 |
เปิดโปงจำลอง ช่วงพฤษภาทมิฬ
คือ เห็นมีข้อความจากเวปอื่นมา เห็นว่าน่าสนใจ แต่มิแน่ใจว่าผู้นำข้อความด้านล่างนี้มีตัวตนจริงหรือไม่ ขอให้ใช้วิจารณญาณในการอ่านนะครับ
+++++ เปิดโปงประวัติจำลองช่วงนำคนไปตาย (น่าสนใจมาก) +++++ (copy มาให้อ่านกันนะครับ)
==============================
ดิฉันเป็นลูกสาวของ พลเอกดำรง สิกขะมณฑล อดีตสมุหราชองครักษ์ ซึ่งทำงานถวายสถาบัน พระมหากษัตริย์มาเป็นเวลากว่า 30 ปี ดิฉันจึงได้มีโอกาสทราบดีว่าทุกครั้งที่เกิดความวุ่นวายในบ้านเมืองนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ตลอดจนพระบรมวงศานุวงศ์ทุก พระองค์จะทรงมีความไม่สบายพระทัยเป็นอย่างยิ่งในปัญหาของบ้านเมืองทุกครั้ง
เมื่อครั้งที่เกิดเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ในปี พ.ศ. 2535 นั้น คุณพ่อของดิฉันไม่ได้กลับบ้านเลยใน ช่วงเวลาที่เกิดเหตุการณ์ความขัดแย้งนั้น และท่านก็เล่าให้ฟังว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ก็ไม่ได้ทรง บรรทมเลย ทรงเป็นห่วงประชาชน และทรงฟังข่าวเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าวอยู่ตลอดเวลา
ในวันที่พลตรีจำลอง ศรีเมือง ประท้วงร่วมกับประชาชนอยู่ที่ถนนราชดำเนินกลาง(วันใดจำไม่ได้แน่ ชัด) ท่านได้โทรมาหาบิดาของดิฉันที่บ้าน ดิฉันจึงเรียนว่าบิดาของดิฉันไม่อยู่และไม่สามารถติดต่อได้ เนื่องจากท่านจะต้องปฏิบัติหน้าที่ถวายอารักขาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ อยู่ในพระตำหนัก ซึ่งพลตรี จำลอง ก็ขอให้ดิฉันเรียนบิดาว่าขอให้นำความขึ้นกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ว่าหากพลเอก สุจินดา คราประยูร ไม่ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ตนก็จะนำขบวนเคลื่อนไปยังลานพระบรมรูปทรงม้า ดิฉันจึงเรียนพลตรีจำลองว่า ขอได้โปรดงดการเคลื่อนย้ายขบวนประชาชนเพราะอาจเกิดเหตุการณ์ปะทะกับ ตำรวจหรือทหารที่เขามีหน้าที่ยับยั้งป้องกันไม่ให้ขบวนเดินไปใกล้พระราชวังสวนจิตรลดา เพราะเขาเป็นห่วง เรื่องการถวายอารักขา ซึ่งพลตรีจำลองก็ตอบว่าหากพลเอกสุจินดาไม่ลาออกก็จะเป็นภัยต่อประเทศเป็นอย่างยิ่ง เพราะจะเกิดการยึดครองอำนาจอย่างถาวรโดยกลุ่มทหาร ดิฉันจึงได้เรียนท่านว่าดิฉันไม่สามารถติดต่อกับบิดา ได้เลย เพราะท่านมีหน้าที่ถวายความปลอดภัยแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ นั้นคือการที่ต้องถวายงานอย่างใกล้ชิดติดพระองค์และหมายถึงการต้องปิดโทรศัพท์มือถือในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งก่อนที่ดิฉันจะวาง โทรศัพท์ลงก็ได้ยินเสียงท่านพูดในเครื่องขยายเสียงว่าได้นำความเรื่องจะนำประชาชนเคลื่อนขบวนไปยังลาน พระบรมรูปทรงม้า เรียนแก่สมุหราชองครักษ์เพื่อนำความกราบบังคมทูลแล้ว ซึ่งไม่เป็นความจริงและดิฉันได้ ย้ำอีกว่าขอความกรุณาพลตรีจำลอง หยุดการเคลื่อนย้ายขบวนประชาชนเพราะเกรงว่าจะเกิดเหตุการณ์วุ่นวาย ซึ่งอาจจะไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ แต่ท่านก็ไม่ได้ตอบกลับว่าอะไร
วันรุ่งขึ้นดิฉันก็ได้ทราบว่ามีการปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่กับประชาชนที่มาร่วมชุมนุมในขณะที่มีการ เคลื่อนย้ายขบวนไปยังลานพระบรมรูปทรงม้า ซึ่งต่อมาพลตรีจำลองและคณะผู้ร่วมเดินขบวนก็ถูกนำตัวไป ควบคุมไว้ที่โรงเรียนพลตำรวจ ถนนวิภาวดี-รังสิต เพราะในระหว่างการเคลื่อนย้ายขบวนดังกล่าวมีประชาชน เสียชีวิตและบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก และสถานที่ราชการหรือกรมสรรพากรก็ถูกทำลายโดยการจุดไฟเผา บ้านเมืองเกิดความปั่นป่วนวุ่นวายอยู่ประมาณ 1 อาทิตย์ เกิดความไม่สงบสุขและกระทบต่อวิถีชีวิตของคนไทย ทุกคน
ในขณะที่เหตุการณ์นั้นได้เกิดความร้ายแรงถึงขั้นวิกฤต และไม่มีเจ้าหน้าที่ของรัฐคนใดหรือหน่วยงาน ใดที่จะทำให้เหตุการณ์คลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น ก็เกิดเหตุการณ์ที่คนไทยทุกคนเฝ้ารอคอยอย่างใจจดใจจ่อ ว่า เมื่อใดพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ จะทรงออกมาระงับเหตุวิกฤตครั้งนี้ เพราะในหัวใจส่วนลึกของคนไทย ทุกคนนี้ล้วนตระหนักดีว่า เมื่อพระองค์ทรงออกมาระงับเหตุการณ์วุ่นวายทีไร ก็จะทรงสามารถระงับความ - 2 - วุ่นวายและทำให้บ้านเมืองเกิดความสงบและเข้าสู่สภาวะปกติได้ในทุกครั้ง (นับแต่เหตุการณ์ 16 ตุลาคม 2514 เป็นต้นมา) ในที่สุดวันที่คนไทยทุกคนเฝ้ารอคอยก็มาถึง หลังจากที่พลตรีจำลอง ถูกควบคุมตัวอยู่ประมาณ 1-2 วัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ก็มีพระราชประสงค์ให้พลตรีจำลองและพลเอกสุจินดา หาหนทางยุติความ ขัดแย้งโดยสันติ โดยสถานีโทรทัศน์ทุกช่องก็ได้ถ่ายทอดสดเหตุการณ์ดังกล่าว ประชาชนทุกคนได้เห็นภาพที่ พลตรีจำลองและพลเอกสุจินดา นั่งพับเพียบอยู่แทบเบื้องพระยุคลบาท โดยพลเอกสุจินดามาเข้าเฝ้าในชุดที่ เหมาะสมแก่การเข้าเฝ้าพระมหากษัตริย์ ส่วนพลตรีจำลองสวมชุดหม้อฮ่อมที่คนไทยทุกคนเห็นชินตา หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ได้ทรงมีพระราชปฏิสัณถารและทรงให้พระบรมราโชวาทให้ บุคคลทั้งสองหาทางแก้ไขข้อขัดแย้งอย่างสันติ เหตุการณ์ที่ยังคงวุ่นวายอยู่ก็ระงับลงในทันที ประชาชนคน ไทยต่างร้องไชโยและบางคนก็ร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี โทรทัศน์หลายช่องรวมทั้ง CNN ได้แพร่ภาพการ สัมภาษณ์ประชาชนหลายคน ซึ่งประชาชนเหล่านั้นต่างก็ได้ชื่นชมและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ที่ทรงมีพระปรีชาสามารถในการระงับเหตุวิกฤตได้เช่นเดียวกับเหตุที่เกิดมาในอดีตและทรงทำให้บ้านเมืองเกิดความสงบสุข ประชาชนได้มีวิถีชีวิตที่เป็นปกติอีกครั้งหนึ่ง
เมื่อบิดาของดิฉันได้กลับมาบ้านหลังจากเสร็จสิ้นการถวายอารักขาในเหตุการณ์ดังกล่าวแล้ว ดิฉันได้ เรียนถามว่าเพราะเหตุใดพลตรีจำลองจึงใส่ชุดหม้อฮ่อมมาเข้าเฝ้าฯ บิดาตอบว่า ทราบว่ามีเจ้าหน้าที่ได้เตรียมหา ชุดสากลไว้ให้พลตรีจำลองใส่เพื่อการเข้าเฝ้าแล้ว แต่พลตรีจำลองไม่ใส่ซึ่งก็มีการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างหนาหู ว่า นอกจากพลตรีจำลองจะไม่ถวายพระเกียรติด้วยการสวมชุดเข้าเฝ้าที่เหมาะสมแล้ว น่าจะมีวัตถุประสงค์ทาง การเมืองอื่นที่แอบแฝงด้วย จึงต้องการใส่ชุดหม้อฮ่อมเป็นสัญลักษณ์ประจำตัวเมื่อเวลาออกโทรทัศน์
ดิฉันเป็นคนไทยคนหนึ่งที่มีความห่วงใยบ้านเมืองและต้องการเห็นความเจริญรุ่งเรืองของประเทศ อยาก ให้คนไทยมีความรักความสามัคคีกัน เพื่อที่จะได้นำพาประเทศไทยให้อยู่รอดในท่ามกลางสภาวะการแข่งขัน ทางการค้าระหว่างประเทศอย่างดุเดือดนี้ ซึ่งแน่นอนสติปัญญาของประชาชนและผู้บริหารประเทศตลอดจน ทรัพยากรของประเทศก็น่าจะถูกนำมาใช้ให้เกิดประสิทธิภาพอย่างสูงสุด ยิ่งไปกว่านั้นเหนือสิ่งอื่นใดและเหนือความขัดแย้งทั้งปวง
โปรดอย่าลืมว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ ทรงมีพระชนมายุมากแล้ว ใกล้ 80 พระชันษาแล้ว และในปีนี้รัฐบาลก็จะจัดงานฉลองในวโรกาสที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงครองสิริราชสมบัติครอบ 60 ปี ซึ่งในวโรกาสนี้นอกจากรัฐบาลจะมีหน้าที่ ตระเตรียมในเรื่องของพิธีการในการเป็นเจ้าภาพเชิญบรรดาพระประมุขของประเทศต่าง ๆ และบุคคลสำคัญ ของประเทศเหล่านั้น ก็น่าจะเป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคนในการมีส่วนร่วมในงานถวายพระเกียรติดังกล่าว โดยการทำให้บ้านเมืองเกิดความสงบสุขและแก้ไขปัญหาความขัดแย้งที่มีอยู่อย่างสันติ ความขัดแย้งระหว่าง ฯพณฯ พันตำรวจโททักษิณ นายกรัฐมนตรี และคุณสนธิ ลิ้มทองกุล ซึ่ง ประกอบไปด้วยผู้สนับสนุนจากหลายองค์กร ตลอดจนกลุ่มสันติอโศกของพลตรีจำลอง ศรีเมืองนั้น ทำท่าจะ ทวีความรุนแรงขึ้น ซึ่งดิฉันกลัวประวัติศาสตร์ซ้ำร้อยในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ และหากเกิดวิกฤตขึ้นก็ย่อมจะ เป็นอุปสรรคต่องานถวายพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ในระหว่างวันที่ 13-14 มิถุนายนที่จะถึงนี้ - 3 - อย่างแน่นอน
จริงอยู่ที่ว่าความขัดแย้งและการแสดงความคิดเห็นอย่างเสรีเป็นกระบวนการปกติในการปกครอง ในระบอบประชาธิปไตย แต่ดิฉันอดตั้งคำถามไม่ได้ว่า การเคลื่อนไหวของกลุ่มพลังคัดค้านต่าง ๆ ที่จะนำไปสู่ การชุมนุมในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ที่สนามหลวงนั้น เป็นการกระทำที่เหมาะสมแก่กาลเวลาและสถานการณ์ที่คน ไทยทุกคนควรมีส่วนร่วมในการร่วมถวายพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ แล้วหรือ ดิฉันไม่ได้เห็นด้วยกันนโยบายหรือการกระทำของ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีในทุกเรื่องของการบริหาร ราชการแผ่นดิน แต่ดิฉันก็ไม่ไปร่วมชุมนุมกับฝ่ายคุณสนธิ เพราะดิฉันคิดว่าในฐานะคนไทยคนหนึ่งอาจแสดง ความไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลโดยวิถีทางประชาธิปไตย คือ 1) ลงนามร่วมกับสถาบันที่มีส่วนในการรวบรวม รายชื่อประชาชนห้าหมื่นคนเพื่อซักฟอกคณะฯ นายกรัฐมนตรีตามวิถีทางของรัฐธรรมนูญ และ/หรือ 2) ไม่เลือก พรรคไทยรักไทยในการเลือกตั้งในครั้งต่อไป
อย่างไรก็ตามดิฉันยังมีความคลางแคลงใจในมูลเหตุจูงใจของคุณสนธิ และพลตรีจำลองในการเป็น แกนนำในการชุมนุมต่อต้านรัฐบาลและอดตั้งคำถามไม่ได้ว่าในวันที่ 4 ธันวาคม 2548 นั้น บุคคลทั้งสองอาจจะ ไม่ได้ดูโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจที่ถ่ายทอดภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เมื่อในวันเฉลิมพระชนม์ พรรษา ที่ความในตอนหนึ่งของพระบรมราโชวาท คือ ทรงมีพระราชประสงค์ให้คนไทยรู้รัก สามัคคี และ แก้ไขปัญหาความขัดแย้งอย่างสันติวิธี ซึ่งภายหลังจากที่ได้ฟังพระบรมราโชวาทจบ ดิฉันก็เกิดความโล่งอกว่า น่าจะไม่เกิดเหตุการณ์รุนแรงในวันที่ 9 ธันวาคมที่ผ่านมา ซึ่งก็เป็นตามคาด แต่ก็ไม่คาดคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์ ต่าง ๆ ตามมาอย่างมากมาย และก็ยิ่งจะทวีความรุนแรงขึ้นทุกที คนไทยทุกคนสามารถมีส่วนร่วมในการถวายพระเกียรติและแสดงความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวฯ ได้โดยการน้อมนำพระบรมราโชวาทมาปฏิบัติ คือแก้ไขปัญหาความขัดแย้งอย่างสันติวิธี ด้วย ความรู้รักสามัคคีดังกล่าว เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์วิกฤตรอบใหม่ และเพื่อไม่ต้องรบกวนเบื้องยุคลบาทให้มา ทรงทำหน้าที่ระงับเหตุการณ์วุ่นวายในบ้านเมืองเหมือนในอดีตที่ผ่านมา โดยขอให้คนไทยทุกคนตระหนักและ รู้สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ได้เกิดเป็นคนไทยภายใต้ร่มพระบารมีของพระองค์ ด้วยการนำรัฐธรรมนูญ มาตรา 8 มาใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรมอย่างแท้จริง คือ “องค์พระมหากษัตริย์ ทรงดำรงอยู่ในฐานะ อันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดละเมิดมิได้.......”
ดังนั้น การมีส่วนร่วมในการก่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยในบ้านเมืองและการแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธี ด้วยความรู้ รัก สามัคคี เท่านั้น จึงจะถือว่าเป็นการถวายความเคารพสักการะและโดยปราศจากมูลเหตุจูงใจอื่น ใดแอบแฝงอย่างแท้จริง
ปณีดา สิกขะมณฑล ที่ปรึกษากฎหมายอิสระ รณญาณในการอ่านนะครับ
จากคุณ :
protege
- [
6 มี.ค. 49 20:00:42
]
|
|
|
|
|