ความคิดเห็นที่ 1 กฎหมายแก้มานานแล้ว ผ่านไปตามกระบวนการ ซึ่ง มีผลหลังจากลงในราชกิจจานุเบกษา กฎหมายนี้ไม่ใช่เอื้อเฉพาะชิน แต่เอื้อทุกบริษัท จากคุณ : ส้มจี๊ดดี - [ 20 ก.พ. 49 13:47:13 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ตอนขาย UCOM ให้ต่างชาติสื่อประโคมข่าวเจ้าของพอเพียงยังงั้นยังงี้ ไม่มีข่าว่าขายชาติ หรือขายไปได้ไงกฏหมายยังไม่ได้ลงในราชกิจจา ทั้งๆที่ขายตั้งแต่ประมาณปลายปีที่แล้ว แล้วพึ่งมาประกาศในราชกิจจาเดือนที่แล้ว คิดดูถ้ามันผิดทำไมนักวิชาการและสื่อบ้านเรามันไม่ยกเอากรณีUCOM บ.แม่และDTAC บ.ลูกมาพูดมาโจมตี มันต่างยังไงกับบ.SHIN บ.แม่และมี AIS เป็นบ.ลูก เฉพาะUCOM ณวันนี้ต่างชาติถือทั้งทางตรงและอ้อมเกิน70%แล้วมั้ง จากคุณ : UCOMมันพวกปชป.เขาเลยไม่พูด (มาหาอะไร) - [ 20 ก.พ. 49 13:56:28 ]

ความคิดเห็นที่ 3 http://www.pantip.com/cafe/rajdumnern/topic/P4120716/P4120716.html#30 จากคุณ : Can (ไทเมือง) - [ 20 ก.พ. 49 13:59:03 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ก่อนหน้านั้น ให้ต่างชาติถือหุ้น 25% ก็พวกนักวิชาการนี่แหละ ออกมาว่า แบบนี้ผูกขาดชาติไว้กินคนเดียว ต้องให้ต่างชาติมาแข่งขัน เพื่อให้ราคา จะได้ถูกลง ประชาชนจะได้ประโยชน์ และถึงอย่างไร เราก็ต้องโดนบีบให้แก้ กม. อยู่ดี ถ้าเราต้องการค้าขายในองค์การ WTO คนจะหาเรื่องด่ามันด่าได้ทั้งขึ้นทั้งล่อง น้ำลายตัวเองมันก็ลืม กลืนกินเข้าไปก็มี จากคุณ : ลุงชอบ - [ 20 ก.พ. 49 14:00:05 ]

ความคิดเห็นที่ 5 UCOM บ.แม่และDTAC  ไม่มี "ดาวเทียม" จากคุณ : Can (ไทเมือง) - [ 20 ก.พ. 49 14:00:06 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ดาวเทียม เป็นสมบัติของชาติ สิงคโปร์ซื้อไปแต่บริษัทฯที่รับสัมปทานจัดการ ที่เคยเป็นคนลงทุนสร้างและยิงขึ้นไปบนท้องฟ้า เพื่อให้ลอยไปลอยมา..แล้วก็เป็นสมบัติของชาติ คนคิด..และทำแบบนี้ได้..และก็ยังขายได้อีก น่าให้บริหารประเทศต่อไปอีกนานๆ..นะครับ หรือจะให้พระเอกลิเกเป็นแทนดีหว่า....เอ....ยังไงกันเนี่ย จากคุณ : ชอบดูลิเก (ลองตรองดู) - [ 20 ก.พ. 49 14:31:55 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ดาวเทียมไทยคม   มีวันหมดอายุการใช้งานครับ    ยกตัวอย่างดาวเทียมอีกดวงนึง  ชื่อ ไทยพัฒน์    (ในหลวงทรงตั้งให้เหมือนกัน)  ใช้ในด้านการศึกษาในมหาลัย  ตอนนี้ถ้าจำไม่ผิด  จะหมดอายุการใช้งานแล้ว  และออกจากวงโคจร ตกลงสู่โลกแล้ว วันนึง  (ผมจะไปค้นมาให้นะว่าวันไหน)   ไทยคม  ก็จะต้องตกลงมา     แล้วเราก็อาจจะส่งขึ้นไปใหม่  หรือไม่ส่งก็ได้  ขึ้นอยู่กับรัฐบาลจะให้สัมปทานใครต่อ  สัมปทานนี้ หมายถึง  สัมปทาน ให้โคจรอยู่เหนือประเทศไทยนะครับ  ไม่ใช่ให้สัมปทานเช่าดาวเทียม ตอนนี้ถึงเป็นของสิงคโปร์     ก็คือสิงคโปร์จ่ายเงินค่าเช่าให้รัฐบาลไทย   เหมือนกับที่นายกฯเคยจ่ายนั่นแหละ  แล้วก็ไปเก็บค่าเช่า จากคนที่มาขอถ่ายทอดสด เช่นถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก  ก็มาจ่ายเงินให้เทมาเซคสิงคโปร์  ส่วนสิงคโปร์ก็มาจ่ายค่าเช่าให้รัฐบาล   เหมือนเดิมทุกประการ    แล้วก็ไม่เกี่ยวกับความมั่นคง  เพราะไม่ใช่ดาวเทียม จรกรรมครับ       ผมมองไม่เห็นว่า  มันจะเลวร้ายมากมาย อย่างที่พวกคุณพูดกันซะจนแบบว่า  ประเทศชาติตกเป็นเมืองขึ้นอะไรประมาณนั้นเลยครับ จากคุณ : thinkmax - [ 20 ก.พ. 49 14:49:34 ]

ความคิดเห็นที่ 9 มีใครมีข้อมูลเรื่อง WTO ไหมครับ แล้วชินคอร์ปเป็นบริษัทด้านโทรคมนาคมที่ต้องเข้าข่ายกฎหมายที่ว่าหรือไม่ หรือชินคอร์ปเป็นแค่เพียง Holding company เท่านั้น ช่วยอธิบายหน่อยครับ จากคุณ : เฮฮาหน้าจอ - [ 20 ก.พ. 49 14:54:48 ]

ความคิดเห็นที่ 10 แอร์อาเซียตอนนี้เป็นของสิงคโปร์และมาเลย์เซียเกือบร้อยเปอร์เซนต์แล้ว ทำไมยังบินอยู่ได้ จากคุณ : บอนเนอร์ - [ 20 ก.พ. 49 14:59:16 ]

ความคิดเห็นที่ 11 กฏหมายเฉพาะบ.โทรคมนาคม คุณCAN คิดว่า DTAC ใช่หรือไม่ ถ้าใช่บ.โทรคมนาคมแล้วทำไมขายหุ้นได้ก่อนประกาศในราชกิจจาตั้งหลายเดือน อย่ามาเบี่ยงประเด็นเรื่องดาวเทียม เอาแค่ DTAC ถ้าผิดกฏหมายก็ผิดไม่เกี่ยวกับดาวเทียม แล้วเรื่องดาวเทียมเคยเขียนไว้นานแล้วมันยาว เอาย่อๆ มันเป้นสัญญาแบบ BTO เหมือนกันทั้งดาวเทียม ทั้งบ.มือถือทั้งหลาย BTO ก็คือ เอกชนผุ้มาขอสัมปทานจะต้องลงทุนสร้างโครงข่ายหรือถ้ากรณีดาวเทียมก็ต้องหาดาวเทียมและส่งขึ้นไปด้วย สรุปคือต้องสร้างจนสามารถใช้งานได้ ต่อมาก็โอนทรัพย์สินให้รัฐหรือหน่วยงานที่เป็นเจ้าของสัญญาสัมปทาน เสร็จแล้วขั้นตอนสุดท้ายก็คือให้เอกชนรายนั้นต้องไปจัดการส่งเสริมการขายทำตลาดบริการไปมีรายได้ก็ยังเอามาแบ่งกับเจ้าของสัมปทาน ตามจำนวนที่ตกลงแต่ละราย กรณีดาวเทียมวงโคจรเป็นของไทยแต่ก่อนอยู่ที่กรมไปรษณีย์โทรเลขดูแลต่อมาย้ายไปสังกัดกระทรวง ICT ตัวดาวเทียมทั้งหมดก็ของไทย คู่สัญญาสมัยก่อนที่ทักษิณเป็นผุ้ถือหุ้นใหญ่หรือมีใครมาซื้อเปลี่ยนมือก็ได้แค่รับเงินปันผลจากกำไรขั้นสุดท้าย ไม่มีสิทธิใดๆในทรัพย์สินที่โอนให้หน่วยงานเจ้าของสัมปทานแล้ว ยกเว้นอาคารที่ทำการเพื่อให้พนักงานอยู่หรือเรื่องการทำตลาด จากคุณ : อย่าบิดเบือน (มาหาอะไร) - [ 20 ก.พ. 49 15:01:43 ]

ความคิดเห็นที่ 12 SHIN และ UCOM เป็นบ.โฮลดิ้งคัมปานี สัญชาติไทยทั้งคู่สามารถไปประกอบธุรกิจได้ตั้งแต่ไม่จิ้มฟันยันเรือรบตามที่จดไว้ตอนยื่นตั้งบ.โดยไม่ต้องเกี่ยวกับธุรกิจสื่อสารก็ได้ กฏหมายตัวนี้ครอบคลุมแค่ DTAC และ AIS จากคุณ : มันถึงไม่ผิดทั้งคู่ (มาหาอะไร) - [ 20 ก.พ. 49 15:04:53 ]

ความคิดเห็นที่ 13 แอร์เอเซียเจ้าของที่แท้จริงมันเป็นมาเลย์สำนักงานใหญ่ก็มาเลย์ แต่เขามาเปิดบินในประเทศไทยตามกฏหมายเขาให้ต่างชาติถือหุ้นได้แค่49%ถึงจะมาประกอบสายการบินได้ เจ้าของที่มาเลย์ก็มาถือไว้49% ที่เหลือส่วนใหญ่ก็กลุ่มชิน แต่ตอนนี้เขาให้เปลี่ยนมือจากกลุ่มชินไปยังบ.ตั้งใหม่สัญชาติไทยได้แล้วก็เปิดได้ตามปกติ เพราะฉะนั้นถ้าไปเห็แอร์เอเชียที่ประเทอื่นทั้งสิงคโปร์มาเลย์อินโดและอีกหลายประเทศ อย่าไปเหมาหมดว่ามีคนไทยถือหุ้นครึ่งหนึ่ง เฉพาะแอร์เอเซียในไทยเท่านั้นประเทศอื่นก็แล้วแต่กฏเกณฑ์ถ้าไม่บังคับไว้ผู้ถือหุ้นมาเลย์จะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ จากคุณ : เท่าที่รู้มา (มาหาอะไร) - [ 20 ก.พ. 49 15:11:05 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ขอบคุณมากครับ คุณมาหาอะไร ตอนนี้ก็คงเหลือคำถามที่เกี่ยวกับ WTO หวังว่าจะมีคนเข้ามาให้ความกระจ่างนะครับ จากคุณ : เฮฮาหน้าจอ - [ 20 ก.พ. 49 15:38:58 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ----- ท่าน บอนเน่อ อย่าพาลพะโล๊อวดโง่อีกละ จะทุบตีขี่คอนายกฯของคุณก็ทำไป อย่าดันไปรังแก เอกชนเขาเลยครับ......เสียหายเปล่าๆ ไม่เป็นผลดีกับ ส่วนรวมหรอก มีสติซะบ้าง จากคุณ : บัลลังก์เทียน - [ 20 ก.พ. 49 15:50:24 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ----- ประเด็น แบบ ท่านบอนฯ นี่ ผมสังเกตุว่าฝ่ายค้านมืออาชีพ เขามองข้ามไปแล้วนะ เหลือแต่พวกจุกจิกจุ๊กจิ๊ก นี่แหล่ะ ไม่เป็นโล้เป็นพาย จากคุณ : บัลลังก์เทียน - [ 20 ก.พ. 49 15:53:29 ]

ความคิดเห็นที่ 17 "ทีโอที-ไอซีที"ดื้อแพ่งแจงสัญญา"AIS" "ธีรวิทย์"ยันไม่ได้หนังสือจาก"กทช." เหน็บรายอื่นขายหุ้นกลับไม่โดนโวย "ไอซีที-ทีโอที"ปฏิเสธ ยังไม่ได้รับหนังสือจาก กทช.ให้ตรวจสอบการซื้อขายหุ้นชินคอร์ปว่าผิดสัญญาสัมปทานหรือไม่ "ธีรวิทย์"ยันเรื่องนี้ไม่ได้กำหนดในสัญญา นายธีรวิทย์ จารุวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า กรณีที่คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ได้ทำหนังสือมาให้ทำการตรวจสอบการเข้ามาถือหุ้นของบริษัทต่างชาติในบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือเอไอเอส เป็นบริษัทในเครือ และยังเป็นบริษัทภายใต้สัญญาสัมปทานของ ทีโอที ทางทีโอทียังไม่ได้รับหนังสือดังกล่าว แต่ก็พร้อมจะดำเนินการตรวจสอบให้ นายธีรวิทย์กล่าวว่า การเข้ามาถือหุ้นดังกล่าวไม่ผิดสัญญาสัมปทาน เพราะไม่มีสัญญาข้อไหนที่กล่าวถึงเรื่องนี้ และการดำเนินการดังกล่าวก็ไม่ส่งผลกระทบกับการจ่ายส่วนแบ่งรายได้ตามสัญญาสัมปทาน หรือภาษีสรรพสามิต ตามที่กำหนดไว้ในสัญญาแต่อย่างใด เพราะทุกอย่างยังต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขเดิมที่ทำร่วมกันระหว่าง ทีโอที กับ เอไอเอส อยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม เห็นว่าเรื่องดังกล่าวเหมือนเป็นการสร้างประเด็นขึ้นมา เพราะก่อนหน้านี้บริษัท ยูไนเต็ด คอมมูนิเกชั่น อินดัสตรี จำกัด (มหาชน) หรือยูคอม ได้ขายหุ้นให้บริษัท เทเลนอร์ ก็ไม่มีการตรวจสอบ แต่พอเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับ เอไอเอส ก็มีการตั้งข้อสงสัยหลายอย่าง นอกจากนี้ ยังมีบริษัท ทีทีแอนด์ที จำกัด (มหาชน) ที่มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างหนี้ จนทำให้มีผู้ถือหุ้นต่างชาติอยู่มากมาย แต่ก็ไม่มีใครหยิบขึ้นมาเป็นประเด็น นายไกรสร พรสุธี ปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่ได้รับหนังสือจาก กทช.ให้ดำเนินการตรวจสอบเรื่องดังกล่าวแต่อย่างใด หากยื่นมาก็พร้อมจะดำเนินการให้ แหล่งข่าวจากคณะกรรมการ กทช.เปิดเผยว่า ยืนยันว่า กทช.ได้ส่งหนังสือถึง ทีโอที และ กสท ไปตั้งแต่เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และได้ส่งหนังสือทวงถามไปอีกครั้งในสัปดาห์นี้ ทั้งนี้ เนื่องจากทั้ง ทีโอที และ กสท ยังไม่ตอบหนังสือของ กทช.กลับมา แหล่งข่าวกล่าวว่า หนังสือที่ กสท ส่งถึง ทีโอที และ กสท ก็คือการที่ ทีโอที ให้ตรวจสอบร่างสัญญาสัมปทานที่มีกับบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือเอไอเอส และร่างสัญญาที่ กสท มีกับบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค ว่าการอนุมัติสัญญาสัมปทานนั้นได้มีการระบุเกี่ยวกับโครงสร้างผู้ถือหุ้นว่าจะต้องเป็นคนไทยหรือไม่ จำนวนเท่าไหร่ หากมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นจะต้องแจ้งคู่สัญญาหรือไม่ "ทีโอที และ กสท จะต้องให้ฝ่ายกฎหมายดูสัญญาให้ถี่ถ้วนและตอบมาที่ กทช. รวมทั้งจะต้องส่งสัญญาสัมปทานมาให้ กทช.ดูด้วย เพราะสัญญาสัมปทานดังกล่าว อาจมีการดูถึงโครงสร้างผู้ถือหุ้น ด้านความมั่นคงไว้แล้ว ซึ่งหากส่งสัญญามาก็จะได้ตรวจสอบ" ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ พล.อ.ชูชาติ พรหมพระสิทธิ์ ประธาน กทช. ยืนยันว่า หนังสือที่ส่งให้กับกระทรวงไอซีที ทีโอที และบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด(มหาชน) ชี้แจง เพราะต้องนำผลตรวจสอบของกระทรวงไอซีที ทีโอที และ กสท มาพิจารณาเพื่อให้คำตอบกับสหพันธ์องค์กรผู้บริโภค (สอบ.) สอบภายในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ตามที่ให้สัญญาไว้ ว่าจะสามารถดำเนินการอย่างไรกับการซื้อขายหุ้นของชินคอร์ป http://www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01eco01200249&day=2006/02/20 ประชาชนกำลังเกาะติด เปิดเผยสัญญา...ทำไมยักท่า... ยึกยักทำไมเธอต้องทำเป็นยึกยัก.... จากคุณ : Can (ไทเมือง) - [ 20 ก.พ. 49 16:02:01 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ลุง can หาอันที่เกี่ยวกับ WTO ให้หน่อยดิ ยังไม่มีใครมาช่วยตอบเลย จากคุณ : เฮฮาหน้าจอ - [ 20 ก.พ. 49 16:46:10 ]

ความคิดเห็นที่ 19 มีตั้งแต่ปี 46 แล้วครับ เรื่องแก้ไข พ.ร.บ. กรุงเทพธุรกิจ  09 ต.ค. 46 http://rdd.mcot.net/np/view.php?news_id=11139 สภาไฟเขียวกิจการโทรคมนาคมต่างชาติถือหุ้นสื่อสาร49% สภารับหลักการร่างแก้ไขกฎหมายกิจการโทรคมนาคม เพิ่มสัดส่วนผู้ถือหุ้นโทรคมนาคมต่างชาติจาก 25% เป็น 49% ด้านฝ่ายค้านติงรัฐแอบแฝงประโยชน์เอื้อนายทุนการเมือง จวกอ้าง กสช.-กทช. ยังไม่เกิดใช้อำนาจเบ็ดเสร็จแทน มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร วานนี้ (8) ซึ่งที่ประชุมได้พิจารณาร่างพ.ร.บ.การประกอบกิจการโทรคมนาคม จำนวน 2 ฉบับ ที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) และพรรคไทยรักไทยเสนอ ซึ่งมีสาระสำคัญแก้ไขกฎหมายเดิมใน 3 ประเด็นคือ 1.กำหนดให้ผู้ขอรับใบอนุญาตแบบที่ 2 และแบบที่ 3 ต้องไม่ใช่คนต่างด้าว ตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว จากเดิมที่กำหนดให้การขอรับใบอนุญาตดังกล่าวต้องมีสัดส่วนการถือหุ้นของบุคคลที่มีสัญชาติไทย ไม่น้อยกว่า 75% ประเด็นที่ 2.ผู้รับใบอนุญาตจะเรียกเก็บเงินประกันหรือเงินอื่นที่มีลักษณะเป็นเงินประกันไม่ได้ จากเดิมที่กำหนดว่าผู้รับใบอนุญาตจะเรียกเก็บเงินประกันหรือเงินอื่นที่มีลักษณะเป็นการเรียกเก็บล่วงหน้าไม่ได้ และประเด็นที่ 3.ได้เพิ่มข้อความให้การสื่อสารแห่งประเทศไทย (กสท.) และองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย (ทศท.) หมายความถึงบริษัทที่จัดตั้งขึ้นโดยการเปลี่ยนทุนของ กสท.หรือ ทศท.เป็นหุ้นของบริษัทนั้น ตามกฎหมายว่าด้วยทุนรัฐวิสาหกิจด้วย น.พ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ชี้แจงเหตุผลของการเสนอแก้ไขดังกล่าวว่า กิจการโทรคมนาคมเป็นกิจการที่ต้องใช้ทุนจำนวนมากและต้องใช้เทคโนโลยีระดับสูง ซึ่งจำเป็นต้องพึ่งพาทุนและเทคโนโลยีจากต่างประเทศ ซึ่งการกำหนดสัดส่วนการถือหุ้นให้เป็นคนที่มีสัญชาติไทยไม่น้อยกว่า 70% ได้เป็นอุปสรรคต่อการระดมทุนจากต่างประเทศ จึงจำเป็นต้องแก้ไขสัดส่วนการถือหุ้นใหม่ นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายว่า ตั้งแต่รัฐบาลชุดนี้เข้ามา จะมีเรื่องเกี่ยวข้องกับธุรกิจโทรคมนาคมเสนอเข้าสู่สภาเป็นระยะ จนเปรียบเสมือนเป็นวาระแห่งชาติ ทั้งนี้ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ได้หยิบยกข้ามกฎหมายสำคัญหลายฉบับ เช่น กฎหมายสภาการเกษตรแห่งชาติ กฎหมายป่าชุมชน กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค ทั้งที่กฎหมายฉบับนี้มีผลกระทบต่อนายทุนในธุรกิจโทรคมนาคมเท่านั้น ขณะเดียวกันคนในรัฐบาลก็ออกมาพูดว่าเป็นเรื่องเร่งด่วน อาจจะให้พิจารณา 3 วาระรวดด้วย อย่างไรก็ตาม กฎหมายองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ ได้วางหลักเกณฑ์ในการควบคุมกิจการโทรคมนาคมไว้ให้เป็นอำนาจขององค์กรอิสระ คือคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ซึ่งกฎหมายที่เสนอนี้ถือว่าเป็นการวางหลักเกณฑ์แทน กทช. ที่ยังไม่เกิดขึ้น และหาก กทช.เกิดขึ้นก็คงไม่มีอะไรให้ทำอีกแล้ว เมื่อปี 2544 ที่มีการเสนอกฎหมายกิจการโทรคมนาคม ส.ส.ส่วนใหญ่ซึ่งเป็นรัฐบาลได้แก้ไขสัดส่วนผู้ถือหุ้นของคนต่างชาติที่เสนอมาจากไม่เกิน 49% เป็น 25% แต่มาวันนี้กลับมากลับมติเดิม นายจักรพันธุ์ ยมจินดา ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยรักไทย กล่าวว่า ขณะนี้มีหลายประเทศที่ได้กำหนดสัดส่วนถือหุ้นของคนต่างชาติ ในกิจการโทรคมนาคม ไว้เกิน 49% ซึ่งการแก้ไขกฎหมายฉบับนี้ก็เพื่อให้สอดรับกับกฎหมายการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว ที่กำหนดสัดส่วนไว้ไม่เกิน 49% และในกรณีของการเรียกเก็บเงินล่วงหน้า นอกเหนือจากบัตรเติมเงิน ยังมีโทรศัพท์พื้นฐานอื่นๆ เช่น บัตรโทรศัพท์พินโฟน ซึ่งยังไม่มีการเรียกเก็บค่าบริการ ขณะนี้มีโทรศัพท์มือถือถึง 20 ล้านเครื่อง โดยเป็นระบบ postpaid คือใช้ก่อนจ่ายทีหลัง เพียง 4 ล้านเครื่อง ขณะที่เป็นระบบ prepaid ถึง 16 ล้านเครื่อง หากไม่มีการกำหนด ห้ามเรียกเก็บเงินประกัน อาจส่งผลให้คน 16 ล้านคนต้องเดือดร้อน ขณะที่ น.พ.สุรพงษ์ ชี้แจงว่า ข้อกล่าวหาที่ว่ารัฐบาลพยายามกีดกันบริษัทรายใหม่เพื่อให้บริษัทรายเก่าได้ผูกขาด หากมีการแก้ไขเพิ่มสัดส่วนผู้ถือหุ้นต่างชาติเป็นไม่เกิน 49% ก็จะแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลไม่ได้กีดกันตามที่มีการกล่าวหา การเสนอกฎหมายฉบับนี้มีหลักการสำคัญที่จะทำให้เกิดการแข่งขันในธุรกิจโทรคมนาคมอย่างเสรีและเป็นธรรม นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ฝ่ายค้านได้เคยท้วงติงกฎหมายเดิมเกี่ยวกับสัดส่วนการถือหุ้น โดยเกรงว่าจะไม่สามารถนำไปปฏิบัติได้ ส่งผลกระทบต่อบริษัท แต่มีอยู่ 1 บริษัทที่ได้รับผลกระทบน้อยที่สุด เป็นบริษัทที่เชื่อมโยงกับหัวหน้ารัฐบาล แต่เมื่อในวันนี้ได้มาเสนอแก้ไขเรื่องนี้ รัฐบาลต้องชี้แจงว่าเหตุใดจึงมายอมรับเหตุผลของฝ่ายค้านในอดีต โดยในระหว่างการบังคับใช้กฎหมายที่ผ่านมา บริษัทได้เกิดปัญหาอะไรบ้างจึงต้องมาเสนอแก้ไข จากคุณ : นะ (tonytui) - [ 20 ก.พ. 49 17:10:37 ]

ความคิดเห็นที่ 20 กรณี UCOM ครับ คัดลอกบางส่วนจาก Bangkok Express 3 ก.พ. 49 ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ UCOM ขายหุ้น ให้ ไทยเทคโค โฮลดิ้ง  บริษัทในเครือเทเลนอร์  จำนวน 39.89%  คิดเป็นเงิน 9.18 พันล้านบาท ไม่เสียภาษี ต่อมาก็ได้ขายทรัพย์สินบางส่วนคืนให้กับ บริษัท เบญจจินดาโฮลดิ้ง จำกัด และบริษัท ไพรเวท พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ซึ่งเจ้าของคือคนที่ขาย UCOM ไปให้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเทเลนอร์ต้องการ TAC เท่านั้น อยากรบกวนถามท่านผู้มี "จริยธรรมสูงส่ง" ว่า 1. ประเด็นไม่เสียภาษี UCOM นี้ มีกระทู้ไหนต่อว่าไหมครับ??? 2. ทำไม เทเลนอร์ ไม่ซื้อ TAC โดยตรง ซึ่งจะทำให้ UCOM ได้กำไร 15,225 ล้านบาท ทำให้ต้องเสียภาษีประมาณ 4,567 ล้านบาท  มีกระทู้ไหนต่อว่า UCOM ว่าเลี่ยงภาษีไหมครับ? http://www.pantip.com/cafe/rajdumnern/topic/P4076023/P4076023.html จากคุณ : นะ (tonytui) - [ 20 ก.พ. 49 17:13:11 ]

ความคิดเห็นที่ 21 คุณ นะ (tonytui) ขออีกหน่อยสิ เรื่อง WTO น่ะ ลองพยายามหาดูแล้วยังหาไม่เจอเลย จากคุณ : เฮฮาหน้าจอ - [ 20 ก.พ. 49 17:26:13 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ขอแย้งคุณ นะ (tonytui) หน่อย ไทยเทคโค โฮลดิ้ง  บริษัทในเครือเทเลนอร์  ไม่ได้ถือหุ้นจำนวน 39.89%  แล้วนะ ถือเยอะกว่านั้น [คลิกเพื่อชมภาพขนาดจริง] จากคุณ : เฮฮาหน้าจอ - [ 20 ก.พ. 49 17:39:19 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ครับมันต้องอย่างนี้ครับ คุณ นะขยันหาข้อมูล ข้อเท็จจริง ชี้แจงทีมาที่ไป ชัดเจนดีแต่เรื่องนี้ แต่มันก็กระจายไปไกลแล้ว คนส่วนใหญ่ก็ยังคิดว่า แก้วันเสาร์ ขายวันจันทร์ อยู่เพราะคนเปิดประเด็น และคนเกลียดรัฐบาลไม่ค่อยค้นหาข้อมูลที่เป็นจริง จากคุณ : ร้อยทาง - [ 20 ก.พ. 49 17:52:27 ]

ความคิดเห็นที่ 24 กรณีสัดส่วนการขายหุ้นยูคอม ผมว่าเทียบกับ การขายชินคอร์ปไม่ได้หรอก เพราะบ.ที่ซื้อยูคอม น่าจะเป็นบ. สัญชาติไทย ชื่อก็บอกอยู่แล้ว บ.ไทยเทคโค โฮลดิ้ง  แต่เทเลนอร์ ถือหุ้นร่วม แต่กรณีชินคอร์ป นั่น เป็นเทมาเส็ก ของสิงค์โปร์เลย ถือหุ้นใหญ่ ยูคอมเลยขายได้โดยไม่ต้องใช้กฎหมาย ฉบับที่ชินคอร์ปใช้ เพราะถ้าผิดก็โดนไปแล้วล่ะ นายกคงไม่เอาไว้หรอก คู่แข่งด้วย จากคุณ : เต็กกอ2000 - [ 20 ก.พ. 49 18:30:24 ]

ความคิดเห็นที่ 25 บางคนเก่งแต่จิก แต่พอเจอคนมีข้อมูลแน่น ๆ มายืนยันถึงกับหนีหายไปเลย 555 เอาไว้ด่าใหม่กระทู้อื่นชัวร์ จากคุณ : Dr.Anma - [ 20 ก.พ. 49 18:41:55 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ทักษิณจะแก้กฏหมายใช้กับชิน แต่บังเอิญชินคอร์ปทำธุรกิจเหมือนUCOM เลยได้รับผลไปเต็ม ๆ จากชิน เรื่องนี้เขาไม่ได้ด่าบริษัท แต่ด่าเรื่องจริยธรรมของผู้นำต่างหาก ถ้าคุณบุญชัยนั่งเป็นนายกรัฐมนตรี แล้วทำแบบนี้ก็คงโดนเหมือนกัน อย่าคิดว่าอะไร ๆ ก็หาเรื่องชิน จากคุณ : THX - [ 20 ก.พ. 49 19:12:35 ]

ความคิดเห็นที่ 27 เรื่องนี้ก็เพราะพวกบิดเบือนข้อมูลว่าแก้กฏหมายวันเสาร์ขายวันจันทร์นี่แหละ มันถึงทำให้เป็นเช่นนี้  จริงแล้วเหตุผลในการขอแก้ไขกฏหมายมันมีอยู่ และกฏหมายเรื่องนี้มันทำมาตั้งแต่ปี 2546 แล้ว อยากถามว่าพวกบิดเบือนข้อมูลจะรับผิดชอบต่อคำพูดตัวเองอย่างไร จากคุณ : ฉัตรธรรม - [ 20 ก.พ. 49 19:58:30 ]

ความคิดเห็นที่ 28 #27 ไม่รู้เรื่องอย่ามั่ว กฏหมายห้ามต่างชาติถือหุ้นเกิน 49 % ใช้มาจนถึงปี 2548 เพราะในปี 2549 ประเทศไทยจะต้องเปิดเสรีการสื่อสาร ตามคำสั่งจาก WTO กฏหมายในปี 2546 มันคือสัญญาสัมปทานที่ผู้ที่ได้รับสัมปทานสัญญาณโทรศัพท์มือถือ ทุกระบบ ในตอนนั้นมี 2 บริษัทคือ AIS ได้ความถี่ 900 Mghz ในระบบอนาล๊อค และ GSM900 ในระบบ Digital ในระบบ Digital AIS มีช่องสัญญาณ 7.5 ความถี่  อีกบริษัทนึงคือ UCOM ได้ความถี่ย่าน GSM1800 มีช่องสัญญาณ 75 ความถี่ ต่อมาทาง UCOM ประสบปัญหาขาดทุนจากการลงในทุนในเครือข่ายอิลิเดี่ยม กับบริษัทโมโตโรร่า เพื่อพยุงฐานะทางการเงินของบริษัทจึงได้ขายความถี่บางส่วนออกมา ให้สามารถ ซึ่งตอนนั้นใคร ๆ ก็คงรู้จักในนาม Hello1800 UCOM แบ่งขายให้ 12.5 ความถี่ และ ซีพี อีก 12.5 ความถี่ ตอนนี้ก็จะเห็นเป็น 4 บริษัทแล้วนะครับ AIS UCOM Hello Orange ต่อมาในปี 2546 AIS ได้ควบรวมกิจการกับทาง Hello1800 กลายเป็น Digital GSM1800 ณ เวลานี้ AIS มีความถี่ ย่าน GSM900 7.5 และ GSM1800 อีก 12.5 ดูเหมือน AIS มีความถี่เพิ่มขึ้น แต่ก็ยังเทียบ UCOM ไม่ได้อยู่ดี เนื่องจาก GSM900 เป็นระบบโบราณไม่มีช่องสัญญาณที่กว้างพอในการส่งข้อมูลความเร็วสูง ในเมื่อคู่แข่งขันรายสำคัญอย่าง UCOM ที่ได้พันธมิตรอย่างเทเลนอร์มาร่วมลงทุน เครือข่ายสำหรับ 3G คงไม่ไกลเกินเอื้อม แต่ของ AIS ลงทุนไปจำนวนมากกับเครือข่ายในระบบ GSM900 ซึ่งไม่สามารถพัฒนาต่อไปได้อีก จะทำยังไงกับเครือข่าย จะยกให้รัฐตามสัมปทาน ก็ลงทุนไปเป็นจำนวนมาก เพราะในสัญญาสัมปทานมีสัญญาข้อนึงระบุไว้ว่า เมื่อหมดสัญญาสัมปทานในปี 2549 เครือข่ายทั้งหมดของเอกชนจะตกเป็นของรัฐบาล เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะว่ารัฐบาลได้ให้สิทธิเอกชนสามารถดำเนินธุรกิจสื่อสารแบบผูกขาดโดยไร้คู่แข่งขัน เมื่อถึงปี 2549 ที่ประเทศไทยจำเป็นจะต้องเปิดเสรี ซึ่งรัฐบาล อย่าง CAT และ TOT จะต้องลงมาแข่งขันกับเอกชน จะต้องมีทุนในการดำเนินกิจกรรมทางธุรกิจ เมื่อดูจากตรงนี้จะเห็นว่าถ้าไม่มีการแก้สัญญา ในปี 2548  AIS ก็จะเป็นเพียงแค่บริษัทเล็ก ๆ บริษัทนึงเท่านั้น ไม่มีเครือข่าย ไม่มีความถี่ แต่จากการที่ทักษิณเข้ามาแก้ตรงนี้ จากที่ต้องจ่ายเงินเพื่อซื้อโครงข่ายจากรัฐบาล ให้แก้เป็นเสียภาษีสรรพสามิตแทน ซึ่งมีราคาถูกมากกว่าที่จะเสียให้รัฐบาลตามสัญญาสัมปทานเดิม บริษัทอีก 3 บริษัทมีผลพลอยได้ตาม AIS อีกแล้ว ใครหล่ะครับที่ตาย CAT และ TOT ครับ ไม่มีเงินทุนในการสร้างเครือข่าย เงินที่ได้มาสร้างเครือข่ายตกรุ่นยังไม่ได้ครอบคลุมกรุงเทพเลยครับ หาเงินจากไหนดีหล่ะ กระทรวงการคลังก็ขยันออกพันธบัตร จะหาเงินที่ไหนมาให้ 2 บริษัทนี้ หันกลับไปดูธุรกิจอินเทอร์เน็ต ดูว่าจะมีรายได้บ้างมั้ย ไม่มีครับ CS Internet  หายหัวไปแล้วครับ จดทะเบียนชื่อใหม่ CS-Loxinfo แค่เปลี่ยนชื่อเลี่ยงสัมปทาน 30 % โดยCAT หายวับไปด้วยครับ บริษัท Internet อีกหลายแห่งก็เจริญรอยตามรุ่นพี่อย่าง CS-Loxinfo เปลี่ยนชื่อบริษัท ไม่ก็ยกเลิกสัญญาแล้วจดทะเบียนใหม่ หุ้น 30 % ในแต่ละบริษัทหายสาบสูญครับ กระบวนการนี้ดูแล้วมีการวางแผนระยะยาวเลยครับ เพราะถ้าเดินตามสัมปทานเป๊ะ ๆ รัฐบาลจะมีรายได้มหาศาล กลุ่มสื่อสารที่เคยผูกขาดตอนนี้มูลค่าแต่ละบริษัทมากมายมหาศาล เงินที่ต้องจ่ายให้รัฐในปี 2549 ก็หายไปด้วยครับ กลายเป็นภาษี[^_^]อย่างสรรพสามิต เพราะผ่านกระบวนการนี้มาแล้วไง บริษัทชินถึงมีมูลค่า 70000 กว่าล้าน ลองยึดสัมปทานเป๊ะ ๆ สิ 10000 ล้านก็บุญแล้ว แล้วยังมีหน้ามาเลี่ยงภาษีเข้ารัฐอีก ทักษิณเข้ามาบริหารบริษัทตราครุฑเพราะสาเหตุนี้แหละ แต่พออยู่นานเข้าเห็นทรัพย์สินบริษัทตราครุฑมันล่อตาล่อใจเข้าอดใจไมได้ งาบปตท.ไปที่นึง ไม่พอจะเอากฟผ.อีก เมกกะโปรเจ็คก็งาบไปแล้ว ด้วยความเพลินหรืออะไรไม่ทราบ ตอนนี้บริษัทตราครุฑแทบจะไม่เหลืออะไรเป้นของตัวเองแล้ว เจอผู้บริหารที่งาบซะขนาดนี้ แก้ไขเมื่อ 20 ก.พ. 49 21:09:41 จากคุณ : THX - [ 20 ก.พ. 49 21:09:11 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ขอบคุณคุณ เฮฮาหน้าจอครับ ข้อมูลผมไม่ update ครับผม จากคุณ : นะ (tonytui) - [ 21 ก.พ. 49 08:12:22 ]

ความคิดเห็นที่ 30 คุณ THX ท่าทางจะรู้เรื่อง WTO นะครับ ช่วยขยายความหน่อยสิครับว่า ทำไมต้องเปิดเสรีโทรคมนาคม แล้วการเปิดเสรีโทรคมนาคมต้องทำอย่างไร จากคุณ : เฮฮาหน้าจอ - [ 21 ก.พ. 49 08:54:32 ]

ความคิดเห็นที่ 31 แก้ไขเมื่อ 21 ก.พ. 49 20:02:25 จากคุณ : Pom.com - [ 21 ก.พ. 49 14:43:16 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ผมก็พอรู้แค่เล็ก ๆ น้อย ๆ น่ะครับ ประเด็นคือการค้าเสรี ในการที่จะทำการค้าเสรีได้นั้นน่ะ เราต้องสื่อสารกันใช่มั้ยครับ แล้วคงไม่ใช่สื่อสารแค่ประเทศใดประเทศหนึ่ง แต่ต้องสื่อสารได้ครบทุกประเทศ แต่จะทำอย่างไรให้เงื่อนไขนี้มันลงตัว ก็คือต้องเปิดเสรีการสื่อสาร ให้มีการแข่งขันกันในด้านการสื่อสาร ทำให้ต้นทุนในการติดต่อการค้ามีราคาถูกลง ติดต่อกันง่ายขึ้น การค้าเสรีก็จะเกิดขึ้นได้ไม่ยาก เคยได้ยินมั้ยครับการสื่อสารทำให้โลกแคบลง WTO ก็ยึดConcept นี้แหละ การเปิดเสรีโทรคมนาคม ก็ไม่มีอะไรมาก แต่ละประเทศก็ตั้งคณะกรรมการจัดสรรความถี่ขึ้นมา อย่างของเรามีกทช.หน่วยงานนี้จะทำการแบ่งคลื่นความถี่ให้กับบริษัทต่าง ๆ อย่างของไทยเป็นตัวอย่างที่แย่ ขอสมมุติเป็นของฮ่องกงนะครับ ดูจะมีระบบมากกว่า ความถี่ทั้งหมดเป้นของรัฐบาล แต่จะเปิดให้เอกชนเข้ามาทำการเช่าความถี่ในช่วงต่าง ๆ โดยเสียค่าเช่าให้กับรัฐบาล ตรงนี้ดูเหมือนผูกขาดแต่ไม่ใช่ ไม่มีทางผูกขาด เพราะอย่างความถี่CDMAของนายลีกาซิง บริษัทHutch ก็มีบริษัทอื่นทำตลาดอยู่เช่นกัน มีทั้ง HK-Telecom Vodafone Orange พวกนี้สามารสลับเครือข่ายกันใช้ได้อย่างอิสระ ใช้CDMA อยู่ไปบางพื้นที่ CDMAสัญญาณอ่อน อาจจะสลับไปใช้ HK-Telecom ได้ บริษัทพวกนี้แข่งขันกันที่บริการ ไม่ใช่เครือข่าย เพราะฉะนั้นค่าบริการถ้าเทียบกับค่าครองชีพ บอกได้เลยว่าโครตจะถูก แล้วระบบที่เป็นแบบนี้ มีการพัฒนาได้เร็ว ค่าบริการถูก บริการดี ถึงต่างชาติจะเข้ามาแข่งขันมาก แต่ก็ได้แค่เช่าความถี่ในการทำธุรกิจเท่านั้น รัฐบาลได้รับผลประโยชน์จากค่าเช่าความถี่ ประชาชนได้ผลประโยชน์จากการสื่อสารที่ดีและถูก ผู้ให้บริการก็ได้รับผลตอบแทน ไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบ นี่แหละที่เรียกว่าเสรีการสื่อสาร คือใครก็ได้ ที่มีทุนทรัพย์พร้อม ไปขอความถี่มาทำได้เลย ส่วนประเทศไทยที่บอกว่าเสรีการสื่อสารไม่รู้จะมาในรูปแบบไหนนะครับ จากคุณ : THX - [ 22 ก.พ. 49 00:16:49 ]

ความคิดเห็นที่ 33 นับถือ นับถือ คุณนะ(tongtui)  ที่ค้นข้อมูลได้ถึงขนาดนี้  อย่างว่าแหละ ฝ่ายแค้นปัญญาอ่อนมันมั่นใจว่า ประชาชนแทบทั้งหมดไม่มีโอกาสเข้าถึงข้อมูลอย่างนี้หรอก มันถึงกล้าตอแล๋ได้คล่องปากว่า "แก้วันเสาร์ขายเสาร์จันทร์" แต่ก็เพราะการตอแล๋ในลักษณะนี้ของฝ่ายแค้นปัญญาอ่อนนี่แหละ ที่ทำให้ผมมั่นใจยิ่งขึ้นว่า นายกทักษิณบริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่อย่างนั้นมันคงไม่จำเป็นต้องโกหกตอแล๋หรอก จากคุณ : คนไทย (Thai_peo) - [ 22 ก.พ. 49 07:43:06 ]