ความคิดเห็นที่ 6
และก็ไม่เป็นที่น่าแปลกใจสำหรับผู้เขียนแต่อย่างใดค่ะที่ "กลุ่มม็อบใครก็ได้ที่ไม่ใช่ทักษิณ" "สนธิ" "มหาจำลอง" "กลุ่มพันธมิตรประชาธิปไตยเพื่อประชาชนจอมปลอม" และ "พลพรรคปชป." ถึงกับดิ้นพล่านเมื่อทักษิณไม่ยอมลาออกเพราะเป้าหมายหลักของคนกลุ่มนี้อยู่ที่ตัวนายกฯทักษิณคนเดียวค่ะ .... คนกลุ่มนี้เค้ากลัวการยุบสภาค่ะ เพราะว่าเค้ารู้แน่นเต็มอกค่ะว่าหากยุบสภา นายกรัฐมนตรีก็ยังชนะการเลือกตั้งเช่นเดิม ... เพราะประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศนั้นยังคงสนับสนุนนายกฯคนที่ตั้งใจทำงานคนนี้อยู่ดี .... พวกเค้ากลัว "เสียงสวรรค์ของประชาชนที่เป็นเจ้าของประเทศที่แท้จริง" นั่นเองค่ะ ...
หาก "ชมรมใครก็ได้ที่ไม่ใช่ทักษิณ" มีความเชื่อมั่นว่าประชาชนไม่ต้องการผู้นำคนนี้แล้วใยจึงส่งเสียงกรีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดเมื่อทักษิณประกาศยุบสภา แปลความหมายอื่นไปไม่ได้นอกจากกลัวการเล่นตามกติกาเพราะ"ชมรมใครก็ได้ที่ไม่ใช่ทักษิณ" นี้รู้ดีว่านายกฯคนนี้ฐานประชาชนที่เป็นพลังเงียบยังสนับสนุนท่านอยู่อย่างเหนียวแน่น .. แต่ก็เป็นไปตามลักษณิสัยของกลุ่ม "นักวิชการที่แก่กล้าจริยธรรม" แต่ชอบแหก กฏ กติกาประชาธิปไตยที่มักจะมอง "ประชาชนชาวรากหญ้า" ที่ด้วยความดูแคลนว่าถูกผู้นำเอาเงินฟาดหัวไม่เข้าใจการเมืองอย่างพวกตน ... เหอ เหอ
การดำเนินนโยบายแบบ "ประชานิยม" ที่นักวิชาการขาประจำ ด่า -จัง -แกบางคน ด่าทักษิณด่าแล้วด่าอีกผู้เขียนก็ไม่เห็นว่าจะเป็นความผิดพลาดหรือบกพร่องแต่อย่างใดค่ะ ... นั่นเพราะว่่า การดำเนินนโยบายแบบประชานิยมของพรรคไทยรักไทยมีความเหมาะสม สอดคล้องกับการแก้ไขปัญหาโครงสร้างทางเศรษฐกิจสังคมของไทยในปัจจุบัน เหมือนดังที่ ผศ.ดร. วรพล ได้เคยสรุปไว้ว่าการฟื้นฟูสังคมไทยจากวิกฤติในศตวรรษ ๒๐ ควรจะต้องเกิดกระบวนการปฏิรูปที่ครบถ้วนอย่างน้อย ๓ ด้าน คือ
๑. การปฏิรูปต้นทุนภูมิปัญญาให้มีลักษณะเป็นอุดมการณ์พึ่งพาตนเองมากขึ้น ๒. การปฏิรูปต้นทุนการเมืองให้มีลักษณะแบบประชาสังคมมากขึ้น และ ๓. การปฏิรูปต้นทุนเศรษฐกิจให้มีลักษณะเศรษฐกิจพอเพียงมากขึ้น
ความสำเร็จ ของนโยบายประชานิยม ได้แสดงให้เห็นเป็นรูปธรรมทางการเมืองต่อเนื่องอีกประการหนึ่ง ก็คือ ผลสรุปการเลือกตั้งทั่วไปในครั้งที่ผ่านมา ที่ประชาชนตัดสินใจลงคะแนนเสียง เลือกสมาชิกพรรคไทยรักไทย เข้าไปในรัฐสภามากกว่า ๓๐๐ คน จากจำนวนสมาชิกรัฐสภารวมทั้งหมด ๕๐๐ คน ... จากผลการเลือกตั้งครั้งที่แล้วบ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่า ประชาชนที่เป็นเสียงส่วนใหญ่ของประเทศยืนยันความเห็นของตนเองว่า พึงพอใจต่อการดำเนินนโยบายแบบประชานิยมของพรรคไทยรักไทยมากกว่าจะเห็นคล้อยตามคำอภิปรายของ "ผู้นำทางวิชาการ" ในสังคมการเมืองไทยปัจจุบันที่คัดค้านประชานิยม
ทุกคนมีความเสมอภาคกัน "หนึ่งคน หนึ่งเสียง One Man One Vote" ไม่ว่าจะเป็นยาจกหรือเศรษฐี บ้านนอก หรือ คนเมือง ... ไม่ได้หมายความว่าคนกรุงหนึ่งเสียงจะมีสิทธิืื์์ในการลงคะแนนเสียงมากกว่าคนบ้านนอกจากร้อยเอ็ด ... ทุกคนมีเหตุผลในการเลือกผู้แทนแตกต่างกันไป คนที่ไปดูถูกคนที่เลือกพรรคตรงข้ามกับตนว่า "โง่" หรือเป็น "ควาย๑๙ล้านตัว" นั้นจึงไม่ต่างอะไรกับเป็น "ผู้ที่มีเผด็จการทางความคิด" นั่นเอง
จากการที่กลุ่มต่อต้านทักษิณประกาศ "ไม่ชนะ ไม่เลิก" ... นั่นแสดงให้เห็นว่า "กลุ่มเผด็จการทางความคิดที่ชอบภาวะไร้กติกา" คงไม่ยอมเลิกราง่ายๆเพราะ "จุดมุ่งหมายหลัก" ของคนกลุ่มนี้คือต้องการให้นายกฯทักษิณพ้นจากเส้นทางการเมือง ... เพราะเค้ารู้ว่าหากท่านนายกฯฝ่าวิกฤตครั้งนี้ไปได้ก็เหมือนปล่อยเสือเข้าป่า เพราะทักษิณมีทั้งเงินตรา บารมีและผลงานที่เข้าตาประชาชน ... และม็อบกลุ่มนี้ "เสียงดังมาก" ค่ะไม่ใช่ "เสียงข้างมาก" ... ด้วยเหตุนี้แกนนำม็อบป่วนกวนเมืองและพรรคฝ่ายค้านจึงต้องการให้นายกฯลาออกไม่ต้องการให้ยุบสภาเพราะในความหมายทางการเมืองหมายถึง
๑. เมื่อนายกฯลาออก ... เค้าต้องการตั้งนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 201 ที่ระบุให้นายกรัฐมนตรีต้องมาจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ให้เปลี่ยนเป็นเปิดโอกาสให้คนภายนอก สามารถเป็นนายกรัฐมนตรีได้ และค่อยมาเลือกตั้งทั่วไปตามระบอบรัฐธรรมนูญ ....ตลกดีค่ะ!! แนวความคิดแบบนี้พาประชาธิปไตยถอยหลังลงคลองชัดๆ
๒. ให้นายกรัฐมนตรีลาออกแล้วแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญปัจจุบัน รวมทั้งตั้งรัฐบาลแบบผสมขึ้น(อาจดึงเอาอภิสิทธิ์มาเป็นนายกฯ) ... แต่ผู้เขียนคิดว่าจะอยู่ยากค่ะเพราะเป็นรัฐบาลเสียงข้่างน้อย ...งบประมาณและกฏหมายต่างๆไม่ผ่านแน่นอน .... ซึี่่งหากเสาหลักการเมืองไม่มีสเถียรภาพแล้วเสาเศรษฐกิจก็จะพังไปด้วยค่ะ.
ทั้ง ๒ ข้อนี้เห็นได้ชัดเจนว่าเป็นความต้องการขจัดผู้นำที่ชื่อทักษิณเท่านั้นจริงๆ .. น่ากลัวนะคะหากเรายอมให้เกิด"ประชาธิปไตยตามใจฉัน" ขึ้นในบ้านเมือง ... ยอมให้คนกลุ่มหนึ่งมาตัดสินประเทศ ... ท่านนายกฯพูดถูกแล้วค่ะที่ไม่ลาออก .. เพราะจะเป็นการทำลายสัญญาประชาคมทีี่่ให้ไว้กับประชาชนทั่วประเทศ ... "อำนาจอธิปไตย" เป็นของปวงชนชาวไทยมิใช่ของกลุ่มม็อบที่รักความเป็น"อนาธิปไตย" เหล่านี้
สำหรับผู้เขียนถูกสอนให้รักประชาธิปไตย ยึดมั่นในกฎกติกาแห่งรัฐธรรมนูญ ... บ้านเมืองมีกฎหมายที่ต้องเคารพ ... หากชนในสังคมใดใช้ "กฎหมู่" แทน "กฎหมาย" แล้วก็คงไม่อาจเรียกได้ว่าคนในสังคมนั้นฝักไฝ่หรือมีิจิตสำนึกในประชาธิปไตยอย่างแท้จริง เพราะรักในการใช้ความเป็น "อนาธิปไตย" เหนือ "ประชาธิปไตย" นั่นเอง
ผู้เขียนขอเป็นกำลังใจให้กับ พตท. ทักษิณ ชินวัตรนายกฯของประชาชนคนนี้ตลอดไปค่ะ ...
In a democracy, it is the majority that rules. The minority can whine and cry all they want, but it's the majority that rules.
จากคุณ :
เอื้องอัยราวัณ
- [
1 มี.ค. 49 08:57:39
]
|
|
|