามติจะถามว่ากระไร จะถามเพียงแก้หรือไม่แก้เท่านั้นหรือ ประชาชนที่อยู่ห่างไกลข่าวสารหรือแม้แต่อยู่ใกล้ข้อมูลอย่างระดับปัญญาชน บางทียังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรจะแก้รัฐธรรมหรือไม่ ไม่จำเป็นต้องไปถามว่าจะแก้เรื่องไหน มาตราใดและแก้ให้เป็นอย่างไร ด้วยเหตุที่การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องใหญ่ มีผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน การดำเนินการอย่างเปิดเผย ตรงไปตรงมา บนพื้นฐานของการรับฟังความเห็นในสังคมและใช้หลักวิชาการจากการทำวิจัยจะนำไปสู่ความสำเร็จ หากรัฐบาลเสนอประเด็นเพื่อกลบกระแสการถูกขับไล่ย่อมไม่ถูกต้องและสุดท้ายรัฐบาลจะสะดุดขาตัวเองล้มลงอย่างแน่นอน

( มติชน )

จากคุณ : Can (ไทเมือง) - [ 15 ก.พ. 49 23:48:44 ]