ความคิดเห็นที่ 5
ในฐานะลูกหนี้ ที่ไม่ต้องชดใช้หนี้เงิน แต่สามารถชดใช้ด้วยกระดาษหน้าหนังสือพิมพ์ ซึ่งตีราคากันไว้ที่หน้าละ 286,600 บาท เดือนละ 12 หน้า สำหรับผู้จัดการรายวัน ก็คิดเป็นเงิน 3,432,000 บาท หากคิดเป็นปี ก็เท่ากับ 41,184,000 บาท 10 ปีผ่านไป ก็เท่ากับ 410,184,000 บาท
หากใช้วิธีการกันแบบนี้ ไม่นานนัก หนี้จำนวนมหาศาลของผู้จัดการ ก็จะหมดลงได้ ยังพอเห็นแสงเทียนที่ปลายอุโมงค์
นี่ยังไม่นับสื่ออื่นๆ อีก เช่น ผู้จัดการรายสัปดาห์ ผู้จัดการรายเดือน และเวไปซต์ ที่ก็มีเงื่อนไขการชดใชหนี้ด้วยหน้ากระดาษ เช่นเดียวกัน ดังนั้น หากจะมีใครสักคนที่เสกกระดาษเป็นเงิน ได้จริงๆ คนคนนั้นย่อมชื่อ สนธิ ลิ้มทองกุล
ด้วยเงื่อนไขพิเศษนี้เอง ที่ทำให้สนธิ เป็นเดือดเป็นร้อนแทน วิโรจน์ นวลแข และโกรธแค้นผู้ว่าแบงค์ชาติ โกรธแค้นนายกรัฐมนตรี ที่ไม่สนับสนุนคนที่สนธิ สนับสนุน
การหวนคืนสู่วงการธุรกิจสื่อในประเทศ ของสนธิ ในรอบนี้ สนธิ ในฐานะผู้ประกอบการที่มี หนี้เน่า จำนวนมากที่สุดในอุตสาหกรรมสิ่งพิมพ์ ที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ ได้รับสิทธิพิเศษมากกว่าผู้ประกอบรายอื่นๆ และลูกหนี้รายอื่นๆ ด้วยแต้มต่อ ที่เรียกว่าการแฮร์คัทหนี้ หรือการลดหนี้ ที่ตัวเองก่อไว้มากกว่า 6,000 ล้านบาท
หนี้จำนวน 6,000 ล้านบาท ที่สนธิ ได้รับประโยชน์ไปนี้ เป็นเงินที่รัฐบาลต้องใช้เงินภาษีของประชาชน มาชดใช้แทน ทั้งๆ ที่ไม่ได้ร่วมก่อหนี้ และไม่ได้รับประโยชน์จากเงิน 6,000 ล้านบาท ทั้งขาที่ก่อหนี้ และขาชดใช้หนี้ แม้แต่สลึงเดียว
การแฮร์คัทหนี้ หรือ ลดหนี้ในครั้งนั้น เป็นที่มาของข้อกล่าวหาว่าสนธิ ได้รับการปฏิบัติจากธนาคารเจ้าหนี้ ซึ่งเป็นธนาคารรัฐบาล ในมาตรฐานที่พิเศษกว่าลูกหนี้ทุกราย และเป็นที่มาของญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในขณะนั้น ซึ่งก็คือ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตเพื่อนร่วมงานของสนธิ นั่นเอง
และ... ธนาคารรัฐบาลที่เป็นผู้นำในการแฮร์คัทหนี้ จำนวนนี้ให้แก่สนธิ ก็ไม่ใช่ธนาคารใดไหนเลย ก็คือ ธนาคารกรุงไทย ที่อยู่ภายใต้การกำกับของ วิโรจน์ นวลแข นั่นเอง
การได้รับแต้มต่อจำนวนนี้ ทำให้สนธิ มีพลังใจอย่างยิ่งที่ทำให้เขากลับคืนสู่ธุรกิจสื่อสารมวลชนอีกครั้งหนึ่ง เพราะเป็นการยืนยันถึงความเป็นคนพิเศษของเขาที่ยังหาประโยชน์ได้ในประเทศไทย ซึ่งไม่สามารถหาได้จากสนามธุรกิจใดๆ ในโลกนี้ นอกจากนี้ผู้คนบริวารแวดล้อมของเขาในอดีต ยังได้ดิบได้ดี ไปกุมอำนาจสำคัญด้านเศรษฐกิจในรัฐบาล ไว้เกือบหมด จึงเป็นแต้มต่ออีกชั้นหนึ่งที่ได้เปรียบทุกๆ คนบนเวทีการแข่งขันรอบใหม่นี้
การกลับมารอบใหม่ครั้งนี้ สนธิพุ่งเป้าไปที่ธุรกิจโทรทัศน์ เป็นสำคัญ เขาวางยุทธศาสตร์ให้สื่อสิ่งพิมพ์เป็นสื่อเพื่อการชดใช้หนี้ และสื่อโทรทัศน์ เป็นสื่อเพื่อการหารายได้ เนื่องจากเวลาโฆษณาบนสถานีโทรทัศน์ มีราคาสูงกว่าราคาหน้ากระดาษมาก
เห็นได้จากการที่ ธนาคารกรุงไทย ซื้อเวลาโฆษณารายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ด้วยงบประมาณ ปีละ 38,520,000 บาท หากทอนออกมาเป็น 52 สัปดาห์ ก็เท่ากับว่ารายการเมืองไทยรายสัปดาห์ มีรายได้จากธนาคารกรุงไทย เพียงรายเดียว มากถึง 740,769 บาท ต่อการจัดรายการ 1 ครั้ง ทั้งๆ ที่มีเวลาจัดรายการเพียง 1 ชั่วโมงเท่านั้น
นี่ยังไม่นับรวมถึงรายได้จากผู้สนับสนุนรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ รายอื่นๆ อีก
ไม่แปลกเลย หากสนธิ จะคิดต่อยอดในฐานะนักธุรกิจผู้มากวิสัยทัศน์ ว่า การมีเวลาเพียง 1ชั่วโมงต่อสัปดาห์ เขายังทำรายได้ ได้มากมายขนาดนี้ หากเขาเป็นเจ้าของสถานีโทรทัศน์เสียเอง จะมีรายได้มากมายขนาดไหน แต่เมื่อยังเป็นเจ้าของสถานี ก็ขอให้ตัวเองได้มีโอกาสออก จอ ไว้ก่อน เพื่อรักษา เรตติ้งของตัวเอง จนถึงวันที่พร้อมตั้งสถานีโทรทัศน์ของตัวเอง ก็น่าจะเป็นประโยชน์สูงสุดสำหรับสนธิ ในสถานการณ์ยามนี้
หากมองย้อนกลับไปในวันที่ยังมีรายการเมืองไทยรายวัน ซึ่งจัดกันสัปดาห์ละ 5 วัน แล้วก็จะยิ่งเห็นถึงเม็ดเงินจำนวนมหาศาล ที่ออกจากระเป๋ารัฐวิสาหกิจอย่างธนาคารกรุงไทย และรัฐวิสาหกิจอื่นๆ ที่มีน้ำใจให้กับสนธิ ในยามนั้น หลั่งไหลเข้าไปในกระเป๋าของสนธิ ว่ามากน้อยเพียงใด คิดกันง่ายๆ ก็ต้องคูณ 5 เข้าไปของรายได้ที่ได้จากเมืองไทยรายสัปดาห์
จากคุณ :
scuba (tonhid)
- [
22 ก.พ. 49 00:42:19
]
|
|
|