มองมุมใหม่ :การต่อสู้สองแนวทางในสังคมไทย
17 กุมภาพันธ์ 2549 16:49 น.
รศ.ดร.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
หากเปรียบประวัติศาสตร์เป็นเหมือนละครโรงใหญ่ ก็เป็นละครที่มีความสลับซับซ้อน แยกถูกผิดไม่ชัด เต็มไปด้วยตัวละครที่มีบุคลิกก้ำกึ่งดีเลว ดูไม่ออกว่า ใครเป็นพระเอกนางเอก ใครเป็นผู้ร้าย บางครั้งประวัติศาสตร์ก็เลือกตัวละครที่ดูเหมือนเป็นผู้ร้ายหรือคนชั่วมาเป็นผู้ผลักดันจุดประสงค์หลักของเรื่องให้สำเร็จได้ในตอนจบ พร้อมด้วยผู้คนที่ล้มตายคณานับ
ประวัติศาสตร์ไม่ใช่ละครไทยน้ำเน่าในทีวีตอนหัวค่ำ ซึ่งแยกถูกผิดขาวดำชัดเจน มีฝ่ายความดีของพระเอกนางเอกที่ขาวสะอาดบริสุทธิ์ผุดผ่อง กับฝ่ายความชั่วของผู้ร้ายนางอิจฉาที่เลวทรามสุดขั้ว คนดูละครรู้ได้ทันทีตั้งแต่ต้นว่า ใครดีใครชั่ว และมั่นใจได้ว่า ความดีจะชนะความชั่ว
แต่ผู้คนก็อดไม่ได้ที่จะเอาจินตนาการละครไทยไปยัดใส่ประวัติศาสตร์ให้กลายเป็นเรื่องสองขั้ว ขาวสู้กับดำ ความดีสู้กับความชั่ว ธรรมะสู้กับอธรรม
ความขัดแย้งทางการเมืองในหลายเดือนมานี้ ได้ถูกนักเคลื่อนไหวมวลชน นักวิชาการ องค์กรพัฒนาเอกชน สมาชิกวุฒิสภา กระพือให้เข้าใจว่า เป็นการต่อสู้ระหว่างผู้นำรัฐบาลที่เป็นเผด็จการ ทุจริตคอร์รัปชัน ขายชาติ กับขบวนการมวลชนที่รักเอกราช รักชาติ รักประชาธิปไตย กระทั่งเอาเหตุการณ์ในวันนี้ไปเทียบกับกรณี 14 ตุลาคม 2516 และพฤษภาคม 2535
แต่การเมืองไทยไม่ใช่ละครน้ำเน่าที่ความดีสู้กับความชั่ว หากเป็นการต่อสู้สองแนวทางที่ชี้ขาดว่า สังคมไทยจะเดินไปทางไหน ไปสู่แนวทางทุนนิยมพัฒนาแล้วภายใต้ระบอบโลกาภิวัตน์ หรือจะถอยหลังไปเป็นทุนนิยมล้าหลัง ด้อยพัฒนาทางการผลิต เทคโนโลยี และคุณภาพมนุษย์เหมือนเดิม เป็นการปะทะกันระหว่างรัฐบาลกับฝ่ายต่อต้านโลกาภิวัตน์
แม้ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลจะชูประเด็นเฉพาะหน้าเรื่องทุจริตคอร์รัปชันและ "จริยธรรม" ของผู้นำรัฐบาล แต่เบื้องหลังคือ การต่อต้านนโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจสังคมในแนวทางทุนนิยมทั้งชุดของผู้นำรัฐบาล ได้แก่ การปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ การเปิดเสรีการค้าและการลงทุนผ่านองค์การการค้าโลกและเอฟทีเอ การปฏิรูปกฎหมายให้มีการแข่งขันทางธุรกิจทั้งภายในประเทศและจากต่างประเทศ การปฏิรูปการศึกษา นโยบายประชานิยมที่หว่านเม็ดเงินหลายแสนล้านบาทลงสู่ระดับรากหญ้า กระตุ้นทั้งการบริโภค การลงทุน และการประกอบธุรกิจในระดับล่าง
ผู้นำรัฐบาลคนปัจจุบันเป็นตัวอย่างของขีดจำกัดทางประวัติศาสตร์ เพราะแม้ว่าผู้นำจะมีวิสัยทัศน์ที่ค่อนข้างชัดเจนและเจตจำนงทางการเมืองที่จะผลักดันสังคมไทยไปในแนวทางทุนนิยมโลกาภิวัตน์ แต่ผู้นำก็เติบโตมาด้วยธุรกิจผูกขาดและไม่โปร่งใส เข้าสู่อำนาจด้วยธนกิจการเมือง ยึดติดระบบเครือญาติคนใกล้ชิด และจำต้องร่วมมือกับกลุ่มการเมืองในพรรคที่ทุจริต
เนื้อแท้ที่ต่อต้านโลกาภิวัตน์ของกลุ่มพันธมิตรเห็นได้จาก "วาทกรรม" ของพวกเขาที่ผูกโยงนิยามของ "ทุจริตคอร์รัปชัน" เข้ากับ "การขายชาติ" ซึ่งหมายถึง การเปิดเสรีการค้าการลงทุน การทำเอฟทีเอ และการแก้กฎหมายเปิดประตูให้ทุนต่างชาติเข้ามามีบทบาทแข่งขันในเศรษฐกิจไทยมากขึ้น
แม้แต่องค์ประกอบของพันธมิตรก็เป็นแนวร่วมของกลุ่มทุนเก่าที่สูญเสียประโยชน์จากนโยบายของรัฐบาล ผู้นำแรงงานรัฐวิสาหกิจ กลุ่มครูบางส่วน นักการเมืองฝ่ายค้าน องค์กรพัฒนาเอกชนที่ต่อต้านทุนนิยม นักวิชาการบางกลุ่ม ทั้งหมดร้องตะโกนแสดงความ "รักชาติ" คัดค้าน "การขายชาติ" กันอย่างสุดเสียง
กลุ่มคนเหล่านี้ส่วนหนึ่งเป็นกลุ่มเดียวกับที่เคยเคลื่อนไหวกรณีพฤษภาคม 2535 และปัจจุบันก็ยังคงจมอยู่ใน "วาทกรรม" ดั้งเดิม สร้างจินตนาการรวมหมู่ว่า พวกตนเป็นขบวนการรักชาติประชาธิปไตยที่กำลังเคลื่อนไหวโค่นล้ม "เผด็จการทุนขายชาติ" เช่นเดียวกับเมื่อ 14 ปีก่อน ที่เคลื่อนไหวโค่นล้ม "เผด็จการ รสช."
แต่เงื่อนไขประวัติศาสตร์นั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง การเคลื่อนไหวในวันนี้เป็นได้เพียง "ละครลอกเลียนแบบ" ของเหตุการณ์พฤษภาคมเท่านั้น
ประการแรก รัฐบาลนี้และผู้นำเป็นผลพวงโดยตรงของรัฐธรรมนูญฉบับปฏิรูปการเมือง คือมาจากการเลือกตั้ง ไม่ใช่เกิดจากอำนาจนอกสภาที่ร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อสืบทอดอำนาจในกลุ่มตน
ประการที่สอง ผู้นำรัฐบาลยังคงได้รับความนิยมอย่างเข้มแข็งจากประชาชนในหัวเมืองและชนบท โดยเฉพาะระดับรากหญ้าที่ได้รับประโยชน์จากนโยบายประชานิยมของรัฐบาล
ประการที่สาม ความขัดแย้งใหญ่ในอดีตอยู่ที่คำถามว่า ประเทศไทยจะเดินหน้าต่อไปเป็นประเทศเสรีประชาธิปไตยหรือจะถอยหลังไปเป็นประเทศกึ่งเผด็จการกึ่งประชาธิปไตยต่อไป แต่ความขัดแย้งใหญ่ในปัจจุบันคือ ประเทศไทยจะก้าวเดินไปบนหนทางทุนนิยมโลกาภิวัตน์หรือจะถอยหลังไปสู่เศรษฐกิจทุนนิยมด้อยพัฒนาในอดีต
ประการที่สี่ การเคลื่อนไหวในวันนี้ ไม่ใช่พลังมวลชนประชาธิปไตยเป็นกำลังหลัก แต่เป็นการผสมผเสของกลุ่มมวลชนเข้ากับนายทุนหนังสือพิมพ์ที่ทุจริตและไม่ได้ประโยชน์จากรัฐบาล รวมกับบรรดากลุ่มการเมืองและธุรกิจนอกสภาที่เสียประโยชน์ ใช้วิธีการทุกอย่างที่อยู่นอกเหนือรัฐธรรมนูญเพื่อ "แก้แค้น" ด้วยการโค่นล้มรัฐบาล
ประการสุดท้าย ฝ่ายต่อต้านมีจุดร่วมประการเดียวคือ โค่นล้มผู้นำรัฐบาลด้วยวิธีการนอกสภาและนอกรัฐธรรมนูญ ไม่มีวิสัยทัศน์ถึงอนาคตของเศรษฐกิจการเมืองไทย บางส่วนชูคำขวัญ "ปฏิรูปการเมืองรอบสอง" ที่คลุมเครือและส่อแววย้อนยุคไปสู่การเมืองที่รัฐบาลอ่อนแอ แต่กลุ่มก๊วนการเมืองเข้มแข็งในอดีต
ส่วนในด้านเศรษฐกิจ ก็มีเพียงอารมณ์คลั่งชาติที่เกลียดกลัวทุนต่างชาติและต่อต้านเปลี่ยนแปลง ไม่มีข้อเสนอรูปธรรมที่จะปฏิรูปเศรษฐกิจสังคมไทยให้พัฒนาก้าวหน้าและมีความเป็นธรรม ในแง่นี้ ฝ่ายต่อต้านจึงมีลักษณะถอยหลังเข้าคลอง
สิ่งที่ต้องทำคือ ไม่ใช่การโค่นล้มทางการเมืองในทันที แต่ผลักดันการปฏิรูปเศรษฐกิจสังคมให้เดินหน้าเข้าสู่ยุคโลกาภิวัตน์ กับวิจารณ์เปิดโปงการทุจริตคอร์รัปชันในแวดวงรัฐบาลและแนวโน้มที่ไม่เป็นประชาธิปไตยของผู้นำรัฐบาลไปพร้อมกัน
จากคุณ :
จิ๋ม นางเลิ้ง
- [
23 ก.พ. 49 20:42:53
]