ความคิดเห็นที่ 1
กลุ่มหนึ่งโจมตีใส่พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นรัฐบาลในขณะนั้นจนเสียศูนย์ และเป็นกำลังสนับสนุนที่สำคัญของกลุ่มทุนการเมืองในพรรคไทยรักไทย ซึ่งฉายภาพชัดแจ้งเป็นอย่างยิ่งภายหลังการเลือกตั้งปี 2544 สิ้นสุดลง ด้วยชัยชนะอย่างท่วมท้นของพรรคไทยรักไทย ที่มีต่อพรรคประชาธิปัตย์และทุกพรรคการเมือง
หลังจากพรรคประชาธิปัตย์หลุดวงโคจรของอำนาจ และพรรคไทยรักไทยได้เข้ามาสวมต่อการใช้อำนาจรัฐแทน สถานการณ์ในขณะนั้น พรรคไทยรักไทยยิ่งใหญ่เกรียงไกรอย่างมากในแวดวงการเมือง ในขณะที่สนธิ ลิ้มทองกุล ก็เตรียมตัวที่จะกลับสู่ยุคความยิ่งใหญ่ในแวดวงธุรกิจสื่อสารมวลชนอีกครั้ง ด้วยเหตุที่ผู้บริหารคนสำคัญของรัฐบาลล้วนแต่ผูกพันกับสนธิมาช้านาน ทั้งแบบเพื่อนฝูง พรรคพวกและลูกจ้าง
น้ำขึ้นให้รีบตัก เป็นภาษิตที่นำมาใช้ได้ดีกับสนธิ ในห้วงเวลาที่รัฐบาลพรรคไทยรักไทยครองอำนาจรัฐใน 4 ปีแรก สื่อในเครือผู้จัดการและไทยเดย์ดอทคอมเร่งทยอยเปิดตัวเข้าสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง ทั้งสื่อสิ่งพิมพ์ หนังสือพิมพ์รายวัน รายสัปดาห์ รายเดือน นิตยสาร สื่อวิทยุ สื่อโทรทัศน์ และสถานีข่าวโทรทัศน์ 11News1 ซึ่งสื่อในเครือผู้จัดการทุกเล่ม ทุกรายการได้รับการตอบรับอย่างอบอุ่นจากหน่วยงานรัฐ ทั้งรัฐวิสาหกิจและราชการ ชนิดที่สื่อสำนักอื่นๆ ไม่แต่มองตาปริบๆ พร้อมกับทำปากขมุบขมิบด้วยความอิจฉา
การอุดหนุนสื่อในเครือผู้จัดการของหน่วยงานรัฐ จนแทบจะไม่มีพื้นที่ และเวลาให้ออกโฆษณา ส่งผลให้สนธิตกเป็นเป้าของสมาชิกวุฒิสภา เจิมศักดิ์ ปิ่นทองและนักการเมืองพรรคประชาธิปัตย์ ที่เห็นว่าการสนับสนุนอย่างมากมายและคับคั่งเช่นนี้ไมใช่ภาวะปกติ หากแต่ต้องมี คำสั่ง ในหน่วยงานต่างๆ สนับสนุนและอุดหนุนเป็นพิเศษแก่สื่อเครือผู้จัดการ ที่อยู่ภายใต้การบัญชาการของสนธิ ลิ้มทองกุล
แน่นอนว่าหลักฐาน คำสั่ง ย่อมหาไม่ได้ และจะมี คำสั่ง จริงหรือไม่ก็ไม่มีใครทราบได้ หากแต่สิ่งที่มีแน่นอน และปรากฏขึ้นในภายหลังก็คือ คำบอกเล่าของผู้บริหารหน่วยงานของรัฐ และรัฐวิสาหกิจ ที่ตกเป็นจำเลยของ เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ก็คือ คำแอบอ้าง ที่มีไปถึงรัฐวิสาหกิจเกือบทุกแห่ง
รัฐวิสาหกิจทั้งหมดในกระทรวงการคลัง และกระทรวงคมนาคม อาทิ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารออมสิน ธนาคารอาคารสังเคราะห์ โรงงานยาสูบ การบินไทย การสื่อสารแห่งประเทศไทย ฯลฯ ต่างทยอยเข้าคิวทำสัญญาซื้อพื้นที่ และเวลาโฆษณากับเครือผู้จัดการ เป็นเงินรวมกันแล้วหลายร้อยล้านบาท และแน่นอนว่าความพร้อมใจกันซื้อสื่อโฆษณาแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนนี้
จากการตรวจสอบห้วงเวลา น้ำขึ้น นั้น สนธิได้ตักเข้าไปใส่ในเครือผู้จัดการแบบไม่หยุดหย่อน และไม่แบ่งให้ใครได้ตักบ้างเลย พบว่ามีรายงานการซื้อขายที่น่าสนใจอยู่ 2 รายการ (เท่าที่ตรวจสอบพบ) คือ
บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ซื้อโฆษณาสื่อเครือผู้จัดการ ตั้งแต่ปี 2545-2548 รวมทั้งสิ้น 54,637,987 บาท นอกจากนี้ ปตท. ยังได้ทำสัญญาซื้อขายโฆษณากับ 11News1 อีก 60 ล้านบาท แต่เนื่องจาก 11News1 ต้องมีอันเป็นไป ถูกสั่งระงับการออกอากาศเสียก่อน ส่งผลให้สัญญาการซื้อขายเวลาโฆษณาระหว่าง ปตท. กับ 11News1 ต้องสิ้นสุดลงไปด้วย ในขณะที่เพิ่งใช้จ่ายเงินไปเพียง 10 ล้านบาท
การซื้อสื่อสิ่งพิมพ์ในเครือผู้จัดการ ไม่ใช่สิ่งที่ต้องสงสัย เพราะเป็นสื่อที่มีการผลิตเพื่อจำหน่ายกันมานานแล้ว และ ปตท. ก็เคยซื้อสื่ออยู่เป็นประจำ แต่กับการทำสัญญาซื้อสื่อโฆษณาใน 11News1 ที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นใหม่ และสนธิก็เป็นเพียงผู้รับจ้างทำข่าวให้กับบริษัท RNT เจ้าของสถานีโทรทัศน์ผ่านเดียวเทียม 11/1 ตัวจริง (ตามคำบอกเล่าของสนธิ ในรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร) นั้น เป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจและต้องสงสัย
การทำสัญญาซื้อสื่อโฆษณาจำนวน 60 ล้านบาท ไม่ใช่เงินจำนวนน้อยนิด สำหรับบริษัทที่กระทรวงการคลัง ถือหุ้นอยู่ 52.48 เปอร์เซ็นต์ (ณ วันที่ 20/07/2548) เหตุใดจึงมีการใช้วิจารณญาณหรือใช้การพิจารณาบนพื้นฐาน
ข้อมูลใด ว่าสมควรจะใช้จ่ายเงินเพื่อสนับสนุนการเกิดขึ้นของสถานีโทรทัศน์ระบบดาวเทียม 11/1 มากถึงเพียงนี้ ทั้งๆ ที่ยังไม่มีความชัดเจนว่า 11/1 ดำเนินการถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ และ 11News1 ของสนธิจะได้ออกอากาศนานเพียงใด เพราะสนธิเป็นเพียงผู้รับจ้างทำข่าวเท่านั้นเอง และเมื่อสนธิไม่ใช่เจ้าของสถานีโทรทัศน์แห่งนี้ ทำไม ปตท. จึงไปทำสัญญาซื้อสื่อโฆษณากับสนธิ หรือในนามของไทยเดย์ดอทคอม
คำถามเหล่านี้มีการซักไซ้ไล่เลียงกันใน ปตท. ซึ่งไม่มีผู้ใดสามารถตอบได้ชัดเจนทุกคนทราบแต่ว่าการจ่ายเงินจำนวนมากขนาดนี้ ต้องมี ผู้ใหญ่ สั่งมา แต่เป็น ผู้ใหญ่ คนใดไม่มีใครทราบ และจนถึงวันนี้ก็ยังไม่ทราบว่า ผู้ใหญ่ คนนั้นคือใคร หน้าตาเป็นอย่างไร เพราะ ผู้ใหญ่ นั้นมาสั่งในรูปของคำบอกเล่า คำอ้าง ไม่ได้มาด้วยตัวเอง ไม่มีแม้กระทั่ง เสียง แต่ความน่าเชื่อถือของผู้อ้าง มีสูงมากจำทำให้มีการทำสัญญาซื้อสื่อโฆษณา 60 ล้านบาทเกิดขึ้น
การทำสัญญาครั้งนั้นมีมูลค่า 60 ล้านบาท แต่สนธิในนามของไทยเดย์ดอทคอมหรือ 11News1 ได้รับเงินไปเพียง 10 ล้านบาทเท่านั้น เนื่องจาก 11News1 ประสบปัญหาสะดุดขาตัวเอง จนต้องปิดตัวลง
แม้จะเคยให้การสนับสนุนมากมายขนาดนี้ แต่ ปตท. ก็ไม่เคยได้รับสิทธิพิเศษใดๆ จากสนธิ และเครือผู้จัดการสักครั้งเดียว หากจะมีก็แต่ได้รับเชิญขึ้นเวทีเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจรค่อนข้างบ่อยครั้ง ในฐานะจำเลยของสังคม ในฐานะบริษัทมหาชนที่หลอกต้นคนไทยให้ซื้อน้ำมันแพง หลอกต้มคนไทยผู้ถือหุ้นรายย่อยให้เสียผลประโยชน์ หลอกต้นคนไทยให้เชื่อมั่นการบริหารงานเป็นธรรมาภิบาล และสำคัญที่สุดก็คือ การกล่าวประฌาม ปตท. ว่าเป็นบริษัทที่เห็นแก่การทำกำไร ไม่สนใจความเดือดร้อนของประชาชน และเห็นว่ากำไรที่เกิดจากการบริหารของ ปตท. เป็นสิ่งที่ผิดพลาด และเป็นการสะท้อนให้เห็นว่า ปตท. เอาเปรียบประชาชน รัฐบาลในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ไม่จริงใจต่อประชาชน
กล่าวโดยสรุปก็คือ การมีกำไรจากการบริหารงานของ ปตท. คือความผิดพลาดของ ปตท. ในทัศนะของนักธุรกิจแบบสนธิ
ความผิดพลาดของ ปตท. ในสายตาของสนธิและสื่อเครือผู้จัดการ เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อ ปตท. ซื้อสื่อโฆษณาในเครือผู้จัดการน้อยลงกว่าเดิมเมื่อไม่นานมานี้เอง
เหตุที่ ปตท. ถูกด่า ถูกประฌามบนเวทีเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร ก็มีเหตุมาจากเรื่องการตัดงบซื้อสื่อโฆษณาเครือผู้จัดการเท่านั้นเอง
เป็นเหตุเดียวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นนายกฯที่ดีที่สุดเท่าที่ประเทศไทยเคยมีมาของสนธิ ถูกชี้หน้ากล่าวประฌามว่าเป็นนายกฯที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่ประเทศไทยเคยมีมา เพียงเพราะไม่ช่วยเหลือ ไม่ใช้อำนาจ สั่งการ ให้ 11News1 กลับคืนขึ้นไปอยู่บน UBC9 อีกครั้งหนึ่ง
ตัวอย่างที่ 2 ของการสนับสนุนสนธิ และเครือผู้จัดการก็คือ
ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ซื้อโฆษณาสื่อเครือผู้จัดการ เฉพาะรายการโทรทัศน์ 2 รายการ คือ เมืองไทยรายสัปดาห์ กับ พบคนพบธรรม ซึ่งออกอากาศทางช่อง 9 ทั้ง 2 รายการ ตั้งแต่ปี 2544-2548 ธนาคารกรุงไทยใช้เงินซื้อสื่อในเครือผู้จัดการมากถึง 276 ล้านบาท ปีละ 77.04 ล้านบาท ซึ่งเฉลี่ยเดือนละ 6.42 ล้านบาท
ยังไม่นับถึงพื้นที่โฆษณาในหน้าหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ทั้งรายวัน รายสัปดาห์และรายเดือน รวมไปถึงเว็บไซต์ manager.co.th ที่ลงกันอย่างถี่ยิบ ตามเงื่อนไขการปรับโครงสร้างหนี้ที่กำหนดให้เดอะแมนเนเอจร์มีเดียกรุ๊ปจำกัด ชำระหนี้ด้วยการใช้หน้าหนังสือพิมพ์แทนเงินสุด ซึ่งถือว่าเป็นสิทธิพิเศษของลูกหนี้ที่ไม่ธรรมดา อย่างสนธิ และเดอะแมนเนเจอร์มีเดียกรุ๊ปจำกัด ที่วิโรจน์ นวลแข อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงไทย ซึ่งมีความ
สนิทสนมแนบแน่น และช่วยเหลือเกื้อกูลกันมาตลอดกับสนธิ เอื้อเฟื้อจัดให้ชนิดที่ลูกหนี้รายอื่นได้แต่มอง แต่ไม่มีความสามารถจะทำตามได้
ความเป็น ลูกหนี้รายพิเศษ ที่ได้รับเงื่อนไขการชำระหนี้ พิเศษ แบบนี้เป็นเหตุที่ทำให้ สนธิกับวิโรจน์มีความสัมพันธ์กันแน่นแฟ้นลึกซึ้งยิ่งนัก จนถึงขนาดที่ว่าเมื่อวันที่วิโรจน์ไม่ได้รับการต่ออายุให้นั่งตำแหน่งกรรมการผู้จัดการธนาคารกรุงไทยจำกัดวาระที่ 2 คนที่เจ็บแค้นยิ่งกว่าวิโรจน์เสียอีกก็คือ สนธิ ลิ้มทองกุล
นับแต่นั้นมา ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ก็คือขึ้นบัญชีแค้นรอชำระของสนธิเพิ่มขึ้นอีก 1 ชื่อ ด้วยเหตุที่สนธิแน่ใจว่า ม.ร.ว.ปรีดิยาธร คือคีย์แมนคนสำคัญในการขวางทาง การนั่งเก้าอี้กรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงไทยวาระที่ 2 ของวิโรจน์ ซึ่งนั่นหมายความความพิเศษที่สนธิ เคยได้รับ ย่อมไม่มีความแน่นอนอีกต่อไป ทั้งในฐานะลูกหนี้และในฐานะคู่ค้า
ในฐานะลูกหนี้ที่ไม่ต้องชดใช้หนี้ด้วยเงินสด แต่สามารถชดใช้ด้วยกระดาษหน้าหนังสือพิมพ์ ซึ่งตีราคากันไว้ที่หน้าละ 286,600 บาท เดือนละ 12 หน้า สำหรับผู้จัดการรายวัน ก็คิดเป็นเงิน 3,432,000 บาท หากคิดเป็นปีก็เท่ากับ 41,184,000 บาท 10 ปีผ่านไปก็เท่ากับ 410,184,000 บาท
หากใช้วิธีการกันแบบนี้ไม่นานนัก หนี้จำนวนมหาศาลของผู้จัดการ ก็จะหมดลงได้ยังพอเห็นแสงเทียนที่ปลายอุโมงค์
นี่ยังไม่นับสื่ออื่นๆ อีก เช่น ผู้จัดการรายสัปดาห์ ผู้จัดการรายเดือน และเว็บไซต์ที่ก็มีเงื่อนไขการชดใช้หนี้ด้วยหน้ากระดาษเช่นเดียวกัน
ดังนั้น หากจะมีใครสักคนที่เสกกระดาษเป็นเงินได้จริงๆ คนคนนั้นย่อมชื่อสนธิ ลิ้มทองกุล
ด้วยเงื่อนไขพิเศษนี้เองที่ทำให้สนธิ เป็นเดือดเป็นร้อนแทนวิโรจน์ นวลแข และโกรธแค้นผู้ว่าแบงค์ชาติ โกรธแค้นนายกรัฐมนตรีที่ไม่สนับสนุนคนที่สนธิสนับสนุน
การหวนคืนสู่วงการธุรกิจสื่อในประเทศของสนธิในรอบนี้ สนธิในฐานะผู้ประกอบการที่มี หนี้เน่า จำนวนมากที่สุดในอุตสาหกรรมสิ่งพิมพ์ ที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ ได้รับสิทธิพิเศษมากกว่าผู้ประกอบการรายอื่นๆ และลูกหนี้รายอื่นๆ ด้วยแต้ต่อ ที่เรียกว่าการแฮร์คัทหนี้ หรือการลดหนี้ที่ตัวเองก่อไว้มากกว่า 6 พันล้านบาท
ด้วยหนี้จำนวน 6 พันล้านบาท ที่สนธิได้รับประโยชน์ไปนี้ เป็นเงินที่รัฐบาลต้องใช้เงินภาษีประชาชนมาชดใช้แทน ทั้งๆ ที่ไม่ได้ร่วมก่อหนี้ และไม่ได้รับประโยชน์จากเงิน 6 พันล้านบาท ทั้งขาที่ก่อหนี้ และขาที่ชดใช้หนี้ แม้แต่สลึงเดียว การแฮร์คัทหนี้ หรือลดหนี้ในครั้งนั้น เป็นที่มาของข้อกล่าวหาว่าสนธิ ได้รับปฏิบัติจากธนาคารเจ้าหนี้ซึ่งเป็นธนาคารรัฐบาล ในมาตรฐานที่พิเศษกว่าลูกหนี้ทุกราย
และ
ธนาคารรัฐบาลที่เป็นผู้นำในการแฮร์คัทหนี้ จำนวนนี้ให้แก่สนธิ ก็ไม่ใช่ธนาคารไหนเลย ก็คือธนาคารกรุงไทยที่อยู่ภายใต้การกำกับของวิโรจน์ นวลแข นั่นเอง
การได้รับแต้มต่อจำนวนนี้ทำให้สนธิ มีพลังใจอย่างยิ่งที่ทำให้เขากลับคืนสู่ธุรกิจสื่อสารมวลชนอีกครั้งหนึ่ง เพราะเป็นการยืนยันถึงความเป็นคนพิเศษของเขาที่ยังหาประโยชน์ได้ในประเทศไทย ซึ่งไม่สามารถหาได้จากสนามธุรกิจใดๆ ในโลกนี้ นอกจากนี้ผู้คนบริวารแวดล้อมของเขาในอดีต ยังได้ดิบได้ดีไปกุมอำนาจสำคัญด้านเศรษฐกิจในรัฐบาลไว้เกือบหมด จึงเป็นแต้มต่ออีกชั้นหนึ่งที่ได้เปรียบทุกๆ คน บนเวทีการแข่งขันรอบใหม่นี้
การกลับมารอบใหม่ครั้งนี้ สนธิพุ่งเป้าไปที่ธุรกิจโทรทัศน์เป็นสำคัญ เขาวางยุทธศาสตร์ให้สื่อสิ่งพิมพ์เป็นสื่อเพื่อการชดใช้หนี้และสื่อโทรทัศน์เป็นสื่อเพื่อการหารายได้เนื่องจากเวลาโฆษณาบนสถานีโทรทัศน์ มีราคาสูงกว่าราคาหน้ากระดาษมาก
จากคุณ :
mr_a
- [
9 มี.ค. 49 08:08:10
]
|
|
|