ทักษิณ เจอเงื่อนตาย ต้องยื้อเก้าอี้นายกฯสุดชีวิต
เอกสารยันชัดเทมาเส็กมีสิทธิบอกเลิกสัญญา หากเหตุการณ์อึมครึมทำทรัพย์สินเสียหาย
ชินวัตร-ดามาพงศ์ ยังจ๋อยบัญชีมีแต่ตัวเลข ถอนมาใช้ไม่ได้
ความเคลื่อนไหวของนักวิชาการ เด็กนักเรียน อาจารย์มหาวิทยาลัย ข้าราชการครู ราชสกุล-บุคคลสำคัญ สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ และอื่นๆ แสดงเจตจำนงตรงกันว่าให้ทักษิณ ชินวัตร ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ
แต่สถานการณ์ของนายกฯ ที่แม้จะเดินเข้าสู่หนทางที่เริ่มตีบตันขึ้นทุกขณะก็ยังแสดงท่าทีไม่ยี่หระต่อกระแสเรียกร้องที่แม้จะดังขึ้น-ดังขึ้น (อ่านล้อมกรอบ ดัชนีคนรักทักษิณดิ่งลงดิน)
เพราะอะไรนายกฯหน้าเหลี่ยมคนนี้จึงไม่สะท้านกับความรู้สึกเกลียดชัง และเบื่อหน่ายของคนทั่วประเทศที่ประดังเข้าสู่ตัวที่เกิดขึ้นทุกที่ ทุกเวลา หรือเป็นเพราะยังหลงตนเองคิดว่ามีจริยธรรมมากพอจะกลับมาเป็นนายกฯอีกครั้ง หรือยังมีเงื่อนไขทางธุรกิจบางประการที่ยังสะสางไม่แล้วเสร็จ !?!
มีเหตุผลที่พอเชื่อได้ว่า เหตุผลสำคัญที่ทักษิณ มีทีท่าดื้อดึงไม่ยอมลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในช่วงเวลานี้ ทั้งที่เสียงประสาน ท้ากกกกษิณ ออกไปๆๆๆดังลั่นไปทั่วท้องสนามหลวง และจังหวัดต่างๆ เป็นเพราะเม็ดเงินจำนวน 73,000 ล้านบาท ที่ตระกูลชินวัตร และดามาพงศ์ ขายหุ้นจำนวน 1,487.74 ล้านหุ้น หรือสัดส่วน 49.60% ในราคาหุ้นละ 49.25 บาท ให้กับกลุ่มทุนเทมาเส็ก แห่งสิงคโปร์ ยังไม่เรียบร้อย กล่าวโดยสรุปคือ จนถึงวันนี้ทั้งพานทองแท้ พิณทองทา และบางคนในตระกูลดามาพงศ์ยังไม่ได้รับเงินก้อนนี้ ทุกวันนี้มีเพียงตัวเลขโชว์ขึ้นมาในบัญชีเฉยๆแต่ยังไม่สามารถถอนเงินจำนวนนี้ออกมาใช้ได้
สิ่งที่ยืนยันข้อมูลข้างต้นไม่ใช่เพียงถ้อยความที่ สนธิ ลิ้มทองกุล 1 ในแกนนำปราศรัย ที่ได้กล่าวต่อหน้าประชาชนผู้ร่วมชุมนุมเมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ 5 มีนาคมที่ผ่านมา มีใจความสำคัญว่า เหตุผลหลักที่ทักษิณไม่ยอมลาออกเป็นเพราะยังไม่ได้เงินจากเทมาเส็กเท่านั้น
แต่ยังมีหลักฐานเอกสารที่สามารถยืนยันถ้อยความดังกล่าวได้ก็คือ คำเสนอซื้อหลักทรัพย์ของบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (ข้อเสนอและระยะเวลาการรับซื้อนี้เป็นข้อเสนอสุดท้ายที่จะไม่แก้ไขเพิ่มเติมอีก) โดยเฉพาะส่วนที่ 1 เป็นเรื่องเกี่ยวกับ สาระสำคัญของคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ ซึ่งมีทั้งหมด 12 ข้อ แต่ที่น่าสนใจอยู่ที่ข้อ 9 เรื่องเงื่อนไขในการยกเลิกคำเสนอซื้อ ระบุว่า ผู้ทำคำเสนอซื้อ (บ.ซีดาร์ โฮลดิ้งส์ จำกัด และแอสเพน โฮลดิ้งส์ จำกัด รวมเรียกว่าผู้ทำคำเสนอซื้อ) อาจยกเลิกคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ของกิจการได้ในกรณีใดกรณีหนึ่ง ดังต่อไปนี้
9.1 มีเหตุการณ์และ/หรือการกระทำใดๆ เกิดขึ้นภายหลังจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) รับคำเสนอซื้อและยังไม่พ้นระยะเวลารับซื้อ อันเป็นเหตุหรืออาจเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อฐานะหรือทรัพย์สินของกิจการ โดยเหตุการณ์ และ/หรือการกระทำดังกล่าวมิได้เกิดจากการกระทำของผู้ทำคำเสนอซื้อ หรือการกระทำที่ผู้ทำคำเสนอซื้อต้องรับผิดชอบ หรือ
9.2 กิจการที่ถูกเสนอซื้อกระทำการใดๆ ภายหลังจากสำนักงาน ก.ล.ต. รับคำเสนอซื้อและยังไม่พ้นระยะเวลารับซื้อ อันเป็นเหตุให้มูลค่าของหุ้นสามัญของกิจการลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
ไม่ต้องบอกก็คงรู้ว่า เวลานี้เกิดความเสียหายขึ้นกับสถานะการเงิน และหุ้นของชินคอร์ปไม่ใช่น้อย
หากพิจารณาสถานะการเงิน และสินทรัพย์ของชินคอร์ปหลังจากเกิดปัญหา อาจเรียกได้ว่าอยู่ในสภาวะไม่ค่อยดีนัก นับเฉพาะวันที่ 28 กุมภาพันธ์ หุ้นกลุ่มชินคอร์ป ประกอบด้วย บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SHIN บริษัท ชินแซทเทลไลท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SATTEL บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC บริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) หรือ ITV และบริษัท ซีเอส ล็อกซอินโฟ จำกัด (มหาชน) หรือ CSL ร่วงยกแผง โดยพบว่า 4 บริษัทในกลุ่มมีกำไรสุทธิรวม 21,088.98 ล้านบาท ลดลง 557.44 ล้านบาท หรือ 2.58%
ยังไม่นับความเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ออกมาเคลื่อนไหวในวันที่ 8 มีนาคม 2549 รณรงค์ให้คนไทยงดใช้สินค้าและบริการในกลุ่มชินคอร์ป ประกอบด้วย โทรศัพท์มือถือ แคปปิตอล โอเค เอสซีแอสเสท แอร์เอเชีย และยังลุกลามไปถึงสินค้าและบริการของสิงคโปร์อีกด้วย เช่น ธนาคารยูโอบี ดีบีเอส ไทยทนุ ไทเกอร์เบียร์ สิงคโปร์แอร์โลน์ เป็นต้น
ทั้งปลายทั้งปวงเหล่านี้ มิพักต้องสงสัยเลยว่าจะยิ่งเป็นตัวเร่งให้สถานะทางการเงิน และราคาหุ้นของชินคอร์ปยิ่งร่วงลงไปอีกเท่าไร ผลที่ตามมาคือเทมาเส็กมีเหตุผลพอที่จะบอกเลิกสัญญาที่ทำมาแล้วก่อนหน้านี้ ทักษิณจึงยอมให้เกิดเรื่องดังกล่าวขึ้นไม่ได้
อย่างไรก็ตาม อาจเพื่อกลบกระแสเรื่องเงินที่ครอบครัวนายกฯยังไม่ได้รับว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้ทักษิณเลือกการยุบสภาแทนการลาออก ทำให้วันรุ่งขึ้นหลังจาก สนธิ ลิ้มทองกุล ออกมาให้ข้อมูลด้งกล่าว ทางธนาคารไทยพาณิชย์รีบออกมาแก้ข่าวเลยว่า ทางบริษัทกุหลาบแก้วได้เบิกเงินกู้ไปหมดแล้ว และระบุอีกว่า ก่อนหน้านี้ทางกลุ่มเทมาเส็กของสิงคโปร์จ่ายเงินสำหรับซื้อหุ้นชินคอร์ป 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 40,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลือ 30,000 ล้านบาท ใช้วิธีขอกู้จากธนาคารไทยพาณิชย์ ซึ่งธนาคารได้ปล่อยกู้ร่วม หรือซิดิเคท โลน กับธนาคารกรุงเทพในสัดส่วนเท่ากันคือ แห่งละ 15,000 ล้านบาท รวม 30,000 ล้านบาท และล่าสุดกลุ่มเทมาเส็กได้บิกเงินไปแล้วตามจำนวนที่ขอกู้ ธนาคารจึงไม่มีการยกเลิกเงื่อนไขเงินกู้แต่อย่างใด เช่นเดียวกับธนาคารกรุงเทพที่ โฆษิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ ประธานกรรมการบริหารธนาคารกรุงเทพ ออกมาเปิดเผยกรณีที่เทมาเส็กกู้เงินจากธนาคารฯไปจำนวน 15,000 ล้านบาทนั้น เทมาเส็กได้เบิกเงินจำนวนดังกล่าวไปหมดแล้ว
ทว่า วุฒิพงษ์ เพรียบจริยวัฒน์ กรรมการผู้อำนวยการ สถาบันสหสวรรษ ออกมาแสดงความคิดเห็นกับ ผู้จัดการรายสัปดาห์ว่า ได้รับการยืนยันว่าเงินที่ซีดาร์ หรือแอสเปน ได้จ่ายให้กับตระกูลชินวัตร หรือดามาพงศ์ วันนี้อยู่ในบัญชีที่ยังไม่สามารถเคลื่อนย้ายเงินได้ ก็เข้าใจว่าบัญชีนี้น่าจะถืออยู่ในรูปบัญชีที่เรียกว่า Escrow Account เป็นบัญชีพักเงิน เพื่อให้เงื่อนไขของการซื้อขายบรรลุก่อนจึงจะมีการเคลื่อนย้ายเงินได้ ทำให้เข้าใจว่าอาจจะมีเงื่อนไขในการดูแลหุ้นตัวนี้ระยะเวลาหนึ่ง เท่าที่ได้ทราบมาลือกันหนาหูในวงการธุรกิจก็คือ มีระยะเวลา 90 วัน
เหตุที่ในสัญญาต้องระบุสาระสำคัญไว้เช่นนั้น และเชื่อว่าในสัญญาฉบับจริงซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ ก.ล.ต. จะต้องมีความเข้มข้นมากกว่านี้แน่นอน เนื่องจากเทมาเส็กก็รู้อยู่เต็มอกว่าการซื้อหุ้นการเมืองที่เกี่ยวข้องกับสัมปทานรัฐย่อมต้องมีปัญหาตามมาอย่างแน่นอน เพียงแต่ในช่วงก่อนเข้ามาซื้อนั้นไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะมีเหตุการณ์ความรุนแรงจะขยายวงกว้างและใหญ่โตเช่นนี้ ดังจะเห็นได้จากการที่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาให้ข่าวหลังจากเดินทางไปสิงคโปร์ ซึ่งได้พบกับผู้นำภาคธุรกิจ และผู้นำภาคการเมืองด้วยว่า ทางสิงคโปร์มีความห่วงใยในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศ เนื่องจากเกรงว่าจะลุกลามไปสู่การต่อต้านสิงคโปร์ และนักลงทุนต่างชาติ
แม้จะมีความหวั่นไหวอยู่ในอก แต่เทมาเส็กก็ยังกล้าเข้ามาซื้อหุ้นชินคอร์ปก็เพราะมีความเชื่อมั่นในตัวทักษิณว่าจะสามารถ จัดการเรื่องราวทุกอย่างให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย เนื่องจากทักษิณได้แสดงอภินิหารแก้ไขพระราชบัญญัติการประกอบกิจการโทรคมนาคม จากเดิมที่ได้ออกประกาศบังคับใช้พรบ.กิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2544 ซึ่งตามมาตรา 8 วรรคสาม (1) กำหนดไว้ชัดเจนว่า กิจการโทรคมนาคม ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับความมั่นคงของชาติ ห้ามมิให้คนต่างด้าวถือหุ้นมีสัดส่วนเกินกว่าร้อยละ 25 ของจำนวนหุ้นทั้งหมด และกรรมการของนิติบุคคลที่ประกอบกิจการประเภทนี้ต้องมีสัญชาติไทยไม่น้อยกว่าสามในสี่ของจำนวนกรรมการทั้งหมด
มาเป็นการลงกำหนดให้คนต่างด้าวสามารถเข้ามาถือหุ้นในกิจการโทรคมนาคมได้เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 49 ของจำนวนหุ้นทั้งหมด พร้อมประกาศราชกิจจานุเบกษาเพื่อบังคับใช้กฎหมายที่แก้ไขสัดส่วนผู้ถือหุ้นเมื่อวันศุกร์ที่ 20 มกราคม 2549 ซึ่งมีผลบังคับใช้ในวันรุ่งขึ้น คือ วันเสาร์ที่ 21 มกราคม 2549 แต่ตลาดหลักทรัพย์ปิดทำการในวันเสาร์อาทิตย์ คนในครอบครัวชินวัตรและดามาพงศ์จึงได้โอนขายหุ้นจำนวนร้อยละ 49 ของจำนวนหุ้นทั้งหมดให้แก่เทมาเส็กในวันจันทร์ที่23 มกราคม 2549 ซึ่งเป็นวันแรกที่กฎหมายมีผลบังคับใช้ทันที
ด้วยอภินิหารดังกล่าวจึงทำให้เทมาเส็กเกิดความเชื่อมั่นว่าทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นใต้ฟ้าเมืองไทยจะถูกนายกฯหน้าเหลี่ยมเนรมิตให้เกิดขึ้นได้ ตราบใดที่ทักษิณยังมีอำนาจอยู่
จากคุณ :
batseboy
- [
9 มี.ค. 49 13:20:28
]