จากประสบการณ์ตรงของผมในพฤษภาทมิฬ หากไม่สังเวยชีวิตของม็อบ ผู้นำม็อบจะไม่ได้รับชัยชนะ ดังนั้น เป้าหมายของม็อบคือ ต้องการเลือดมาสังเวย เพื่อโค่นรัฐบาล
การเคลื่อนมาจากสนามหลวง คือ "ยุทธวิธ๊ เดินไปให้รัฐบาลฆ๋า" เพื่อใช้เป็นข้ออ้างให้รัฐบาบสูญเสียความชอบธรรม"
นี่เป็นประสบการตรงของผมในพฤษภาทมิฬ ผมอยู่ในเหตุการณ์
---
เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ผมเข้าร่วมตั้งแต่การชุมนุมครั้งแรกที่ ลานพระรูป วันที่ 19 มีนาคม หรือ เมษายน นี่แหละจำไม่ได้ แต่พรรค ควม. ของชวลิต จัดปราศรัย ต่อต้านใหญ่ มีคนไปฟังมากพอ ๆ พอๆ กับม็อบ สนธิวันที่ 4 กพ.นั้นแหละ สัก 3-40,000 คน (ไม่ได้โม้ว่าเป็นแสน แต่ก็เต็มลานพระรูปนั่นแหละ) มีการชุมนุมยืดเยื้อ ต่อที่หน้ารัฐสภา ผมนั่งที่ใกล้ ๆ ประตูเป็นวัน
คนเริ่ม คือ ชวลิต แต่ จำลอง เป็นคนที่ กล้าบ้าบิ่น
ทีนี้ ต้องว่ากันถึงปฐมเหตุว่าทำไมม็อบจึงมาก
การปฎิวัติของสุจินดา ปี 2534 นั้น เป็นการมาผิดยุคผิดสมัยครับ คนส่วนมาก ไม่เห็นด้วย เพราะเศรษฐกิจกำลังรุ่งเรือง ตลาดหุ้นกำลังเติบโตอย่างมาก "ประเทศไทยกำลังกลายเป็นเสือตัวที่ 5" กระแสประชาธิปไตย แผ่ไปทั่วโลกเนื่องจากคอมมิวนิสต์เพิ่งล่มสลาย ทุกอย่างกำลังไปได้สวย
อยู่ๆ สุจินดาก็มาปฎิวัติ โดยไม่มีข้ออ้างที่ฟังขึ้น เหมือนฟ้าผ่ากลางแดน ตอนนั้นผมเรียนโท อยู่ที่จุฬ่าฯ ยังไม่เชื่อหูตัวเองเลยว่าจะมีการปฎิวัติในยุคสมัยนี้
แต่คนส่วนใหญ่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะกำลังทหารนั้น ไม่มีมวลชนที่ไหนจะท้าทายได้
ทุกคนก็หวังว่า ทหารจะคืนอำนาจ คืนประชาธิปไตยโดยเร็ว ก็รอดูรัฐธรรมนูญว่าจะมีความเป็นประชาธิปไตยหรือไม่
คนชั้นกลาง ที่ชีวิตฝากไว้กับการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ รู้สึกไม่มั่นคงกับชีวิต เศรษฐกิจที่มุ่งการส่งออกนั้น หมายถึง การเติบโตต้องพึ่งต่างชาติอย่างเดียว หากโดนคว่ำบาตร ก็ตายกันทั้งประเทศ และประเทศต่างๆ ก็พยายามที่จะคว่ำบาตร ประเทศที่มาจากการปฎวัติอยู่แล้ว
นี้คือ ไฟที่สุมขอน รอวันปะทุ แต่ทุกคนก็รอรัฐธรรมนูญ และหวังว่ารัฐธรรมนูญจะออกมาเป็นที่ยอมรับกันได้ และไม่ใช่การสืบทอดอำนาจ
สุจินดา ประกาศว่าจะไม่รับตำแหน่งนายกฯ หลังการเลือกตั้ง
แต่ก็เหมือนฟ้าฝ่าอย่างรุนแรง "สุจินดาตระบัดสัตย์มารับตำแหน่งนายกฯ"
เท่านี้ ไฟที่สุมในหมู่คนชั้น กลาง ก็ระเบิดทันทีครับ
ชวลิต เริ่มชุมนุมครั้งแรกที่ผมว่า 19 เมษายน และก็นัดใหม่ วันที่ 1-7 พฤษภาคม (ระหว่างนี้มีม็อบชุมนุมที่หน้ารัฐสภาหลายวัน และฉลาด วรฉัตร ก็อดข้าวประท้วง)
ตรงนี้ จำลองก็ฉวยโอกาสขึ้นมาประกาศอดข้าวจนตาย เพื่อให้สุจินดาลาออก ม็อบก็เพิ่มขึ้นลดลงตามเวลา เพราะคนเข้าชุมนุมคือ คนชั้นกลางที่มีงานทำทั่วกรุงเทพฯ ตอนเช้าม็อบก็ลดลง ตอนดึกก็เพิ่มขึ้นมากมาย หล้งเลิกงานแล้ว นี่คือ เอกลักษณ์ของคนชั้นกลาง
Note: มีม็อบที่เป็นสันติอโศกมาเพื่อช่วยจำลองประมาณ 30,000-40,000 คน พวกนี้อยู่ประจำ
แต่สุจินดาก็ไม่สนใจ ม็อบก็ทำอะไรไม่ได้ จำลองอดข้าวมาได้ 7 วัน ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อ เพราะหากอดต่อไปก็ตายเปล่า ก็เลยหาทางลงโดยขอมติจากม็อบสันติอโศกว่าให้เลิกอดข้าวดีหรือไม่ ม็อบเหล่านี้มาเพราะจำลอง ก็ต้องให้เลิกอยู่แล้ว
แล้วก็นัดชุมนุมใหม่วันที่ 17 พค. ผมไปตั้งแต่สองทุ่ม พอสักห้าทุ่ม ม็อบสันติอโศกราวๆ ห้าหมื่นคนก็เคลื่อนไปที่สะพานผ่านฟ้า พวกคนชั้นกลางทั้งหลายก็รอดูท่าทีที่สนามหลวง
(เพราะม็อบไม่ได้เป็นเนื้อเดียวกัน เพราะนี่คืองานสามัคคีชุมนุม)
น้องๆ เด็กรามฯ ทั้งหลายที่อยู่ข้างๆ ผม กลุ่มใหญ่ก็จะไปด้วย ผมเลยห้ามว่า เมื่อเช้าผมเห็น ประสงค์ สุ่นศิริ อยู่หน้าเต้นท์ จำลอง ผมเดาได้ว่า "ต้องมีการทำให้เกิดการนองเลือดไม่วิธีใดก็วิธีหนึ่ง เพราะไม่อย่างนั้นก็ไม่ชนะ ลำพังม็อบ ไม่มีทางทำอะไรรัฐบาลได้ มันต้องเผา ต้องทำให้คนตาย รัฐบาลจึงจะสูญเสียความชอบธรรม และถูกต่างชาติกดดัน" แต่ผมบอกน้องๆ ว่า เรารู้ทันว่า ผู้นำม็อบต้องการ "เลือดสังเวย" เราจะเป็น "ทหารกล้าสังเวยให้พวกเขาหรือไม่" ถ้าอยากเป็น ก็ไปได้ แต่หากแค่เป็นแนวร่วม ก็รออยู่ข้างหลัง ให้ "คนของพรรคพลังธรรม เขาเสียสละของเขาเอง" น้องๆ เลยไม่ไป รออยู่จนมั่นใจว่าไม่มีอะไร ห้าทุ่มจึงไปกัน
ผมก็นั่งอยู่ที่หน้าเทเวศทร์ประกันภ้ย ถึงตีสี่ ก็ได้ยินเสียงวุ่นวายหน้าสะพานผ่านฟ้าตลอด แต่ไม่มีใครรู้หรอกว่าเกิดอะไรขึ้น เพื่อนๆ ผมเด็กโทจุฬาฯ ทั้งนั้น สิบกว่าคน ก็ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรบ้าง
เพราะกองหน้าโพกหัวดำ เป็นแนวหน้าบุกมาแต่ต้น
สักตีสี่ (เช้าวันที่ 18 พ.ค.) ผมก็อาสาเพื่อนๆ ว่าไปดูให้ (เห็นมีคนโดนยิงหรือตีหัวไม่ทราบ โดนห้ามไปตั้งแต่เที่ยงคืนครึ่ง) ก็ข้ามสะพานผ่านฟ้าไปคนเดียว เห็นรถดับเพลิงโดนเผาพินาศ 2 คน รถตำรวจหรือรถเก๋ง โดนเผาสัก 30 คัน เห็นคนโพกหัวกำลังเผาโรงพักผ่านฟ้า อยู่ๆ ก็มีเสียงปืนรัว ผมกับน้องๆ โพกหัวดำต้องวิ่ง ปีนกำแพงรั่วบ้านคนแถวน้นไปหลบ (เข้าใจว่าคลังอาวุธในโรงพักโดนเผาลูกปืนระเบิด) เจ้าของบ้านตะโกนเสียงหลงว่า อย่าเผาบ้านเขา ๆ ผมแค่หลบภ้ย สักครู่ก็ปีนออกมา แล้วเดินไปทาง ถนนราชดำเนินนอก เห็นทหารตั้งกองจำนวนมาก กำลังเดินมา ผมก็เลยตัดสินใจเดินกลับมาหาเพื่อนๆ ที่หน้าเทเวศทร์ประกันภัย หากไม่กลับมาคาดว่าอาจโดนลูกหลงไปเรียบร้อยแล้ว
สักตีห้าครึ่งขบวนทหารก็มาถึงสะพานผ่านฟ้าพร้อมเสียงปืนกลสนั่นฟ้า (ยิงขึ้นฟ้าหากยิงมาที่ม็อบคงตายหลายพัน แต่อาจมีทหารบ้าๆ บางคน หันกระบอกลง ใครจะรู้ครับยามนั้น ก็เลยมีคนโดนบ้างแต่ไม่มาก ในเช้าวันที่ 18)
ทหารมาถึงผ่านฟ้า ผู้นำม็อบก็ประกาศว่า ให้ม็อบนั่งอยู่เฉยๆ อย่าวิ่ง เพราะหากนั่งเฉยๆ ทหารก็ทำอะไรไม่ได้ ต้องเอาคนมายกออก พอทหารถึงสะพานผ่านฟ้ายิงปืนขู่จนหนำใจ ม็อบที่นั่งหน้าชักรวนเร เพราะโดนน้ำคล้ำจากคลองฉีดใส่ แต่พวกนั่งหลังห่างมาสัก 50 เมตร แบบผมไม่โดน พวกนั่งหลังไม่ลุก พวกนุ่งหน้าลุก พวกนั่งหลังก็ตะโกนให้นั่งลง พร้อมกัน (คนสักห้าหมื่น) ม็อบด้านหน้าก็นั่งลง ทหารก็ลุกคืบหน้าไม่ได้ เพราะม็อบไม่ตกใจแล้ว ม็อบก้มหน้ากับพื้นหลบน้ำคล้ำ อย่างเดียว
เมื่อม็อบไม่ตกใจ ทหาร 1 กองพัน สัก 500-1000 คน เทียบกับม็อบ 50,000 คน ก็หมดความหมาย ลุกคืบหน้าไม่ได้ คน 500 คนเข้ามากลางคน 50,000 คน ก็โดนกลืน ทหารก็เลยลุกคืบหน้าได้สัก 20 เมตรก็หยุด
ทหารก็ยิงปืนขึ้นฟ้าขู่ ม็อบก็เอาขวดน้ำพสาสติก เคาะกับพื้นถนนสู้ (คือที่มาของเสียงดนตรีในเพลง ราชดำเนินของแอ็ด คาราบาว ผมจำทำนองได้ติดตาติดใจ เพราะเคาะเองกับมือ)
แล้วม็อบก็ร้องเพลิงสรรเสริญพระบารมี ลุกขึ้นยืนตรง ทหารก็จำต้องหยุดยิง พอเพลงจบ ก็ยิงใหม่
ผมจำได้แม่นยำว่า ตอนราวหกโมง เสียงระฆังจากวัดภูเขาทองของพระทำวัตรเช้าก็ดังเหง่งหง่าง เสียดลึกเข้าไปในจิตใจของทุกคน ผมรู้สึกขึ้นว่า ทั้งม็อบทั้งทหารนิ่งเงียบ ความตึงเครียดก็คลายลงตั้งแต่นาทีนั้น ใครจะสังเกตุหรือไม่ผมไม่ทราบ แต่ผมอยู่ตรงนั้น เวลานั้น นาทีนั้น ผมได้ยิน และรู้สึกอย่างนั้น ระฆังนั้นช่วยอย่างมาก โดยทื่ทุกคนอาจไม่รู้ตัว มันดังหลายนาที เข้าใจว่า พระท่านก็คงไม่ได้ตั้งใจ แต่ทำตามปกติของท่าน แต่มันมาตรงเวลา ตรงจังหวะพอดี
สักสามโมงเช้า ก็หิวข้าวเลยพากันกลับ นัดเพื่อนว่าบ่ายสองจะมาใหม่ ได้ข่าวว่าเขาจับจำลองไปตั้งแต่สามโมงเย็น ผมไม่ได้นอนมาทั้งคืน ก็ไปนอน กลับมาอีกที โดนกั้นอยู่ที่ ถนนหลานหลวง มีน้องๆ โพกหัวดำบอกว่า จำลองโดนจับไปแล้ว ชวลิต โดนกักบริเวณ ผู้นำม็อบ หนีชุลมุล นั่นคือ วันที่ 18 พ.ค. ตอนสี่โมงครึ่ง เมื่อโดนกัก ม็อบคนชั้นกลางที่กลับมาจากอาบน้ำอาบท่า ได้เวลาเย็นก็พากันออกมาอีก ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ผมเห็นมีคนนั่งอยู่ที่กลางถนนหลานหลวงสัก 30-40 คน ก็เลยไปนั่งด้วย ไม่มีผู้นำม็อบ เพราะหนีไปหมดแล้ว น้องๆ โพกหัวดำ ก็เหล่าให้ฟังว่า เกิดอะไรขึ้นบ้างตอนกลางวัน สักครึ่งชั่วโมง ก็มีคนมานั่งตรงนั้นเป็นร้อยๆ สักชั่วโมงหนึ่ง ก็มีมานั่งเป็นพัน (คือม็อบที่กระจัดกระจายไปตามที่ต่างๆ เพราะโดนไล่จากสะพานผ่านฟ้า) ที่นี้ จากไม่มีม็อบ ตรงนั้นก็กลายเป็นนิวเคลียสขึ้นมาทันที ผู้นำม็อบตามธรรมชาติที่เกิดขึ้นตรงนั้น ก็พาเดินอ้อมไปทางสะพานขาว คนก็เพิ่มขึ้นจำนวนมาก จากที่ต่างๆ ก็มารวมกันได้ กลายเป็นม็อบขนาดมหึมา ไร้ผู้นำไร้การจัดตั้ง เป็น "ม็อบอย่างสมบูรณ์ตามทฤษฎี"
พอดีผมเห็นรถดับเพลิงโดนเผาที่สถานีดับเพลิงผ่านฟ้า เห็นมีม็อบกำลังเข็นรถดับเพลิงอีกคันออกจากโรงรถมาเผา ก็เลยเดินมาดูไม่ได้ตามม็อบกลุ่มใหญ่ไปที่สนามหลวง ก็เลยติดอยู่ตรงนั้น สองทุ่มเลยขึ้นไปบนภูเขาทอง
วันหลังน้องๆ ที่หอเดียวกันมาเล่าให้ฟังว่า ม็อบกลุ่มนี้ ถึงสนามหลวงก็เผาดะไม่เลือก เผากองฉลาก เผารถเมล์ ยึดรถเมล์พุ่งเข้าชนทหาร ก็โดนยิงสวน ม็อบยิงเห็นเพื่อนตายยิ่งบ้าคลั่ง คืนวันที่ 18 ถึงเช้าวันที่ 19 พ.ค. ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น มีการฆ่ากันตายหมู่ทั้งคืน
สักเที่ยงคืนผมกลับมาหอพักที่ซอยกิ่งเพชร ก็เห็นตำรวจหน่วยไล่ล่า ขึ้นซุ่มยิงบริเวณโรงเรียนกิ่งเพชร ทั้งคืนจนถึงรุ่งเช้า ผมได้ยินเสียงปืนดังทั้งคืน ไม่รู้ว่าหนึ่งนัด คือหนึ่งชีวิต หรือ ยิงขึ้นฟ้า น้องๆ เด็กวิศวะจุฬาฯที่หอผมก็เอาก้อนหินขว้างตำรวจหน่วยไล่ล่า ตำรวจก็ตามมากระแทกประตูหอจะเปิดให้ได้ โชคดีที่ประตูไม่เปิด
นั้นคือประสบการณ์ตรงของผม
---------
จากคุณ :
ประชาชน(ไทย)
- [
28 ก.พ. 49 01:05:57
]