สรยุทธ หัวอะไร?
โดย สุรวิชช์ วีรวรรณ 2 มีนาคม 2549 19:29 น.
ปกติผมเป็นคนตื่นเช้า แต่โชคร้ายเช้าวันพฤหัสบดีที่ผ่านมากว่าจะลุกจากเตียงก็เกือบจะแปดโมงเช้าเข้าไปแล้ว จึงไม่ได้เปิดดูรายการเล่าข่าวของ นักธุรกิจข่าว ที่ชื่อ สรยุทธ สุทัศนะจินดา
มาถึงที่ทำงานแล้วมีคนมาบ่นถึงพฤติกรรมของสรยุทธให้ฟังเต็มสองรูหู มีคนโทรศัพท์เข้ามาบ่นว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนที่เรียกตัวเองว่า สื่อมวลชน วันนี้ทีวีทุกช่องแทบจะไม่สามารถพึ่งพาได้แล้ว บรรดานักเล่าข่าวยังทำตัวเป็นประชาสัมพันธ์ของรัฐบาลไปเสียหมด
เสียงจากปลายสายรายหนึ่งบอกว่า ให้คอยดูการรายงานข่าวของทีวีแต่ละช่องในการนัดปราศรัยใหญ่ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ท้องสนามหลวง ในศุกร์ที่ 3 มี.ค.นี้ให้ดี พนันกันได้เลยว่า ทีวีแต่ละช่องจะมีรายงานกันถี่ยิบ ต่างกับการรายงานข่าวการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่มีรายงานข่าวกะปริบกะปรอย ที่ประชาชนที่ไม่ได้ติดตามข่าวจากหนังสือพิมพ์หรือ เอเอสทีวีแทบจะไม่รู้เลยว่าเกิดเรื่องใหญ่โตขึ้นในบ้านเมือง
ข้ออ้างในการเสนอข่าวของฝ่ายพันธมิตรแบบกะปริบกะปรอยของสื่อมวลชนส่วนหนึ่ง คือ ต้องวางตัวเป็นกลาง ซึ่งผมไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ความเป็นกลางระหว่างความดีกับความชั่วอยู่ตรงไหน ถ้าเราเห็นบ้านเพื่อนบ้านถูกขโมยขึ้นบ้าน เราควรต้องวางตัวเป็นกลางใช่หรือไม่
ไม่ทันสิ้นเสียงโทรศัพท์ เสียงบ่นของเพื่อนฝูงผมก็ได้รับอีเมลจากเพื่อนอีกคนซึ่งหากเอ่ยชื่อแล้วก็ต้องร้องอ๋อกันทั้งประเทศ เพื่อนคนนี้ถ้าไม่เหลืออดจริงๆ ก็คงไม่ออกมาร้องแรกแหกกระเฌอ แต่หลังจากดูรายการของสรยุทธเมื่อเช้าวันพฤหัสฯ แล้วเพื่อนคนนี้ก็ระบายมาทางโทรศัพท์ที่ร่อนตามหลังอีเมลมาว่า เขาทนไม่ได้จริงๆ ครับ
อีเมลที่ผมได้รับจั่วหัวว่า
สรxxx ......
ลองอ่านความเห็นในอีเมลของเพื่อนผมคนนี้ดูนะครับ
ระยะนี้ผมดูทีวีรายการข่าวช่วงเช้าโทรทัศน์สีช่องสามทีไร เป็นต้องได้วิ่งกลับเข้าห้องน้ำใหม่ ทั้งๆ ที่อาบน้ำแปรงฟันเรียบร้อยแล้ว ไม่ได้เข้าไปทำอะไรซ้ำๆ ซากๆ แต่กลับเข้าไปอ้วกแตกอ้วกแตน เนื่องจากเสียดายบุคลากรสายข่าวที่เคยเป็นที่ชื่นชอบ
คุณสรยุทธ สุทัศนะจินดา เป็นตัวอย่างที่น่าชื่นชมของผู้ที่เคยเป็นนักข่าว แล้วพัฒนาตัวเองขึ้นสู่ระดับนักธุรกิจผู้ยิ่งใหญ่ที่แปลงข่าวเป็นทุนได้อย่างเยี่ยมยอด สอดคล้องกับระบบการเมืองไทยปัจจุบันในยุคทักษิโณมิกส์อย่างยิ่ง
คุณสรยุทธนับว่าเป็นนักธุรกิจการข่าวที่น่ายกย่อง ในหลายๆ ด้าน ล่าสุดได้มีการพัฒนาไปอีกสเต็ป จากนักเล่าข่าว ไปสู่นักอ่านข่าวกึ่งนักประชาสัมพันธ์ที่สนับสนุนการบริหารงานของรัฐบาล เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของประเทศชาติภายใต้การบริหารงานของนายกฯทักษิณ ชินวัตร
เช้าวันนี้ เช้าวันรับสมัครรับเลือกตั้งวันแรก 2 มีนาคม ผมเปิดทีวีดูรายการเรื่องเล่าเช้านี้ เผลอเดินไปเดินมาโดยไม่ได้จับจ้องหน้าจอ ได้ยินเสียงจากทีวี แปลบแรกได้ยินเสียงแว่ว เข้าใจผิดว่ามีการสัมภาษณ์นายกรัฐมนตรี มีการอธิบายรายละเอียดต่างๆ และเจตนารมณ์ในการคงอยู่ของนายกฯ โดยไม่สนใจเสียงขับไล่ประชาชนนับแสนให้ลาออกจากตำแหน่ง โดยมีการระบุแผนการที่จะปราศรัย ร่ายยาวหลักการและเหตุผล ตลอดจนแผนการต่างๆ รวมถึงยุทธศาสตร์ในการมุ่งปฏิรูปการเมือง
อ้าว หันกลับไปดูจออีกที ไม่ใช่นายกฯทักษิณนี่นา กลายเป็นสุดหล่อสรยุทธ สุทัศนะจินดา ไปเสียนี่
++++++
ยังมีอีกยืดยาวครับ แต่หลังอ่านอีเมลของเพื่อนแล้ว ผมก็ได้โทรศัพท์กลับไปปลอบใจเพื่อนคนนี้ว่าให้ทำใจเสียเถอะ เพราะยุคนี้เป็นยุคที่มือใครยาวสาวได้สาวเอา มีโอกาสก็กอบโกยกันไว้ก่อน จะให้นั่งขายชาขายกาแฟเก็บน้อยกินน้อยอย่างอาชีพที่เพื่อนผมทำอยู่คงจะรวยช้า ดีไม่ดีจะถูกสรรพากรมานั่งนับถ้วยกาแฟให้เจ็บกระดองใจเสียอีก
ผมบอกเพื่อนไปว่า คืนวันพุธ ผมนั่งดูรายการที่สรยุทธ เชิญคุณโภคิน พลกุล มาออกทีวี ผมก็ได้แต่นอนเอาส้น ชี้จอโทรทัศน์อยู่ที่บ้านเหมือนกัน
เส้นทางของสรยุทธนั้นเติบโตมาจากนักข่าวฝึกหัด ที่ต้นสังกัดเห็นหน่วยก้านรับเข้ามาทำงานข่าวทันทีหลังเรียนจบจากนั้นก็เติบโตเรื่อยมาเป็น นักเล่าข่าว ก่อนจะแปลงโฉมมาเป็น นักธุรกิจข่าว (แปลงข่าวเป็นทุน) อย่างที่เราเห็นอยู่ในหน้าจอโทรทัศน์ในวันนี้
นักข่าวต้องการจิตวิญญาณนักข่าวสูง ลงทุนลงแรงมากในการหาข่าวแต่ละชิ้น ในขณะที่ผลตอบแทนน้อย ถ้าต้นสังกัดดีก็จะเป็นเบ้าหลอมให้นักข่าวคนนั้นกลายเป็นผลิตผลที่ดีของสังคมด้วย
แต่นักเล่าข่าวได้รับค่าตอบแทนสูง ไม่ต้องลงทุนมากในการทำข่าว แต่ตีกินจากคนอื่นที่ทำข่าวมาแล้ว เอาหนังสือพิมพ์มาอ่าน ดังนั้น เรื่องของจิตวิญญาณนั้น บางคนก็มีอยู่ บางคนก็ลืมมันไปเพราะไม่ใช่ปัจจัยที่จำเป็น
นักธุรกิจข่าวเป็นพัฒนาการอีกขั้นของนักเล่าข่าว คือแปลงข่าวเป็นทุนไปเรียบร้อยแล้ว เป็นนายทุนข่าว เจ้าของรายการ และข่าวที่เอามาก็ยังเป็นข่าวของคนอื่น ที่คนอื่นทำมาเสียอีก การหยิบข่าวเอามาอ่านในรายการที่ตัวเองเป็นเจ้าของ นักธุรกิจข่าว ทำข่าวน้อย ใช้ลีลาเยอะหน่อยก็อยู่ได้ การหยิบเอาข่าวมาอ่าน ก็จะอยู่ในยุทธศาสตร์รักษาพื้นที่ที่เป็นองค์ประกอบในการหาเงินของตัวเอง ดังนั้นจิตวิญญาณนักข่าว จึงเป็นเรื่องที่ขัดแย้งกับการเป็นนักธุรกิจข่าวอย่างภาพมาออกหน้าจอ จะต้องใช้ลีลาที่เนียนๆ อย่าให้ประชาชนคนดูจับได้
---------
ในอีเมลบ่นเรื่องของสรยุทธออกมาอีกมากมาย แต่เหมือนเพื่อนกลัวว่า ผมจะไม่เข้าใจว่า ทำไมถึงจั่วหัวในอีเมลมาอย่างนั้น ก็เลยมีคำอธิบายให้เสร็จสรรพ ผมก็เลยเอามาเล่าให้ผู้อ่านฟังถึงเหตุผลของเพื่อนผมอีกต่อหนึ่ง
ลองอ่านดูนะครับ
สรยุทธน่าชื่นชมที่พัฒนาตัวเองสู่ระดับสูงของนักธุรกิจข่าว แต่ในส่วนของจิตวิญญาณนักข่าวถือว่า อ่อนไปมาก ดังนั้น น่าจะเปลี่ยนชื่อเรียกที่เราคุ้นเคยสมัยเขาเป็นนักข่าว สรยุทธ ไปเป็น สรxxx และให้ฉายาต่อท้าย เหมือนผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลาย ว่า หัวคุด เหมือนกับเวลาขนคุด หรือเล็บคุด ประมาณว่า วิญญาณการทำข่าวที่อยากจะยืดออกมาสูดอากาศภายนอก ต้องโดนปัจจัยหลายต่อหลายอย่างที่จะรักษาสถานภาพ นักธุรกิจข่าว โดนสภาพภายนอกให้ หัวสมอง ที่รักในการทำข่าว และจิตวิญญาณของนักข่าว ไม่สามารถงอกเงยเจริญเติบโตออกมา จึง คุด อยู่ข้างใน
ดังนั้น คุณสรยุทธ จึงน่าจะเรียกชื่อและฉายาใหม่ว่า ..........
>>>>>>>>>>>>>>>>
สงสัยจัง คอลัมนิสต์ผู้จัดการ จบอะไรมา ทำเขียนบทความได้เอียงขนาดนี้ สถาบันที่ใหนสอนเนี่ย ขนาดคำบางคำข้างบน พันทิปยังกรอง แล้วหนังสือพิมพ์แบบนี้ ปล่อยออกขายได้
จากคุณ :
Hainun Boy
- [
3 มี.ค. 49 21:39:41
]