ความคิดเห็นที่ 1 1. เกี่ยวกับการเลือกตั้ง สิ่งที่เกิดขึ้น มีหลายๆ คนบอกว่า การยุบสภาและจัดเลือกตั้งใหม่นั้นไม่ชอบธรรม ทำไมทักษินถึงไม่ลาออก เพราะเหตุต่างๆ เกิดจากตัวนายกคนเดียว ทำไมต้องผลาญงบประมาณชาติเป็นพันล้าน เพื่อฟอกตัวคนๆ เดียว เพราะนายกรู้ดีว่าเลือกตั้งใหม่ ทรท. ต้องได้กลับมาเป็นรัฐบาลอยู่แล้ว ความคิดเห็นของผม แต่ผมกลับเห็นด้วยที่ทักษินยุบสภา เพื่อให้เกิดการเลือกตั้งใหม่นะ เพราะว่า คนที่เรียกร้องให้ทักษินลาออกไม่ใช่คนทั้งประเทศ แต่เป็นแค่คนกลุ่มหนึ่ง ยังมีอีกหลายคนที่ต้องการให้ทักษินอยู่ต่อ ถ้าหากว่าทักษินต้องลาออกเนื่องจากโดนชนกลุ่มน้อยกดดัน รัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักรไทย จะยังศักดิ์สิทธิ์อีกไหม ถ้าหากในอนาคตไม่ว่าจะมีนายกเป็นใคร หากมีกลุ่มคนที่ไม่ชอบ และไม่เห็นด้วยมาเคลื่อนไหว ให้นายกออกโดยอ้างบรรทัดฐาน ที่เคยเกิดขึ้นในอดีต แล้วประเทศจะยังมีความเป็น ประชาธิปไตยอยู่หรือเปล่า เพราะใจความสำคัญของประชาธิปไตยคือ เสียงส่วนน้อย ต้องยอมรับในมติของเสียงส่วนใหญ่ แล้วสิ่งที่จะตัดสินกรณีนี้ได้ดีที่สุด คือ การเลือกตั้งไม่ใช่เหรอ สิ่งที่เกิดขึ้น หลายคนอาจจะบอกว่า ... ทรท. ใช้เงินซื้อเสียงนี่... ยังไงก็ได้กลับมาเป็นรัฐบาลอยู่แล้ว การเลือกตั้งชี้วัดอะไรไม่ได้หรอก เพราะ ทรท. มีทุนหนา ... ความคิดเห็นของผม แต่ผมเห็นว่า ถ้าผู้สมัครคนไหนซื้อเสียง เรารวมตัวกันไม่เลือก ผู้สมัครคนนั้นๆ เป็นรายคนไปดีกว่า ที่จะเหมารวมทั้งพรรค เพราะพรรคไทยรักไทยเองก็มีผู้สมัครที่ตั้งใจ เข้ามาทำงานจริงๆ โดยซื่อสัตย์สุจริต ผสมไปกับพวกเขี้ยวลากดินหวังกอบโกย ผลประโยชน์ มีด้วยกันอย่างนี้ทุกพรรคการเมือง การเหมารวมว่าพรรคนั้นพรรคโน้นซื้อเสียง ผมว่าไม่แฟร์กับคนที่เค้าตั้งใจเข้ามาทำงาน จากคุณ : b41golf - [ 14 มี.ค. 49 17:07:45 ]

ความคิดเห็นที่ 2 2. เรื่องการขายหุ้น Shin corp สิ่งที่เกิดขึ้น ประเด็นนี้เป็นประเด็นใหญ่เลย ที่ผู้คนถกเถียงกันมาก เรื่องของเรื่องมาจากทักษิน ต้องการขายหุ้นของบริษัทในเครือ Shin corp ที่ตนเองถืออยู่ทั้งหมด ให้กับกลุ่มทุนเทมาเสกของสิงคโปร์ โดยทำการซื้อขายกันในตลาดหลักทรัพย์ แล้วก็มีคนมาโจมตีว่าทักษินขายหุ้น (ซึ่งอยู่ในชื่อลูกๆ) ได้เงินจากการขายหุ้น ทั้งหมดเจ็ดหมื่นกว่าล้านบาท แต่ไม่เสียภาษีเลยแม้แต่บาทเดียว รวมถึงการไปเปิดบริษัท Ample Rich Investment (ต่อไปนี้จะเรียกว่า ARI) ที่หมู่เกาะ British Virgin Island (ต่อไปนี้จะเรียกว่า BVI) เพื่อดำเนินการหลบเลี่ยงภาษีในรูปแบบต่างๆ มีหลายคนไม่พอใจมาก เกี่ยวกับเรื่องนี้ ซึ่งข้อมูลต่างๆ คนส่วนใหญ่จะรู้แค่นี้ จริงไหมครับ ความเป็นจริง ก่อนอื่นต้องขออธิบายขั้นตอนทั้งหมดของการย้ายหุ้นของทักษินก่อน (1) ทักษินโอนหุ้น SHIN ของตัวเองเป็นจำนวน 10% ไปให้บริษัท ARI แล้วทักษินเองถือหุ้น ARI ไว้ 100% (ทำก่อนเป็นนายกแล้ว เหตุผลของการโอนหุ้นจริงๆ ผมไม่ทราบหรอกครับ แต่ทักษินให้เหตุผลว่าเตรียมไว้เพื่อจดทะเบียนในตลาดหุ้น NASDAQ ของอเมริกา) หุ้นที่โอนโอนไปในราคาพาร์ 10 บาท (2) ก่อนจะเข้ามาเป็นนายก ทักษินได้โอนหุ้นตัวเองรวมถึงหุ้นใน ARI ด้วย ให้อยู่ในชื่อลูกๆ ตามกฏหมายการโอนให้โดยเสน่หาไม่ต้องเสียภาษี และสามารถทำได้โดยชอบธรรม จะเสียภาษีเฉพาะกรณีที่เป็นมรดก หลังจากนั้น ARI ก็ได้มีการปรับสัดส่วนการถือหุ้นระหว่างชื่อลูกๆ จนสุดท้าย พานท้องแท้ และ แพรทองธารถือคนละครึ่ง (3) หุ้น SHIN ได้มีการแตกพาร์จาก 10 บาท เป็น 1 บาท ส่งผลให้หุ้นที่ ARI ถือไว้มีจำนวนเพิ่มขึ้น 10 เท่า แต่มีต้นทุนเหลือหุ้นละ 1 บาท เพราะฉะนั้นมูลค่าหุ้นที่ถือครองยังคงเท่าเดิม ระหว่างนี้โครงการจะเข้าตลาด NASDAQ ล้มพับไป ARI จึงถือหุ้นไว้อยู่อย่างนั้นโดยไม่ได้ดำเนินการใดๆ ระหว่างที่ถืออยู่ ARI จะมีรายได้จากเงินปันผล ตามกฏหมายต้องเสียภาษี แต่ภาษีจากเงินปันผลจะถูกหัก ณ ที่จ่ายเรียบร้อยแล้ว เพราะฉะนั้น ARI ไม่จำเป็นต้องเสียภาษีจำนวนนี้อีก (4) ก่อนหน้าการขายหุ้นให้เทมาเสกไม่กี่วัน ได้มีการโอนหุ้นคืนจาก ARI คืนกลับมาให้กับลูกๆ สองคน คนละครึ่ง โดยการโอน ปรากฏเป็นรายการขายจาก ARI ให้กับทั้งสองคนในราคาพาร์ 1 บาท ลูกๆ ก็เอาหุ้นในต้นทุน 1 บาทไปขายในตลาดหลักทรัพย์ได้ราคา 49.25 บาท กำไรที่เกิดจากส่วนต่างราคาหุ้นคือ 48.25 บาทต่อหุ้น หรือที่เรียกว่า Capital Gain กฏหมายระบุชัดว่าไม่ต้องเสียภาษีเช่นเดียวกัน (เฉพาะกรณีของบุคคลธรรมดา ไม่ใช่นิติบุคคล) และบังคับใช้มาหลายปีแล้ว ตั้งแต่ก่อตั้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย แต่ถ้าถามว่าการซื้อขายนี้เป็นการซื้อขายปกติไหม? ก็ตอบได้ว่า " ผิดปกติอยู่ส่วนเดียว" คือ กรณี ARI ขายหุ้นคืนให้ ลูกๆ สองคน ในราคาต้นทุน คือ 1 บาท เพราะถ้าขายให้ลูกๆ ในราคาตลาด 49.50 บาท ARI มีรายได้ที่ต้องเสียภาษีทันที แต่ขายคืนให้ลูกในราคาต้นทุน ทำให้บริษัทไม่มีกำไร ไม่ต้องเสียภาษี ตรงนี้อาจถือได้ว่าเป็นช่องโหว่ ของกฏหมายที่ผมเข้าใจว่า ครอบครัวทักษินใช้เพื่อไม่ให้ต้องเสียภาษีจำนวนนี้ ความผิดอีกอย่างหนึ่งคือ ขั้นตอนในการปรับสัดส่วน การถือครองและการโอนหุ้นคืนในข้อ (2) และ (4) ลูกๆ นายกไม่รายงานต่อ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพราะตามกฏหมายระบุว่าหากผู้ถือหุ้นใหญ่ เปลี่ยนสัดส่วนการถือครองหุ้น ต้องรายงานต่อ ตลท. เสมอ ทำให้ โอ๊ค โดนปรับไปห้าล้านกว่าบาทตามที่เป็นข่าว ความคิดเห็นของผม ความผิดที่กล่าวมาของทักษิน อาจจะไม่ผิดในทางกฏหมาย แต่ก็เป็นเรื่องที่ไม่สมควรทำ ในฐานะนายกรัฐมนตรีของประเทศ เพราะถือเป็นการเลี่ยงภาษีอย่างหนึ่ง เป็นแบบอย่างที่ไม่ดี และก็อาจเป็นเหตุผลที่เป็น ชนักติดหลังทักษินอยู่จึงไม่กล้าที่จะ ดีเบตกับฝ่ายต่อต้านตรงๆ แต่ถ้าถามว่ารุนแรง อย่างที่กลุ่มสนธิพยายามประนามไหม ก็คงไม่ถึงขนาดนั้น ไม่ถึงขั้นโกงชาติ และไม่เกี่ยวกับกรณีข้อกล่าวหา ที่ว่าเปิดบริษัี่ทเพื่อใช้ประโยชน์ ด้านภาษีของ BVI เลย เพราะ บริษัท ARI ของทักษินไม่ใช่สำนักงานใหญ่ ไม่ได้ดำเนินการทางธุรกิจใดๆ นอกจากถือหุ้น SHIN ไว้อย่างเดียว ส่วนใหญ่คนที่มีเป้าหมาย ในการหลบเลี่ยงภาษีจะไปเปิดบริษัท ที่เป็นสำนักงานใหญ่ที่นั่น มีการดำเนินกิจกรรมที่มีรายได้ทางธุรกิจ ทำให้บริษัทมีสัญชาติเป็นของที่นั่น ไม่ต้องเสียภาษีให้ประเทศตัวเอง ซึ่งต่างกับกรณีของทักษิน บริษัทหลายๆ บริษัทที่เปิดในไทยแท้ๆ ยังมีการเลี่ยงภาษีลักษณะนี้ หรือซับซ้อนกว่านี้เป็นจำนวนมาก โดยไม่จำเป็นต้องเปิดที่ BVI ที่ทักษินไปเปิดที่ BVI คงเป็นเหตุผลของการนำเข้าตลาด NASDAQ มากกว่า เพราะเปิดที่ BVI มีขั้นตอนไม่ยุ่งยาก ดำเนินการง่าย และบริษัทในเครือชิน ได้มีการเสียภาษีให้รัฐอย่างถูกต้องมาทุกปี ทำรายได้ให้รัฐมหาศาลแล้ว และผมไม่อยากบอกเลยว่า แกนนำของม๊อบสนามหลวงบางคน ไม่ขอบอกล่ะว่าใครเพราะเดี๋ยวจะโดนฟ้อง คนนั้นได้เคยไปเปิดบริษัทที่ BVI เช่นเดียวกัน แต่ทำไปในลักษณะเลี่ยงภาษีอย่างเต็มรูปแบบ กอบโกยผลประโยชน์เข้าตัวเอง คอรัปชั่นในบริษัทตัวเอง จนบริษัทตัวเองขาดทุนมหาศาล จนต้องอยู่ในหมวดฟื้นฟูกิจการ อย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน คงตรงกับสำนวนไทย ปากว่า ตาขยิบ แต่อันนี้ไม่คอนเฟิร์มนะครับ ไม่มีหลักฐาน เป็นแค่สิ่งที่ได้ยินได้ฟังมา จากคุณ : b41golf - [ 14 มี.ค. 49 17:08:27 ]

ความคิดเห็นที่ 3 3. เกี่ยวกับบริษัทในเครือชินคอร์ป สิ่งที่เกิดขึ้น ระหว่างที่ทักษินดำรงตำแหน่งนายกฯ มูลค่าหุ้น SHIN ที่ครอบครัวทักษินถืออยู่ได้เพิ่มจาก 20000 ล้าน เป็น 70000 ล้านบาทกว่าๆ ทำให้เกิดข้อครหาว่า เพราะโกงชาติถึงได้รวยขนาดนี้ ความเป็นจริง หากมองด้วยใจที่เป็นกลาง SHIN เติบโตไปพร้อมกับตลาดหลักทรัพย์โดยรวม มิได้มีการโตอย่างผิดปกติแต่อย่างใด ถ้าพิจารณาสถิติในรอบห้าปีที่ผ่านมา ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2001 ถึงวันที่ 10 มีนาคม 2006 - หุ้นชินคอร์ป (SHIN) จากราคา 16.60 บาท เพิ่มขึ้นเป็น 45.00 บาท หรือโต 2.71 เท่า - ตลาดรวม หรือ ดัชนี SET Index (SET) จาก 312.06 จุด เพิ่มขึ้นเป็น 728.18 จุด หรือโต 2.33 เท่า - หุ้น ปตท. (PTT) จากราคา 35.50 เพิ่มขึ้นเป็น 244 บาท หรือโต 6.87 เท่า เนื่องจากราคาน้ำมันสูงขึ้น ธุรกิจพลังงานจึงเติบโตเร็วกว่ากลุ่มอื่นๆ และปตท. หลังเข้าตลาดหลักทรัพย์ ได้มีการลงทุนอย่างมหาศาล จึงเติบโตเร็วมากอย่างที่เห็น - เครือยูคอม บริษัทแม่ของดีแทค (UCOM) จากราคา 30.75 บาท เพิ่มขึ้นเป็น 50.50 บาท หรือโต 1.64 เท่า - กลุ่มธนาคาร ธ.กรุงเทพ (BBL) จากราคา 37.25 เพิ่มขึ้นเป็น 110.00 บาท หรือโต 2.9 เท่า แหล่งที่มา : เว็บตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สิ่งที่เกิดขึ้น มีข้อกล่าวหาว่า ทักษินแก้ พรบ กิจการโทรคมนาคมให้ต่างชาติถือหุ้นได้เพิ่มขึ้นในสัดส่วน 49% การขายหุ้นของ SHIN ส่งผลให้ สัมปทาน ดาวเทียมไทยคม และคลื่นวิทยุ ตกอยู่ในมือของต่างชาติ สุ่มเสี่ยงต่อความมั่นคงของประเทศ เท่ากับขายชาติ ขาย สมบัติชาติ คนขายชาติ ออกไปๆๆ ความเป็นจริง การแก้กฏหมายเรื่องการถือหุ้นของต่างชาติให้เพิ่มเป็น 49% ได้ริเริ่มดำเนินการในสมัยนายกชวน ไม่ใช่นายกทักษิน และอย่างไรเสียกฏหมายฉบับนี้ ก็ต้องแก้่ เพราะมีนักธุรกิจร้องเรียนเข้ามามาก จะเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจโดยรวม เพราะเวลานี้เราต้องพึ่งพาเงินทุนจากต่างชาติค่อนข้างมาก ไม่ทราบยังจำกันได้หรือเปล่า กฏหมายขายชาติ 11 ฉบับที่ร่างขึ้นสมัยรัฐบาลชวน โดยดำเนินการร่วมกับ IMF ก็ถูกยกเลิกในสมัย รัฐบาลทักษิน ช่วยให้ประเทศพ้นจากการควบคุมโดย IMF สำหรับเรื่องดาวเทียม และคลื่นความถี่วิทยุ (มือถือใช้ความถี่วิทยุที่ 900MHz และ 1800MHz) เป็นสัมปทานที่ได้จากรัฐบาล ในข้อตกลงของ การให้สัมปทานแก่องค์กร เอกชนจากรัฐบาล ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า ทรัพย์สินต่างๆ อันได้แก่ดาวเทียม เสาส่งสัญญาณ อุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง กับการรับส่งสัญญาณ คลื่นความถี่วิทยุ ให้เอกชนเป็นผู้ลงทุนจัดหา และให้โอนทรัพย์สินต่างๆ เหล่านี้ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของรัฐ บริษัทเอกชนมีสิทธิ์เพียงการแสวงหากำไรจากทรัพย์สินต่างๆ เหล่านี้เท่านั้น รัฐบาลสามารถยกเลิกสัมปทานได้ หากเอกชนละเมิดข้อตกลงที่ได้กำหนดไว้ เพราะฉะนั้นทรัพย์สินต่างๆ เหล่านี้ยังเป็นของประเทศ ต่อให้เปลี่ยนผู้ถือหุ้น กฏหมายสัมปทานได้บัญญัติขึ้น อย่างรอบคอบและรัดกุมแล้ว ไม่มีช่องโหว่ให้ต่างชาติ มาครอบงำสมบัติชาติเหล่านี้แน่นอน การขายหุ้น SHIN จึังไม่เกี่ยวกับการขายชาติเลยแม้แต่น้อย และเทมาเสกเป็นเพียงกองทุนที่กระจายการลงทุนใน บ.ต่างๆ ทั่วโลก ไม่เข้ามาบริหารงานเอง ทีมบริหาร SHIN Corp ยังคงใช้ชุดบริหารที่เป็นคนไทย จากคุณ : b41golf - [ 14 มี.ค. 49 17:09:05 ]

ความคิดเห็นที่ 4 4. กรณีสุนทรพจน์ของทักษินที่มีต่อ British Virgin Island สิ่งที่เกิดขึ้น ประเด็นนี้เป็นประเด็นร้อนเลย คือมีคนบอกว่าทักษินได้เคยพูดไว้อย่างในภาพนี้ จากคุณ : b41golf - [ 14 มี.ค. 49 17:10:43 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ข้อความนี้หลายคนคงได้ผ่านตามาแล้ว เพราะได้มีการแพร่กระจายออกไปเป็นวงกว้าง และเป็นแผ่นป้ายติดใน มธ. ด้วย นักศึกษา มธ. คงได้เห็นกันทุกคน และหลงเชื่อกันไปไม่น้อยว่าทักษินพูดอย่างนี้จริง ในรายการถึงลูกถึงคน สรยุทธก็ได้เคยถามทักษิน เกี่ยวกับประเด็นนี้ รู้ไหมครับทักษินตอบว่าอะไร ทักษินตอบว่า "ผมพูดถึงขนาดนั้นเลยเหรอ... ผมว่าผมไม่ได้พูดขนาดนั้นนะ ตอนนั้นผมคิดว่าผมน่าจะหมายถึง บริษัทที่ไปเปิดสำนักงานใหญ่ที่ BVI ทำให้บริษัทมีสัญชาติ BVI ไม่ต้องเสียภาษีให้ประเทศแม่นะ ผมคิดว่าผมไม่ได้พูดถึงขนาดนั้นหรอก" อันนี้คือเท่าที่ผมจำได้ หลายๆ ท่านที่ดูรายการถึงลูกถึงคน อาจจะเห็นนายกพูดทำนองนี้ เลยยิ่งดูว่านายกแก้ตัวไปน้ำขุ่นๆ และจนมุม ความเป็นจริง ข้อความป้ายในรูปข้างบนได้ถูกตัดต่อคำพูดขึ้นมาจากผู้ไม่หวังดี และขบวนการโค่นทักษิน เพราะข้อความที่ทักษินพูดไว้วันนั้น คือ จากคุณ : b41golf - [ 14 มี.ค. 49 17:11:44 ]

ความคิดเห็นที่ 6 สุนทรพจน์ทักษินวันนั้น ทักษินแค่ต้องการจะเล่าเรื่องของอเมริกา ว่าอเมริกาเค้าต่อต้านพวกที่ไป เปิดสำนักงานใหญ่ (ทางทะเบียน) ใน BVI ว่าเป็นพวกไม่รักชาติ อเมริกาเป็นคนพูดผ่านทางตัววิ่งของ CNN ทักษินเพียงแค่เอาเรื่องนี้มาเล่าให้ฟังอีกทีหนึ่ง แต่ตัวทักษินเองดันจำไม่ได้ว่าพูดอะไรไปบ้าง เพราะเค้าพูดเยอะมากๆ จะให้จำหมดยังไงไหว สภาพในถึงลูกถึงคนจึงเป็นอย่างที่เห็น คือไม่มั่นใจว่าพูดอะไรไป เค้าจำไม่ได้จริงๆ แต่เค้าก็พูดความจริงหมดทุกอย่างตามที่นึกออกได้ขณะนั้น ดูจากถึงลูกถึงคนนี่ สามารถดูรู้ว่าทักษิน ไม่ใช่คนพูดเก่งอะไร ฟังดูอาจไม่น่าเชื่อถือ แต่เป็นความจริง ฟังเข้าใจง่าย ไม่เบี่ยงเบนประเด็น ไม่มีการเล่นสำนวนโวหารเหมือน หัวหน้าพรรคการเมืองบางพรรค หลักฐานต่างๆ เหล่านี้น่าจะตรวจสอบได้จากหลายแหล่ง เช่น จากบันทึกการประชุม ลองค้นดู ความคิดของผม อนาถครับ เด็กๆ นศ. และคนทั่วไป หลงผิดไปเท่าไหร่แล้ว ถือว่าขบวนการโค่นทักษินประสบความสำเร็จอย่างงดงาม ผมเกลียดการเอาความจริง มาบิดเบือนแบบนี้ จากคุณ : b41golf - [ 14 มี.ค. 49 17:12:26 ]

ความคิดเห็นที่ 7 5. ผลงานทักษินที่ผ่านมาของรัฐบาล : มองต่างมุม สิ่งที่เกิดขึ้น รัฐทำให้คนจนเป็นหนี้ มีแต่หาหนี้ให้ประชาชน นโยบายประชานิยมทำให้คนไทยเสียนิสัย ทำให้คนมีหนี้มากขึ้น ความเป็นจริง สภาพเศรษฐกิจก่อนที่ทักษินจะ มาบริหารประเทศถือว่าตกต่ำมาก เงินไหลเวียนน้อย คนตกงานเยอะ บ.ต่างๆ ขาดทุน มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่ดีมาตรการหนึ่งในภาวะนี้ คือการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบ ทำให้เงินไหลเวียนในระบบมากขึ้น เมื่อเงินไหลเวียนมาก ส่งผลให้ บ.ต่างๆ เริ่มมีผลประกอบการมีกำไร เกิดการจ้างงานมากขึ้น รัฐก็เก็บภาษีสำหรับพัฒนาประเทศได้มากขึ้น การอัดฉีดเงินเข้าสู่ระดับรากหญ้าในนโยบายต่างๆ เช่น กองทุนหมู่บ้าน ได้ประโยชน์สองต่อ คือ หนึ่ง ส่งผลให้คนระดับรากหญ้า มีเงินทุนที่จะนำไปทำมาหาเลี้ยงชีพ และสองทำให้เงินหมุนเวียนในระบบมากขึ้น สร้างงาน สร้างรายได้ผ่านนโยบายต่างๆ เช่น OTOP หรือ พักหนี้เกษตรกร ทำให้ชนชั้นรากหญ้าสร้างเนื้อสร้างตัวกันได้เยอะนะครับ เมื่อเศรษฐกินโดยรวมดีขึ้น ในที่สุดก็จะส่งผลดีกลับไปถึงคนไทยทั้งประเทศ อย่างโครงการบ้านเอื้ออาทร ถ้าเรามองลึกไปกว่านั้น จะเห็นว่าผลจากการสร้างบ้านจำนวนหลายๆ พันยูนิต ส่งผลให้ธุรกิจก่อสร้างมีกำไร เกิดการจ้างงานมหาศาล เมื่อคนเข้าไปอยู่ในบ้านแล้ว ก็จำเป็นต้องซื้อข้าวของเครื่องใช้เข้ามา ยิ่งทำให้เงินหมุนเวียนในระบบมากขึ้น เพราะฉะนั้นเราปฏิเสธไม่ได้หรอกครับ ว่าเศรษฐกิจฟื้ันตัวรอบนี้ ชนชั้นรากหญ้ามีบทบาทสำคัญ ความเห็นของผม รัฐบาลนี้มีฝีมือด้านเศรษฐกิจ ผมยอมรับ สำหรับเรื่องคนมีหนี้มากขึ้น ผมว่าไม่เกี่ยวนะครับ รัฐบาลสร้างโอกาสให้แล้ว ถ้าคุณเอาโอกาสนั้นไปก่อเป็นหนี้ นั่นอยู่ที่ตัวคุณเองแล้วครับ เพราะคนได้ประโยชน์ มีอาชีพ มีรายได้มั่นคง มีชีวิตที่ดีขึ้นจากโครงการต่างๆ เหล่านี้ก็เยอะ สิ่งที่เกิดขึ้น ชนชั้นกลาง มองว่านโยบายรัฐบาลไม่ได้ผล ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง เช่นโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค ยาห่วย โรงพยาบาลขาดทุน หมอท้อแท้ ความเป็นจริง ชนชั้นรากหญ้า คนจน คนด้อยโอกาสได้ประโยชน์อย่างมหาศาล ได้คุยกับคนหลายๆ คน มีปัญหาด้านสุขภาพ ได้มีโอกาสรักษาดีๆ เพราะโครงการ 30 บาทนี่แหล่ะ จากค่าใช้จ่ายเป็นแสน เสียแค่ 30 บาท หลายๆ คน ได้มีชีวิตอยู่ มีลมหายใจต่อ เพราะโครงการนี้ มีเพื่อนคนนึง พ่อป่วยต้องผ่าตัด ไม่มีเงินค่ารักษา ได้โครงการสามสิบบาทที่ช่วยพ่อเค้าไว้ได้ ชีวิตคน ระหว่างคนจนและคนชั้นกลางมีค่าเท่ากันไหมครับ? เป็นรัฐบาลแรกที่เอาใจใส่ คนรากหญ้าขนาดนี้ มีนโยบายต่างๆ มากมายเพื่อคนรากหญ้า สร้างงาน สร้างรายได้ คนจนส่วนใหญ่จึงรักนายก ดูภาพนี้เอานะครับ จากคุณ : b41golf - [ 14 มี.ค. 49 17:13:43 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ... จากคุณ : b41golf - [ 14 มี.ค. 49 17:15:10 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ความคิดเห็นผม คนชั้นกลางส่วนใหญ่ที่ติโครงการเหล่านี้ คุณไม่ควรลืมว่ารากเหง้าประเทศไทย เรามาจากอะไร คนส่วนใหญ่ของประเทศคือใคร เศรษฐกิจที่ฟื้นตัวได้ ฟื้นตัวจากไหน ถ้าคุณต้องการยาดีๆ การเอาใจใส่จากโรงพยาบาลมากๆ คุณก็ไปโรงพยาบาลเอกชนสิครับ โรงพยาบาลรัฐจะได้มี โอกาสช่วยเหลือคนจนคนด้อยโอกาสได้มากขึ้น สำหรับเรื่องโรงพยาบาลขาดทุน ผมอยากให้มองในอีกมุมนึงนะครับ ปตท. กำไรมหาศาล โดนด่าครับ ว่าคนจนเดือดร้อน รายได้เข้านายทุน แล้วการที่โรงพยาบาลรัฐยอมลดรายได ้ตัวเองลงโดยมีทุนสนับสนุนจากรัฐบาล ทำเพื่อชนชั้นรากหญ้า มันเลวร้ายเหรอครับ ถ้าโรงพยาบาลรัฐกำไรมหาศาล โดยคนรากหญ้าเดือดร้อน อย่างนี้สิ น่าตำหนิกว่า คุณหมอบางท่านที่ออกมาประท้วงครับ อาชีพคุณมองแต่ตัวเงินที่เป็นผลประโยชน์หรือครับ หรือมองว่าความสุขของคุณคือการได้ช่วยเหลือคน อย่าละทิ้งอุดมการณ์เดิมสิครับ คุณก็ได้ผลตอบแทนที่สูงกว่าอาชีพอื่น สามารถอยู่ได้โดยไม่เดือดร้อนอยู่แล้วนี่ครับ บางสิ่งบางอย่างผมว่าเราน่าจะ เสียสละให้คนที่ด้อยโอกาสก่อน เพื่อประโยชน์ของส่วนรวม จากคุณ : b41golf - [ 14 มี.ค. 49 17:15:48 ]

ความคิดเห็นที่ 10 สิ่งที่เกิดขึ้น การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ เช่น แปรรูป กฟผ. เป็นการเอาใจนายทุน แต่จะทำให้ประชาชนเดือดร้อน ค่าไฟจะแพงขึ้น ต่างชาติมีโอกาสมาครอบงำ รัฐวิสาหกิจไทย ขายชาติอีกแล้ว จะทำให้ประเทศไทยล่มจมเหมือนอาเจนติน่า และจะเอาเบียร์ช้างเข้าตลาดหุ้น เพื่อดันดัชนีให้สูงขึ้นโดยไม่สนใจว่า ประชาชนจะติดเหล้าแค่ไหน ความเป็นจริง การแปรรูปรัฐวิสาหกิจทำให้ประเทศล่มจมเหมือนอาเจนติน่าเป็นการมองอย่างอคติเกินไป ประเทศอื่นๆ เค้าแปรรูปกันเกินกว่า 80 ประเทศทั่วโลก ไม่ใช่แค่อาร์เจนติน่า ประเทศกำลังพัฒนาอย่างแม๊กซิโก ชิลี ก็ยังได้รับการชื่นชมว่าประสบความสำเร็จในการทำ privatisation อย่างมาก อาเจนติน่ายังมีองค์ประกอบอื่นๆ อีกมากมายเข้ามาเกี่ยวข้อง ที่ทำให้ประเทศล้มละลาย และการแปรรูปไม่เกี่ยวกับราคาค่าไฟเลย การแปรรูปทำให้ระบบการจัดการภายในองค์กรดีขึ้น บริหารงานคล่องตัวขึ้น มีการตรวจสอบบัญชี โปร่งใสกว่าเป็นรัฐวิสาหกิจ การนำเข้าตลาดหลักทรัพย์ เป็นการระดมทุนเพื่อขยายกิจการ ทำให้กิจการใหญ่โตขึ้น ราคาค่าไฟจะเพิ่มหรือไม่อยู่ที่มติของคณะกรรมการ ถ้าหากรัฐบาลยังถือหุ้นในสัดส่วนที่เกินครึ่งอยู่ นายทุนไม่สามารถกำหนดราคาค่าไฟตามใจชอบได้ ความเห็นของผม กฟผ. ควรแปรรูป แต่ให้รัฐบาลถือสัดส่วนหุ้น 75% และอีก 25% กระจายในตลาดหลักทรัพย์ กฟผ. ใครๆ ก็รู้ แต่เดิมมาข้างในองค์กรไม่โปร่งใสนัก ผู้บริหารระดับสูงมีสิทธิพิเศษหลายๆ อย่าง เงินเดือนกับหน้าที่ไม่สมเหตุสมผล การบริหารงานขาดประสิทธิภาพ พนักงานข้างในเอะอะก็ขู่ประท้วงหยุดงาน การแปรรูปจะช่วยให้องค์กรทำงานอย่างโปร่งใสมากขึ้น เงินกำไรสามารถนำไปใช้เพื่อพัฒนาได้เต็มที่ ไม่ใช่ตกอยู่กับผู้ใหญ่ คนใหญ่คนโตบางกลุ่มใน องค์กร เมื่อเข้าตลาดหุ้น กฟผ. จะได้เงินทุนอีกมหาศาลสำหรับพัฒนาโรงไฟฟ้า เพื่อสร้าง supply ให้มากขึ้น รองรับ demand ที่จะเพิ่มในอนาคต (หลักของ demand-supply ที่มีผลต่อราคาขาย คนที่เรียนเศรษฐศาสตร์มาก็คงรู้กันดี) แปลกดีเหมือนกัน ลองเปรียบเทียบดู ไม่ทราบว่าคนพูดต้องการอะไร "กรณี กฟผ. เข้าตลาดหุ้น ทุกอย่างจะเป็นธุรกิจ ค่าไฟจะแพงขึ้น ประชาชนจะเดือดร้อน" "กรณี เบียร์ช้าง เข้าตลาดหุ้น จะทำให้เหล้าเบียร์ถูกลง มอมเมาประชาชน" ความเหมือนที่แตกต่าง? กรณีเบียร์ช้าง การระดมทุนทางธุรกิจ กับเรื่องทางสังคม การติดเหล้าเบียร์ คนละเรื่องกัน เบียร์ช้างต้องการระดมทุนเนื่องจากจะรุกตลาดต่างประเทศ หารายได้ให้ประเทศไทยมากขึ้น ถ้าจะให้คนเลิกเบียร์ก็ควรทำอะไรที่สร้างสรรค์กว่านี้ เบียร์ช้างเข้าตลาดไทยไม่ได้ กำลังวางแผนเข้าตลาดหุ้นสิงคโปร์ เสียหายไหมครับ มาร์เก็ตแคปตลาดหุ้นไทยหายไปแสนล้าน เสียดายกันไหมครับ กำไรจากการขายเหล้าเบียร์ให้คนไทย เข้าสู่กระเป๋านายทุนสิงคโปร์ ภาษีค่านายหน้าในการซื้อขาย หุ้นเบียร์ช้างมูลค่ามหาศาล ก็เข้ารัฐบาลสิงคโปร์ ค่าคอมมิสชั่น ในการซื้อขายหุ้นเบียร์ช้าง ก็ตกอยู่กับโบรกเกอร์ของสิงคโปร์ แทนที่จะไหลเวียนให้กับคนไทยด้วยกัน คนไทยทั้งนั้น ทำกันเอง กัดกันเอง สุดท้าย เป็นชัยชนะบนความเสียหายของประเทศ นายทุนเค้าไม่เสียหายกับคุณ ด้วยหรอกครับ คนเสียหายก็เราๆ คนชั้นกลางถึงรากหญ้าทั้งนั้น ทักษินพยายามพัฒนาหลายๆ อย่างของประเทศ แต่คนหลายๆ คนกลับปิดหูปิดตามองไม่เห็น บอกว่าล้มเหลวโดยสิ้นเชิง ถ้าเรามองอย่างเป็นกลาง - ปราบยาเสพติด หลายคนออกมาประท้วง ว่าตำรวจฆ่านักค้ายาเป็นพันศพ แต่พันศพนี้ แลกกับ เด็กๆ ที่เลิกยาได้เป็นพันคน ผมว่าคุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม ถ้าเราไม่รุนแรงจะได้ผลเหรอครับ คนจะหวาดกลัวเหรอครับ ทำเรื่องเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์มาเฟียพวกนี้ผมมองว่า เด็ดขาดไว้ ดีแล้ว ถ้าปล่อยพวกนี้ไป วันดีคืนดีกลับมาขายยาอีก แลกกับอนาคตของชาติผมว่าไม่คุ้ม ผมเลือกรักษาคนดีไว้ก่อนคนเลว และได้ผลจริงๆ นะครับ หลายๆ พื้นที่มีคนชมว่า ยาเสพติดหายไปจริงๆ ลูกๆ เค้าก็เลิกยาได้ มีชีวิตใหม่ ดีขึ้น - สนามบินสุวรรณภูมิ เมกะโปรเจ็กต่างๆ รถไฟฟ้าสิบสาย จะมีรัฐบาลไหนกล้าทำ ถ้าไม่ใช่ทักษิน สิบปีที่ผ่านมา เราไม่ค่อยได้อะไรจากรัฐบาลเป็นชิ้นเป็นอันเลย เพิ่งเห็นผลงานใหญ่ๆ มากๆ จากรัฐบาลนี้ และโครงการเหล่านี้เป็นรากฐาน ที่ดีให้เศรษฐกิจไทยในอนาคต คิดดูสิครับ พื้นที่บริเวณรอบๆ สนามบิน พื้นที่บริเวณรอบๆ รถไฟฟ้า จะมีการก่อสร้าง มีการไหลเวียนของเงินทุนมากขึ้น ขยายขอบเขตความเจริญ ของกรุงเทพชั้นในออกไปยังพื้นที่ต่างๆ ให้ทั่วถึง อีกสองสามปีน่าจะเห็นผลที่ได้อย่างชัดเจน - มีโครงการต่างๆ ที่ดีๆ อีกมากมายหลายๆ โครงการครับ แต่ผมขี้เกียจเขียนแล้ว จากคุณ : b41golf - [ 14 มี.ค. 49 17:16:34 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ดูกันเองนะครับ........ [คลิกเพื่อชมภาพขนาดจริง] จากคุณ : Kom599 - [ 14 มี.ค. 49 17:17:32 ]

ความคิดเห็นที่ 12 สรุป คุณลองคิดดูสิครับ ถ้าคุณเป็นทักษิน มีความตั้งใจจริงมาทำงานเพื่อบ้านเมือง ถึงแม้จะมีข้อผิดพลาดบ้าง ก็เป็นข้อผิดพลาดที่น่าจะอภัยให้กันได้ ให้มีลงโทษปรับตามความเหมาะสมก็พอ สร้างผลงานไว้มากมาย แต่ต้องมาโดนขับไล่อย่างนี้ โดนปล่อยข่าวลือเสียๆ หายๆ โจมตีครอบครัว โจมตีลูกๆ จนเสียผู้เสียคน หาว่าเป็นคนขายชาติ ไม่สมควรอยู่ในประเทศไทย คุณจะท้อไหม ยิ่งวันก่อนได้เห็นข่าวแกนนำ สนนท. (สมาพันธ์นักศึกษาแห่งประเทศไทย) อ้างตัวเองว่าเป็น ตัวแทนนักศึกษาทั่วประเทศ และประสานร่วมกับนักศึกษา จากชาติอื่นๆ ทั่วโลก ได้ดำเนินการนำนักศึกษาต่างชาติ อันได้แก่ มาเลย์เซีย และชาติอื่นๆ มาร่วมขับไล่นายกรัฐมนตรี ผมยิ่งรู้สึกหดหู่ คนไทยทำไมต้องให้คนต่างชาติมาขับไล่ ใครกันแน่ครับ ขายชาติ ใครกันแน่ที่เป็นเจ้าของผืนดินแห่งนี้ อย่างน้อยนายกก็เป็นคนไทยคนนึงนะครับ ถ้าคนไทยเรายังเป็นอย่างนี้ กัดกันเอง ขัดขากันเอง พอจะมีโอกาสลุกขึ้นยืนได้ แทนที่จะได้วิ่งกับเค้าบ้าง กลับต้องสะดุดหกล้ม กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้วที่เป็นอย่างนี้ แต่ก่อนเราเคยนำสิงคโปร์ นำมาเลย์เซีย แต่ทุกวันนี้เป็นไงครับ แข่งกับเวียดนาม เวียดนามเดี๋ยวนี้พัฒนาประเทศได้มากแล้วนะครับ อนาคตผมไม่อยากคิดครับ ว่าเราจะต้องแข่งกับพม่าหรือเปล่า ได้แต่หวังว่าจะมีอะไรดีๆ เกิดขึ้นมากกว่านี้ ต้องขอบคุณเว็บพันธุ์ทิพย์ห้องราชดำเนินครับ เพราะผมเอาภาพมาหลายภาพ ไม่รู้จะให้เครดิตใครดี เพราะไม่รู้ว่าใครคือเจ้าของภาพกันแน่ และขอบคุณข้อมูลของคุณ ไำร้นาม @ ที่ขยันหาข้อมูลความจริง ที่เป็นประโยชน์ ผมมีกระทู้ดีๆ จากเว็บพันธุ์ทิพย์อยากแนะนำให้อ่านกันครับ เขียนไว้ดีมาก ให้ข้อคิดดี (ขออนุญาติเซฟทั้งกระทู้ เก็บไว้บนเว็บผมนะครับ เพราะผมไม่แน่ใจว่ากระทู้บนเว็บพันธุ์ทิพย์จะ โดนลบหรือมีหมดอายุหรือเปล่า) คลิ๊กด้านล่างได้เลยครับ [ เมื่อชาติมีภัย (ฉบับ สยามเทวาธิราชดลใจ) ] http://www.pantip.com/cafe/rajdumnern/topic/P4110387/P4110387.html [ การเมืองไทยในสายตานักวิทยาศาสตร์คนหนึ่ง:เหตุใดผมถึงสนับสนุนท่านนายกฯ ] http://www.pantip.com/cafe/rajdumnern/topic/P4185509/P4185509.html จากคุณ : b41golf - [ 14 มี.ค. 49 17:18:03 ]

ความคิดเห็นที่ 13 เฮ้อ พูดไปก็เท่านั้น สาวกสนธิ มันไม่ฟังอะไรแล้วตอนนี้ จากคุณ : เสียงพันลี้ (cyfon) - [ 14 มี.ค. 49 17:19:10 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ตราบใดที่คนเราพูดความจริงและทำสิ่งที่ถูกต้อง ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะยอมให้กับกลุ่มคนที่ใช้อคตินำหน้าการกระทำของพวกเขา จากคุณ : ดาว7ดวง - [ 14 มี.ค. 49 17:20:46 ]

ความคิดเห็นที่ 15 เยี่ยมครับ จากคุณ : xit - [ 14 มี.ค. 49 17:21:00 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ฝีมือระดับคอลัมนิสต์เลยครับ กระทู้ขนาดเกินสองหน้ากระทู้แรกที่ผมตั้งใจอ่านจนจบ 1 โหวตคับ จากคุณ : maximoto - [ 14 มี.ค. 49 17:22:12 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ครับ ถึงจะอธิบายด้วยหลักฐานชัดเจนอย่างไร ?? ข่าวลือ ข่าวลวง และกรรมวิธีตัดต่อข่าว ของสื่อเลวๆ ได้ทำให้ภาพของคนๆหนึ่งที่ตั้งใจทำงานเพื่อคนส่วนใหญ่ เพื่อประเทศชาติ เสียหายยับเยิน จนผู้คนที่หลงกระแส ตื่นข่าว และเชื่อคนโกหก ไม่สามารถเปลี่ยนใจเปลี่ยนความคิดได้ หายนะของชาติทางเศรษฐกิจ คือ รางวัลที่พวกเราส่วนใหญ่ กำลังจะได้รับ จากผลงานของคนชั่วพวกนี้ .. จากคุณ : Jungke - [ 14 มี.ค. 49 17:26:59 ]

ความคิดเห็นที่ 18 อย่างงี้ไม่โหวตไม่ได้แล้ว บทความเยี่ยมมาก จากคุณ : NegiSpringfield - [ 14 มี.ค. 49 17:27:21 ]

ความคิดเห็นที่ 19 อืม...น่าคิด จากคุณ : shadow_magic - [ 14 มี.ค. 49 17:28:21 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ชัดเจนและแจ๋มแจ้ง ภาพที่คห 4 ผมเกือบเชื่อไปแล้วน่ะ แต่พออ่านที่คุณเอาคห 5 มาลงก็เข้าใจ แต่ยังแคลงใจเพราะไม่เห้นกับตาแต่ข้ออื่นๆโอเคหมดผมเข้าใจมาตลอดเช่นเดียวกับคุณ จากคุณ : Tears - [ 14 มี.ค. 49 17:31:54 ]

ความคิดเห็นที่ 21 โหวตให้ครับ จากคุณ : ลาวขอนแก่น (PsYcHoSiS_DH) - [ 14 มี.ค. 49 17:33:11 ]

ความคิดเห็นที่ 22 เยี่ยมเลยครับ..... อยากให้ฝ่ายที่ออกมา ต่อต้านและขับไล่ท่านนายก......อ่าน....... ด้วยใจเป็นธรรม....และพิจารณาอย่างรอบคอบ.......คงจะเข้าใจอะไร ๆ มากขึ้น..... จากคุณ : ภิเษก - [ 14 มี.ค. 49 17:36:30 ]

ความคิดเห็นที่ 23 โหวตครับ กระทู้คุณภาพ จากคุณ : smiling - [ 14 มี.ค. 49 17:38:01 ]

ความคิดเห็นที่ 24 เยี่ยมถูกใจ 1 โหวต น้อยคนมากที่ผมจะโหวตให้ จากคุณ : hepjam - [ 14 มี.ค. 49 17:38:36 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ให้ 1 เสียงครับ จากคุณ : ต้น หมิง ซื่อ - [ 14 มี.ค. 49 17:39:41 ]

ความคิดเห็นที่ 26 เยี่ยมเลยครับ เป็นข้อมูลที่มีประโยชน์มาก แต่ไม่รู้จะช้าไปหรือเปล่า จากคุณ : mum007 - [ 14 มี.ค. 49 17:42:02 ]

ความคิดเห็นที่ 27 เขียนดียังกะเป็นคอลัมนิสต์แน่ะค่ะ จริงๆแล้วทำงานอยู่นสพ.ไหนหรือเปล่า  แบบว่าถ้าเขียนชมนายกตอนนี้มีหวังกระเด็นออกจากงาน  เลยเขียนด่าในคอลัมน์ได้อย่างเดียว แล้วก็มาระบายเอาในเวบนี้น่ะ จากคุณ : 555 แค่สงสัยน่ะค่ะ ((:) - [ 14 มี.ค. 49 17:44:00 ]

ความคิดเห็นที่ 28 โหวตค่ะ จากคุณ : มรกตนาคสวาท - [ 14 มี.ค. 49 17:44:59 ]

ความคิดเห็นที่ 29 โหวตให้เต็มที่เลย จากคุณ : ชอบคนดี - [ 14 มี.ค. 49 17:47:06 ]

ความคิดเห็นที่ 30 โหวตคร๊าบบบบบบบบบบบ จากคุณ : F-22C - [ 14 มี.ค. 49 17:47:47 ]

ความคิดเห็นที่ 31 ----- 1เสียง จากคุณ : บัลลังก์เทียน - [ 14 มี.ค. 49 17:48:33 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ทำยังไงถึงเผยแพร่กระทู้นี้ออกสู่วงกว้างได้ครับ...อ่านแล้วได้ดังใจมากเลยครับ จากคุณ : สรรพสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลง - [ 14 มี.ค. 49 17:56:37 ]

ความคิดเห็นที่ 33 เยี่ยมมากๆเลยครับ จากคุณ : เกลียวเชือก - [ 14 มี.ค. 49 18:06:47 ]

ความคิดเห็นที่ 34 ทำไงให้ข้อมูลออกไปนอกเวปได้แยะๆ       ประชาชนจะได้หูตาสว่าง จากคุณ : PC (orwshowde) - [ 14 มี.ค. 49 18:08:07 ]

ความคิดเห็นที่ 35 http://library.uru.ac.th/webdb/images/tuksin160_files/sp20may45.html ผมได้ลองเข้าไปดูข้อมูล แล้วไม่พบครับ ผมอยากจะบอกให้ทราบก่อนอ่าน ข้อความนี้ว่า ผมไม่ได้ชอบสนธิเลย เพราะ เขาก็คือโจรปล้นโจร ไปตรวจสอบการตอบกระทู้ของผมได้ และยังมีอีกหลายคนที่ อยู่ในกลุ่มเดียวกับผม เพียงแต่ สิ่งที่ผมก็ตั้งคำถามเสมอๆ เมื่อ ทุกฝ่ายบอกฟังความฝ่าย เดียว ผมก็พยายามไปอ่าน ที่ตั้งเรื่องข้อมูล ด้วยการพยายามไปยังเวป ซึ่งชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า tuksin160 ซึ่ง ไม่ทราบว่า เป็นข้อมูลของทาง ไทยรักไทยเท่านั้นหรือเปล่า ซึ่งไม่ว่าฝ่ายใครก็ต้องพยายามบอกว่าตัวเองถูกเสมออยู่แล้ว คนเราไม่สามารถ ทำให้คนทุกคนคิด เหมือนกันได้ การออกเสียงของผู้อื่นก็ควรต้องยอมรับในการแสดงความคิดเห็น ตัวอย่างของ จขกท ถือเป็นการให้ข้อมูลไม่ใช่การ ตำหนี ด่าทอ หรือ ดูถูกใดๆ แต่ในขณะที่ ผู้ที่อยู่ในกระทู้คนอื่นๆ ใช้ข้อความ ลักษณะ ดูถูก เช่นสาวกสนธิเป็นต้น สิ่งหนึ่งที่อยากจะบอก สำหรับคนที่รัก ทักสิน ด้วยว่า มองความจริงบนโลกสักนิด ในโลกนี้ไม่มีใครที่ เลว หมดจด และไม่มีใครดี หมดจด ในคนเลวยังมีครอบครัวที่รักและคนที่รักเขา ในคนดีก็ยังมีคน ที่เกลียด และคนที่รักเขา ทักสินอาจจะทำบางเรื่องดี ให้กับคนบางกลุ่ม อย่างที่ได้พูดถึง 30 บาทรักษาโรค หรือ บางกรณี ในการกระจาย เงินทุน ด้วยวิธีการใดๆ ก็ตาม แต่ในเรื่องยาเสพติด ผมยังเห็นมีมากมายเป็นปกติเสมอ ในจังหวัดนครปฐม และคนที่เป็นตัวขาย ก็คือ คนของ ไทยรักไทยเองนั่นแหล่ะ ที่ว่ามีการกวาดล้างมันก็แค่การแถลงผลงาน สิ่งที จขกท ได้พูดถึง กฏหมายขายชาติว่าร่างไว้ตั้งแต่ ยุคสมัยของ "ชวน หลีกภัย" ซึ่งก็มีคำถามว่า ถ้า แบบนั้นคนมีความรู้มากคนดี รักชาติ เอามาใช้ทำไมครับ ปฏิเสธสิครับ ผมก็ ขึ้นไว้ด้วยคำถามนะครับ และส่วนใหญ่ผมโพสไว้ทีไรไม่เคยได้คำตอบได้แต่คำด่า จากคุณ : WindMaster - [ 14 มี.ค. 49 18:27:08 ]

ความคิดเห็นที่ 36 โหวตให้นะคะ..และมีความคิดเห็นเช่นเดียวกับความเห็นที่..17..ค่ะเอาไปเลยค่ะ...1ิเสียง และเราก็จะเลือกทักษินเข้ามาอีก... จากคุณ : รักหนุ่มเวียงจัน - [ 14 มี.ค. 49 18:28:07 ]

ความคิดเห็นที่ 37 จากการที่เห็น การพูดคุยในหลายๆประเด็น ผมเห็นว่า การตำหนิหรือด่าทอว่ากันไปมาไม่เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมานอกจากจะทำให้ เกิดความรุนแรงขึ้น โดยส่วนตัวผมไม่ได้เข้าข้างฝ่ายใด เลย เพียงแต่ในใจผมมีคำถามมากมายที่ไม่ได้รับคำตอบ ซึ่งหากผมถามไปก็อาจจะมีคนบอกว่าผมอยู่ฝ่ายนาย ส. อยู่ตรงข้ามนาย ก. คำถามที่ผมไม่เข้าใจเสมอๆคือ ทำไมต้องขาย รัฐวิสาหกิจไทย ทุกประเภท หัวใจของประเทศทุกประเทศ คือสาธารณูปโภค ประชาชนต้อง กินข้าว ต้องใช้น้ำประปา ต้องใช้ไฟฟ้า ต้องใช้น้ำมัน สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถ พูดได้ว่า ไม่มีเงินก็ไม่ต้องใช้ประหยัดไฟสิ ประหยัดน้ำสิ ประหยัดไฟสิ การประหยัดคือใช้แต่พอเพียงไม่ใช่ ว่าคนไม่ต้องกินต้องใช้ ง่ายไฟฟ้า 1 หน่วย 60 ล้านคน 60 ล้านหน่วย หน่วยละเท่าไหร่ ผู้ถือหุ้นการไฟฟ้าการประปาปตท มีใครอยากขาดทุน อยากหุ้นตก ไม่มี ล่าสุดมีการปรับขึ้นค่า ft โดยอ้างขาดทุน ต้นทุน แล้วถ้าเป็นเอกชนหล่ะ ค่าไฟจะไม่ขึ้นเหรอ เมื่อค่าไฟแพง ค่าน้ำแพง ค่าน้ำมันแพง ก็มีอย่างเดียวแพงก็ไม่ต้องใช้ ทั้งๆ ที่หากการไฟฟ้าเป็นระบบราชการ แล้วทำงาน ขาดประสิทธิภาพ ทำไมไม่ปฏิรูปการทำงานของราชการนำระบบเอกชนมาใช้ ก็ได้ แต่ไม่ใช่การขายให้เอกชน ถ้าไม่ใช่ว่าคนในตระกุลใดอยากจะมีส่วนในการกิน ค่าไฟ ทางอ้อม ผมไม่ได้ต้องการคำตอบจาก คนใดคนหนึ่ง ผมต้องการคำตอบจาก ผู้รักษาการ นายกรัฐมนตรี แต่ก็คงไม่ได้รับคำตอบ คำถามนี้ อยากให้ผู้อ่านทุกคน ลองคิดให้ดีๆ ไม่ต้องทะเลาะกันหรอกครับ จริงๆยังคงมีคำถามอื่นมากมาย แต่มันก็ไกลตัวเกินไป เอาแบบใกล้ๆตัวนี่แหล่ะ สำหรับ บางประเทศที่พูดถึงการแปรรูประดมทุนต่างๆ นั้น เขามีระบบมาตรการบริหารที่เตรียมไว้ แบบที่คุณ จขกท ว่าไว้ก็เป็นได้ แต่ประเทศไทยมีอะไรนอกจากผลประโยชน์ ลองถามดูครับ นักบริหารประเทศทั้งหลาย อย่างทักสิน ผู้บริหารบริษัทจนใหญ่โต และ พรรค ไทยรักไทยจนใหญ่โต แต่ พรรคพลังธรรม ล้มละลาย ไม่เห็นมีการกอบกู้ สิ่งใด หรือว่านั่นเป็นเพราะเจตนาทำลายอยู่แล้วเพื่อจะได้มีพรรคของตัวเองชื่อตัวเอง จากคุณ : WindMaster - [ 14 มี.ค. 49 18:31:27 ]

ความคิดเห็นที่ 38 ผมกล้าลงมาถามคำถามเพราะผมไม่ได้ฝักใฝ่ฝ่ายใดไม่ได้ ด่าทอตำหนิใคร ขอให้ ช่วยกันคิดทีนะครับ ถ้า ตอบให้ประชาชนอย่างผม เครียได้ ท่านก็ได้คะแนนเสียงไป จากคุณ : WindMaster - [ 14 มี.ค. 49 18:32:54 ]

ความคิดเห็นที่ 39 #6 ไม่เห็นด้วยนิดเดียวครับ ตรงที่พาดพิงว่านักศึกษาหลงผิด อันนี้ผมเห็นว่านักศึกษาที่หลงผิดกลุ่มนั้นเป็นนักศึกษาส่วนน้อยไม่กี่คนเท่านั้น โฟกัสให้ชัดลงไปก็คือกลุ่มสนนท.เพียงไม่กี่คนเท่านั้นเอง นักศึกษาอีกส่วนหนึ่งซึ่งผมมีความเห็นว่าเป็นส่วนมากไม่เห็นด้วยกับกลุ่มทำลายชาติ อย่างเช่นนักศึกษาจากธรรมศาสตร์ที่ออกแถลงการไม่เข้าร่วมกับกลุ่มทำลายชาติเพราะพวกเขาเชื่อว่ากลุ่มทำลายชาติมีเบื้องหลังที่ไม่น่าเชื่อถือและไว้วางใจ นักศึกษาอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่เข้าร่วมกับกลุ่มทำลายชาติก็คือกลุ่มนักศึกษาจากมหิดล เท่าที่ได้อ่านข่าวพวกเขาให้เหตุผลว่ากลุ่มทำลายชาติอ้างสถาบันเบื้องสูงมาเคลื่อนไหว พวกเขารับไม่ได้ และถ้าหากพวกเขาเคลื่อนไหวเวลาเป็นข่าวออกไปเกรงว่าจะเป็นการกระทบต่อพระนาม"มหิดล" เห็นไหมครับ พวกเด็กๆเขารู้จักคิด น่าสังเกตว่านักศึกษาที่ไม่เข้าร่วมกับกลุ่มทำลายชาติมักจะไม่ค่อยเป็นข่าว เอาไปหนึ่งโหวตครับ จากคุณ : FM_AM - [ 14 มี.ค. 49 18:39:10 ]

ความคิดเห็นที่ 40 เห็นด้วยครับ โหวตให้อีกคน จากคุณ : ฉัตรธรรม - [ 14 มี.ค. 49 18:39:50 ]

ความคิดเห็นที่ 41 อันนี้เป็นความเห็นส่วนตัวของผม ประชาธิปัตย์ต้องทำให้ทักษิณจบสิ้นให้ได้ ต้องทำทุกอย่าง ทุกวิถีทาง ไม่อย่างนั้นประชาธิปัตย์จะจบสิ้นเสียเอง เหตุผลก็คือเป็นฝ่ายค้านอดอยากอยู่แล้วยังโดนเล่นงานเรื่องฮั้วประมูลกรุงเทพสองหมื่นล้านเสียอีก รถดับเพลิง เรือดับเพลิงก็โดนเล่นงาน หัวคะแนนประชาธิปัตย์เองก็โดนจับที่เมืองกาญ แค้นนี้ใหญ่หลวงนัก ถึงไม่มีความแค้นเรื่องนี้ก็ปล่อยทักษิณไว้ไม่ได้เหมือนกัน ขืนปล่อยเอาไว้ มีหวังเป็นฝ่ายค้านทั้งชาติเพราะชาวบ้านเขาเห็นผลงานทักษิณมากกว่า ผมเสียดายพรรคประชาธิปัตย์จริงๆ อันนี้เป็นความเห็นนอกเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับกระทู้นี้ของผมเอง ขออภัยด้วยครับ จากคุณ : FM_AM - [ 14 มี.ค. 49 18:45:35 ]

ความคิดเห็นที่ 42 อีก 1  โหวตค่ะ จากคุณ : คาเอรุ - [ 14 มี.ค. 49 18:46:44 ]

ความคิดเห็นที่ 43 คุณ WindMaster ครับ ที่ว่าขายๆๆ นี่คือขายหุ้นออกไป 25% ครับ แต่เจ้าของเดิม คือกระทรวงการคลังยังถือไว้ 75% ครับ.. สิ่งที่จะต้องแลกออกไปก็ง่ายๆครับ หากกิจการมีกำไร ก็ต้องแบ่งเงินปันผลให้เจ้าของหุ้น 25% นั้น แต่อำนาจการตัดสินใจบริหารทุกอย่างยังอยู่ที่กระทรวงการคลังผู้ถือหุ้นใหญ่ครับ แต่สิ่งที่จะได้กลับเข้ามานั้น มีหลายประการครับ ที่เห็นๆทันทีเลยก็คือ ได้เงินทุนในรูปของการกระจายหุ้นออกไป แทนที่จะได้ทุนจากการเป็นหนี้ครับ แ้ล้วเงินที่ได้มานี่ ไม่ต้องเสียดอกเบี้ยครับ หากว่าสิ้นปี กิจการขาดทุน ก็ไม่ต้องแบ่งผลกำไรให้เจ้าของหุ้นครับ แต่ถ้าไปกู้เขามา ไม่ว่าจะขาดทุนยังไง ดอกเบี้ยก็ต้องจ่ายครับ... และที่จะได้อีกประการก็คือ ต่อไปประชาชนมีสิทธิรับรู้กระบวนการบริหารทุกอย่างครับ บัญชี การใ้ช้เงิน กำไรขาดทุน ต้องประกาศให้ประชาชนรับทราบตามกฏของตลาดหลักทรัพย์ครับ หากขาดทุน พนักงานก็อดได้โบนัส ผลประกอบการไม่ดี จากตรงไหน ประชาชนสามารถรู้ได้ครับ... ที่ผ่านมา กิจการรัฐวิสาหกิจที่แปรรูปไปแล้ว...ล้วนมีผลประกอบการเมื่อเทียบกับก่อนแปรรูปชนิดที่ต้องเรียกว่า พลิกฝ้าเท้า กลายเป็นฝ่ามือครับ... การบินไทยได้กำไร ปตท.ได้กำไร แม้แต่อสมท.ซึ่งเมื่อก่อนถือว่าเป็นแดนสนทยา เมื่อแปรรูปไปแล้ว ก็ทำกำไรให้กับประเทศชาติมากมายครับ อ่อ อีกประการ รัฐวิสาหกิจที่แปรรูปออกไปแล้วนั้น พนักงานที่ดีๆ ตั้งใจทำงาน ดูเหมือนว่าจะยิ่งพอใจกับผลตอบแทนในการทำงานมากยิ่งขึ้นด้วยนะครับ แต่ก็น่าจะมีบางส่วนที่ไม่พอใจครับ...ซึ่งเป็นเพราะอะไร ต้องคิดดูเองครับ... อ่อ ประการสุดท้าย... ทุกรัฐวิสาหกิจที่แปรรูปออกไปแล้ว คนไทยก็ยังบริหารร้อยเปอร์เซ็นต์เหมือนเดิมครับ... แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 49 22:25:13 จากคุณ : kobee - [ 14 มี.ค. 49 18:53:00 ]

ความคิดเห็นที่ 44 นานๆ จะมีคนเขียนดีๆ ที :) จากคุณ : บุรุษไปรษณีย์ในชุดไปรษณีย์ - [ 14 มี.ค. 49 18:53:34 ]

ความคิดเห็นที่ 45 โหวตครับ มีที่มา และที่ไป มีเหตุผลรองรับ มีตำหนิ มีติชม จากคุณ : หน้าดำเปา - [ 14 มี.ค. 49 18:54:22 ]

ความคิดเห็นที่ 46 ถูกใจครับ ให้ 1 เสียง จากคุณ : Econ_Boy - [ 14 มี.ค. 49 18:57:55 ]

ความคิดเห็นที่ 47 ยังมีคำถามว่า สามารถ ปฏิรูปการทำงานไม่ได้หรือครับ กับแค่ การแปรรูป เป็นเอกชน ในองค์กรเอกชนก็ยังมีการโกงกิน อยู่เสมอๆ การจะอ้างว่า แก้ใขจากการทำงาน ในระบบราชการเดิม มัน ยังฟังไม่ขึ้น อีกกรณีของ หุ้น 25 % ที่ขาย นั่น ตรวจสอบข้อมูลจากที่ไหนได้บ้าง ว่า กระทรวงการคลัง ถือหุ้น 75 % จริงไม่ใช่เพียงแค่คำบอกเล่า จากคุณ : WindMaster - [ 14 มี.ค. 49 19:01:44 ]

ความคิดเห็นที่ 48 ขอบคุณทุกความคิดเห็นนะครับ ขอบคุณคุณ WindMaster นะครับ สำหรับข้อคิดเห็น เรื่องการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ผมอาจจะมองอย่างนี้นะครับ มันเหมือนดาบสองคม การแปรรูปอาจจะเกิดโอกาสให้มีการทำกำไรเกินควรจากสาธารณูปโภคพื้นฐานจริง ซึ่งอันนี้เราไม่ต้องการ แต่ถ้าเราดำเนินการกันอย่างรัดกุม  โดยให้ภาครัฐคุมสัดส่วนการถือหุ้นไว้ และพยายามปฏิรูปองค์กรให้โปร่งใส อย่าให้มีกันกินกันภายในเหมือนก่อน ผมว่าธุรกิจไฟฟ้ายังไงก็มีกำไรให้ผู้ถือหุ้นโดยที่ ค่าไฟฟ้ายังคงเดิม  เพราะเรื่องไฟฟ้าเป็นธุรกิจเกือบผูกขาดอยู่แล้ว ใช้หลักการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพเข้ามา ลดต้นทุนไร้สาระต่างๆ ออกไป พยายามใช้ทรัพยากรมนุษย์ที่มีอยู่อย่างเกิดประโยชน์เต็มที่ ไม่ใช่มีคนว่างงานแต่ได้เงินเดือนอย่างที่เคยเป็น ผมว่าต้นทุนพวกนี้น่าจะลดได้เยอะมากนะ ไม่ใช่ว่าต้นทุนสูงกับสิ่งที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์แล้วมาขึ้นค่าไฟฟ้าอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน และจะดีมากเพราะคนทั่วๆ ไป ก็จะมีสิทธิได้เงินปันผลจากการไฟฟ้า แทนที่เงินจะไปจมอยู่กับบางสิ่งบางอย่างที่เป็นมุมมืดข้างใน สิ่งที่ผมกลัวมีอยู่อย่างเดียว คือ กลัวหุ้นจะตกอยู่ในมือนักการเมือง เหมือนหุ้น ปตท. ถ้าจะทำคงต้องมีนโยบายการขายหุ้น กระจายหุ้นที่ดีกว่า โปร่งใสกว่าที่เคยทำมาสมัย ปตท. หรือใครมีความเห็นอย่างไรบ้างครับ? ผมเองก็อยากรู้มุมมองของคนอื่นๆ จากคุณ : b41golf - [ 14 มี.ค. 49 19:03:09 ]

ความคิดเห็นที่ 49 คุณ WindMaster ครับ ข้อมูลการถือครองหุ้นสามารถขอดูได้ง่ายๆจากตลาดหลักทรัพย์ครับ .. เห็นด้วยอย่างยิ่งกับคุณ b41golf ครับ ว่าจริงๆแล้ว สิ่งที่เราจะต้องระวังกันก็คือ ทำอย่างไร จะไม่ให้หุ้นที่กระจายออกไป ตกอยู่กับกลุ่มคนไม่กี่ตระกูล ตรงนี้ครับ ที่ต้องระวัง.... จากคุณ : kobee - [ 14 มี.ค. 49 19:07:59 ]

ความคิดเห็นที่ 50 เขียนแยกระหว่างเรื่องที่เกิดขึ้นกับความเห็นของตัวเองได้ดีครับ จากคุณ : เสียงดินสอ - [ 14 มี.ค. 49 19:08:10 ]

ความคิดเห็นที่ 51 จาก #7 เกี่ยวกับเรื่องคนเป็นหนี้มากขึ้นและโครงการ 30 บาท อันนี้เห็นด้วยกับจขกท. สังเกตไหมครับ คนที่ทักท้วงและโจมตีเรื่องเหล่านี้ต่างก็เป็นคนชั้นกลาง ชนชั้นสูง กลุ่มคนบางกลุ่มที่เรียกตัวเองว่านักวิชาการและพวกขาประจำทั้งนั้น คนเหล่านี้กลุ่มนี้พวกเขาสบายแล้ว มีอยู่ มีกิน มีเงิน มีโอกาส ชีวิตไม่เดือดไม่ร้อนอะไรมากมายนัก ตอนเช้าก็ดื่มกาแฟอ่านหนังสือพิมพ์ ไปทำงานก็นั่งรถไฟฟ้า ขับรถเก๋ง เลิกงานเดินห้างสบายใจ อยากกู้เงินก็เข้าแบงค์ที่ไหนก็ได้ เจ็บป่วยไม่สบายก็มีประกันสังคม มีประกันชีวิต มีสวัสดิการอื่นๆครบถ้วน ดังนั้นก็ไม่แปลกอะไรที่พวกเขาไม่เห็นถึงความเดือดร้อน และความลำบากยากแค้นของชาวบ้านรากหญ้า ไม่เห็นถึงความลำบากยากจนของคนอื่นๆ ไม่เห็นถึงความด้อยโอกาสและการถูกเอารัดเอาเปรียบของพี่น้องคนไทยด้วยกัน อีกเรื่องหนึ่งที่คนพวกนี้ไม่เคยมองหรือไม่คิดจะมอง หรือมองเห็นแต่แกล้งเป็นไม่เห็นก็คือการบริการจัดการเรื่องงบประมาณแผ่นดิน เมื่อก่อนรัฐจัดงบให้ชาวบ้าน กว่าจะถึงชาวบ้านก็โดนโกงกินเป็นขั้นเป็นตอนจนแทบจะไม่เหลืออะไร เคยได้ยินคำ "งบประมาณแบบไอติม" ไหมครับ กว่าจะถึงมือชาวบ้าน "ไอติม" ก็โดนกัดคนละคำจากรมต. จากอธิปบดีกรมและหน่วยงานอื่นๆ เหลือให้ชาวบ้านแค่ไม้ไอติมเท่านั้น ทักษิณแก้ปัญหาตรงนี้ได้โดยการประกาศให้รู้ทั่วกันว่าเอาไปเลยหมู่บ้านละล้าน ทำแบบนี้ตั้งแต่หัวถึงหางก็โกงไม่ได้เพราะชาวบ้านรู้ ทุกคนรู้ว่าต้องได้หนึ่งล้าน ถ้าจะรั่วไหลจะโกงก็เป็นเพราะชาวบ้านเขาเล่นกันเอง อันนี้ยังดีเสียกว่าระบบเดิมๆมาก ญาติพี่น้องของผมก็ลำบากยากจน ขอบคุณทักษิณที่ให้โอกาสพวกเขา จากคุณ : FM_AM - [ 14 มี.ค. 49 19:13:29 ]

ความคิดเห็นที่ 52 จขกทส่งมาให้อ่าน โหวตก่อน อ่านทีหลัง จากคุณ : ZolO?Zoro - [ 14 มี.ค. 49 19:15:44 ]

ความคิดเห็นที่ 53 โหวตครับ  อยากเห็นทุกอย่างคืนสู่สภาพปกติซะที จากคุณ : calpoppy - [ 14 มี.ค. 49 19:24:22 ]

ความคิดเห็นที่ 54 เป็นกระทู้ที่เยี่ยมที่สุดเลยครับ ผมจะจำชื่อคุณไว้ครับ คุณ b41golf ขออนุญาต copy ข้อความทั้งหมดเก็บไว้นะครับ ขอความเป็นธรรมให้ท่านนายกทักษิณด้วยครับ จากคุณ : เสียงบริสุทธิ์ (สำเร็จ) - [ 14 มี.ค. 49 19:27:55 ]

ความคิดเห็นที่ 55 โหวตครับ  ขอเซฟแล้วprintแจกได้ใหมครับ  จขกท จะลงเครดิตให้ครับ  บทความเยี่ยมมาก จากคุณ : alphaX - [ 14 มี.ค. 49 19:34:00 ]

ความคิดเห็นที่ 56 เห็นด้วยครับ อย่างกับคุณทักษิณมาพูดด้วยตัวเอง จากคุณ : HaHaHa - [ 14 มี.ค. 49 19:56:00 ]

ความคิดเห็นที่ 57 1 เสียงนี้ให้ไปเลยครับ จากคุณ : amtee - [ 14 มี.ค. 49 20:22:06 ]

ความคิดเห็นที่ 58 ขอคุณครับ.....ที่ไห้ประเทืองปํญญา จากคุณ : สายลมกับแสงแดด - [ 14 มี.ค. 49 20:28:47 ]

ความคิดเห็นที่ 59 ลงชื่ออ่านค่ะ เขียนได้ดีมากค่ะ ^_^ จากคุณ : ไร้นาม - [ 14 มี.ค. 49 20:30:24 ]

ความคิดเห็นที่ 60 เยี่ยมมาก อยากให้ไปเขียนลงหนังสือพิมพ์จัง วันๆ อ่านแต่บทความห่วยๆ ใน นสพ. เ็ซ็งจัง จากคุณ : Fusion Jazz - [ 14 มี.ค. 49 20:35:00 ]

ความคิดเห็นที่ 61 ชอบกระทู้แบบนี้ค่ะ ให้ความรู้ดี อีกอย่างคือกลัวปชปจะกลับมาเป็นรัฐบาลค่ะ ยังแขยงไม่หาย จากคุณ : ละเลย - [ 14 มี.ค. 49 20:43:04 ]

ความคิดเห็นที่ 62 จากหนังสือ พิมพ์ เด ลิ นิวส์ ฉบับ ประจำ วัน จันทร์ ที่ 13 มีนาคม พุทธ ศักราช 2549 หน้า 5 เขียนโดย ดินสอโดม ..........l แหม ... !! มี โอกาส ออก โทรทัศน์ ทั้ง ที ไม่ น่า ตอบ อ้อม ๆ แอ้ม ๆ กรณี เคย สาป ส่งผู้ จด ทะเบียน บริษัท ที่ บริติช เวอร์จิน “เป็น พวก ไม่ รัก ชาติ” ..........l กลัว จะ จำ ไม่ ได้ เลย ค้น ข้อมูล เก่า มา ย้ำ หัว ตะปู เหตุ เกิด จาก การ ปาฐกถา ที่ ทำเนียบ รัฐบาล ระหว่าง การ ประชุม ปฏิบัติ การ เรื่อง ยุทธศาสตร์ เพื่อ การ แข่ง ขัน ของ เศรษฐกิจ ไทยฯ เมื่อ วัน ที่ 20 พฤษภาคม 2545 ..........l ทักษิณ ชิน วัตร ขึ้น เวที อบ รม นัก ธุรกิจ ไทย โดย ยก ตัวอย่าง รัฐบาล สหรัฐ กำลัง แก้ กฎหมายจัดการ กับ บริษัทอเมริกัน ไป จด ทะเบียน ที่ บริติช เวอร์จิน เพื่อ เลี่ยง การ เสีย ภาษี ..........l ดัง นั้น การ อ้าง ว่า จด ทะเบียน แอมเพิลริช ที่ บริติช เวอร์จิน เพราะ ต้อง การ โอน หุ้น ชิน คอร์ป ไป พัก ไว้ ก่อน นำ เข้า ตลาด หลัก ทรัพย์ ใน สหรัฐ จึง ฟัง ไม่ ขึ้น ..........l ก็ พูด เอง เออ เอง ไม่ ใช่ หรือ ?? รัฐบาล สหรัฐ ตั้ง ข้อ รังเกียจ บริษัท ใน บริติช เวอร์จิน ถึง ขนาด ออก กฎหมาย ไว้ เล่น งานพวก เลี่ยง ภาษี ..........l เมื่อ รู้ อย่าง นี้ ทำไม ถึง กล้า เอา หุ้น ชิน คอร์ป ไป แปะ ไว้ ที่ นั่น ก่อน เข้า ใน ตลาด หลัก ทรัพย์ อเมริกา เพราะ มี แต่ จะ ทำ ให้ เสีย ประวัติ ดินสอโดม ที่มา http://www.dailynews.co.th/dailynews/pages/front_th/popup_news/Default.aspx?ColumnId=18472&NewsType=2&Template=1 ----------------------------------------------------- การที่ " ดินสอโดม " เขียนในหนังสือพิมพ์แบบบิดเบือนเช่นนี้ ย่อมทำให้คนที่อ่านหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ทั่วประเทศได้รับข้อมูลที่ไม่เป็นความจริง และหลงเชื่อไปโดยคิดว่าเป็นแบบนั้นจริงๆ   น่าสงสารท่านรักษาการนายกฯ ไหมคะ สื่อบางสื่อพยายามบิดเบือนตามอำเภอใจ พร้อมทั้งชี้นำให้ประชาชนเกิดความเกลียดชัง   อ่านแล้วได้แต่ถอนใจ อยากถามหาว่าจะมีใครสักคนไหม ที่จะแก้ไขและชี้แจงความจริงให้ทุกคนที่อ่านข่าวนี้ได้รับทราบ จะมีใครไหม ที่จะแก้ข่าวอันเป็นเท็จนี้ให้คนทั่วไปได้เข้าใจให้ถูกต้อง สื่อ.. ถือว่ามีปากกาอยู่ในมือ จะเขียนอะไรก็ได้ บิดเบือนอย่างไรก็ได้ แล้วความรับผิดชอบอยู่ไหน? เรื่องนี้เป็นแค่ตัวอย่างหนึ่งในอีกมากมายที่ชี้ให้เห็นถึงความมักง่ายของสื่อ เมื่อไหร่จะพัฒนาเสียที ? จากคุณ : มารตี - [ 14 มี.ค. 49 21:23:01 ]

ความคิดเห็นที่ 63 เป็นกระทู้แรกในราชดำเนินที่ขอแสดงความเห็นหลังจากอ่านมานานแสนนานครับ พร้อมโหวตให้เป็นครั้งแรกตั้งแต่ผมอ่านราชดำเนินเลย ใจผมยังมองบทความนี้แบบกลางเกือบเอียงไปทางนายกนะครับ แต่ในส่วนข้อมูลผมชอบมากจริงๆ เพราะผมไม่ใช่นักเล่นหุ้นหรือนักธุรกิจมืออาชีพ แต่ที่นี่เป็นที่แรกที่ทำให้ผมเข้าใจการขายชินอย่างจริงๆ จังๆ ก่อนหน้านี้ยอมรับครับผมด่านายกไว้เยอะเหมือนกัน(แต่ก็ยอมรับว่ายังเชียร์นายกอยู่ดี) แต่ตรงนี้จึงเข้าใจมากขึ้นครับ เข้าใจไม่ใช่ว่าจะเห็นดีเห็นด้วยกับการทำงานทั้งหมด แต่มันทำให้ผม"ยอมรับ"การบริหารหลายๆ อย่างที่ผมไม่เคยเข้าใจได้ครับ และสามารถยอมเสี่ยงร่วมหัวจมท้ายไปกับรัฐบาลหรือรากหญ้าในวันนี้ได้จนสุดทางครบวาระ หากผลในตอนจบมันเลวร้ายผมก็ทำใจครับว่านั่นเป็นทางที่เราเลือกเอง แต่ก็เชื่อว่าเลือกเนื่องจากพยายามคิดอย่างดีแล้วไม่แห่ตามความเห็นกันไป ปล.ผมไม่เคยเชียร์เรื่อง 30 บาทรักษาทุกโรคมาก่อนเลย จนกระทั่งผม "ป่วย" และต้องเข้าโรงพยาบาล ผมก็พอมีพอกินครับจะนอนโรงพยาบาลเอกชนก็ไหว แต่วันนั้นหมอจากเอกชน(กรุงเทพฯ)บอกผมองกับปากครับว่าไปใช้บริการ 30 บาทเถอะ ถ้าคุณจะตรวจที่นี่จนพบล่ะก็หมดเป็นแสนแน่นอน เพราะที่ผมป่วยอยู่ก็ไม่ใช่อาการธรรมดานัก ผมต้องไปทำบัตร 30 บาทที่ไม่เคยคิดจะไปทำและใช้บริการที่พระนั่งเกล้า ผลที่ได้ไม่ใช่ว่าผมพอใจนักเพราะหมอที่นั่นก็ยังไม่สามารถตรวจอาการผมได้สำเร็จเสียทีแม้จะล่วงเลยมานานพอควรแล้ว แต่ผมก็เข้าใจแล้วว่า 30 บาทนี้มันมีคุณค่าอย่างไร เพราะมูลค่าการตรวจ+ค่ายาทั้งหมดนั้นตกไปเป็นหมื่นๆ แล้วครับ แต่ผมจ่ายไปทั้งหมด 8 ครั้งยังไม่ถึง 500 แม้สุดท้ายโรงพยาบาลพระนั่งเกล้าอาจจะไม่สามารถช่วยให้ผมหายป่วยได้ แต่ผมก็เชื่อโดยสนิทใจครับว่าโครงการนี้สามารถช่วยผู้คนที่ไม่สามารถจ่ายค่าตรวจหลายหมื่นนี้ไปได้หลายต่อหลายคนอย่างแน่นอน.... จากคุณ : Aha301 - [ 14 มี.ค. 49 21:26:52 ]

ความคิดเห็นที่ 64 นั้นคือความคิดที่พวกเราหลายคนในนี้พูดแล้ว พูดอีก แต่ไม่เคยมีใครที่จะสนใจอย่างจริงจัง มัวแต่ไปนั่งประท้วงกันโดยไม่ดูเหตุผล โหวตให้ครับ จากคุณ : Mars - [ 14 มี.ค. 49 22:12:50 ]

ความคิดเห็นที่ 65 เราฟังจากทั้งสองฝ่ายเลยนะ ไม่ได้ปิดหูปิดตาตัวเองเข้าข้างใครฝ่ายเดียวเลยจริงๆ แต่ลองคิดดูเองแล้ว ทักษิณ ... ไม่ใช่คนดี จากคุณ : querida - [ 14 มี.ค. 49 22:16:54 ]

ความคิดเห็นที่ 66 โหวตครับ จากคุณ : ESD - [ 14 มี.ค. 49 22:19:11 ]

ความคิดเห็นที่ 67 ผมเชื่อว่า ยังไงการพิสูจน์ความจริง นายกเองไม่เคยกลัว แต่พวกนั้นจะฟังหรือเปล่า แต่หากท่านทักษิณต้องลาออกจากนายกในตอนนี้ ผมว่ายังไม่สมควร การหาทางออกมันมีหลายวิธี เช่น หากลุ่มคนกลางที่เชื่อถือได้ และทั้งท่านทักษิณและฝ่ายต่อต้านรวมถึงหลายๆฝ่ายเห็นด้วยกับคนกลุ่มนี้มาดำเนินการตรวจสอบเรื่องต่างๆที่ตรวจสอบได้ เช่น หุ้น ผมว่าหากกลัวการแทรกแทรงก็ส่งคนของตนเองในแต่ล่ะฝ่ายเข้าไปร่วมอยู่ในกลุ่มตรวจสอบพิเศษนี้ มันจะได้เป็นธรรมต่อทุกฝ่าย นายกก็ไม่ต้องเว้ณวรรค์หรือลาออก หากนายกท่านผิดจริงท่านก็ต้องลาออกและถูกดำเนินคดี เพราะท่านอยู่ไม่ได้แน่ถึงจะมีตำแหน่งในสภาก็คงช่วยอะไรไม่ได้ แบบนี้น่าจะดีกว่าไหมครับ จากคุณ : pichitmarn - [ 14 มี.ค. 49 22:32:40 ]

ความคิดเห็นที่ 68 เราฟังจากทั้งสองฝ่ายเลยนะ ไม่ได้ปิดหูปิดตาตัวเองเข้าข้างใครฝ่ายเดียวเลยจริงๆ แต่ลองคิดดูเองแล้ว ทักษิณ ... ไม่ใช่คนดี จากคุณ : querida - [ 14 มี.ค. 49 22:16:54 ] ผมก็ว่าพวกที่เชียร์นายกไม่น้อยเลย (รวมทั้งผมด้วย) จะยืนยันว่าุคุณทักษิณเป็นคนดี... มีหลายเรื่องที่ผมก็สงสัยเขาอยู่เหมือนกัน แต่หลายสิ่งหลายอย่างที่เขาโดนโจมตี มันไม่จริงครับ!!! หลายสิ่งหลายสิ่งหลายอย่างที่เขาทำ มันก็ทำให้ประเทศพัฒนาขึ้นมาได้ดีระดับหนึ่ง แล้วอีกประการ ่ผมคิดว่า เขามาตามกติกาครับ!!!  แ้ล้วเขาก็ประกาศว่า เขาพร้อมที่ไปตามกติกาด้วย... แล้วในเมื่อพวกเราทุกคนซึ่งเป็นกรรมการร่วมกัน เป็นลูกขุนร่วมกัน ทำไมถึงจะไม่ใช้กติกาหล่ะครับ ทำไมกรรมการส่วนหนึ่ง ที่อ้างมาตลอดว่าเป็นเสียงส่วนใหญ่ ถึงกลัวว่าตัวเองจะเป็นเสียงข้างน้อย แล้วล้มกระดาน หันกลับไปรุมสกรัมเขาหล่ะครับ?? วันที่ 2 ช่วยกันไปลงคะแนนไม่เลือกซิครับ เขาก็ต้องไปแน่ๆ ถ้าตัวเองเป็นเสียงข้างมากจริงๆ จากคุณ : kobee - [ 14 มี.ค. 49 22:34:20 ]

ความคิดเห็นที่ 69 ความจริงคุณรู้ได้งัย เมื่อไม่มีการตรวจสอบหาความจริง ซึ่งก็พึ่งองค์กรอิสระที่ถูกแทรกแซงไม่ได้  ความจริงที่คุณบอกก็เป็นอะไรที่คุณคิดเอง พิจรณาเอง ผมไม่ได้เข้าข้างใครหลอก แต่ผมคิดทั้งสองแง่ ก็แค่นั้น จากคุณ : เหยี่วตาบอด (DIVERSITY) - [ 14 มี.ค. 49 22:40:02 ]

ความคิดเห็นที่ 70 เยี่ยมจริงๆ ค่ะ แยกแยะให้เห็นได้ดีระหว่างเรื่องที่เกิดขึ้น และข้อคิดเห็น ขออนุญาตนำออกเผยแพร่นะคะ จากคุณ : ladybear - [ 14 มี.ค. 49 22:40:40 ]

ความคิดเห็นที่ 71 ไม่ได้ชอบสนธิ   ไม่ได้ชอบประชาธิปัตย์   และก็ไม่ชอบทักษิณ   เพราะไม่เหมาะกับภาวะผู้นำ   แต่เหมาะที่จะบริหารบริษัทมากกว่า  บริหารประเทศ   คงไม่มีใครที่เป็นผู้นำ  มีความชอบธรรม  และรักประเทศไทยได้เท่าในหลวงของเราอีกแล้ว จากคุณ : หญิงฟ้าฟ้า - [ 14 มี.ค. 49 22:41:33 ]

ความคิดเห็นที่ 72 ขอบคุณครับ ที่เขียนให้อ่านได้อย่างสบายๆ ไม่เครียด จากคุณ : สายลมเสรี - [ 14 มี.ค. 49 22:45:50 ]

ความคิดเห็นที่ 73 เขียนได้ดี  มีหลักฐานสนับสนุนชัดเจน โหวตให้ค่ะ จากคุณ : Badboy - [ 14 มี.ค. 49 22:46:55 ]

ความคิดเห็นที่ 74 โหวตค่ะ อยากให้หลาย ๆ คนได้อ่าน จากคุณ : gg1234k - [ 14 มี.ค. 49 22:47:50 ]

ความคิดเห็นที่ 75 น่าจะมีคนนำข้อความดีๆในราชดำเนินไปพิมพ์แจกโดยทั่วไปโดยเฉพาะผู้ชุมนุม  อย่างน้อยจะได้เพิ่มมุมมอง จากคุณ : ท่อนไม้ - [ 14 มี.ค. 49 22:49:25 ]

ความคิดเห็นที่ 76 อธิบายได้เข้าใจง่ายดีครับ โหวตให้อีก 1 เสียงครับ ผมสังเกตว่าสื่อใส่สีตีไข่ไว้กับนายกเยอะมาก ผมเข้าใจว่าเขามีจุดประสงค์ให้ประชาชนเกลียดนายกอย่างลืมหูลืมตาเพื่อให้การไล่ออกดูมีความชอบธรรม และได้ข่าวว่าคนไทยในต่างประเทศก็ออกมาขับไล่นายกด้วย ผมจึงคิดว่าน่าจะมีการเผยแพร่บทวิเคราะห์นี้ไปยังคนไทยที่อยู่ต่างประเทศด้วยนะ เพราะอาจจะกำลังถูกสื่อบิดเบือนจนเข้าใจผิดๆ จากคุณ : วรภัค - [ 14 มี.ค. 49 22:53:40 ]

ความคิดเห็นที่ 77 โหวตคะ จากคุณ : thaiwoman - [ 14 มี.ค. 49 22:56:42 ]

ความคิดเห็นที่ 78 ในส่วนตัวผมไม่ปฏิเสธ นะครับถ้ามี มาตรการ ป้องกันไม่ให้ หุ้นตกอยุ่ในมือ คนไม่กี่ตระกูล และอย่างที่บอกไว้ข้างต้นว่า ที่เขาทำดีก็มี บ้าง ที่ทำให้คน บางกลุ่ม มีชีวิตที่ดีขึ้น แต่ อีกหลายๆ อย่างที่เขา ปกปิดซ่อนเร้นไว้ก็มีเช่นกันเช่นการขายยาบ้าที่ นครปฐม และขอขอบคุณ จขกท สำหรับข้อมูลต่างๆ ขอฝากอีกเรื่องคือ สัมปทาน ดาวเทียมที่ผูกอยู่กับ ชินคอร์ป นะครับ สิงค์โปร ซื้อ ชินคอร์ป ไม่ผิดกฏหมายแต่ สัมปทาน ไทยคม จะเป็นอย่างไรต่อไปใครได้สิทธิ์ใครเสียสิทธิ์ ความมั่นคงของประเทศ จากคุณ : WindMaster - [ 14 มี.ค. 49 23:00:10 ]

ความคิดเห็นที่ 79 " ความคิดเห็นที่ 2   2. เรื่องการขายหุ้น Shin corp * * (4) ก่อนหน้าการขายหุ้นให้เทมาเสกไม่กี่วัน ได้มีการโอนหุ้นคืนจาก ARI คืนกลับมาให้กับลูกๆ สองคน คนละครึ่ง โดยการโอน ปรากฏเป็นรายการขายจาก ARI ให้กับทั้งสองคนในราคาพาร์ 1 บาท ลูกๆ ก็เอาหุ้นในต้นทุน 1 บาทไปขายในตลาดหลักทรัพย์ได้ราคา 49.25 บาท กำไรที่เกิดจากส่วนต่างราคาหุ้นคือ 48.25 บาทต่อหุ้น หรือที่เรียกว่า Capital Gain กฏหมายระบุชัดว่าไม่ต้องเสียภาษีเช่นเดียวกัน (เฉพาะกรณีของบุคคลธรรมดา ไม่ใช่นิติบุคคล) และบังคับใช้มาหลายปีแล้ว ตั้งแต่ก่อตั้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย แต่ถ้าถามว่าการซื้อขายนี้เป็นการซื้อขายปกติไหม? ก็ตอบได้ว่า " ผิดปกติอยู่ส่วนเดียว" คือ กรณี ARI ขายหุ้นคืนให้ ลูกๆ สองคน ในราคาต้นทุน คือ 1 บาท เพราะถ้าขายให้ลูกๆ ในราคาตลาด 49.50 บาท ARI มีรายได้ที่ต้องเสียภาษีทันที แต่ขายคืนให้ลูกในราคาต้นทุน ทำให้บริษัทไม่มีกำไร ไม่ต้องเสียภาษี ตรงนี้อาจถือได้ว่าเป็นช่องโหว่ ของกฏหมายที่ผมเข้าใจว่า ครอบครัวทักษินใช้เพื่อไม่ให้ต้องเสียภาษีจำนวนนี้ " ความเข้าใจนี้ไม่ถูกต้อง ถ้า AR ขายหุ้นคืน ให้ลูกๆ ทั้งสองคน ในราคา 49.25 บาท เงินกำไรส่วนต่างนี้  48.25 ก็ไม่ต้องเสียภาษีให้กับ ประเทศไทย และเงินจะไหลออกนอกประเทศไปอยู่ที่ AR ของ BVI  และไม่ต้องเสียภาษีอีก ถ้ามีการนำเงินเข้ามาในปีที่มีการซื้อขาย   เช่น ถ้านำเงินเข้ามาในปี 2550 ก็ไม่ภาระภาษี ตามกฎหมายสรรพากร(ไทย) เพราะ AR จดทะเบียนที่  BVI และไม่มีการประกอบกิจการในประเทศไทย จึงได้รับการยกเว้นการเก็บภาษี 30% ของกำไรสุทธิ ตามกฎหมายสรรพากร(ไทย) ถ้าตั้งเป็นกองทุน ก็ไม่เสียภาษีกำไรอีกเช่น แบบ ที่ GE มาซื้อสินทรัพย์ใน ปรส แล้วได้กำไรกลับ USA  3หมื่นล้านบาท ก็ไม่ต้องเสียภาษีเช่นกัน จึงจะเห็นว่าไม่ว่าจะขายแบบใด ก็ไม่เสียภาษีทั้งนั้น แต่ถ้าขายในตลาด รัฐยังจะได้ภาษี VAT 7 % จากมูลค่าการซื้อขาย ที่ 0.5%(ซื้อและขาย) และยังได้เงินเข้าประเทศเป็นทุนสำรองเงินตราต่างประเทศอีก ที่ทำให้เงินบาทแข็งขึ้นทันที   ---------- ทางที่จะให้หุ้น ส่วน AR เสียภาษีกำไรจากหุ้น ก็คือ ให้ โอ็ดโอนหุ้นทั้งหมด จาก AR ใน ราคา 1 บาท  แล้วมาขายให้ เอม ในราคา 49.25 บาท นอกตลาดฯ ซึ่งก็จะเสียภาษี ที่ 37% หรือจะให้ประหยัดภาษีอีกหน่อย ก็ให้ตั้งบริษัท อีกบริษัท ในประเทศไทย แล้วซื้อหุ้น AR ในราคา 1 บาท แล้ว นำมาขายโอ็ค-เอมที่ราคา 49.25 ก็จะเสียภาษีที่ 30% ของกำไรสุทธิ ทั้งสองกรณี คงมีน้อยคนมากๆ ที่แบบนั้น จากคุณ : mcu51 - [ 14 มี.ค. 49 23:08:16 ]

ความคิดเห็นที่ 80 คุณ b41golf ผมขอชมอย่างจริงใจ ว่าเป็นกระทู้ฝ่ายเชียร์ท่านนายกทักษิณที่มีเหตุมีผล ยอมรับความจริงมากที่สุด ที่กล้าพูดตรงไปตรงมาว่า "ความผิดที่กล่าวมาของทักษิน อาจจะไม่ผิดในทางกฏหมาย แต่ก็เป็นเรื่องที่ไม่สมควรทำ ในฐานะนายกรัฐมนตรีของประเทศ เพราะถือเป็นการเลี่ยงภาษีอย่างหนึ่ง เป็นแบบอย่างที่ไม่ดี" อย่างไรก็ตาม ที่เสนอให้แก้ปัญหาโดยการเลือกตั้ง การเลือกตั้งมันใช้ได้ในกรณีปกติ แต่สำหรับนายกที่ผิดจริยธรรมเกินของเขต การบีบให้ลาออกโดยกระแสสังคม ก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องตามวิถีประชาธิปไตย เช่น กรณีประธานาธิบดีนิกสันซึ่งไม่ผ่านกระแสสังคมกรณีวอเตอร์เกต ยิ่งในกรณีเมืองไทย ผมว่ามันรับไม่ได้หรอกครับ แค่เริ่มต้นก็ฉาวโฉ่แล้ว จ้างคนลงสมัครแข่ง จ้างคนมาฟังหาเสียง คุณลองมองในมุมของคนที่ขอให้ท่านลาออกดูบ้าง 1. เรื่องเลี่ยงภาษีกรณีขายหุ้น 1 บาทนี้ถ้าจะเรียกว่าช่องโหว่ของกฎหมาย ผมว่าความผิดของนายก ถ้าว่าไปแล้วร้ายแรงกว่าการมุดช่องโหว่ทั่วๆไป เพราะเป็นการมุดออกช่องโหว่นั้นเป็นคนแรก(ซึ่งหลายคนยังสงสัยว่าให้ลูกน้องเป็นคนทุบกำแพงด้วยซ้ำ) แทนที่จะคิดจะอุดช่องโหว่นั้นตามหน้าที่ของนายก 2. ที่คุณว่า "ระหว่างที่ถืออยู่ ARI จะมีรายได้จากเงินปันผล ตามกฏหมายต้องเสียภาษี แต่ภาษีจากเงินปันผลจะถูกหัก ณ ที่จ่ายเรียบร้อยแล้ว" ARI ถ้ามีปันผลจาก Shin ต่อให้หักภาษีแล้ว ต้องถือว่าที่เหลือเป็นกำไร ซึ่งถ้าเมื่อไรคืนกำไรให้ผู้ถือหุ้นด้วยปันผล ผู้ถือหุ้นต้องนำปันผลของARIไปคิดเป็นรายได้เพื่อเสียภาษีอีกที ซึ่งกรณีนี้มีข่าวว่าเลี่ยงภาษีปันผลจากการลงทุนต่างประเทศมาตลอด 3. ที่คุณว่า "การแก้กฏหมายเรื่องการถือหุ้นของต่างชาติให้เพิ่มเป็น 49% ได้ริเริ่มดำเนินการในสมัยนายกชวน ไม่ใช่นายกทักษิน และอย่างไรเสียกฏหมายฉบับนี้ ก็ต้องแก้่ เพราะมีนักธุรกิจร้องเรียนเข้ามามาก จะเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจโดยรวม เพราะเวลานี้เราต้องพึ่งพาเงินทุนจากต่างชาติค่อนข้างมาก" ผมเชื่อว่า ตอนนั้นใครๆก็คิดว่าแก้กฎหมายแค่เปลี่ยนเลข 25 เป็น 49 แต่ในความจริงน้อยคนที่รู้ว่าท่านนายกแก้กฎหมายโทรคมนาคมโดยตัดคำว่าบุคคลสัญชาติไทยออกไป ทำให้นักลงทุนต่างชาติสามารถเข้ามารับผลประโยชน์จากบริษัทโทรคมนาคมไทยในทางอ้อมได้สูงสุดถึงกว่า 98 เปอร์เซนต์ของผลกำไร ไม่ใช่แค่ 49 เปอร์เซนต์อย่างที่หลายคนเข้าใจ ล่าสุด ตัวอย่างชินคอร์ปชัดเจนมาก ชินคอร์ปประกอบด้วย (ตัวเลขก่อนที่จะซื้อหุ้นจากรายย่อย) ซีดาร์โฮลดิ้ง(ไทย)            38.62% ไทยรายอื่น                      16.14% แอสเพนโฮลดิ้ง(ต่างด้าว)    10.97% ต่างด้าวรายอื่น                  34.27% ดูเผินๆไทยมี 54.76% ต่างด้าวมี 45.24% แต่ในความเป็นจริง ซีดาร์โฮลดิ้งประกอบด้วยเทมาเสก 49 % บริษัทคนไทย 51% (กุหลาบแก้ว 41% ไทยพาณิชย์ 9.9%) ในกุหลาบแก้วยังประกอบด้วย คนไทย 51 % ไซเพรส (ตัวแทนเทมาเสก) 49 % เฉพาะตัวอย่างแค่นี้ก็เห็นแล้วว่าต่างด้าว เข้าครอบครองชินคอร์ปถึง 45.24 + (38.62 x 0.49) + (38.62 x 0.41 x 0.49) =  71.92% ถ้านับต่างด้่าวที่แฝงในบริษัทไทยอื่นๆอีก เช่น ไทยพาณิชย์ ฯลฯ เชื่อได้ว่าต่างด้าวมีสัดส่วนในชินคอร์ปทางอ้อมไม่ต่ำกว่า 80 %เข้าไปแล้ว ชินคอร์ปเข้าไปถือหุ้นในบริษัทโทรคมนาคมมากมาย ไม่ว่า AIS ITV ชินแซท ถ้าตามกม.เก่า ชินคอร์ปต้องถือหุ้นโดยบุคคลธรรมดาไทยกว่า 50 % (ส่วนใหญ่ถือโดยลูกนายก) จึงจะไม่มีปัญหาทางกม. เพราะถ้าชินคอร์ปเป็นบริษัทต่างชาติเมื่อไร สัดส่วนต่างชาติใน AIS ITV ชินแซทจะเกิน กม.กำหนด อาจถูกงดสัมปทาน หรือตัดสิทธิประโยชน์ต่างๆ แต่การที่แก้กฎหมายโทรคมนาคมตัดคำว่าบุคคลสัญชาติไทยออกไป ทำให้ลูกท่านนายกสามารถขายหุ้นชินคอร์ปที่เดิมส่วนใหญ่ถือไว้ในฐานะบุคคลธรรมดาให้นิติบุคคลไทยเทียมได้ ในวันแรกที่กฎหมายบังคับใช้   4. เอาเรื่องที่คุณไม่ได้พูด แต่ผมว่าเป็นเรื่องสำคัญที่สุด คือการซุกหุ้นภาค 2 ถ้ายังจำความกันได้ ท่านนายกรอดซุกหุ้นภาค 1 มาด้วยการอุ้มจากกระแสสังคม ซึ่งหลายคนที่อุ้มท่านมากลับมาเป็นฝ่ายตรงข้ามท่านตอนนี้ ตอนนั้นทุกคนรับได้กับคำว่าบกพร่องโดยสุจริต พอเวลาผ่านไป ท่านโอนหุ้นให้ลูก ไม่ซุกไว้ที่คนใช้เหมือนแต่ก่อน สังคมที่รักท่าน ก็แกล้งหลับตาว่าท่านไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน  ยกหุ้นให้ลูกไปไม่เกี่ยวกับท่านอีกแล้ว แอร์เอเซีย ITV ชินแซท AIS ได้สิทธิกว่าควรจะเป็นไหม เถียงไปก็ไม่จบ น็อตมันมาหลุดตอนที่ท่านขายShin นี่แหละ ที่ท่านบอกเป็นกระต่ายขาเดียวว่าเป็นการตัดสินใจของลูก ดีลนี้ท่านไม่เกี่ยว ไปสิงคโปร์ตอนปีใหม่หลายวันแค่ไปเที่ยวไม่มีการเจรจาธุรกิจ แต่ช่วยไม่ได้ที่สังคมส่วนใหญ่ไม่เชื่อท่าน ทุกคนยังเชื่อว่าท่านอยู่เบื้องหลังลูกของท่าน ท่านไม่แคร์ต่อเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญเลย ซุกหุ้นภาค 1 ทุกคนทนได้ ซุกหุ้นภาค2 ถ้่าไม่ประเจิดประเจ้อนัก ทุกคนก็ทนมาตลอด แต่ครั้งนี้ท่านเล่นแรงเกินไป (ท่านนายกคงซวยจริงๆถ้าท่านไปเที่ยวสิงคโปร์จริงๆ ตอนปีใหม่ ไม่มีดีลธุรกิจ) ผมเองโดยส่วนตัวก็เสียดายที่หลายเรื่องไม่มีโอกาสให้เวลาพิสูจน์ อย่าง 30 บาทรักษาืทุกโรค ที่มีปัญหารุมเร้า เงินกองทุนที่สะสมมาหลายสิบปีของแต่ละโรงพยาบาลกำลังใกล้หมด เงินกองทุนหมู่บ้านที่มีงานวิจัยชัดเจนว่าชาวบ้านไม่น้อยนำเงินไปซื้อมือถือ จักรยานยนต์ จนเป็นหนี้เป็นสินต้องกู้เงินมาใช้หนี้เป็นงูกินหาง แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 49 23:16:05 จากคุณ : Pom.com - [ 14 มี.ค. 49 23:12:37 ]

ความคิดเห็นที่ 81 ขอเพิ่มอีกอันนะครับ โครงการหนึ่งโรงเรียนหนึ่งทุนครับ เป็นโครงการที่ถูกใจผมที่สุด เป็นโครงการที่ผมอยากให้มีมานานแล้ว แต่ไม่เคยมีใครคิดได้เลย เป็นโอกาศให้เด็กบ้านนอกได้มีโอกาศเรียน แต่ก่อนทุนพวกนี้จะกระจุกอยู่กับเด็กในเมือง ที่มีโอกาศมากกว่า ถึงแม้มันจะยังไม่ร้อยเปอร์เซนต์ ยังต้องปรับต้องแก้กัน ก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย ยิ่งเอาเงินมืดหรือเงินหวยมาทำให้สว่างแล้วก็ได้ประโยชน์กับประเทศชาติ ไม่ไปตกกับเจ้ามือหวยเถื่อนหรือเจ้าพ่อ ยิ่งโดนเข้าไปใหญ่ครับ.... จากคุณ : UDth - [ 14 มี.ค. 49 23:13:48 ]

ความคิดเห็นที่ 82 ขออนุญาติเสริมเรื่องการแปรสภาพรัฐวิสาหกิจค่ะ ในความคิดส่วนตัวของดิฉัน การที่รัฐวิสาหกิจกลายเป็นบริษัทมหาชน สร้างกำไรเพื่อตอบแทนผู้ถือหุ้นนั้นเป็นมุมมองที่เลี่ยงไม่ได้ค่ะ แต่ในอีกด้านหนึ่ง การที่กิจการสาธารณูปโภคไม่ได้เป็นสิ่งผูกขาด ย่อมทำให้เกิดมีการแข่งขัน   ผู้มีเงินทุน (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในโลกทุนนิยมนี้) สามารถซื้อเอาเทคโนโลยีที่ล้ำนำสมัยกว่าและจัดตั้งบริษัทขึ้นให้บริการ เพื่อแย่งส่วนแบ่งทางการตลาด ย่อมหมายความว่าเกิดการแข่งขันกันด้านบริการ เกิดการปรับเปลี่ยนองค์กรและการจัดการ รวมไปถึงวัตถุดิบ เครื่องมือ เทคโนโลยี ความรู้ของบุคคลากร ด้วย องค์กรจะไม่อยู่นิ่ง เพราะถ้าอยู่นิ่งหมายถึงไม่สามารถแข่งขันได้ ถึงวันนั้นหากแม้คิดต้องการเรียกราคาค่าบริการสูงเพียงไรก็ใช่จะทำได้ค่ะ เพราะมีคู่แข่งที่ต้องการแย่งส่วนแบ่งทางการตลาด และพร้อมที่จะเสนอราคาที่ต่ำกว่าเป็นทางเลือกให้กับประชาชน ดิฉันจึงมองในมุมส่วนตัวว่าดิฉันได้ประโยชน์มากกว่า อย่างเช่นตัวอย่าง องค์การโทรศัพท์ และ TRUE นะคะ ลองเปรียบเทียบกันดูเล่นๆ เมื่อก่อนนี้เราขอติดตั้งโทรศัพท์ ต้องมีค่าใช้จ่าย และรอเป็นเวลานาน บางครั้งเป็นเดือน เพราะไม่มีเจ้าหน้าที่เพียงพอ วันนี้เรามีเอกชนเป็นคู่แข่ง TRUE เสนอไม่เก็บค่าประกันหมายเลข ติดตั้งรวดเร็วระบบบริการแบบสะดวกแก่ผู้ใช้ เท่านี้ล่ะค่ะ จำนวนผู้ใช้ TRUE เพิ่มขึ้นมหาศาล คุณคิดว่าใครได้ผลกระทบคะ แน่นอนองค์การโทรศัพท์ เช่นเรื่อง ADSL TOT เมื่อ 5 ปีก่อน ดิฉันติดต่อไปสอบถามได้รับคำตอบว่าไม่ได้มีไว้ให้เอกชนใช้ บุคคลธรรมดายิ่งไม่ได้ เมื่อตอนนี้ TRUE ให้บริการ ADSL TOT จึงต้องปรับค่ะ จะแพงกว่าก็ไม่ได้ หวังว่าคงเข้าใจนะคะ จากคุณ : ฟ้าใหม่วันใหม่ - [ 14 มี.ค. 49 23:16:44 ]

ความคิดเห็นที่ 83 ความคิดเห็นที่ 80 . . 2. ที่คุณว่า "ระหว่างที่ถืออยู่ ARI จะมีรายได้จากเงินปันผล ตามกฏหมายต้องเสียภาษี แต่ภาษีจากเงินปันผลจะถูกหัก ณ ที่จ่ายเรียบร้อยแล้ว" ARI ถ้ามีปันผลจาก Shin ต่อให้หักภาษีแล้ว ต้องถือว่าที่เหลือเป็นกำไร ซึ่งถ้าเมื่อไรคืนกำไรให้ผู้ถือหุ้นด้วยปันผล ผู้ถือหุ้นต้องนำปันผลของARIไปคิดเป็นรายได้เพื่อเสียภาษีอีกที ซึ่งกรณีนี้มีข่าวว่าเลี่ยงภาษีปันผลจากการลงทุนต่างประเทศมาตลอด ---------- เป็นความเข้าที่ไม่ถูกต้อง เพราะเงินปันผล ได้ถูกหักภาษีจากกำไรสุทธิของ shin แล้วที่ 30% และยังได้ถูก ภาษีจากเงินปันผลจะถูกหัก ณ ที่จ่าย อีก 15% รวมแล้วมากกว่า 37% ของที่บุคคลธรรมดาต้องจ่าย  จึงไม่มีภาระภาษีจากเงินปันผลดังกล่าว ผู้ได้เงินปันผลหุ้น สามารถนำเอกสารเหล่านี้ มาเครดิตภาษีได้(ลดภาษีได้อีก) ตามกฎหมายสรรพากร(ไทย) ซึ่งผู้เล่นหุ้นหลายคนยังไม่รู้ จากคุณ : mcu51 - [ 14 มี.ค. 49 23:30:45 ]

ความคิดเห็นที่ 84 1Vote for you. จากคุณ : splendid9898 - [ 14 มี.ค. 49 23:31:36 ]

ความคิดเห็นที่ 85 โหวตให้ จขกท ครับ จากคุณ : ภานุพันธุ์ - [ 14 มี.ค. 49 23:33:43 ]

ความคิดเห็นที่ 86 สั้น ๆ นะครับ คุณ Pom.Com มีคนบอกว่า แอร์เอเชีย ได้เส้นทางไปฮ่องกง โดยแย่งจากการบินไทย ได้พิสูจน์แล้วครับว่า ไม่มีสายการบินแอร์เอเชียบินไปฮ่องกงครับ ที่บินไปใกล้ที่สุดก็คือ มาเก๊า และ เซียะเหมินครับ จากคุณ : ขนมต้ม - [ 14 มี.ค. 49 23:40:26 ]

ความคิดเห็นที่ 87 มาเชียร์ด้วยอีกคนครับ ผมว่านายกทักษิณตอบทุกข้อไปหมดแล้วครับ และเข้าใจได้ จากคุณ : นาฬิกาทราย...ครับ - [ 14 มี.ค. 49 23:41:01 ]

ความคิดเห็นที่ 88 คุณ mcu51 เครดิตภาษี มันใช้ได้ในกรณีลูกนายกถือหุ้น Shin โดยตรงไม่ใช่หรือ การถือหุ้นแอมเพิลริช แอมเพิลริชมีปันผล จะไปเอาเครดิตภาษีตรงไหน แอมเพิลริชไม่ได้เสียภาษีประจำปีให้ไทยนะครับ จากคุณ : Pom.com - [ 14 มี.ค. 49 23:42:58 ]

ความคิดเห็นที่ 89 -ภาษีจากเงินปันผลจะถูกหัก ณ ที่จ่าย - "จึงไม่มีภาระภาษีจากเงินปันผลดังกล่าว" หุ้น shin กำไรสุทธิ 100 บาท รัฐได้เงินภาษีจากเงินปันผล รวมมากกว่า 37บาท จากคุณ : mcu51 - [ 14 มี.ค. 49 23:53:50 ]

ความคิดเห็นที่ 90 ต้องอดทนครับ จากคุณ : Juste - [ 15 มี.ค. 49 00:03:07 ]

ความคิดเห็นที่ 91 ปัญหา 30 บาท จะให้รพ.รัฐขาดทุนเพื่อโครงการ 30บาท??!?!!? ปีที่แล้วศิริราชเป็นหนี้ 3พันกว่าล้านบาทเฉพาะโครงการนี้ และยังไมมีใครมาจ่าย ต้องโยกเงินจากส่วนอืนมาโปะชั่วคราว โดยที่รัฐไม่ช่วยอะไรเลย มองความเป็นจริงกันบ้างครับ ชาวบ้าน happy รัฐได้คะแนนเสียง แต่ระดับผู้ปฏิบัติงาน ตาย เท่านั้น รพ.ชุมชนไม่มีเงินจะจ่ายเงินเดือนเจ้าหน้าที่ ต้องตกเบิกกันหลายเดือน เจ้าหน้าที่เหล่านั้นไม่ใช่คนไทยหรือไงครับ ถึงต้องยอมไม่รับเงินเดือนเพื่อโครงการ 30 บาท ความเป็นจริงที่คนชอบทักษิณปิดหูปิดตามาตลอด จากคุณ : ....4จุด - [ 15 มี.ค. 49 00:03:28 ]

ความคิดเห็นที่ 92 โหวตให้ครับ จากคุณ : Quick beam - [ 15 มี.ค. 49 00:11:11 ]

ความคิดเห็นที่ 93 คห.88 นั้นไม่ยิ่งดีหรอ ถือในไทยดิสภาษีได้ ถือต่างประเทศเสียภาษีเต็ม เพราะเค้าถือในไทยยังไงก็คงไม่เปิดเป็นบริษัทอยู่แล้ว จากคุณ : NegiSpringfield - [ 15 มี.ค. 49 00:13:22 ]

ความคิดเห็นที่ 94 คุณ mou 51 ลูกนายกถือหุ้นในแอมเพิลริช กรณีนี้ถือว่าลูกนายกไม่ได้เป็นผู้ลงทุนใน shin จะคิดเครดิตภาษีไม่ได้ ลองสมมุติง่ายๆ คุณลงทุนกับเพื่อน 10 คนเปิดบริษัท บริษัทไปซื้อหุ้นชิน หุ้นชินมีปันผล บริษัทจะหักภาษียังไงก็ตามเรื่องของบริษัท ปีนั้นบริษัทคุณมีเงินปันผล แจกคุณกับเพื่อน คุณจะเอาเครดิตภาษีตรงไหน อย่าเอามาปนกับการถือหุ้นโดยตรงในฐานะบุคคลธรรมดาครับ จากคุณ : Pom.com - [ 15 มี.ค. 49 00:20:52 ]

ความคิดเห็นที่ 95 1 เสียง โหวตให้ครับ จากคุณ : หม่ำ หม่ำ - [ 15 มี.ค. 49 00:29:34 ]

ความคิดเห็นที่ 96 ขอใหวตให้เป็นกระทู้เกรด A ของราชดำเนินครับ จากคุณ : อภิอัครมหายาน - [ 15 มี.ค. 49 00:35:42 ]

ความคิดเห็นที่ 97 คห.94 เกี่ยวกับการถือหุ้นบุคคลธรรมดานะครับ เพราะถ้าลูกนายกถือหุ้นในไทย เค้าก็จะไม่เปิดบริษัทครับจะถือเป็นบุคคลธรรมดา แต่เผอิญไปถือที่เมืองนอกก็เลยต้องเปิด สรุปง่ายๆ ถึงถือหุ้นในไทยเค้าก็ไม่ต้องเสียภาษีเพราะเป็นบุคคลธรรมดาแถมมีโอกาสหักภาษีได้อีก แต่ถือหุ้นอยู่เมืองนอกก็ไม่ต้องเสียภาษีเหมือนกันแต่เอามาหักภาษีไม่ได้ จากคุณ : NegiSpringfield - [ 15 มี.ค. 49 00:40:25 ]

ความคิดเห็นที่ 98 คุณขนมต้ม อ้าวมาสั้นๆ แต่เขียนแบบนี้เดี๋ยวใครจะเข้าใจว่าผมเคยไปว่าแอร์เอเซียเรื่องฮ่องกง ถ้าจะให้ผมยกตัวอย่าง ก่อนหน้าที่จะมีแอร์เอเซีย เคยมีไหม นักบินเอื้ออาทร แอร์เอื้ออาทร การยอมให้สายการบินอื่นนอกจากการบินไทยบินไปจังหวัดที่กำไรแน่ๆ อย่างเชียงใหม่ ภูเก็ต หรือขอโควต้าต่างประเทศในสายยอดนิยม แบบสิงคโปร์ จากคุณ : Pom.com - [ 15 มี.ค. 49 00:44:33 ]

ความคิดเห็นที่ 99 คุณ NegiSpringfield ถ้าตรงไปตรงมา แอมเพิลริชมีกำไร ต้องมีปันผล มีปันผล เอาเงินเข้าประเทศ ถ้าไม่เลี่ยงภาษี ก็ต้องเสียภาษีรายได้จากต่างประเทศครับ แก้ไขเมื่อ 15 มี.ค. 49 00:50:22 จากคุณ : Pom.com - [ 15 มี.ค. 49 00:48:28 ]

ความคิดเห็นที่ 100 คห.98 ลองขึ้นเครื่องการบินไทยไปภูเก็ตดูสิว่าเครื่องเต็มหรือป่าว ผมขึ้นไปทีไรเต็มทุกทีเลยอะ แล้วลองมองมุมกลับสายการบินไทยแพงกว่าพวกแอร์เอเชีย นกแอร์อย่างมาก ทำให้คนไปได้มีน้อยทำแบบนี้ก็ช่วยสนับสนุนการท่องเที่ยวด้วย อยากถามว่ามันไม่ดีตรงไหน คห.99 บริษัทมีกำไรกับปัณผลมันคนละเรื่อง บริษัทถึงจะมีกำไรแต่ไม่ปัณผลก็ได้ แก้ไขเมื่อ 15 มี.ค. 49 00:52:09 จากคุณ : NegiSpringfield - [ 15 มี.ค. 49 00:50:44 ]

ความคิดเห็นที่ 101 คุณ NegiSpringfield เรื่องแอร์เอเซีย ประเด็นว่าดีหรือไม่ ไม่ใช่เรื่องหลัก อย่างไรก็คือออกกฎใหม่โดยมีประโยชน์ทับซ้อน ซึ่งโยงมาถึงซุกหุ้นภาค 2 ตามความเห็น 80 ซึ่งเป็นประเด็นที่ผมต้องการเสนอ ส่วนเรื่องที่ว่าบริษัทกำไรไม่ต้องมีปันผลก็ได้ แต่นั่นหมายความว่าก็จะไม่ได้ใช้เงิน แต่ทุกวันนี้คนเลี่ยงภาษีได้เงินมาใช้เรียบร้อยแล้ว จากคุณ : Pom.com - [ 15 มี.ค. 49 01:01:59 ]

ความคิดเห็นที่ 102 http://www.thaigov.go.th/news/speech/thaksin/sp20may45.htm นี่คือลิงค์คำปราศั้ยของนายกรัฐมนตรีวันเวลาที่หนังสือพิมพ์ฉบับดังกล่าวอ้างถึง เป็นเวบไซต์ของทำเนียบรัฐบาล มีคำปราศัยนายกรัฐมนตรีตั้งแต่เริ่มรับตำแหน่งมา ทุกงาน ทุกภาษา ลองไปอ่านดูค่ะ จากคุณ : Michy - [ 15 มี.ค. 49 01:14:24 ]

ความคิดเห็นที่ 103 ปรบมือให้ดังๆครับ จากคุณ : Amous - [ 15 มี.ค. 49 01:33:25 ]

ความคิดเห็นที่ 104 เยี่ยมครับ ความเห็นผม มองในแบบคนธรรมดา ไม่ได้สูงส่งอะไร แบบที่ไม่ต้องให้มันดูดีไว้ก่อน เรื่องขายหุ้น ผิดจริยธรรม คำพูดสวยหรู ทุกคนสนใจแต่ตัวเลข 73000 ล้าน"ไม่เสียภาษี" ผมไม่เห็นว่าผิดตรงไหน มีทางเดิน2ทาง ทางแรกเสียภาษี อีกทางไม่ต้องเสีย(ตามกฎหมายด้วย) เวลาขายต้องหาช่องทางจ่ายภาษีให้มากที่สุด (ที่ปรึกษาการเงินต้องเอาเท้าก่ายหน้าผาก ทำไงหว่า) ถ้าใช้อำนาจรัฐทำให้ไม่ต้องเสียภาษีก็สมควรด่า แต่ผมก็เห็นว่าไม่ (แสดงว่าทุกคนบนโลกนี้ล้วนไม่อยากเสียภาษี(มากเกินไป)) ที่ผมอึดอัดใจมากที่สุดคือ ถ้าแน่จริง ไม่ลงมารับสมัครเลือกตั้งกันให้หมด ทุกคนพูดว่าทำเพื่อชาติ แต่เวลาลุยโคลน มีคนลงมาลุยกี่คน ทักษิณเป็นคนหนึ่งที่ลงมาทำงาน(งานที่ทุกคนเหยียดหยามแต่ยกมือไหว้) ถึงเวลาผมเลือกคนมาทำงาน มาฝากฝังอนาคต แล้ว....ก็มาไล่ ให้ลาออก แถมคนใหม่ก็ไม่ให้เลือกอีก มันหดหู่ใจ....... ตอนนี้พอเซเรื่องหุ้น ทุกๆฝ่ายที่ไม่พอใจอะไรซักอย่าง ก็มารวมตัวกัน เปลี่ยนชื่อท่านเป็นกลุ่มนั้นกลุ่มนี้ และมาประกอบร่างกันในชื่อใหม่เป็น พันธมิตร!! เอาง่ายๆแค่ไล่ทักษิณออก แต่หลายที่มา หลายสาเหตุ เหมาเอาว่าโกงชาติ เอ่อ การบินเสรี มีการแข่งขันก็ดีแล้วนี่นา แก้ไขเมื่อ 15 มี.ค. 49 01:42:42 แก้ไขเมื่อ 15 มี.ค. 49 01:36:53 จากคุณ : Pigou - [ 15 มี.ค. 49 01:35:08 ]

ความคิดเห็นที่ 105 เงินได้อันเป็นเหตุให้ต้องนำไปรวมคำนวณภาษีมาจากแหล่งใดบ้าง? http://www.rd.go.th/publish/552.0.html แหล่งที่มาของเงินได้ ซึ่งแบ่งเป็นเงินได้จากแหล่งในประเทศและนอกประเทศ เงินได้จากแหล่งต่างๆ นี้จะต้องนำไปรวมคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหรือไม่ ให้พิจารณา ดังนี้ 1. เงินได้เกิดจากแหล่งในประเทศ หมายถึง เงินได้ที่เกิดขึ้น หรือเป็นผลสืบเนื่องจากมี 1.1 หน้าที่งานที่ทำในประเทศไทย หรือ 1.2 กิจการที่ทำในประเทศไทย หรือ 1.3 กิจการของนายจ้างในประเทศไทย หรือ 1.4 ทรัพย์สินที่อยู่ในประเทศไทย (ดอกเบี้ย เงินปันผล ค่าเช่า ฯลฯ * เงื่อนไข ผู้มีเงินได้เกิดจากแหล่งในประเทศนี้มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้ตามที่ประมวลรัษฏากร กำหนดไว้เสมอเว้นแต่จะมีข้อยกเว้นตามกฎหมาย ทั้งนี้ ไม่ว่าเงินได้พึงประเมินในปีภาษีที่ล่วงมาแล้วนั้น จะจ่ายในหรือนอกประเทศ และไม่ว่าผู้มีเงินได้นั้นจะเป็นผู้อยู่ในประเทศไทยหรือไม่ก็ตาม) 2. เงินได้เกิดจากแหล่งนอกประเทศไทย  หมายถึง เงินได้ที่เกิดขึ้นหรือเป็นผลสืบเนื่องจากมี 2.1 หน้าที่งานที่ทำในต่างประเทศ หรือ 2.2 กิจการที่ทำในต่างประเทศ หรือ 2.3 ทรัพย์สินที่อยู่ในต่างประเทศ * เงื่อนไข ผู้มีเงินได้เกิดจากแหล่งนอกประเทศในปีภาษีที่ล่วงมาแล้วจะต้องเสียภาษีเงินได้ ในประเทศไทยก็ต่อเมื่อเข้าองค์ประกอบทั้ง 2 ประการ ดังต่อไปนี้ (1) ผู้มีเงินได้เป็น ผู้อยู่ในประเทศไทย ในปีภาษีนั้นชั่วระยะเวลาหนึ่งหรือหลายระยะเวลา รวมทั้งหมดถึง 180 วัน และ (2) ผู้มีเงินได้ นำเงินได้นั้นเข้ามาในประเทศไทยในปีภาษีนั้นด้วย ในการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาบางกรณี ถ้าเกี่ยวข้องกับบุคคลของบางประเทศที่มี อนุสัญญาภาษีซ้อน* หรือความตกลงเพื่อป้องกันการเก็บภาษีซ้ำซ้อนกับประเทศไทยจำเป็นต้องพิจารณาถึงความ ตกลงหรืออนุสัญญาว่าด้วยการเว้นการเก็บภาษีซ้อนระหว่างประเทศไทยได้ทำความตกลงไว้ด้วย อนุสัญญาภาษีซ้อน http://www.rd.go.th/publish/765.0.html http://www.rd.go.th/publish/fileadmin/download/nation/english_t.pdf แก้ไขเมื่อ 15 มี.ค. 49 03:37:21 จากคุณ : mcu51 - [ 15 มี.ค. 49 01:44:55 ]

ความคิดเห็นที่ 106 อ้าว คุณปอมความเห็น 101 แปลกครับ??? อย่างนี้ก็ไม่ต้องพัฒนาอะไรเลยอย่างนั้นหรือครับ... ทุกวันนี้สารการบินไทยที่ไปจังหวัดต่างๆที่คุณว่า หาว่างยากครับ... ซึ่งมันเป็นคำตอบได้เลยว่า การบริการของการบินไทยไม่พอเพียง ดังนั้นมีโลว์คอร์สมาเสริม มันเสียหายตรงไหนหล่ะครับ??? ประชาชนได้ประโยชน์ไม่ใช่หรือ... แล้วอีกอย่าง พอมีคู่แข่ง ผมว่าขึ้นเครื่องการบินไทย ได้รับบริการที่ดีขึ้นนะครับ จากคุณ : kobee - [ 15 มี.ค. 49 01:45:10 ]

ความคิดเห็นที่ 107 เยี่ยมครับ โหวต จากคุณ : BANKKINOVZKE - [ 15 มี.ค. 49 01:48:55 ]

ความคิดเห็นที่ 108 ผมคนนึงที่ยอมรับว่าจุดยืนแกว่งมากๆในตอนนี้ ทั้งนี้เนื่องจากข้อมูลข่าวสารที่มาก และหลากหลายมุม จยถึงบัดนี้ยังคิดไม่ออกว่าคควรจะยืนอยู่ตรงไหนของกระดานแผ่นนี้ เหตุของความแกว่งก็เพราะมันมองอะไรไม่ชัด เนื่องจากข่าวสารข้อมูลที่ออกจะล้น และฟุ้งไปทั่ว สาหตุอีกอย่างคือเพราะ ความเป็นสีเทาของทักษิณ ความเป็นมนุษย์ปถุชนของเขาที่มีทั้งดีและไม่ดี ความจริงที่เห็นคือ ทักษิณเอื้อประโยชน์ให้ตัวเองจริง ทำให้ธุรกิจตัวเองและพวกรุ่งเรืองจริง นี่คือด้านลบ แต่ผมก็ผ่านยุคที่นักการเมืองโกงชาติแบบเอาดื้อๆมาแล้ว คือจะกินก็กิน ไม่เกี่ยวกับธุรกิจใดๆ แต่เป็นนักการเมืองอาชีพ ที่ต้องซื้อเสียง หาทุน หาผลประโยชน์ โดยที่นั่นคือหนทางประกอบอาชีพของนักการเมืองรุ่นเก่า ไม่ว่าจะเป็นยาเสพติด ตัดไม้เถื่อน โกงที่ดิน ค้าอาวุธสงคราม คุมมาเฟีย ทักษิณไม่ใช้หนทางดังกล่าวสร้างผลประโยชน์ แต่กลับกวาดล้าง เป็นการทำลายถุงเงินฝ่ายตรงข้าม และประเทศก็ได้ผลดีไปด้วย นี่คือข้อดี ทักษิณกำลังทำลายระบบเก่า คนที่คิดว่าระบบเก่าดี ก็ไม่เห็นด้วย ผมค่อนข้างเห็นด้วยกับทักษิณในขณะที่เขาเดินหน้าล้างระบบเดิมๆ พลิกประวัติศาสร์และทำงานอย่างเต็มกำลัง ในแบบของพลังของระบบใหม่ หรือบางคนเรียกว่าระบบทักษิณ ผมเห็นด้วยในตอนนั้นเพราะเชื่อว่าทักษิณคือความหวังของคนรุ่นใหม่จริงๆ ผมซื้อฝันจากทักษิณมาเด็มๆ ตอนนี้ยอมรับว่าสะดุด เพราะมีข้อเคลือบแคลงใจอยู่มากมาย ค่อยๆผุดขึ้นมา และทำให้เลยคิดไปว่า ทักษิณบริสุทธิใจมากน้อยหรือไม่อย่างไรในขายฝันให้ประชาชน ตอนนี้จึงเร่งค้นหาจุดยืนให้ตัวเองว่าตัวตนจะต้องอยู่อย่างไรในสถาณการณ์ตอนนี้ จะต้องชั่งน้ำหนักให้ได้ และเชื่อว่าสุดท้ายจะต้องใช้ใจวัดกันในนาทีสุดท้ายว่าจะเลือกข้างไหน และมีความจำเป็นขนาดไหนในการเลือกข้าง จะต้องหาจุดยืนและวิธีการแสดงออกให้ตัวเองให้ได้ ขอบคุณจขกทและคหอื่นๆในมุมมองที่แย้งกันด้วยเหตุผล ทำให้คนที่เป็นกลางหรือไม่รู้จะยืนข้างได้อย่างผมสามารถเอามาประกอบการตัดสินใจครับ จากคุณ : Composite - [ 15 มี.ค. 49 02:02:29 ]

ความคิดเห็นที่ 109 ครับ การแก้ไขกฎหมาย พรบ. โทรคมฯ มีการ 5 ปีแล้วครับ ความจริงร่าง พรบ. ฉบับแรกเลย ร่างไว้ให้ต่างชาติถือหุ้นได้ไม่เกิน 50% เพราะตอนนั้นมีพันธะผูกพันกับข้อตกลง WTO เข้ามาเกี่ยวข้อง อย่างไรก็ตามไม่ได้เป็นประเด็นทางการเมืองเลย เป็นการดำเนินการล้วนๆของระบบราชการ กล่าวได้ว่าไม่ว่าจะเป็นสมัยใคร เรื่องนี้ก็ต้องดำเนินไปตามครรลองของกระบวนการอยู่แล้ว ต่อมาพอร่าง พรบ. โทรคมฯ ฉบับแรกผ่านเข้าสู่สภา จนถึงขั้นตอนเกือบสุดท้าย มีการแปรญัตติเรื่องของจำนวนหุ้นที่ถือโดยต่างชาติ และได้มีการอภิปรายโดยมีประเด็นของสมบัติชาติเป็นประเด็นนำ ดังนั้นเหตุผลเรื่องพันธะผูกพันกับ WTO จึงตกไป ผู้เกี่ยวข้องหลายฝ่ายที่จะให้ข้อมูลเกี่ยวกับ WTO ในขณะนั้นก็ไม่พร้อมด้วย ทำให้ พรบ. ผ่านออกมาพร้อมกับเงื่อนไขที่จะต้องกลับไปแก้ไขประเด็นสัดส่วนหุ้น ซึ่งกระทรวงคมนาคมก็ได้ตั้งคณะทำงานขึ้นมาเพื่อร่างแก้ไข พรบ. ฉบับดังกล่าวทันที ต่อมาในสมัยรัฐบาลไทยรักไทย มีการปรับกระทรวง ทำให้หน้าที่การแก้ไข พรบ. โทรคม ตกมาอยู่ที่ กระทรวง ไอซีที ซึ่งกระทรวงไอซีที ใช้เวลาอยู่ 5 ปี ดันร่างแก้ไข พรบ. ฉบับนี้ จนกระทั่งสำเร็จ ซึ่งเป้นเวลาประจวบเหมาะกับช่วงการขายหุ้นพอดี ก็เลยเกิดเป็นประเด็นร้อนขึ้นมา จะเห็นว่าความจริงแล้ว การแก้ไข พรบ. กับการขายหุ้นนั้นไม่ใช่เรื่องเดียวกัน แต่ที่รัฐบาลควรจะชี้แจงคือ จำเป็นต้องปฏิบัติตามพันธะผูกพันในข้อตกลง WTO มากน้อยแค่ไหน และเหตุใดจึงใช้เวลาถึง 5 ปีในการแก้ไข อย่างไรก็ตามสถานะการณ์ดำเนินมาถึงขนาดนี้แล้ว ยอมกันซะเถอะครับ จะได้ไม่เกิดเหตุการณ์ที่ทุกคนไม่อบากให้เกิดขึ้น โดยมารยาทแล้ว หากมีคนร้องเรียนท่าน และมีการกล่าวหา ท่านควรจะลุกออกจากเก้าอี้ เปิดให้มีการสอบสวน ผ่านกระบวนการยุติธรรมที่โปร่งใส หากท่านไม่ผิดตามข้อกล่าวหา ท่านก็จะได้กลับมาอย่างสง่าผ่าเผย ทั้งนี้ไม่ต้องรอให้ฝ่ายค้านยื่นญัตติซักฟอกในสภาหรอกครับ เป็นมารยาทที่ท่านพึงกระทำเอง ไม่งั้นต่อให้ชาติหน้าฝ่ายค้านก็ไม่สามารถยื่นซักฟอกท่านได้หรอก เห็นๆกันอยู่ แค่มีเสียงเกินร้อยได้ก็บุญโขแล้ว จากคุณ : x.25 - [ 15 มี.ค. 49 02:05:58 ]

ความคิดเห็นที่ 110 เอ่อ...อ่านจนจบเหมือนกันเพราะเราเองก้ออยากรู้เรื่องรายละเอียดเกี่ยวกับหุ้นของทักษิณที่เกิดขึ้นบ้าง เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง แต่ก้อโอเคค่ะกระจ่างดี เห็นรายละเอียดมากขึ้น เราเองเป็นประเภทไม่ชอบอ่านอะไรยาวๆนี่พยายามอ่านจนจบ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน หุหุ ขอบคุณ จขกท มากนะคะที่มาให้รายละเอียดอ่ะค่ะ จากคุณ : นารีพินิจ - [ 15 มี.ค. 49 03:30:23 ]

ความคิดเห็นที่ 111 ความเห็นที่ 35 เว็บนี้ http://library.uru.ac.th/webdb/images/tuksin160_files/sp20may45.html ที่คุณว่าเข้าไปแล้วไม่พบข้อมูล...อ่านไม่ดีหรือเปล่าคะ ทำไมเราพบล่ะ คลิกจากลิงก์ที่ความเห็นคุณนั่นแหละ งง??อ่ะ รูปยืนยันค่ะ.... แก้ไขเมื่อ 15 มี.ค. 49 03:45:37 [คลิกเพื่อชมภาพขนาดจริง] จากคุณ : นารีพินิจ - [ 15 มี.ค. 49 03:42:24 ]

ความคิดเห็นที่ 112 ผมอ่านผ่าน ๆ เพราะยาวเหลือเกิน คุณหาข้อมูลได้ดี พอ ๆ กับคุณ TRAT เลย แต่ในแง่ของตรรกะและการวิเคราะห์ ผมให้คุณ 50% ยกตัวอย่างสักเล็กน้อยนะครับ ตอนแรกเลยที่คุณบอกว่าความวุ่นวายเกิดจากสนธิ ออกมาต่อต้านเพราะเสียผลประโยชน์ คุณพูดเหมือนกับว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่จริงแท้แน่นอนคนทั้งโลกยอมรับ อยากให้คุณลองดูความรู้สึกเวลาฝ่ายสนธิบอกทักษิณโกงบ้าง เรื่องที่ยังหาข้อสรุปไม่ได้ คุณไม่ควรใช้คำพูดแบบนั้น อย่างไรก็ตามผมเชื่อว่าคนที่ออกมาร่วมกับสนธิ เขาคงไม่คิดตื้น ๆ อย่างที่คุณคิด สนธิเสียผลประโยชน์เป็นเรื่องส่วนตัวและเป็นเรื่องเล็กน้อย เมื่อเทียบกับประเทศชาติเสียผลประโยชน์จากการกระทำของทักษิณ (ว่าตามความเห็นของกลุ่มต่อต้านรัฐบาลนะ) อีกตัวอย่างหนึ่ง ที่คุณบอกว่า แปลกดีเหมือนกัน ลองเปรียบเทียบดู ไม่ทราบว่าคนพูดต้องการอะไร "กรณี กฟผ. เข้าตลาดหุ้น ทุกอย่างจะเป็นธุรกิจ ค่าไฟจะแพงขึ้น ประชาชนจะเดือดร้อน" "กรณี เบียร์ช้าง เข้าตลาดหุ้น จะทำให้เหล้าเบียร์ถูกลง มอมเมาประชาชน" ความเหมือนที่แตกต่าง? คุณลองตอบคำถามผมในใจนะ 1. ไฟ้ฟ้าเป็นสิ่งที่จำเป็นหรือไม่ ? 2. ถ้าค่าไฟแพง คุณจะยังใช้ไฟฟ้าต่อหรือไม่ 3. เหล้า-เบียร์ เป็นสิ่งจำเป็นหรือไม่ ? 4. ถ้าเหล้า-เบียร์ ราคาแพงขึ้น คนอยากซื้อหรือไม่ ? 5. ถ้าเหล้า-เบียร์ ราคาถูกลง คนอยากซื้อหรือไม่ ? จากคุณ : ผงธุลี - [ 15 มี.ค. 49 05:11:14 ]

ความคิดเห็นที่ 113 ดีจริงๆ ค่ะ ใครจะคิดอย่างไรไม่เป็นไร เราขอเอาไปเผยแพร่ค่ะ จากคุณ : jintanakarn1 - [ 15 มี.ค. 49 05:28:03 ]

ความคิดเห็นที่ 114 Vote จากคุณ : Jackson5 - [ 15 มี.ค. 49 05:58:44 ]

ความคิดเห็นที่ 115 เพิ่งจะเจอกระทู้น้ำดีในราชดำเนิน เรามองเหตุการณ์ทั้งหมดรวมๆกันว่า เรากำลังเดิมพันกับระบบคอรับชั่นและระบบอุปถัมภ์อยู่ โดยมีทักษิณเป็นตัวกลาง ถึงเราจะบอกว่าใครๆก็อยากเลี่ยงภาษีกันทั้งนั้น ทักษิณก็ต้องทำได้ แต่ถ้ามองกลับกัน ถ้าเราคิดว่าทักษิณทำได้ ประชาชนก็จะพาลอ้างว่านายกไม่เสีย เพราะฉะนั้น เราก็จะไม่เสีย ถ้านายกสปอร์ตพอที่จะออกมายอมรับ แล้วใช้โอกาสนี้กวาดล้างการโกง การคอรับชั่นไปเลย นายกจะได้ใจจากคนที่ไม่ชอบท่านไปมาก อีกเรื่อง คือระบบอุปถัมภ์ เรื่องการเอื้อประโยชน์ให้ญาติมิตรพี่น้องตัวเอง ถ้านายกจริงใจพอที่จะออกมาบอกว่า ต่อไปนี้จะให้โอกาสฝ่ายค้าน หรือหน่วยงานภาคประชาชนได้ตรวจสอบมากขึ้น นายกก็จะกลายเป็นฮีโร่ได้เหมือนกัน เหมือนกับว่า ปัญหาการคอรับชั่นและการเอื้อประโยชน์ทับซ้อนมันมาบูมขึ้นอย่างรวดเร็วในกรณีทักษิณ จะด้วยการเล่นของสื่อหรือจะด้วยความที่ว่าเหตุการณ์มันพีคขึ้นมาก็ตาม เราไม่ได้มองแค่ว่า วันนี้ใครจะชนะ แต่เราอยากมองไปถึงการล้มล้างระบบชั่วร้ายที่มันพีคขึ้นมาในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา ถ้าทักษิณสามารถพลิกวิกฤตนี้ให้เป็นโอกาสได้ ยอมออกไปเคลียร์เรื่องยุ่งๆทั้งหลาย แล้วออกมาบอกว่าต่อไปนี้จะพยายามทำให้เรื่องคอรัปชั่นและประโยชน์ทับซ้อนเกิดขึ้นน้อยที่สุด เมื่อนั้นทักษิณก็จะกลับมาได้แล้วสะอาดกว่าเดิม จากคุณ : Sa-idian - [ 15 มี.ค. 49 06:05:15 ]

ความคิดเห็นที่ 116 ขอบคุณครับ โหวต จากคุณ : อะไรจัง (~ อะไรจัง ~) - [ 15 มี.ค. 49 06:19:51 ]

ความคิดเห็นที่ 117 ผมคนนึงที่สนับสนุนแปรรูปรัฐวิสาหกิจครับ ผมเคยอยู่รัฐวิสาหกิจที่โดนแปรรูปเป็นเอกชน มันทำให้คนในองค์กรตื่นตัวเสมอไม่เช้าชามเย็นชามในสมัยก่อนเห็นๆเพราะการขึ้นเงินเดือนอยุ่ที่ผลงาน โบนัสก็ผลงาน ไม่ใช่เอาเวลาเข้างานมาวัดผล ซึ่งเรื่องนี้ทำให้ผมสนับสนุนการแปรรูปทุกรัฐวิสาหกิจ เพื่อกระตุ้นการพัฒนาองค์กรครับ จากคุณ : Tears - [ 15 มี.ค. 49 06:28:53 ]

ความคิดเห็นที่ 118 ผมว่า 30 บาท แพงเกินไป ผมว่าฟรีเพื่อประชาชนไปเลยครับ สนับสนุนท่านทักษิณเต็มที่ เพราะ พวกที่มาประท้วงแมร่งมีแต่พวกโคตรจะดีดีทั้งนั้นเลย มันทำประโยชน์ให้พวกพ้องทั้งนั้น คนกรุงเทพ ฯ นั้นแหละตัวดีเห็นแก่ตัว ดูถูกคนบ้านนอก นายกคนนี้ทำเพื่อคนรากหญ้าดีที่สุดแล้วแต่ท่านมีรายได้เยอะแล้วรัฐเก็บภาษีท่านก็ไม่อยากเสีย(ทักษิณ=โรบินฮูด) ไอ้สรุยะขุ่นมันเป็นใครเคยทำอะไรเพื่อประชาชนชาวบ้านมั้งครับ ศาสนาสอนให้คนทำดีหลุดพ้นจากกรรม ค้นหาความอนัตตา แล้วทำไมพวกจีวรขุ่น ๆ ต้องมายุ่งการเมือง ไม่เข้าใจเลยหรือว่าทางสายกลางเป็นอย่างไรลาสิกขาเถอะถ้าไม่รู้เรื่องเลยเพราะละเมิดสิทธิในศาสนาของผม ผมอยู่บ้านนอกนะ(หนองบัวลำภู) พวกไอ้สนธิมันเคยมาเหยียบที่นี้ไหมน่าตาก็ไม่น่าไว้ใจเลยมันจะมาเรียกร้องกู้ชายคืนให้ใคร ใครเอาไปไหน เป็นตัวแทนผมตอนไหน อย่างใช้คำว่าประชาชนสิ เพราะผมไม่ได้บอกเลยอย่างนี้โคตรจะหลอกลวง อยากจับพวกนี้มา............จริง ๆ . จากคุณ : บ้านนอกก็เรียนหนังสือ (krisspon) - [ 15 มี.ค. 49 06:45:38 ]

ความคิดเห็นที่ 119 ผมว่าประเด็นมันอยู่ที่ตัวนายยกเองนะครับ...ผมยังยึดมั่นในคำ คำนี้..." จริยธรรม " ..ถ้าคนในชาติไม่มีคำนี้อยู่ในหัวสมอง ผมว่า..อนาคต THAILAND อาจจะต้องเปลี่ยนชื่ออื่นแน่นอน... จากคุณ : พระรถ - [ 15 มี.ค. 49 08:10:51 ]

ความคิดเห็นที่ 120 ชอบโครงการ 30 บาท ไม่เคยไปใช้เอง แต่เห็นมาจากคนอื่นทั้งที่รายได้น้อย และปานกลางว่า พวกเขาได้รับผลประโยชน์ ส่วนที่ว่า ทาง รพ. จะขลุกขลักในผลกำไรบ้าง เราคิดว่าในระยะยาว น่าจะมีการปรับโครงสร้าง ให้เหมาะสมกับระดับรายได้ของผู้ใช้บริการ แต่อย่างน้อย ก็คือได้เริ่มต้นโครงการที่เอื้อประโยชน์ แก่ประชาชนส่วนใหญ่ ไปได้ระดับหนึ่งแล้วค่ะ และชอบการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ โดยมีการ ควบคุมให้รัดกุมเพื่อผลประโยชน์สูงสุดของ องค์กร....รัฐวิสาหกิจ มีสิทธิประโยชน์แบบ บริษัทเอกชน แต่ทำงานแบบข้าราชการ บางหน่วยงานใช้น้ำ-ไฟ ฟรีตลอดชีวิตด้วย เรื่องหุ้น-ภาษี อ่านที่ จขกท บรรยายไว้ ก็พอจะ เข้าใจมากขึ้นค่ะ ไม่อยากให้บ้านเมืองถึงทางตันไปกว่านี้แล้ว เศรษฐกิจจะซวดเซจนล้มไปอีกหรือไม่ หากยังหาทางออกไม่ได้ น่าเป็นห่วงค่ะ ขอแสดงจุดยืนว่า ยังให้กำลังใจคุณทักษิณค่ะ ขอบคุณ จขกท สำหรับข้อเขียนนี้ จากคุณ : ชญานุช - [ 15 มี.ค. 49 08:21:42 ]

ความคิดเห็นที่ 121 พวกที่ว่า 30 บาทไม่ได้เรื่อง งบประมาณไม่มี ตกลงสุขภาพประชาชน ยังอยู่ที่งบประมาณใช่ไหมครับ? จากคุณ : maximoto - [ 15 มี.ค. 49 08:28:36 ]

ความคิดเห็นที่ 122 น่าเสียดายที่ไม่มีใครคิดได้ ? (หรือคิดได้ ก็อาจจะน้อยกว่าที่ไปให้เขาต้อนไปมาเดินในเมืองหลวง) จริงอยู่นายกทักษิณไม่ใช่เทวดาที่ไหน มีโลภ โกรธ หลง มลทิน ตำหนิ    แต่ไม่ได้คอขาดบาดตายถึงกับต้องออกมาจับประเทศไทยเป็นตัวประกัน ขู่ฆ่าถ้าไม่ยอมให้นายกคนนี้ลาออก ส่วนพวกที่ออกมาล้อมทำเนียบรัฐบาลไทยอยู่นั้น อาจจะมองอะไรลึกซึ้ง หรือตื้นเขิน ไม่อาจจะรู้ได้ แต่ที่แน่ๆ ประเทศชาติย่อยยับ รัฐธรรมนูญ กฎหมายบ้านเมือง เหลือค่าแค่กระดาษเปื้อนหมึก ประชาธิปไตยเป็นแค่เรืองโจ๊ก เสียดายประเทศไทย.... จากคุณ : Pride - [ 15 มี.ค. 49 08:31:56 ]

ความคิดเห็นที่ 123 แนะนำกระทู้ดีๆ ที่ยืนอยู่บนขั้วตรงข้ามของกระทู้นี้ http://www.pantip.com/cafe/rajdumnern/topic/P4190139/P4190139.html พิจารณาดีๆ ข้อมูลมีสองด้าน อย่าอาศัยพวกมากลากไป จากคุณ : underX - [ 15 มี.ค. 49 09:09:35 ]

ความคิดเห็นที่ 124 จขกท.ลองทำความเข้าใจกับบทความนี้ดูนะครับ ความเห็นต่างกรณีภาระภาษีหุ้น "ชินคอร์ป" โดยผู้ช่วยศาสตราจารย์ธิติพันธุ์ เชื้อบุญชัย คณบดีคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผมตัดสินใจเขียนบทความนี้หลังจากได้อ่านรายงานการแถลงข่าวชี้แจงตรวจสอบ กรณีการขายหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (หุ้นชินคอร์ป) ของผู้บริหารกรมสรรพากร ที่ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์มติชนรายวันฉบับวันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2549 สิ่งที่ผมกังวลคือคำชี้แจงของผู้บริหารกรมสรรพากรอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิด แก่ประชาชนในประเด็นความหมายและประเภทของ "เงินได้พึงประเมิน" ซึ่งอาจส่งผลต่อการจัดเก็บภาษีของประเทศต่อไปในอนาคตได้ ความเห็นที่จะเสนออาจแบ่งออกเป็นประเด็นได้ดังต่อไปนี้ 1.กรณีบุคคลธรรมดาซื้อหุ้นในราคาต่ำกว่าราคาตลาดเข้าลักษณะเป็นเงินได้พึงประเมิน ตามมาตรา 39 หรือไม่ 2.คำว่า "ประโยชน์อื่นใด" ตามที่บัญญัติไว้ในคำนิยามมาตรา 39 มี ข้อพิจารณาที่จำกัดอยู่เพียงมาตรา 40 (1) (2) (4) และ (5) เท่านั้นหรือไม่ 3.ข้อเสนอแนะสำหรับทางออกในกรณีนี้ 1.กรณีบุคคลธรรมดาซื้อหุ้นในราคาต่ำกว่าราคาตลาดเข้าลักษณะเป็นเงินได้พึงประเมิน ตามมาตรา 39 หรือไม่ แนวคิดเกี่ยวกับการซื้อทรัพย์สินในราคาถูก แล้วส่วนต่างระหว่างราคาซื้อกับราคาตลาดไม่ถือเป็นเงินได้พึงประเมิน ตามมาตรา 39 เกิดขึ้นมากว่า 30 ปีแล้ว สำหรับผู้ที่อยู่ในแวดวงภาษีและมีอายุกว่า 40 ปีขึ้นไป คงเคยได้ยินข่าว การจัดเก็บภาษีผู้ที่ได้รับโชค "รวยเป็นร้าน" กับยาสีฟันยี่ห้อหนึ่งซึ่งสุดท้ายผู้ได้รับโชค "รวยเป็นร้าน" ก็รับภาระต้องจ่ายภาษีเงินได้เป็น "ล้าน" ด้วยเช่นกัน ในขณะนั้น ผู้เชี่ยวชาญกฎหมายของกรมสรรพากรได้ให้คำแนะนำในระหว่างการสัมมนาภาษีอากร ที่จัดโดยหน่วยงานแห่งหนึ่งว่าถ้าแทนที่จะให้เป็นรางวัลโดยไม่มีค่าตอบแทน บริษัทผู้ขายยาสีฟันดังกล่าวน่าจะขายร้านซึ่งเป็นห้องแถวที่มียาสีฟันยี่ห้อดังกล่าวเต็มร้าน ให้แก่ผู้ได้รับโชคในราคา 1 บาท ผู้ได้รับโชคก็จะไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ เพราะไม่มีกฎหมายให้อำนาจเก็บภาษีจากการที่ผู้ซื้อทรัพย์สินในราคาถูก ณ วันนี้ แนวคิดดังกล่าวก็ยังคงวนเวียนอยู่ในกรมสรรพากร ความจริงแนวคิดนี้ถือว่าเป็นแนวคิดที่ถูกต้อง หากการซื้อทรัพย์สินได้ในราคาถูกนั้น เป็นไปตามกลไกตลาดโดยปกติ เช่น การที่ผู้บริโภคไปซื้อสินค้าที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ที่ขายสินค้าในราคาที่ถูกกว่าห้างหรือร้านอื่นๆ การซื้อสินค้าได้ในราคาถูกดังกล่าว ย่อมไม่ถือว่าเป็นเงินได้พึงประเมินของผู้บริโภค อย่างไรก็ดี หากการขายทรัพย์สินให้ในราคาถูกและราคาที่ถูกนั้นเป็นการถูกลงอย่างมาก จนเห็นได้ชัดว่ามีนัยของการให้โดยเสน่หาแฝงในการขายทรัพย์สินนั้น เช่น การซื้อขายทรัพย์สินระหว่างผู้ที่มีความสัมพันธ์กันในราคาเพียงร้อยละสิบของราคาตลาด เป็นต้น การซื้อทรัพย์สินในราคาถูกดังกล่าวย่อมถือได้ว่าผู้ซื้อมีเงินได้พึงประเมิน เพราะในกรณีนี้ นอกจากจะมีธุรกรรมซื้อขายแล้ว ยังมีนัยของธุรกรรมที่มีลักษณะการให้โดยเสน่หารวมอยู่ด้วย ดังนั้น จึงเห็นว่าประเด็นนี้ควรได้รับการพิจารณาอย่างละเอียด ในการพิจารณาประเด็นนี้นั้น คงต้องเริ่มต้นจากการพิจารณาความหมายของคำว่า "เงินได้พึงประเมิน" ตามมาตรา 39 ก่อน มาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากรให้ความหมายของ "เงินได้พึงประเมิน" ว่าหมายความว่า เงินได้อันเข้าลักษณะพึงเสียภาษีในหมวดนี้ เงินได้ที่กล่าวนี้ให้หมายความรวมตลอดถึงทรัพย์สินหรือประโยชน์อย่างอื่นที่ได้รับ ซึ่งอาจคิดคำนวณได้เป็นเงิน ฯลฯ คำนิยาม "เงินได้พึงประเมิน" ได้แสดงอย่างชัดเจนว่าสิ่งที่เป็นเงินได้พึงประเมินนั้น ไม่จำต้องเป็นตัวเงินหรือทรัพย์สินที่จับต้องได้เสมอ ประโยชน์ที่ผู้รับได้รับหากสามารถคิดคำนวณเป็นเงินได้แล้ว ประโยชน์ดังกล่าวย่อมเป็นเงินได้พึงประเมินของผู้รับด้วย อย่างไรก็ตาม สำหรับส่วนต่างจากการซื้อหุ้นในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาด ผู้บริหารกรมสรรพากรชี้แจงว่าแม้จะเป็นประโยชน์แต่ก็เป็นประโยชน์ที่ผู้ซื้อยังไม่ได้รับ ผู้ซื้อจะถือว่าได้รับประโยชน์ก็ต่อเมื่อขายหุ้นดังกล่าวออกไปแล้วและเมื่อถึงตอนนั้น จึงจะถือว่าผู้ซื้อมีเงินได้พึงประเมินและต้องเสียภาษีหากไม่เข้าเงื่อนไขข้อยกเว้นใดๆ ในประเด็นนี้ ผมมีความเห็นต่างไปจากผู้บริหารกรมสรรพากร ผมเห็นว่าส่วนต่างจากการซื้อทรัพย์สินในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาดเป็นเงินได้พึงประเมินของผู้ซื้อได้ ดังจะเห็นได้จากข้อกฎหมายในประมวลรัษฎากรและแนวปฏิบัติของกรมสรรพากรที่ผ่านมาดังต่อไปนี้ **มาตรา 40 (4) (ก) เงินได้ที่เป็น "ผลต่างระหว่างราคาไถ่ถอนกับราคาจำหน่ายตั๋วเงินหรือ ตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล หรือนิติบุคคลอื่น เป็นผู้ออกและจำหน่ายครั้งแรกในราคาต่ำกว่าราคาไถ่ถอน" เงินได้ประเภทนี้ อาจเป็นที่คุ้นเคยสำหรับผู้มีเงินฝากไว้ที่บริษัทเงินทุน ซึ่งจะรับฝากในรูปของการขายตั๋วเงินโดยตั๋วเงินที่ขายจะมีราคาหน้าตั๋วที่ 100 บาท แต่ขายให้ผู้ฝากในราคา 95 บาทหรือราคาอื่นแล้วแต่อัตราดอกเบี้ยที่เป็นอยู่ในขณะนั้น ส่วนต่าง 5 บาทนี้ถือว่าเป็นเงินได้พึงประเมินของผู้ฝากทันทีแม้ผู้ฝากเงินจะยังไม่ได้รับเงิน 5 บาทนั้นก็ตาม ยิ่งกว่านั้น มาตรา 50 (2) ข้อ (ค) บัญญัติให้ ผู้ออกตั๋วเงิน หรือผู้ออกตราสารแสดงสิทธิในหนี้ฯ เรียกเก็บภาษีเงินได้จากผู้ซี้อในอัตราร้อยละ 15.0 ของส่วนต่างดังกล่าว และให้ถือว่าภาษีที่เรียกเก็บนั้นเป็นภาษีที่หักไว้ กรณีนี้จึงเป็นตัวอย่างแรกที่แสดงให้เห็นว่า การซื้อทรัพย์สินในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาดเป็นเงินได้พึงประเมินของผู้ซื้อได้ **มาตรา 42 เป็นบทบัญญัติที่ยกเว้นเงินได้พึงประเมินบางประเภทไม่ต้องนำไปรวมคำนวณเพื่อเสียภาษี เงินได้ดังกล่าวรวมถึงเงินได้ดังต่อไปนี้ (6) ฯ ส่วนลดจากการซื้ออากรแสตมป์หรือแสตมป์ไปรษณียากรของรัฐบาล ฯลฯ และ (18) ฯ ส่วนลดจากการซื้อสลากบำรุงกาชาดไทย การยกเว้นเงินได้ตามบทบัญญัติในมาตรา 42 (6) และ(18) ดังกล่าวจึงเป็นการแสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า ส่วนต่างจากการซื้อทรัพย์สินในราคาต่ำกว่าราคาตลาดเป็นเงินได้พึงประเมินของผู้ซื้อได้เช่นกัน เพราะหากส่วนลดดังกล่าวมิใช่เงินได้พึงประเมิน ประมวลรัษฎากรก็คงไม่จำเป็นต้องบัญญัติยกเว้นให้ **คำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากรที่ 28/2538 เรื่อง ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา กรณีการเสียภาษีในกรณีได้รับแจกหุ้น หรือได้ซื้อหุ้น ในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาดตามข้อตกลงพิเศษ (หุ้นพนักงาน) ในเบื้องต้น พึงเข้าใจก่อนว่า คำวินิจฉัยที่ 28/2538 ไม่ใช่กฎหมายแต่เป็นข้อวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับภาษีอากร ที่กรมสรรพากรขอความเห็น ที่คณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากรให้ไว้ตามอำนาจที่มีอยู่ในมาตรา 13 สัตต (3) ซึ่งกฎหมายให้เป็นที่สุดและผูกพันกรมสรรพากรให้ถือปฏิบัติตาม (มาตรา 13 สัตต วรรคสาม) และในกรณีหุ้นพนักงานนี้คณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากรได้ให้คำวินิจฉัยไว้ตามคำขอของกรมสรรพากร จากคุณ : double agent - [ 15 มี.ค. 49 09:21:06 ]

ความคิดเห็นที่ 125 คณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากรได้วินิจฉัยภาษีหุ้นพนักงานใน 3 ประเด็นสำคัญดังนี้ (ก) คำวินิจฉัยที่ 28/2538 ได้ยืนยันชัดเจนว่าส่วนต่างจากการซื้อหุ้นในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาด เป็นเงินได้พึงประเมินที่พนักงานต้องนำไปเสียภาษี (ข) กำหนดระยะเวลาให้พนักงานเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในปีภาษีที่ได้รับกรรมสิทธิ์ในหุ้น โดยไม่ต้องรอให้พนักงานขายหุ้นที่ซื้อได้ในราคาต่ำกว่าราคาตลาดออกไปก่อน (ค) กำหนดวิธีคำนวณจำนวนเงินได้พึงประเมินที่พนักงานต้องนำมาเสียภาษี อย่างไรก็ตาม กรมสรรพากรกล่าวอ้างมาโดยตลอดว่า คำวินิจฉัยที่ 28/2538 ถือว่าส่วนต่างจากการซื้อหุ้นในราคาต่ำเป็น "เงินได้พึงประเมิน" ก็เฉพาะเมื่อผู้ซื้อเป็นพนักงาน หรือผู้มีความสัมพันธ์พิเศษกับบริษัทเท่านั้น ซึ่งในประเด็นนี้ ผมเห็นต่าง โดยผมเห็นว่าความเป็น "เงินได้พึงประเมิน" นั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสถานะของผู้รับว่าเป็นใคร เงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์หากเป็นเงินได้พึงประเมินแล้ว ย่อมเป็นเงินได้พึงประเมินสำหรับทุกคน ส่วนการจะยกเว้นให้เพราะสถานะของบุคคลนั้นหรือไม่ เป็นอีกประเด็นหนึ่ง นอกจากที่วิเคราะห์มาข้างต้น ยังมีอีกประเด็นหนึ่งที่ผู้บริหารกรมสรรพากรได้ชี้แจงในกรณีของหุ้นชินคอร์ป คือ ส่วนต่างจากการซื้อหุ้นในราคาต่ำกว่าราคาตลาดแม้จะเป็นประโยชน์แต่ก็ยังไม่ได้รับจึงไม่เป็นเงินได้พึงประเมิน ประโยชน์ดังกล่าวจะเป็นเงินได้พึงประเมินของผู้ซื้อก็ต่อเมื่อผู้ซื้อขายหุ้นนั้นออกไป แต่เนื่องจากผู้ซื้อหุ้นในราคาต่ำกว่าราคาตลาดเป็นบุคคลธรรมดา เมื่อขายหุ้นดังกล่าวออกไป โดยผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ผู้ซื้อจึงได้รับยกเว้นภาษีตามกฎกระทรวงฉบับที่ 126 ข้อ 2 (23) ซึ่งจากคำชี้แจงดังกล่าวจึงทำผู้ซื้อให้ไม่ต้องเสียภาษีทั้งในขั้นตอนที่ซื้อหุ้นมาและเมื่อขายหุ้นออกไป หากพิจารณาคำชี้แจงของผู้บริหารกรมสรรพากรโดยละเอียดและแม้หากจะยอมรับตามที่ชี้แจงก็ตาม ผลสรุปที่ผมวิเคราะห์ไว้ก็ยังคงแตกต่างไปจากข้อสรุปของผู้บริหารกรมสรรพากรอยู่ดี กล่าวคือ หากพิจารณาธุรกรรมที่เกี่ยวข้องในกรณีนี้อย่างละเอียด จะพบว่ามีธุรกรรมที่เกี่ยวข้อง และเกี่ยวเนื่องกันอยู่สองธุรกรรมด้วยกัน คือ (1) ธุรกรรมซื้อหุ้นในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาด กับ (2) ธุรกรรมขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยธุรกรรมทั้งสองเป็นธุรกรรมที่แยกต่างหากจากกัน และความรับผิดในการเสียภาษีเงินได้ ของแต่ละธุรกรรมก็แยกต่างหากจากกันด้วยเช่นกัน ดังนี้ **ความรับผิดในการเสียภาษีของธุรกรรมซื้อหุ้นในราคาต่ำกว่าราคาตลาดตาม (1) จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อผู้ซื้อหุ้นดังกล่าวได้ขายหุ้นนั้นออกไป (ภาษาทางกฎหมายเรียกว่า การขายหุ้นออกไปเป็นเงื่อนไขบังคับก่อนที่จะทำให้ความรับผิดในการเสียภาษีของธุรกรรมตาม (1) เกิดขึ้น) ทั้งนี้ ไม่ว่าจะขายได้ราคาเท่าใด จะขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยหรือไม่และ จะได้รับยกเว้นภาษีในธุรกรรมขายหรือไม่ก็ตาม และในกรณีนี้ จำนวนเงินที่จะนำมาคำนวณ เพื่อเสียภาษีนั้นก็คือส่วนต่างระหว่างราคาซื้อครั้งแรกกับราคาตลาด ณ วันที่ซื้อครั้งแรกนั่นเอง ดังนั้น เมื่อมีการขายหุ้นที่ซี้อมาในราคาต่ำกว่าราคาตลาดออกไป การขายหุ้นดังกล่าวจึงทำให้เงื่อนไขบังคับก่อนที่กล่าวมาข้างต้นสำเร็จและมีผลทำให้ความรับผิด ในการเสียภาษีของธุรกรรมที่หนึ่งเกิดขึ้นทันที ดังนั้น การที่ผู้ซื้อหุ้นในราคาต่ำกว่าราคาตลาดต้องเสียภาษีในกรณีนี้ จึงเป็นการเสียภาษีอันเนื่องมาจาก ผลของธุรกรรมที่หนึ่ง มิใช่ผลของธุรกรรมที่สองแต่อย่างใด (ซึ่งเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงเจตนารมณ์ของผู้ขายที่จะยกหุ้นนั้นให้แก่ผู้ซื้อมากกว่าที่จะเป็น การซื้อขายโดยมีส่วนลดตามปกติทั่วไป จึงต้องเสียภาษีจากประโยชน์ที่ได้รับนั้น) **ส่วนความรับผิดในการเสียภาษีจากธุรกรรมขายหลักทรัพย์ออกไปย่อมเกิดขึ้นเมื่อ ขายหุ้นที่ซื้อมานั้นโดยไม่คำนึงว่าจะขายหุ้นดังกล่าวในหรือนอกตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ความแตกต่างระหว่างการขายหุ้นนั้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยหรือ นอกตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยคือผู้ขายออกไปจะได้รับการยกเว้นภาษีหรือไม่ โดย (1) หากขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เงินได้ที่ได้รับจากธุรกรรมที่สองนี้ จะได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีตามกฎกระทรวงฉบับที่ 126 ข้อ 2 (23) ตามที่ผู้บริหารกรมสรรพากรชี้แจง แต่ (2) หากขายนอกตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ผู้ขายหุ้นออกไปจะไม่ได้รับยกเว้นภาษี โดยในกรณีนี้ ต้นทุนราคาหุ้นที่จะนำมาคำนวณหาส่วนต่างเพื่อเสียภาษีก็คือราคาตลาดของหุ้นในวันที่ซื้อหุ้นนั้นมา เนื่องจากได้เสียภาษีบนส่วนต่างแล้ว ต้นทุนของหุ้นจึงต้องปรับขึ้นไปให้เท่ากับราคาตลาดของหู้นในวันที่ซื้อหุ้นนั้นมา จากข้อวิเคราะห์ข้างต้น จึงเห็นว่าไม่ว่าจะถือว่าส่วนต่างที่ได้จากการซื้อหุ้นในราคาต่ำกว่าราคาตลาด จะเป็นเงินได้พึงประเมินของผู้ซื้อในวันที่ได้กรรมสิทธิ์ในหุ้นที่ซื้อมาครั้งแรก หรือในวันที่มีการขายหุ้นออกไป การขายหุ้นชินคอร์ปก็ต้องเสียภาษีเงินได้ทั้งสิ้น ข้อแตกต่างจะมีอยู่เพียงกำหนดเวลาที่ต้องเสียภาษีว่า จะต้องเสียภาษีเมื่อใด โดยหากใช้แนวทางของคำวินิจฉัยที่ 28/2538 ผู้ซื้อหุ้นในราคาต่ำกว่าราคาตลาด ก็ต้องเสียภาษีทันทีในปีภาษีที่ซื้อหุ้นนั้นมา ในขณะที่หากถือความเห็นของผู้บริหารกรมสรรพากร ผู้ซื้อหุ้นในราคาต่ำกว่าราคาตลาดก็ต้องเสียภาษีเงินได้ในปีภาษีที่ขายหุ้นนั้นออกไป ซึ่งโดยความเห็นส่วนตัวแล้ว ผมเห็นว่าน่าจะเดินตามแนวทางที่กำหนดไว้ในคำวินิจฉัยที่ 28/2538 กล่าวคือผู้ซื้อหุ้นในราคาต่ำกว่าราคาตลาดจะต้องเสียภาษีเงินได้ในส่วนต่างในปีภาษีที่ซื้อหุ้นมา จากคุณ : double agent - [ 15 มี.ค. 49 09:21:43 ]

ความคิดเห็นที่ 126 2. คำว่า "ประโยชน์อื่นใด" ตามที่บัญญัติไว้ในคำนิยามมาตรา 39 มีข้อพิจารณาที่จำกัดอยู่เพียง มาตรา 40 (1) (2) (4) และ (5) เท่านั้นหรือไม่ มีประเด็นข้อสงสัยว่าบทนิยามคำว่า "เงินได้พึงประเมิน" ตามมาตรา 39 มีส่วนสัมพันธ์อย่างใด กับการแบ่งประเภทเงินได้ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 40 ซึ่งมีอยู่ทั้งหมด 8 ประเภท ทั้งนี้ ผู้บริหารของกรมสรรพากรได้ให้ความเห็นว่า แม้สิ่งที่ได้รับจะมีลักษณะเข้าบทนิยาม "เงินได้พึงประเมิน" ตามมาตรา 39 แล้ว เงินได้นั้นจะต้องเข้าลักษณะประเภทเงินได้ตามมาตรา 40 ด้วย จากนั้นก็สำรวจว่ามีบทบัญญัติในอนุมาตราใดบ้างที่มีคำว่า "ประโยชน์" ปรากฏอยู่ และสรุปว่ามีมาตรา 40 (1) (2) และ (5) ที่มีคำว่า "ประโยชน์" รวมอยู่ในบทบัญญัติ แต่ไม่มีอนุมาตราใดที่ระบุให้ประโยชน์ที่ได้รับจากการซื้อหุ้นในราคาต่ำกว่าราคาตลาดเป็นเงินได้ และท้ายที่สุด ก็ชี้แจงต่อว่าเงินได้ตามมาตรา 40 (4) (ช) จำกัด "เฉพาะผลประโยชน์ที่ได้จากการโอนหุ้น ฯลฯ ทั้งนี้ เฉพาะซึ่งตีราคาเป็นเงินได้เกินกว่าที่ลงทุน" ซึ่งไม่พูดถึงประโยชน์อื่นใดที่ได้รับ ด้วยความเคารพต่อความเห็นและคำชี้แจงของผู้บริหารกรมสรรพากร ผมมีความเห็นแตกต่างจากผู้บริหารกรมสรรพากรในประเด็นนี้ค่อนข้างมาก ทั้งนี้ เนื่องจากในตอนที่เรียนวิชากฎหมายภาษีอากรในระดับอุดมศึกษาแล้ว ครูบาอาจารย์ผู้สอนจะสอนว่า มาตรา 40 (8) เป็นบทบัญญัติครอบจักรวาล (catch-all provision) กล่าวคือหากสิ่งที่ได้รับเข้าบทนิยามของคำว่า "เงินได้พึงประเมิน" ในมาตรา 39 แล้ว แม้จะจัดให้เข้าประเภทเงินได้ตามมาตรา 40 (1) ถึง (7) ไม่ได้ เงินได้พึงประเมินนั้นก็จะตกเป็น เงินได้ในประเภทตามมาตรา 40 (8) ซึ่งได้บัญญัติไว้อย่างชัดเจนดังนี้ "(8) เงินได้จากการธุรกิจ การพาณิชย์ การเกษตร การอุตสาหกรรม การขนส่ง หรือการอื่นนอกจากที่ระบุไว้ใน (1) ถึง (7)" และตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา กรมสรรพากรได้อาศัยบทบัญญัติของมาตรา 40 (8) เป็นฐานในการวางแนววินิจฉัยหรือตีความข้อกฎหมาย หรือแม้กระทั่งตราหรือออกกฎหมาย ลำดับรองมากมายหลายฉบับเพื่อจัดเก็บภาษีหรือยกเว้นภาษีทั้งสิ้น คำพิพากษาฎีกาจำนวนมากก็ใช้มาตรา 40 (8) เป็นฐานในการวินิจฉัยให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์ ที่ได้รับเป็นเงินได้มาโดยตลอด ดังนั้น การตีความหรือวินิจฉัยคำนิยาม "เงินได้พึงประเมิน" ในลักษณะจำกัด จึงเท่ากับเป็นการทำให้ฐานภาษีต้องถูกกัดกร่อนลง ซึ่งจะทำให้รายได้ที่รัฐพึงได้รับต่อไปในอนาคตน้อยลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ด้วยเหตุผลของความกังวลในผลที่จะเกิดขึ้นจากการชี้แจงของผู้บริหารของกรมสรรพากรในครั้งนี้ ผมจึงต้องเขียนความเห็นต่างไว้เพื่อมิให้เกิดความเข้าใจผิดและส่งผลให้เกิด การกัดกร่อนของฐานภาษีต่อไปในภายหน้า ทั้งนี้ ผมขอเสนอความเห็นของผมในส่วนนี้ดังนี้ **เมื่อพิจารณาคำนิยาม "เงินได้พึงประเมิน" ตามที่ได้คัดลอกไว้ในข้อ 1 ข้างต้น จะพบว่าไม่มีส่วนใดของคำนิยามที่ผูกเป็นเงื่อนไขว่าการพิจารณาว่าประโยชน์ใดเป็นเงินได้พึงประเมิน ต้องมีประเภทเงินได้ตามมาตรา 40 (1) ถึง (7) รองรับ เพราะหากตีความไปในทางที่ผู้บริหารของ กรมสรรพากรตีความแล้ว "ทรัพย์สินที่ได้รับซึ่งอาจคิดคำนวณได้เป็นเงิน" จะเป็นเงินได้ก็เฉพาะแต่ การรับทรัพย์สินจากการจ้างแรงงานตามมาตรา 40 (1) และการจ้างทำของตามมาตรา 40 (2) เท่านั้น เพราะมีเพียงสองอนุมาตรานี้เท่านั้นที่ระบุคำว่า "ทรัพย์สิน" ไว้ และแม้กระทั่งผู้ให้เช่าหากได้รับค่าเช่าเป็นทรัพย์สิน ค่าเช่าที่เป็นทรัพย์สินนั้นก็จะไม่เป็นเงินได้ด้วยเช่นกัน เพราะมาตรา 40 (5) ระบุเพียง "เงินหรือประโยชน์อย่างอื่น" ที่ได้จากการให้เช่าทรัพย์สินเท่านั้น มิได้ระบุถึงการรับค่าเช่าเป็นทรัพย์สินแต่อย่างใด ซึ่งกฎหมายภาษีอากรน่าจะไม่มีเจตนารมณ์อันจำกัดเช่นนั้น **ดังนั้น เงินได้ที่ผู้เสียภาษีได้รับไม่ว่าจะเป็นประเภทตามอนุมาตราใดจึงอาจอยู่ในรูปของเงิน ทรัพย์สินหรือประโยชน์ที่อาจคิดคำนวณเป็นเงินได้ทั้งสิ้น โดยไม่จำต้องพิจารณาบทบัญญัติในอนุมาตราต่างๆ ของมาตรา 40 ว่าได้บัญญัติคำว่า "ทรัพย์สิน" หรือ "ประโยชน์" ในอนุมาตรานั้นๆ หรือไม่ และที่สำคัญคือหากเงิน ทรัพย์สินหรือประโยชน์ที่ได้รับไม่อาจจัดเข้าเป็นเงินได้ประเภทใดๆ ตามมาตรา 40 (1) ถึง (7) แล้ว ก็จะถูกจัดให้เป็นเงินได้ตามอนุมาตรา 40 (8) ทั้งสิ้น ตัวอย่างที่ชัดเจนที่แสดงให้เห็นแนวทางดังกล่าว คือกำไรฝ่ายทุนและส่วนแบ่งกำไรของกองทุนรวม ที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 ไม่สามารถจัดเข้าเป็นเงินได้ในประเภทใดตั้งแต่ 40 (1) ถึง (7) กรมสรรพากรก็จัดให้เป็นเงินได้ตามมาตรา 40 (8) **สำหรับประเด็นตามมาตรา 40 (4) (ช) ซึ่งผู้บริหารของกรมสรรพากรได้อธิบายว่า บทบัญญัติดังกล่าวจำกัด "เฉพาะผลประโยชน์ที่ได้จากการโอนหุ้น ฯลฯ ทั้งนี้ เฉพาะซึ่งตีราคาเป็นเงินได้เกินกว่าที่ลงทุน" ซึ่งไม่พูดถึงประโยชน์อื่นใดที่ได้รับ เข้าใจว่าเป็นการชี้แจงให้เห็นว่ามาตรา 40 (4) (ช) ไม่ได้รวมถึงประโยชน์ที่ได้รับจากขั้นตอนการซื้อหุ้น ในราคาต่ำกว่าราคาตลาด ซึ่งเป็นการวินิจฉัยที่ถูกต้อง อย่างไรก็ตาม ข้อที่พึงระลึกก็คือ แม้ประโยชน์ที่ได้รับจากการซื้อหุ้นในราคาต่ำกว่าราคาตลาดจะไม่เป็นเงินได้ในประเภทตาม มาตรา 40 (4) (ช) ก็ตาม ประโยชน์ดังกล่าวก็เป็นเงินได้ในประเภทตามมาตรา 40 (8) ได้ตามที่กล่าวมาข้างต้น เนื่องจากประโยชน์ที่ผู้ซื้อหุ้นราคาต่ำได้รับมิได้สะท้อนถึงการทำธุรกรรมระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขาย ที่มีส่วนลดตามปกติในทางการค้า หรือที่เรียกกันว่าหลัก arm"s length basis กล่าวโดยสรุป ในความเห็นส่วนตัวของผม ผมเห็นว่า (1) ประโยชน์ที่ผู้ซื้อได้รับจากการซื้อหุ้น ในราคาต่ำกว่าราคาตลาดถือได้ว่าเป็นเงินได้พึงประเมินของผู้ซื้อโดยความรับผิดในการเสียภาษีเงินได้ ย่อมเกิดขึ้นในวันที่ซื้อหุ้นมาครั้งแรก และ (2) การพิจารณาประเภทของเงินได้พึงประเมินมิใช่ดูแต่เพียงว่า ถ้อยคำในอนุมาตราใดอนุมาตราหนึ่งว่ามีคำที่ตรงกับถ้อยคำในมาตรา 39 หรือไม่ ในการพิจารณานั้นให้ดูลักษณะของเงินได้ว่าสามารถจัดเข้าเป็นเงินได้ประเภทใดได้ และแม้ถ้อยคำที่แสดงความเป็นเงินได้จะไม่ตรงกับอนุมาตราใดอนุมาตราหนึ่งในมาตรา 40 (1) ถึง (7) เงินได้พึงประเมินดังกล่าวก็อาจถือได้ว่าเป็นเงินได้ในประเภทมาตรา 40 (8) จากคุณ : double agent - [ 15 มี.ค. 49 09:22:11 ]

ความคิดเห็นที่ 127 3.ข้อเสนอแนะสำหรับทางออก จะเห็นได้ว่าแนวทางการวินิจฉัยของกรมสรรพากรมีช่องว่างและช่องว่างดังกล่าว อาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการบังคับใช้ประมวลรัษฎากร และการกัดกร่อนฐานภาษีเงินได้ในภายภาคหน้า ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อการจัดเก็บภาษีของประเทศไทย นอกจากนั้น การตีความของกรมสรรพากรในกรณีนี้ ยังก่อให้เกิดข้อวิพากษ์วิจารณ์ในธรรมาภิบาลของกรมสรรพากรจากสังคมในวงกว้าง ซึ่งอาจเปลี่ยนเป็นความรู้สึกต่อต้านการจัดเก็บภาษีของกรมสรรพากรต่อไปได้ สำหรับความเห็นที่ผมเสนอมาข้างต้น แม้ผมจะมีความเห็นส่วนตัวว่าถูกต้อง แต่ผมก็ไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นว่า เป็นความเห็นที่ถูกต้องครบถ้วน และเห็นว่าน่าจะหาคนกลางมาพิจารณา ทางเดียวที่ผมคิดว่า น่าจะเยียวยาความรู้สึกของประชาคมในสังคมและลดกระแสวิพากษ์ของสังคมได้นั้น คือ การเสนอประเด็นดังกล่าวให้แก่คนกลางดังกล่าวเป็นผู้ตัดสินซึ่งในกรณีนี้คือศาลยุติธรรม การริเริ่มเสนอประเด็นไปให้ศาลยุติธรรมตัดสินนั้น กรมสรรพากรอาจดำเนินการเองซึ่งผมเห็นว่า อาจเป็นเรื่องยากเนื่องจากกรมสรรพากรมีจุดยืนในการตีความข้อกฎหมายดังกล่าวเสียแล้ว ส่วนการให้บุคคลอื่นริเริ่มดำเนินการก็คงทำไม่ได้เนื่องจากมิได้เป็นผู้เกี่ยวข้องกับธุรกรรมดังกล่าว ดังนั้น หาก ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีในฐานะผู้บังคับบัญชาสูงสุดของฝ่ายบริหารของประเทศ จะเป็นผู้ริเริ่มกระบวนการดังกล่าวเองโดยมีคำสั่งไปยังกรมสรรพากรให้เริ่มกระบวนการตรวจสอบ และประเมินตามที่บัญญัติไว้ในประมวลรัษฎากร และเมื่อสุดสิ้นกระบวนความตามประมวลรัษฎากรแล้ว ก็ให้เสนอคดีสู่การพิจารณาของศาลภาษีอากรกลางและศาลฎีกาต่อไป และเมื่อศาลฎีกาตัดสินออกมาเป็นประการใดแล้ว ข้อสงสัยในการตีความกฎหมายของกรมสรรพากรก็จะหมดไป อนึ่ง เพื่อความเป็นธรรมแก่ครอบครัวของนายกรัฐมนตรี การตรวจสอบและประเมินพึงต้องกระทำกับบุคคลอื่นๆ ที่มีการกระทำในลักษณะอย่างเดียวกันและยังอยู่ในระยะเวลาที่จะออกหมายเรียกตรวจสอบไต่สวนได้ด้วย ผมเห็นว่า หากนายกรัฐมนตรีดำเนินการตามแนวทางที่กล่าวมาข้างต้น กระแสความไม่พอใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ในระยะสองสัปดาห์ที่ผ่านมาน่าจะลดน้อยลง เพราะได้เริ่มเข้าสู่กระบวนการที่จะนำประเด็นไปสู่การพิจารณา ของศาลยุติธรรมซึ่งประชาชนส่วนใหญ่ยังเห็นว่ามีความเป็นกลางและจะประสาทความยุติธรรมให้ทุกฝ่ายได้ นอกจากนี้ การดำเนินการดังกล่าวยังแสดงให้สังคมเห็นว่านายกรัฐมนตรีไม่ได้ให้ความสำคัญต่อผลประโยชน์ ของครอบครัวมากไปกว่าผลประโยชน์ของประเทศ ท้ายสุด นอกจากข้อเสนอที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ผมเห็นว่ารัฐบาลน่าจะอาศัยวิกฤตที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ สั่งการให้มีการศึกษาเพื่อทบทวนและปรับปรุงมาตรการการยกเว้นภาษีสำหรับเงินได้ของบุคคลธรรมดา ที่ได้รับจากการขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยให้เป็นไปในแนวทางของสากล เช่น การจำกัดวงเงินขั้นสูงต่อปีที่จะได้รับการยกเว้นภาษี เงินได้ที่สูงกว่าวงเงินข้างสูงก็ให้เก็บภาษีตามปกติ เป็นต้น นอกจากนี้ ยังเห็นควรให้มีการศึกษาเกี่ยวกับมาตรการป้องกันการเลี่ยงภาษี (anti-avoidance measures) ซึ่งประเทศที่พัฒนาแล้วส่วนใหญ่ต่างก็มีบทบัญญัติเกี่ยวกับมาตรการดังกล่าวทั้งสิ้น จากคุณ : double agent - [ 15 มี.ค. 49 09:22:41 ]

ความคิดเห็นที่ 128 คุณ mcu51 ความคิดเห็นที่ 105 บริติชเวอร์จิ้นไม่มี อนุสัญญาภาษีซ้อนกับไทยหรอกครับ เพื่อประหยัดเวลาผมเล่าให้ต่อเลยก็ได้ แนวทางที่จะเลี่ยงภาษีรายได้จากต่างประเทศ มี 2 ทางครับ 1. ไปต่างประเทศมากๆ อยู่เมืองไทยให้น้อยกว่า 180 วันต่อปี วิธีนี้นักกีฬานิยมใช้ 2. นำเข้ารายได้หลังปีภาษี ข้อนี้ กม.ยังกำกวม รอการตีความ แต่ถ้าเรื่องไม่ดังก็แอบๆทำกัน จากคุณ : Pom.com - [ 15 มี.ค. 49 09:26:58 ]

ความคิดเห็นที่ 129 คุณคิดว่าโรงพยาบาลรัฐแห่งไหนมีกำไรจากการรักษาคนบอกหน่อย การโกงกินจากการจัดซื้อพัสดุที่เกินความจำเป็นของโรงพยาบาลต่างๆที่ผอ.โรงพยาบาลทำขึ้นมากมายนับไม่ถ้วน แล้วมีหมอที่ไหนสามารถบริหารงานราชการคนหมู่มากประสบผลสำเร็จเพราะคนที่เป็นหมอมีEGOสูงจนไม่เคยเชื่อใครนอกจากตัวเอง เมื่อชาวบ้านใช้เงิน 30 บาทสามารถเข้าถึงภาครัฐได้โดยไม่ต้องกลัวว่าจะเสียเงินมากทำให้งานจากเดิมที่มีมากอยู่แล้วจึงเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ และอยากบอกอีกว่าหมอต่างจังหวัดเกลียดทักษิณเกือบ 100%เพราะอะไรไม่ต้องบอก ดังนั้นข้อมูลข่าวสารที่ได้รับจากเพียงด้านเดียวที่ทำให้คนคล้อยตามอย่าง ASTV คุณจะรู้สึกว่าเมืองไทยทำไมคนไทยเลือกคนชั่วๆมาเป็นนายกได้อย่างไร เมืองไทยมีแต่คนชั่วเต็มไปหมดแล้วจะไม่ทำให้พวกคุณเครียดได้ไง หากไม่รู้จักไตร่ตรองโดยมีสติโดยใช้ปัญญา การที่คนเรามองแต่จุดด้อยของคนเพื่อนำมาโจมตี โดยไม่นำจุดดีมามองเลย ผมอยากถามคนที่อ้างเป็นผู้มีความรู้ว่าพวกคุณดี 100 % หรือไม่ แล้วชอบอ้างว่าการเป็นผู้นำต้องมีจริยธรรม ในโลกนี้ใครมีถึงเต็ม 100 ทำไมมหาเธร์มาเลเซียสั่งขังรองนายกโดยไม่มีความผิด เขามีจรยธรรมสูงเหรอ ไม่งั้นคุณต้องไปเชิญพระศรีอารย์แล้วหละถึงมีจริยธรรมหรือใครจะเถียง จากคุณ : ปลาน้ำร้อน - [ 15 มี.ค. 49 09:34:12 ]

ความคิดเห็นที่ 130 เขียนดีมีเหตุผลครับ Voteครับ จากคุณ : 9tong (HStong) - [ 15 มี.ค. 49 09:34:59 ]

ความคิดเห็นที่ 131 พูดกันว่ารัฐบาลทักษิณคอร์รัปชั่นและเอื้อประโยชน์พวกพ้อง พูดกันว่าแทรกแซงองค์กรกลาง แล้วจริงๆเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า ไม่รู้-เพราะยังไม่มีการพิสุจน์ และไม่มีใครกล้าออกมามาเป็นพยาน แต่มีคุณหญิงจารุวรรณออกมาพูด ซึ่งคนคนนี้เป็นพวกเกลียดนายกทักษิณอย่างชนิดเข้ากระดูก ไม่มีความเป็นกลาง และมีหน้าที่โดยตรงในการตรวจสอบรัฐ วันสองวันนี้-แกพูดว่า-การจะเอาผิดรัฐบาลนั้นอยาก เพราะเดี๋ยวนี้เขาโกงกันแบบบูรณาการ-มันตีความได้ว่า 1.คือรัฐบาลไม่โกงหรือไม่ได้ทำผิดกฎหมาย สตง.จึงเอาผิดไม่ได้ หรือ-2.คุณหญิงจารุวรรณ-สตง-ไม่มีความสามารถพอที่จะทำหน้าที่ได้ เพราะไม่สารมารถเอาเรื่องทุจริตออกมาได้ ได้แต่กล่าวหา จึงควรที่ท่านจะพิจารณาตัวเอง ลาออกเสีย อย่าถูลู่ถูกลาง ไม่เคารพกฎหมายบ้านเมืองซ้ำซากอยู่เลย จากคุณ : นอกกรอบ - [ 15 มี.ค. 49 09:36:21 ]

ความคิดเห็นที่ 132 ข้อความดี นับถือ จากคุณ : ห่านแดง (noppadol007) - [ 15 มี.ค. 49 09:40:27 ]

ความคิดเห็นที่ 133 ขอต่อต้านพวก mob และ พวกกินเมืองที่อยู่ทั้งที่อยู่ ข้างหน้าและหลัง หรือ อีกชื่อ คือ พวก "ทุนนิยมโลกเก่า" จากคุณ : กึ่งสำเร็จรูป - [ 15 มี.ค. 49 09:41:11 ]

ความคิดเห็นที่ 134 ผม save ไว้ในรูป pdf ครับ อยากให้ใครได้อ่านกันมาก ๆ ช่วยเผยแพร่กันด้วย http://s31.yousendit.com/d.aspx?id=0XNVYTH30MR8I2MA1X20SGUT98 หรือ http://www.filefactory.com/get/f.php?f=f36fdd85e2ccf3c5e6c2a688 แก้ไขเมื่อ 15 มี.ค. 49 09:54:31 จากคุณ : หนอนใหม่ 001 - [ 15 มี.ค. 49 09:41:14 ]

ความคิดเห็นที่ 135 1 โหวตคับ ผมก็พยายามหาข้อมูลมานาน แต่ก็ไม่กระจ่างเท่านี่ ขอบคุณมากครับ จากคุณ : เอก (recovery) - [ 15 มี.ค. 49 09:42:38 ]

ความคิดเห็นที่ 136 คุณ kobee เรื่องแอร์เอเซีย ผมไม่ได้ว่าอะไรเลยในกรณีที่มันทับสายที่ล้น ผมพูดประเด็นผลประโยชน์ทับซ้อนเป็นหลัก แล้วสุดท้ายก็ขายเอากำไร ก่อนท่านตั้งสายการบิน เป็นนายกมาตั้งนาน ท่านเคยคิดช่วยวงการนี้ไหม หมอเสริฐนี่ต้องเปิดเส้นทางเอง ลงทุนสร้างสนามบินเองมาตลอด หลายเรื่องก็เอื้อเกินไปจนผิดปกติ ไม่ว่ากัปตันเอื้ออาทร แอร์เอื้ออาทร จากคุณ : Pom.com - [ 15 มี.ค. 49 09:44:34 ]

ความคิดเห็นที่ 137 ผมมีความคิดเหมือนคุณ WindMaster นะครับ คือกับทักษิณผมก็ไมได้แอนตี้อะไรมาก ก็เข้าใจว่าจะหาคนดีเลิศมามันก้คงยาก แต่ไม่ชอบใจนโยบายการแปรรุปรัฐวิสาหกิจ เหตุผลแรกๆก็คือเพื่อระดมทุน แต่เรื่องแก้ไขปัญหาประสิทธิภาพการทำงานน่าจะเป็นสิ่งที่ทุกคนเห็นด้วย แต่ .. ในเมื่อบอกว่าขายหุ้นไปแค่ 25% แล้ว  คนทำงานยังเป็นคนไทยทั้งหมดเหมือนเดิม ประสิทธิภาพจะดีกว่าเดิมตรงไหน ถ้าจะบอกว่าแปรรูปแล้วจะ ปฏิรูปองค์กรให้โปร่งใส  ก็ไม่จำเป็นต้องขายก็ได้ปฎิรูปอย่างเดียว ก็มีคนบอกมาอีกว่าถ้าเข้าตลาดหุ้นแล้วจะตรวจสอบบัญชีได้ ก็ปฏิรูปซิครับเอาให้รัฐหวิสหกิจตรวจสอบได้เหมือนกัน มันมีเหตุผลอีกหลายอย่างที่จะบอกว่าไม่จำเป็นต้องขายก็ได้นี่นา แต่เอาเถอะครับไม่อย่างเบี่ยงประเด็นหัวข้อกระทู้ ใจจริงผมก็ไม่อยากให้บ้านเมืองวุ่นวาย หากเป็นไปได้ก็อยากให้ทักษิณมีอำนาจต่อและรับฟังประชาชนมากขึ้น มีการทำประชาพิจารณ์เพื่อให้ประชาชนแสดงความคิดตามกรอบด้วยในโครงการใหญ่ การแปรรูป รวมทั้งการทำ FTA จากคุณ : 3N - [ 15 มี.ค. 49 09:56:21 ]

ความคิดเห็นที่ 138 เข้ามาราชดำเนิน ส่วนมากจะอ่าน หรือไม่ก็ตอบกระทู้สั้นๆ บางทีก็ไม่อยากจะตอบหรือแสดงความเห็นเพราะหงุดหงิดกับบางความเห็นที่ก่อให้เกิดมลภาวะ อ่านกระทู้นี้ก็ดี มีการแสดงความเห็นกันอย่างผู้เจริญ ข้อสังเกต จขกท.นำเสนอข้อมูลโดยอ้างอิงจากแหล่งข้อมูล ในส่วนใดที่เป็นความเห็นส่วนตัวก็ได้ระบุชัดเจน สำหรับฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับคุณทักษิณ ข้อมูลอ้างอิงไม่ค่อยมี ถึงมีก็นำไปบิดเบือนแต่งเติมเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับตนเอง การนำเสนอก็ปะปนกันไปจนแยกแยะไม่ออกว่าอะไรคือเรื่องจริง อะไรคือข้อมูลที่เชื่อถือได้ อะไรคือความเห็น ตัวอย่างชัดเจนก็เรื่องการบินไทยกับแอร์เอเชีย ก็กล่าวหากันจัง มีข้อมูลบ้างไหม ขอหน่อย เห็นแต่พูดกันลอยๆ เอาหลักฐานมา ถ้ามีก็อาจจะเชื่อ แต่ตอนนี้ ทุกวันนี้ มีแต่คำพูดกล่าวหาของคนบางกลุ่ม จริงๆแล้วเรื่องสายการบินนี่ผู้ที่ "กินรวบ" ตัวจริงคือการบินไทยต่างหาก เพราะตลาดล่างก็เสร็จนกแอร์ ตลาดบนก็เสร็จการบินไทย ไม่ว่าระดับไหนการบินไทยก็ได้เปรียบเขาหมด ข้อเท็จจริงตรงนี้ทำไมไม่มองกันบ้าง แต่เอาเถอะ ไม่ว่าการบินไทยจะกินรวบอย่างไรก็ตาม ด้วยความเป็นคนไทยผมยอมรับได้ เพราะอย่างไรเสียการบินไทยก็เป็นของคนไทย เป็นของประเทศไทย ไม่ว่าจะกินรวบอย่างไรประโยชน์ก็ตกกับคนไทยอยู่ดี ตามความเห็นของผม ข้อกล่าวหาคุณทักษิณเรื่องการบินไทยและแอร์เอเชียฟังไม่ขึ้น จากคุณ : FM_AM - [ 15 มี.ค. 49 09:58:53 ]

ความคิดเห็นที่ 139 กระทู้นี้เป็นตัวอย่างที่ดีว่าการเสพข้อมูลข่าวสารต้องใช้ วิจารณญาน แก้ไขเมื่อ 19 มี.ค. 49 15:41:19 จากคุณ : lucky@winter - [ 15 มี.ค. 49 10:08:18 ]

ความคิดเห็นที่ 140 พวกที่เกลียดฝังใจ อธิบายให้ตายก็ไม่ฟังหรอก เราต้องช่วยกันทำความเข้าใจกลุ่มที่ยังลังเล บอกเล่าด้วยเหตุผลดังกล่าวจะได้ผลกว่า จากคุณ : แมกโนเลีย - [ 15 มี.ค. 49 10:10:29 ]

ความคิดเห็นที่ 141 ผมชอบกระทูแบบนี้จัง ว่ากันด้วยเหตุผล จะชมจะด่าใครขอเหตุผลหน่อยครับ 1เสียงครับ จากคุณ : ผ่านมานะครับ - [ 15 มี.ค. 49 10:17:14 ]

ความคิดเห็นที่ 142 โหวต ครับ จากคุณ : พ่อไม้ - [ 15 มี.ค. 49 10:27:35 ]

ความคิดเห็นที่ 143 คุณ WildMaster เรื่องรัฐวิสหกิจอีกที การแปรรูปจะทำให้ค่าไฟแพงขึ้นหรือเปล่า ในเมื่อรัฐถือหุ้น 75% นโยบายก็กำหนดโดยรัฐครับ รัฐอยากเสียคะแนนเสียงไหมครับ ลองคิดดู ทุกวันนี้ กฟผ ก็ทำกิจการแบบไม่มีวันขาดทุนอยู่แล้ว เมื่อต้นทุนสูงขี้นก็ปรับค่า FT ใครๆ ก็เป็นผุ้บริหาร กฟผ ได้ครับ ทำกำไรได้ทุกคน การแปรรูปทำให้มีแหล่งเพิ่มจากภายนอก เพราะการสร้างโรงไฟฟ้าเพิ่มต้องกู้เงินจากต่างประเทศ และรัฐต้องค้ำประกันเงินกู้ การระดมทุนจากตลาดหลักทรัพย์ไม่มีภาระดอกเบี้ยเหมือนที่บางกระทู้ได้ชี้แจงไปแล้ว การแปรรูปทำให้รูปแบบการบริหารงานคล่องตัวขี้น มีประสิทธิภาพมากขึ้นเหมือนที่ คห 117 ได้ให้ความเห็นไว้ ทุกวันนี้ถ้าท่านไปติดต่อหน่วยงานเหล่านี้จะเห็นได้รูปแบบการบริการและการให้เกียรติผู้ใช้บริการเป็นอย่างไรเมื่อเทียบกับหน่วยงานเอกชน แต่ประเด็นหลักคงอยู่ที่เรื่องความคล่องตัวเรื่องการบริหารงาน การกำหนดนโยบายมากกว่า เพราะถ้าเป็นรัฐวิสหกิจก็เหมือนราชการนะครับ การแปรรูป กฟผ เขามีการทำการแตกบริษัทแล้วทำเป็นบริษัทลูกเข้ามาซื้อโรงไฟฟ้าไปบริหารมานานนับสิบปีแล้วนะครับ คงจะมี Model ที่จะมาใช้แล้วละ บริษัทที่ว่าก็คือ ECCO ไงครับ มีที่อื่นอีกหรือเปล่าไม่รู้ แต่ไม่ใช่ซี้ซั้วทำหรอก จากคุณ : stupid_man2006 - [ 15 มี.ค. 49 10:43:18 ]

ความคิดเห็นที่ 144 เยี่ยมครับ vote ให้ครับ  และอยากเพิ่มเติมข้อมูลเกี่ยวกับโครงการ 30 บาท ผมอยากจะอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นจริงโดยมิได้กล่าวอ้างอย่างเลื่อนลอย  คือภรรยาผมเป็นพยาบาลอยู่ จ.ติดชายแดนพม่า เมื่อก่อน ทาง ร.พ.ต้องเสียงบประมาณอยู่แล้วในการรักษาพวกพม่า หรือคนไทยที่ยากจนอยู่แล้ว โดยจะมีประชาสงเคราะห์ที่ ร.พ. นอกจากคนพวกนี้ไม่มีเงินค่ารักษาแล้ว ยังไม่มีเงินค่ารถกลับบ้านอีกต่างหาก พวกพยาบาลและหมอยังต้องเรี่ยรายเงินเป็นค่าอาหารและค่ารถกลับบ้านด้วย(เพราะมันคือสิ่งที่คนในเมืองไม่ค่อยรู้หรอกว่ามนุษยธรรมและการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเป็นยังไรในโลกความจริง)  ผมไม่เห็นว่าให้พม่าเสีย 30 บาทมันจะต่างตรงไหน เพราะปกติเราให้ฟรีแถมเงินค่ารถกลับบ้านด้วย     ผมอยากจะอธิบายต่อเรื่องโครงการ 30 บาท เพราะตอนแรกผมไม่เข้าใจวิธีการ คิดว่าเป็นไปได้ยาก แต่ลึกๆก็อยากให้เป็นนะครับ เหมือนกับประกันสังคม ผมจ่ายโดยที่ผมไม่ได้ใช้ (เบิกได้ภรรยาเป็นข้าราชการ) ทีแรกก็ไม่เห็นด้วยเพราะไม่ได้รับประโยชน์กับตัวเอง แต่เห็นคนอื่นที่ไม่มีโอกาสอย่างผมหรือหลายท่านที่มีเงิน ได้รับประโยชน์ผมก็ว่าดี   กลับมาเรื่อง 30 บาทต่อครับ        ภรรยาผมย้ายเข้ากระทรวง สธ.ผมเลยมีโอกาสรู้เรื่องโครงการนี้ตั้งแตต้นพอสมควร คนที่คิดโครงการนี้ไม่ได้มั่วคิดออกมาหาเสียง เขามีหลักการคิด คือ ไปที่สำนักทะเบียนราษฎร์ กรมสรรพกร สำนักงานประกันสังคม เพื่อที่จะจำแนกประชากรในประเทศ ออกเป็นกล่มๆ เช่น    - ข้าราชการ รัฐวิสาหกิจ    - พนักงานเอกชน    - เด็ก (ผมจำไม่ได้ว่า กำหนดที่อายุเท่าไร)    - คนชรา (ผมจำไม่ได้ว่า กำหนดที่อายุเท่าไร)    ข้าราชการไม่เข้าโครงการ 30 บาทเพราะเบิกได้ตามสิทธิอยู่แล้ว รวมทั้งลูกจ้างของทางราชการด้วย    พนักงานเอกชนไม่เข้าโครงการ 30 บาทเพราะมีประกับสังคมอยู่แล้ว    ผมมาทราบทีหลังว่า เด็กและคนชรา ไม่ต้องจ่ายค่ารักษาอยู่แล้วเพราะรํฐอดหนุน    บวกลบคูณหารแล้วจะมีคนเข้าโครงการ 30 บาทไม่มากซึ่งรวมเด็กและคนชราที่สมัยก่อนไม่ต้องเสียอยู่ด้วยโครงการนี้มองโดยรวมจึงน่าจะไปได้เพื่อประโยชน์ของคนมีโอกาสน้อยจะได้มีสวัสดิการ(คนไม่เคยสัมผัสย่อมไม่เข้าใจเป็นของธรรมดา)        ป.ล. ไม่ได้หาเสียงให้ใคร ไว้เป็นความรู้เพื่อไม่ให้ความจริงถูกบิดเบือนต่อไป จากคุณ : สหายแทนไท - [ 15 มี.ค. 49 10:48:12 ]

ความคิดเห็นที่ 145 โหวตค่ะ จากคุณ : daradai - [ 15 มี.ค. 49 10:53:51 ]

ความคิดเห็นที่ 146 เยี่ยมครับ... จากคุณ : ลูกหมูแก้มอ้วน - [ 15 มี.ค. 49 11:03:23 ]

ความคิดเห็นที่ 147 internet  คือโลกแห่งการตัดต่อ ต่อเติมเพื่อความสมหวังของตัวเอง แต่พันทิป แห่งนี้ยังมีกลิ่นอายความจริงที่เราจับต้องได้ ขอบคุณครับ จากคุณ : หงส์ศาลาแดง - [ 15 มี.ค. 49 11:03:38 ]

ความคิดเห็นที่ 148 appreciated to vote for Khun "b41golf" and Khun "kobee" ....for your great informtiona and comments !!!!! จากคุณ : mhoobin - [ 15 มี.ค. 49 11:06:02 ]

ความคิดเห็นที่ 149 อ่านแล้วก็เข้าใจอะไรอีกมากครับ ชอบทั้ง 2 ฝ่าย ในกระทู้นี้ครับ (เว้นบางคนที่ยังไม่ทิ้งนิสัยส่อเสียด) อยากให้โต้แย้งกันก็โต้แย้งกันด้วยเหตุผลไม่ใช่เอาแต่ด่า หรือเหน็บแนมส่อเสียดกันดั่งที่เห็นมาหลายๆกระทู้ เพราะสุดท้ายก็ไม่ได้อะไรนอกจากสร้างความเจ็บช้ำน้ำใจให้คนไทยด้วยกัน ********* เอาแบบนี้มั้ยครับ ไหนๆข้างนอกเค้ายังอึมครึมกันอยู่ ในนี้เราก็มา debate กันเองมั้ย ใครมีข้อมูลอะไรก็เอามาคุยกัน หัวข้อละกระทู้ไปเลย กระทู้นั้นคุยเรื่องอะไร ก็พูดเรื่องนั้นไม่ต้องโยงเรื่องอื่น เอาเรื่องหลักๆมาคุยกัน เช่น 1.เรื่องหุ้น 2.เรื่องแปรรูปรัฐวิสาหกิจ 3.เรื่องขายชาติที่ฝ่ายม็อบกล่าวหา 4.เรื่องอื่นๆ แล้วแต่จะตกลง ***ย้ำว่าหัวข้อละกระทู้ไปเลยครับเอาข้อมูลเอาเหตุผลมาโต้กัน*** เพื่อที่จะสร้างความกระจ่างในระดับหนึ่งให้แก่สังคม แม้จะเป็นส่วนน้อย แต่ก็ยังดี ดีกว่าออกไปผจญข่าวลือ ข่าวลวง ข่าวบิดเบือน ที่จะออกมาจากสารพัดฝ่าย ดีมั้ยครับ ช่วยกันให้ความเห็นหน่อย จะได้ยุติการตั้งกระทู้ ซ้ำไปซ้ำมาด้วย ต่อมาใครสงสัยเรื่องอะไรก็คลิ้กดูกระทู้ DEBATE นี่แหละ อ้างอิงได้ทั้ง 2 ฝ่าย *****แต่ขอห้ามพวกเข้ามาด่ามาส่อเสียดมาเหน็บแนม ไม่ว่าฝ่ายไหน (ถ้ามาเชียร์ปกติ ก็โอเค) เข้าไปตอบในกระทู้เพื่อป้องกันความยุ่งเหยิง ถ้ามีคนพวกนี้โผล่มาไม่ว่าฝ่ายไหน ช่วยกันลบไปด้วยครับ***** จากคุณ : L RULES - [ 15 มี.ค. 49 11:06:43 ]

ความคิดเห็นที่ 150 โหวตค่ะ มีสาระ เป็นกลาง มีเหตุผลอ้างอิง (คุณภาพค่ะ) จากคุณ : สมาชิกที่ไม่ค่อยได้โหวต (clinicmedia) - [ 15 มี.ค. 49 11:07:03 ]

ความคิดเห็นที่ 151 จากคุณ : โหวตจ้า (cool_cool) - [ 15 มี.ค. 49 11:10:13 ]

ความคิดเห็นที่ 152 เห็นด้วยกับคุณ L RULES ที่แนะนำให้ใช้ข้อมูลในการ DEBATE แต่ละประเด็น อ่านแล้วรู้สึกว่า นายกทักษิณช่างเป็นบุคคลที่แปลกเหลือเกิน มีทั้งคนเกลียดสุด ๆ และชื่นชมสุด ๆ จนอาสาเข้ามาช่วยแก้ต่างให้ จากคุณ : NTAM - [ 15 มี.ค. 49 11:34:11 ]

ความคิดเห็นที่ 153 http://www.bvi.gov.vg/ -- http://www.rd.go.th/publish/fileadmin/download/nation/english_t.pdf -- อนุสัญญาระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับ รัฐบาลแห่งสหราชอาณาจักรอังกฤษและไอร์แลนด์เหนือ เพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนและการป้องกันการเลี่ยงการรัษฎากร * * * ข้อ 3 บทนิยามทั่วไป 1. เว้นแต่บริบทจะกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น ในอนุสัญญานี้ (ก) คำว่า "สหราชอาณาจักร" หมายถึงบริเวณใหญ่ และไอร์แลนด์เหนือรวมตลอดถึงพื้นที่ใดๆ ที่อยู่นอกทะเลอาณาเขตของสหราชอาณาจักร ซึ่งตามกฎหมายระหว่างประเทศที่กำหนดไว้หรืออาจจะกำหนดไว้ต่อไปในกฎหมายของสหราชอาณาจักร ในส่วนที่เกี่ยวกับไหล่ทวีปว่าเป็นพื้น ที่ซึ่งสหราชอาณาจักรอาจใช้สิทธิในส่วนที่เกี่ยวกับพื้นดินท้องทะเลและดินใต้ผิวดินตลอดจนทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่นั้นๆ ได้ (ข) คำว่า "ประเทศไทย" หมายถึง ราชอาณาจักรไทยและพื้นที่ซึ่งประชิดกับน่านน้ำอาณาเขตของราชอาณาจักรไทย ซึ่งตามกฎหมายไทย และตามกฎหมายระหว่างประเทศได้กำหนดหรืออาจกำหนดในเวลาต่อไปให้เป็นพื้นที่ซึ่งราชอาณาจักรไทยอาจใช้สิทธิภายในพื้นที่นั้นๆ ในส่วนที่เกี่ยวกับพื้นดิน ท้องทะเล และดินใต้ผิวดิน รวมทั้งทรัพยากรธรรมชาติของพื้นดินท้องทะเลและดินใต้ผิวดินนั้น (ค) คำว่า "คนชาติ" (1) ในกรณีที่เกี่ยวกับสหราชอาณาจักร หมายถึง คนชาติของสหราชอาณาจักรและของอาณานิคม และคนในบังคับบริติช ซึ่งไม่ถือสัญชาติของสหราชอาณาจักรหรือสัญชาติของประเทศเครือจักรภพหรือของดินแดนเครือจักรภพอื่นใด โดยมีข้อแม้สำหรับกรณีทั้งปวงว่าคนชาติหรือคนในบังคับดังกล่าวเหล่านั้นเป็น "บุคคลผู้มีสิทธิตั้งถิ่นฐานอยู่ในสหราชอาณาจักร" ตามที่ได้บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติการเข้าเมือง ค.ศ. 1971 และนิติบุคคล ห้างหุ้นส่วน สมาคม หรือ คณะบุคคลอื่นใด ที่ได้รับสถานภาพของตนเช่นว่านั้นตามกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในสหราชอาณาจักร จากคุณ : mcu51 - [ 15 มี.ค. 49 11:40:39 ]

ความคิดเห็นที่ 154 เรื่องแนวปฏิบัติของสรรพากร จากบทความของอ.ช้าง (ธิติพันธุ์) ที่ใครซักคนเอามาลงข้างบน มันเป็นบทความทางกฎหมายที่เสนอความคิดเห็นของอ.ช้างในการอ่านกฎหมายและตีความกฎหมาย จริงที่บ้างครั้งรัฐอาจจะใช้กฎหมายได้อย่างมีช่องโหว่ แต่คำถามน่าจะอยู่ที่ว่า กรมสรรพฯ ปฏิบัติต่อท่านนายกแตกต่างจากคนทั่วไปหรือไม่ และมีการใช้อำนาจของท่านแทรกแซงหาผลประโยชน์ให้ตัวเองรึเปล่า... ผมเห็นว่าไม่... แต่ถ้ามีหลักฐานว่าท่านแทรกแซง หรือมีข้อสงสัยว่ามีการปฏิบัติที่แตกต่าง ก็ยินดีรับฟังครับ แก้ไขเมื่อ 15 มี.ค. 49 11:46:20 จากคุณ : ลูกหมูแก้มอ้วน - [ 15 มี.ค. 49 11:42:54 ]

ความคิดเห็นที่ 155 ไม่มีเวลาอ่านทั้งหมดในกระทู้  แต่หัวข้อ,ประเด็นกระทู้น่าสนใจ  เพราะนั้นคือเหตุหนึ่งที่ทำให้ปัญหานี้ สถานการณ์ตอนนี้บานปลาย  เป็นความขัดแย้งที่รุนแรง งวดเข้าสู่จุดปะทะจนไปไกลเกินกว่าความพยายามที่จะหาจุดร่วมหรือทางออก ที่เป็นจุดร่วมกันจริงได้ ผมก็ไม่เข้าใจว่าในเมื่อกลัวข้อมูลถูกบิดเบือน(ตามหัวข้อกระทู้)  แต่การกระทำกลับสวนทาง  คือพยายามหลบจนถึงหนีการตรวจสอบ  เช่นยุบสภา(แทนที่จะอาศัยตรงนั้นในการแก้ข้อกล่าวหาที่อ้างว่ามีการบิดเบือนใช้โอกาสตรงนั้นหาคำตอบให้กับสังคมเพื่อหยุดคำถามมากมายกระจายไปจนตามชี้แจงยาก) แม้แต่การเปิดอภิปรายของฝ่ายค้าน และการพยายามต่อรองเป็นสภาร่วม  ที่มองเห็นภาพการชิงไหวชิงพริบชิงความได้เปรียบมากกว่าความจริงใจในการที่จะแก้ภาพหรือข้อกล่าวหา  จนสถานการณ์บานปลายมาเป็นการยุบสภา นั้นยิ่งโดนมากเข้าไปอีก ทั้งเท้าเข่าศอกก้อนอิฐกับข้อหาว่า ปิดสภาหนีการตรวจสอบ??? แล้วถึงตรงนี้ แล้ว การพูดถึงประเด็นการดีเบต  ก็หนีอีก  ทำไมมันสวนทางกับหัวข้อกระทู้นี้  เพราะถ้าต้องการทำความจริงให้กระจ่างโอกาสก็เปิดให้ใช้อย่างสง่างาม ตั้งแต่ในสภา(นี่ไม่นับรวมความได้เปรียบในการผูกขาดสื่อที่เป็นต่ออีกฝ่ายอื้อเลย) คุณใช้โอกาสเปลืองเกินไปหรือเปล่าในการที่จะสร้างความเข้าใจ  ถ้าอ้างว่านั้นคือความเข้าใจที่คาดเคลื่อน ไปจากข้อเท็จจริง จนนำไปสู่การบิดเบือน กล่าวหา ในเจตนาล้มล้าง  ผมมาลำดับเหตุต่างที่ผ่านมาจนสถานการณ์บานปลายขนาดนี้  ดูเหมือน มีใครเป็นฝ่ายวิ่งหนีปัญหา โดยมีอีกฝ่ายไล่ตีไล่ต้อน  ซึ่งคนต้อนนั้นก็หวดเอาๆหวดเอาเป็นเอาตาย  ไม่มีการเว้นวรรคเว้นช่องไฟ ให้ทุกฝ่ายมีเวลาหายใจหายคอ หรือเปิดโอกาสการหาทางออกที่ดีร่วมกันคือตีจนตัวเองก็เจ็บต้อนจนลงทางแคบทั้งคู่งวดเข้าสู่การตายทั้งคู่ถึงตายหมู่ และตอนนี้ สถานการณ์มันเลยเถิดไปไกลเกินกว่าจะมาอ้างกติกา ใครกุมเสียงข้างมาก ใครควรจะผูกขาดการตัดสินใจ ภายใต้กติกา ที่อีกฝ่ายก็อ้างว่าไม่เป็นธรรม  อีกฝ่ายก็อ้างความถูกต้องชอบธรรม(แต่ตามแบบของฉัน) จนสถานการณ์มันเลยเถิดเกินกว่าจะมาประกวด ความจริงข้างเธอข้างฉันแล้ว สถานการณ์ตอนนี้ทั้งสองฝ่ายแบ่งข้างกันเพื่อยืนยันความจริงข้างฉัน จนเตรียมปะทะกัน เพื่อคงสถานภาพความอยู่รอดของตัวเอง(ใครพลาดตายถึงหมดอนาคตทางการเมืองมีเงื่อนไขที่ล้อคทางออกด้วยเงื่อนตายไว้ตรงนี้)มากว่าที่จะหาทางออกร่วมกันหรือหาความจริงอันเดียวกันที่จะเป็นทางออกที่ดีของปัญหา ที่สำคัญไม่มีใครยอมใครยังชิงไหวชิงพริบหาข้อแก้ตัวให้กับความจริงของปัญหาหรือความจริงที่จะเป็นทางออกร่วมกัน ตั้งแง่โดยสร้างเงื่อนไขเหมือนกันแย่งเดียวว่าถอยไม่ได้ ถอยตายนั้นหรือคือจุดร่วมอันเดียวที่เห็น ผมจึงเห็นว่าเราลองลดเงื่อนไข ไม่ให้ใครตายกันก่อนดีไหม ??? เช่น ใครจะต้องเว้นวรรคทางการเมือง หรือหยุดไปเลย แบบนี้คำพิพากษ์ตรงนี้มาจากบรรทัดฐานที่ทุกคนยอมรับได้หรือไม่ ??? ไม่ใช่มีใครกลุ่มบุคคลใดไปคิดเองเองว่านั้นเป็นไม้บรรทัด ส่วนตัว  ที่ความจริงแล้วมันใหญ่กว่าไม้หน้าสาม เอาความคิดตัวเองไปคิดเองว่าจะไปวัดใครเขา  แต่ในความจริงของผู้ที่จะถูกวัดนั้น  เขาอาจจะเห็นเป็นไม้หน้าสามอันใหญ่พุ่งมาทางหัวโดยสัญชาตญานก็ต้องหลบ  แล้วหลบภายใต้เงื่อนไขแบบนั้นมันควรจะเป็นทางออกที่เหมาะสมร่วมกันหรือไม่ในเมื่อการตัดสินใจป้องกันตัวตรงนั้นมันพ่วงคนตามมากมายที่จะต้องรับผลการตัดสินใจอันนั้นเช่น ยุบสภา ฝ่ายพันธมิตรผมเข้าใจภาระกิจของพวกท่านคือในเมื่อข้อมูลแบบนั้นตามฐานวิธีคิดและพิพากษาสรุปออกมา ว่าเป็นอย่างนั้น คือเอาไว้ไม่ได้ อันตรายเกินไป?(ผมสมมุติวิธีคิดของท่านน่ะครับไม่ได้บังอาจคิดแทน)ต้องจบเร็วไม่ให้ยืดเยื้อ  เพราะถ้ายืดเยื้อ เขาก็จะใช้โอกาสตรงนั้นฟอกตัวกลับมาใหม่  การล้มกระดานที่มีฐานยาวนานขนาดใหญ่ขนาดนี้ ต้องปฎิบัติการณ์ ฉับไวรุนแรงทอนรากทอนโคน  ถ้ายึดตัดบัวยังเหลือใยก็จะเข้ากรณีตีงูหลังหัก หรือปล่อยเสือเข้าป่าที่ผมประเมินยุทธศาสตร์อันนี้  มันน่ากลัวรุนแรงมีโอกาส ที่จะกอดคอกันตายทั้งคู่ แล้วท่ามกลางซากนั้นเมื่อกู้มาใหม่ ก็ไม่ต่างจากเดิมเท่าไหร่  เพราะโครงสร้างพฤติกรรมก็อันเดิม  เพราะผมเชื่อว่าท่านนายกไม่ได้ใช่ปัจจัยทั้งหมดของปัญหาที่สำคัยทุกคนร่วมสร้างปัญหา ดังนั้นคำพิพากษาจึงควรมีกับทุกคนไม่ใช่แค่นายก??? สิ่งที่ผมเป็นห่วงก็คือ คำพิพากษา ของพวกท่าน จะตัดสินบนอารมณ์โมโหหิวเกินไปหรือไม่  ไม้บรรทัดหรือมาตรการการตัดสินของพวกท่าน  แทนที่จะเป็นไม้บรรทัด  มันกลับกลายเป็นไม้หน้าสาม หรือท่อนแอกแบบ ตำนานก่องข้าวน้อยฆ่าแม่หรือเปล่ากับสถานการณ์แบบนี้ ผมเชื่อว่าเรื่องนี้มีคนผิดมีฐานความผิดเกิดขึ้น และด้วยวุฒิภาวะ ระดับนั้นมองทุกอย่างออก และมีวุฒิภาวะพอในการตัดสินใจ(แม้เรื่องนี้อาจมีคนอาศัยสถานการณ์หลายกลุ่มแต่เบื้องต้นมันมีเหตุมีมูลเป็นจุดเริ่มต้นให้ขยายไปสู่จุดนั้น) และฝ่ายที่โดนต้อนโดนตีที่ใช้วิธีหนีปัญหาไปก่อน  แล้วหลบไปใช้รากหญ้าฐานเสียงเดิม ปลุกขึ้นมาสู้  ที่คนกลุ่มนี้ไม่มีพื้นฐานความเชื่อที่เกาะกลุ่มเหนียวแน่นแข็งแรงแบบกลุ่ม พันธมิตรฯในเมืองการไปลากเอารากหญ้า มาเป็นตัวช่วยแก้เกมส์ต่อรองกำลังม็อบ นั้น ปัญหาคือเหตุผลความสมเหตุสมผล จนถึงความเหมาะสมในสถานการณ์ มันคืออะไร?มันควรเป็นอย่างไรในแนวทางออกที่ดี  ถ้าไปตะบี้ตะบันเกณท์คนมาแบบหลวมๆทางความคิดความเชื่อ  นั้นเท่ากับกระตุ้นพลังเงียบ หรือผลักพลังเงียบให้เข้าไปสู่ แนวร่วมของฝ่ายที่น่าจะมีเหตุผล หรือความคิดที่มีที่มาที่ไป และสร้างความรู้สึกร่วมได้ชัดเจนกว่า ผมมองดูแล้วสงสารประเทศ???  ที่ทุกฝ่ายที่จะเป็นผู้ออกแบบประเทศ นั้นกลับคิดถึงความอยู่รอดของตัวเองจนสร้างเหตุรื้อบ้านลงมาตามความเชื่อที่ว่าเมื่อไม่ดีสร้างใหม่แต่อีกฝ่ายบอกว่ารื้อบ้านตูหนีทำไมเอามันให้ตาย??? ตอนนี้สถาปนิกทั้งหลาย  แทนที่จะใช้สติปัญญาองค์ความรู้ ลำดับวิธีปฎิบัติเพื่อนึกถึงลูกหลานที่ตอนนี้ไม่มีแม้หลังคาปกหัวฝนตกก็ให้พากันวิ่งแย่งกันเอาสังกสีคุมหัวไปก่อน ในขณะ ที่ผู้หลักผู้ใหญ่ ในบ้าน ทั้งสถาปนึก,วิศวกวน,นักวิชาเกิน กับยังทะเลาะกันไม่เสร็จกลับไปหยิบไม้ที(เขียนแบบ) ไม้หน้าสาม(วัสดุ)ปากกา(งานเขียน) มาจิกตากัน,ไล่ตีกัน ผมถึงอยากขอร้องฝ่ายไล่ตี(พันธมิตร) ให้คิดให้ดีว่าสิ่งที่ถืออยู่ในมือ ที่เข้าใจว่า เป็นไม้บรรทัดหรือไม้เรียวจัดการกับโจร(ตามความเข้าใจตรงนั้น) เชคดูดีๆ  ว่าลูกหลานคนดู เขาเห็นเป็นไม้เรียวหรือไม้บรรทัดจริงหรือเปล่า ??? หรือนั้นมันคือไม้เสาบ้าน หรือไม้หน้าสาม และเขาเป็นโจรหรือแค่ยักยอก  หรือ??? กับมาตรการ ที่ว่าต้องเอาถึงตายไม่ได้ผุดได้เกิด(เว้นวรรคทางการเมือง)  แต่คนพูดเองถือไม้หน้าสามยื่นเงื่อนไขว่าต้องตายสถานเดียว คิดสักนิดไหมว่าคิดแทนคนอื่นเกินไปหรือไม่(ผมหมายถึงพลังเงียบ)  คุณคิดไปเองเกินไปไหมว่าจะกู้ชาติ  เจตนาแบบนั้นมันเป็นวิธีการที่ถูกต้องเหมาะสมแล้วหรือยัง??? การจะประหารชีวิตใครนั้นเป็นเรื่องใหญ่มากยิ่งการเลือกใช้ศาลเตี้ยวิสามัญฯ  นั้นยิ่งต้องมองให้ลึกให้ถึงผลกระทบข้างเคียง จนถึงเขาก็มีมือมีเท้า แถมกำลังเหนือกว่า  ถ้าเขาเลือกสู้ทั้งที่คุณไม่มีสิทธิพิพากษาเขาได้ขนาดนั้น(ทั้งหมดนี้ผมไม่รวมพวกอาศัยสถานการณ์หรืออย่างที่บางท่านพูดถึงจิ๊กซอว์อะไรนั้นผมเห็นว่าไม่ใช่ทั้งหมดเหตุที่สร้างปัจจัยแบบนั้นสำคัญกว่า) ผมจึงเห็นว่าอย่างสร้างเงื่อนไขว่าใครต้องตาย ต้องเว้นวรรคคือถ้าเจตนาให้เขาเว้นจริงคงไม่แบบนี้ แต่นี้หมายถึงตายหรือหมดอนาคตไปจากการเมืองเลย  เงื่อนไขแบบนี้มันทำให้เขาจำเป็นต้องหลบต้องหนี ผมจึงเห็นว่า ลดเงื่อนไขเงื่อนตายบางเรื่องได้ไหม?สำหรับการเจรจา (เพราะจริงแล้วพวกท่านไม่น่าจะเป็นคนกำหนดเองได้ด้วยซ้ำแม้จะมีเหตุมีผล) ส่วนคนวิ่งหนี แล้วอ้างว่าเขาบิดเบือนความจริงนั้นก็เห็นอยู่แล้วว่าโอกาสก็มีเยอะแยะทำไมเลือกวิ่งหนีหรือไปเช่าเครื่องขยายเสียงคนขายของเร่แก้ต่างข้อกล่าวหา แบบอนาถาข้างนอก มันเป็นเหตุเป็นผลเหรอ???  กลับเข้ามาคุยกันซ่ะ เรื่องนี้จะหนีกันตลอดชีวิตไม่ได้หรอก คนเหนื่อยจริงๆคือคนตามนั้นคือประชาชน  แถมไปทำสิ่งที่ไม่เกี่ยวกับเหตุในแบบการขยายประเด็นปัญหาให้บานปลายใหญ่โตออกไปอีก ด้วยการไปรวมสมัครพรรคพวกรากหญ้า  มาเอาคืน ไปกันใหญ่แล้ว??? ต่อรองเปิดช่องต่อรองให้เป็นไปได้บ้างให้เข้าสู่กระบวนการเจรจา อย่างสร้างเงื่อนไขแบบตั้งแง่ตั้งง่ามเหมือนเจตนาชิงไหว  ทั้งที่ในสถานการณ์ที่ควรจะเป็นทางออกเห็นว่าการทำแบบนั้นเป็นการสร้างเงื่อนไขใหม่ที่ยากเกินไปในการเดินเข้าสู่กระบวนการเจรจา  เพราะถ้าท่านไม่เอาอะไร?สักอย่างเลยตอนนี้ พวกท่านก็จะโดนเขาตีตรงมุมตึก ที่ตอนนั้นมันหนีไม่ออกแล้ว คนกลางกรรมการหรือตำรวจอะไร?ก็ช่วยคุณไม่ได้แล้วเพราะคุณเลือกแบบนั้นไว้แล้ว??? จากคุณ : ขอชื่ออะตอม (ขอชื่ออะตอม) - [ 15 มี.ค. 49 12:05:03 ]

ความคิดเห็นที่ 156 โหวต ครับ จากคุณ : Vprawat - [ 15 มี.ค. 49 12:09:08 ]

ความคิดเห็นที่ 158 อ่านแล้วก็งงๆ ทำไมเราต้องมา debate กันในเรื่องของนายกด้วย  นายกตัวเป็นๆก็ยังอยู่ ข้อมูลที่เป็น primary source น่าจะดีกว่า secondary และ tertiary source ไม่ต้องมีปัญหาเกี่ยวกับการบิดเบือนด้วย เพราะสิ่งที่ให้ข้อมูลก็จะผูกมัดตัวเอง มีประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจ นายกมีโอกาสออกสื่อวิทยุและทีวีมากกว่าคนอื่นอยู่แล้ว จากคุณ : lucky@winter - [ 15 มี.ค. 49 12:28:36 ]

ความคิดเห็นที่ 159 158 สงสัยมีใครกลัวความจริงหาจุดร่วมก่อนดีเบตจริงก็ได้และอย่าตั้งเงื่อนไขว่าต้องมีใครตายเลย??? จากคุณ : ขอชื่ออะตอม (ขอชื่ออะตอม) - [ 15 มี.ค. 49 12:40:14 ]

ความคิดเห็นที่ 160 เข้ามาโหวต...เป็นกระทู้ที่เยี่ยมมาก..น่าจะมีใครสักคนเอาไปเผยแพร่ให้พวกหลงผิดมาอ่านมั่ง...ใช่ค่ะนายกทักษิณ ไม่ใช่คนดีเต็ม 100 แต่เมื่อคำนวณออกมาแล้วความดีและตั้งใจทำงานทุ่มเทมีมากกว่าคนอื่นๆเทียบกันไม่ติด. จากคุณ : gemmy_stone - [ 15 มี.ค. 49 12:44:50 ]

ความคิดเห็นที่ 161 เพิ่งได้เข้าอ่าน เจ้าของกระทู้บรรยายแบบวิเคราะห์ได้ดีมาก อย่างที่หลายคนว่า เป็นบทความของมืออาชีพเลย ผมได้ตัดสินใจแก้คำผิดให้หลายแห่ง ปรับรูปแบบให้เป็นบทความจริงๆ ขออนุญาตนำไปไว้ในเว็บผมเพื่อให้พวกเราที่สนใจได้ download ไปเผยแพร่ต่อไป คลิกข้างล่างนะครับ http://www.geocities.com/prapant.geo/distorted.pdf จากคุณ : sprapant - [ 15 มี.ค. 49 12:50:16 ]

ความคิดเห็นที่ 162 แก้ไขเมื่อ 15 มี.ค. 49 13:05:15 จากคุณ : lucky@winter - [ 15 มี.ค. 49 12:57:16 ]

ความคิดเห็นที่ 163 โหวตให้ค่ะ อ่านแล้วมีหลักฐาน มีเหตุมีผล ตรงใจ จากคุณ : นางแบบว่า - [ 15 มี.ค. 49 13:02:21 ]

ความคิดเห็นที่ 164 ผมมองแตกต่างงจากคนอื่นๆมากครับ อาจจะเป็นเพราะผมบังเอิญมีพื้นฐานการศึกษาด้านรัฐศาสตร์มั้งครับ ผมไม่สนใจกลุ่มคุณสนธิที่ผมรู้อยู่แล้วว่ามันเริ่มขึ้นจากเรื่องส่วนตัว ผลประโยชน์ส่วนตัวที่ไม่ลงตัวระหว่างคุณสนธิ กับคุณทักษิณ แต่เมื่อมีการชุมนุมโดยการนำของคุณสนธิที่ต่อต้านคุณทักษิณ สมาชิกอื่นๆทุกพรรค รวมถึงพรรคฝ่ายค้าน เกี่ยวอะไรด้วยล่ะครับ ทำไมคุณทักษิณต้องยุบสภาด้วยล่ะครับ? มันไม่ได้มีการขัดแย้งอย่างรุนแรงภายในรัฐสภานี่ครับ แล้วก็ไม่ได้มีปรากฎการณ์ที่พรรคไทยรักไทยไม่สามารถควบคุมคะแนนเสียงของพรรในรัฐสภานี่ครับ "ยุบสภา เพราะคุณสนธิ นำประชาชนชุมนุมคัดค้านคุณทักษิณ" มันถูกต้องแล้วหรือ???? คุณทักษิณยังคุมคะแนนเสียงของพรรคไทยรักไทยภายในรัฐสภาได้อยู่ไม่ใช่หรือ??? ยุบสภา เพราะเหตุผลภายนอก ซึ่งไม่เกี่ยวกับความขัดแย้งภายในรัฐบาลซึ่งส่งผลให้รัฐบาลไม่สามารถคุมเสียงตนเองไว้ได้นี่นา เพียงเพราะคุณสนธิ ต่อต้านคุณทักษิณ สมาชิกรัฐสภาทุกคน ทุกพรรค เลยต้องโดนยุบสภาแล้วเลือกตั้งกันใหม่ มันถูกต้องหรือครับเนี่ย? อีกประเด็นหนึ่งเกี่ยวกับพรรคที่ไม่ลงสมัครรับเลือกตั้ง รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันไม่ได้บังคับว่า ทุกพรรคการเมืองที่จดทะเบียนตั้งเป็นพรรคการเมืองจะต้องลงสมัครรับเลือกตั้ง เมื่อมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นนี่ครับ เพราะฉนั้น เขาจะลงรับสมัครหรือไม่ ก็เป็นสิทธิของเขาโดยชอบตามกฎหมาย พรรคดังกล่าว ก็ไม่ได้เรียกร้องให้ประชาชนไม่ใช้สิทธิในการเลือกตั้งนี่ครับ ก็ไม่ได้เป็นปฏิปักษ์และขัดต่อกฎหมา หรือรัฐธรรมนูญมาตราใดๆเลยนี่นา จริงๆพวกเขาก็บอกให้ไปใช้สิทธิของตนเองด้วยซ้ำไป หากไม่ต้องการเลือกพรรคที่ลงรับสมัคร ก็ยังต้องไปใช้สิทธิอยู่ดี เพียงแต่เลือกที่จะใช้สิทธิของตนเองในรูปใดเท่านั้นเอง ทำไมไม่มีใครมองในมุมนี้บ้างล่ะครับ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ ณ ขณะนี้ มันเป็นเรื่องของ บุคคล 2 คน เท่านั้นเอง ทำไมจะต้องกลายเป็นเรื่องใหญ่ระดับชาติไปได้ คนที่คัดค้าน เริ่มต้นจากการคัดค้าน ตัวบุคคล คุณทักษิณ ล้วนๆ คนที่สนับสนุน ก็สนับสนุนตัวบุคคล คุณทักษิณล้วนๆเช่นเดียวกัน ลุกลามกันไปใหญ่โต เมื่อไหร่คนไทยจะใช้ความคิดแบบผู้ใหญ่กันเสียที????? จากคุณ : J..... - [ 15 มี.ค. 49 13:07:08 ]

ความคิดเห็นที่ 165 ยอดเยี่ยมครับ อยากให้ทุกๆคนได้อ่าน จากคุณ : กาแฟเย็นใส่นมเยอะๆ - [ 15 มี.ค. 49 13:09:43 ]

ความคิดเห็นที่ 166 ผมตั้งใจเข้าไปตรวจสอบ แหล่งที่มาของข้อมูลครับแต่เข้าไม่ได้จริงๆ ที่เครื่องผมเป็นแบบนี้ [คลิกเพื่อชมภาพขนาดจริง] จากคุณ : WindMaster - [ 15 มี.ค. 49 13:23:56 ]

ความคิดเห็นที่ 167 (บางส่วนจากนสพ.ไทยรัฐ วันที่ 14 มีค.49) ============================================================ เห็นรอยยิ้มและแววตาของคุณจำลอง ศรีเมือง ยิ้มสู้แบบนี้ เห็นแล้วก็หนาว ....หลังการเลือกตั้ง รอบที่พลังธรรมแพ้ประชาธิปัตย์ คุณจำลองแก้ต่างให้หัวหน้าพรรคพลังธรรมคนใหม่ - พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร  โดยใช้คำว่า.. “ ความรวยไม่ใช่อาชญากรรม ” วันเวลาผ่านไป...ความรวยที่คุณจำลองเคยเข้าใจว่า ไม่ใช่ อาชญากรรม กลายเป็นความผิดที่ยิ่งกว่าอาชญากรรม เป็นประเด็นต้องหักหาญกันทางการเมือง ทุกสิ่งในโลกนี้ เปลี่ยนแปลง...วันเวลาทำให้ผู้คนมากมายเปลี่ยนแปลง อยากให้คุณจำลอง ทำความเข้าใจ...คนแบบคุณทักษิณ ไม่ใช่มีคุณทักษิณอยู่คนเดียว ประตูการค้าขายระหว่างประเทศเปิดกว้าง...เงินทองไหลออกไหลเข้าได้ง่ายๆ ทุกนาทีมีได้มีเสีย ทั้งกลุ่มทุนต่างชาติ ทั้งกลุ่มทุนในชาติ ช่องทางนี้ ก่อนหน้านี้ ก็มีคนร่ำรวยไปมากมาย คุณทักษิณ เป็นคนที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ ส่วนแตกต่างมีประการเดียว...คุณทักษิณรวยมาก ขายหุ้นได้มาก ขณะมีอำนาจวาสนาเป็นนายกฯ ถามว่า คนที่ยังไม่ได้เป็นนายกฯ เป็นแค่รองฯ คนที่เคยเป็น และคนที่อยากจะเป็น ทั้งคนที่อยู่ในรัฐบาล คนที่อยู่ในฝ่ายค้าน หรือฝ่ายแค้นมากมาย ร่ำรวยมาจากช่องทางการค้านี้ ใช่หรือไม่? คำตอบ ก็คือ มีอยู่มากมาย..และก็ยังคงจะมีต่อไป คุณจำลองเคยประกาศอดข้าว จุดชนวนไล่พลเอกสุจินดา คราประยูร ออกจากนายกฯ พรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นรัฐบาล  คุณจำลอง ก็เคยแยกวงจากรัฐบาล สมมติ...วันพรุ่งนี้...การเมืองพลิกผัน ตัวเลือกสำคัญอย่างประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลอีก ก็เชื่อว่า วันหนึ่งข้างหน้า ถ้ายังมีกำลังสู้ ก็ต้องมีเหตุให้คุณจำลองต้องประท้วงอีก ในความสับสนระหว่างความผิดกับความถูก ความเลวกับความดี คุณจำลอง เป็นบรรทัดฐาน สีขาวของคุณจำลอง ทาบลงไปตรงไหน ก็เห็นสีดำตรงนั้น แต่ถ้าคุณจำลองเข้าใจความเป็นสีดำ สีเทา นั้นมีที่มา.. เศรษฐีตลาดหุ้น เป็นผลผลิตของระบบเศรษฐกิจ กาสิโน ระบบที่ครอบงำไปทั้งโลก ความไม่พอใจ คุณจำลองก็อาจจะบรรเทาลง ปราบอสูรใหญ่ได้แล้ว เป็นห่วงละครเรื่องต่อมา ทายาทอสูร ถึงวันนั้น คุณจำลอง จะเหลือเรี่ยวแรงแค่ไหน วันนี้...ก็ได้ข่าวว่าโรยราเต็มทีแล้ว " ============================================================ อ่านแล้วสงสารประเทศไทยจัง!!! . จากคุณ : หนูเพ็ญ - [ 15 มี.ค. 49 13:30:56 ]

ความคิดเห็นที่ 168 มาอ่านครับ เยี่ยมไปเลย จากคุณ : Vincent Van Gogh - [ 15 มี.ค. 49 13:31:44 ]

ความคิดเห็นที่ 169 100% ผมจะไปใช้สิทธิของผมในวันเลือกตั้ง 2 เมษาฯนี้ ผลออกมาจะเป็นอย่างไร ผมก็ยอมรับตามระบอบประชาธิปไตยครับ ใครจะเป็นนายกฯ ผมก็ให้เกียรติให้เขาบริหารประเทศไทยของผมครับ ผมจะเห็นด้วยกับแนวทางของท่านายกฯหรือไม่ มันเป็นแค่ความคิดเห็นส่วนตัวของผม ตราบใดที่นายกฯมาจากเสียงข้างมากตามระบบ ผมก็ต้องยอมรับเสียงข้างมากตามระบบเช่นเดียวกันครับ แต่ผมสงสารความคิดของคนไทยจริงๆ ไม่มีใจ ไมมีความคิดเป็นประชาธิปไตย จากคุณ : J..... - [ 15 มี.ค. 49 13:42:34 ]

ความคิดเห็นที่ 170 ความคิดเห็นที่ 91   ปัญหา 30 บาท จะให้รพ.รัฐขาดทุนเพื่อโครงการ 30บาท??!?!!? ปีที่แล้วศิริราชเป็นหนี้ 3พันกว่าล้านบาทเฉพาะโครงการนี้ และยังไมมีใครมาจ่าย ต้องโยกเงินจากส่วนอืนมาโปะชั่วคราว โดยที่รัฐไม่ช่วยอะไรเลย มองความเป็นจริงกันบ้างครับ ชาวบ้าน happy รัฐได้คะแนนเสียง แต่ระดับผู้ปฏิบัติงาน ตาย เท่านั้น รพ.ชุมชนไม่มีเงินจะจ่ายเงินเดือนเจ้าหน้าที่ ต้องตกเบิกกันหลายเดือน เจ้าหน้าที่เหล่านั้นไม่ใช่คนไทยหรือไงครับ ถึงต้องยอมไม่รับเงินเดือนเพื่อโครงการ 30 บาท ความเป็นจริงที่คนชอบทักษิณปิดหูปิดตามาตลอด จากคุณ : ....4จุด   - [ 15 มี.ค. 49 00:03:28 ] **************************************************** อย่างแรกยืนยันได้ว่า  30 บาทรักษาทุกโรค ดีสำหรับคนจนใช่มั๊ยครับ  ถึงมีคนไปใช้จนรพ.ขาดทุน เห็นบางคนออกมาบอกว่า หลอกคนจน คุณภาพแย่ แล้วถ้ามันดีสำหรับคนจน จริงๆ คนไม่ดีใจหรือครับทีคนจน ได้อะไรดีๆ บ้าง อย่าว่าแต่ 3พันล้าน 10 พันล้านก็ยอมเสีย ถ้ามันทำให้ประชาชนแฮปปี้จริงๆ ทีประชาธิปปัตย์ จะรักษาฟรีไม่ต้องเสีย 30 บาท คิดบ้างมั๊ยเนี๊ยะ โหวตครับ กระทู้ถูกใจมาก จากคุณ : ZEIES - [ 15 มี.ค. 49 13:43:00 ]

ความคิดเห็นที่ 171 ต้องนิยามความหมายของการบิดเบือนสำหรับกระทู้นี้ก่อน ดูจากกระทู้และความเห็นของจขกท.แล้ว ก็เข้าข่ายน่าสงสัยเรื่องบิดเบือนข้อมูลอยู่นะ  เพราะเป็นความเห็นส่วนตัว มีการคาดเดาความคิดและเหตุผลของคนอื่น     ไม่ใช่ข้อเท็จจริงที่ทราบจากแหล่งข้อมูลตรง จากคุณ : lucky@winter - [ 15 มี.ค. 49 13:50:07 ]

ความคิดเห็นที่ 172 เรียน..ความคิดเห็นที่ 164 คุณ : J..... ====================== ถ้าคุณตั้งใจฟังคำชี้แจงของท่านนายกฯแล้วจะเห็นว่าที่คุณเข้าใจนั้น ถูกเพียงครึ่งเดียวค่ะ การที่คุณกล่าวว่า.."ยุบสภา เพราะคุณสนธิ นำประชาชนชุมนุมคัดค้านคุณทักษิณ" มันถูกต้องแล้วหรือ???? คุณทักษิณยังคุมคะแนนเสียงของพรรคไทยรักไทยภายในรัฐสภาได้อยู่ไม่ใช่หรือ??? ยุบสภา เพราะเหตุผลภายนอก ซึ่งไม่เกี่ยวกับความขัดแย้งภายในรัฐบาลซึ่งส่งผลให้รัฐบาลไม่สามารถคุมเสียงตนเองไว้ได้นี่นา" นั้น... ====================== ตอบ.. เหตุผลที่ฝ่ายพันธมิตรทำลายชาติชอบบิดเบือนเรื่องการยุบสภานั้น เท็จจริงแล้วเป็นเพราะการยุบสภานั้น ท่านนายกฯได้กระทำขึ้นภายใต้ความกดดันจากคนแก่บางคนในพรรครัฐบาล ผนวกกับพรรคฝ่ายค้านที่ไม่มีจริยธรรมทางการเมืองโดยการเข้าร่วมกับฝ่ายพันธมิตรทำลายชาติ แล้วอ้างเสียงประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ เพื่อล้มล้างรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง โดยการมาขอเสียงรัฐบาลเปิดสภาอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯทักษิณ โยนความผิดมั่วซั่ว (ความผิดที่ไม่มีศาลไหนรับฟ้อง) เพราะที่อยากจะเป็นรัฐบาลแทนซะเอง โดยการเสนอตัวหน.พรรคตัวเองเป็นนายกรัฐมนตรี(หน้าด้านนนนมาก..ขอบอก) เมื่อเกิดเหตุการณ์อย่างนี้แล้ว ไม่ว่าเทวดาหน้าไหนเป็นนายกรัฐมนตรี ก็ต้องประกาศยุบสภาเพื่อให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจล่ะค่ะ.. อยากให้คุณเปิดใจให้กว้างมากกว่านี้..เพราะเราเองก็มีพื้นฐานการศึกษาด้านรัฐศาสตร์..เหมือนกับที่คุณอ้างมาน่ะค่ะ . จากคุณ : หนูเพ็ญ - [ 15 มี.ค. 49 13:56:30 ]

ความคิดเห็นที่ 173 # 170 ปัญหา 30 บาท อย่างนึง คือไม่ได้คัดกรองเฉพาะคนที่จนจริงเท่านั้น การจ่าย 30 บาททำให้คนที่มีเงินจ่ายค่ารักษาพยาบาลแต่ไม่ได้เป็นราชการ ไม่ได้ทำประกันสังคม มาแย่งใช้บริการกับคนจนด้วย เช่นการผ่าตัดที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายสูง ก็เลี่ยงมาใช้ 30 บาท เดิม คนจน ถ้าไม่มีเงินจริงๆ รพ.ก็มีงบสำหรับรักษาฟรีให้อยู่แล้ว โดยให้ รพ. เป็นผู้พิจารณาซึ่งไม่ค่อยมีคนอื่นมาแย่งใช้งบของคนจนนี้ การบริการก็ดีกว่า ไม่มีคนมาเบียดบังแย่งใช้งบประมาณของคนที่จนจริงและจำเป็นจริงๆ จากคุณ : lucky@winter - [ 15 มี.ค. 49 14:03:45 ]

ความคิดเห็นที่ 174 #164 ผมขออนุญาตแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง  คือ      1.ประเด็นแรกการยุบสภาในรัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดว่าต้องทำกรณีที่สภามีปัญหาอย่างที่ฝ่ายค้านกล่าวอ้าง หรือเหตุผลแค่ตามที่คุณพูดถึง  การที่นายกถูกกล่าวหาต่างๆ แล้วผู้ชุมนุมเรียกร้องให้ลาออกต่างๆนานา โดยบอกว่าเป็นเสียงเรียกร้องของประชาชนส่วนใหญ่ นายกเลือกยุบสภาถือเป็นอำนาจตามระบอบประชาธิปไตย(ถ้าผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญป่านนี้เละไปแล้ว) แล้วคืนอำนาจให้ประชาชน ถ้าประชาชนส่วนใหญ่ไม่เอาหรือเห็นว่าไม่เหมาะที่จะเป็นนายกอีกต่อไป(ตามที่ผู้ชุมนุมกล่าวอ้าง) ก็ไปใช้สิทธิเลือกตั้งตามกติกาก็จบแล้ว(แต่สงสัยประชาชนส่วนใหญ่จะไม่เห็นตามผู้ชุมนุม) แต่ก็จะมีข้ออ้าง.. เอ้ย..เหตุผลตามมาอีกว่าการเลือกตั้งไม่เป็นกลางบ้าง.....อื่นๆอีกมากมาย  ผมว่าการโกงการเลือกตั้งสมัยนี้มันยากยิ่งกว่าแต่ก่อนมากมายนัก งฝ่ายรัฐบาลโดนจับตาอย่างนี้นะยิ่งยากขึ้น(สมัยก่อน ปชป.เป็นรัฐบาลรักษาการก็คือกัน)     2.การที่ฝ่ายค้านไม่ส่งผู้สมัครก็เป็นสิทธิตามที่กล่าวอ้างจะสมควรหรือไม่แล้วแต่จะคิด แตไม่ควรอ้างตาข้อ 1 และอ้างว่าไม่พร้อม เพราะการเป็น สส. หรือผู้สมัคร ควรจะอยู่หรือช่วยเหลือ ปชช.ตลอดไม่ใช่ไปหาตอนใกล้เลือกตั้งแล้วยกมือไหว้ขอคะแนนเสียง       แตกต่างแต่ไม่แกแยกนะครับ ปชต. ผมว่านายกคงไม่ยึดติดกับตำแหน่งในเรื่องการจะถอย 1 ก้าว แต่ท่านรักษาระบบไว้มากกว่า(ไม่ได้เข้าข้างนะครับ ....ความเห็นส่วนตัว) เพราะต้องระวังไม่ให้มีการละเมิดรัฐธรรมนูญ เดี๋ยวมันจะไปกันใหญ่ เห็นหลายฝ่าย ทั้งอาจารย์ ทั้งผู้รู้ออกมาแนะนำให้ทำหลายอย่าง เช่นลาออก ขอนายกพระราชทาน ..... มันเป็นการละเมิดกฎหมายรัฐธรรมนูญทั้งนั้น ได้ไม่คุ้มเลยครับ แล้วมันจะเป็นบรรทัดฐานที่อันตรายที่สุด   ....เหตุการณ์ทุกๆเหตุการณ์ ที่เรามีการเสียเลือดเนื้อเพื่อให้ได้มาซึ่งรัฐธรรมนูญก็จัสูญสิ้นเปล่าประโยชน์....... จากคุณ : สหายแทนไท - [ 15 มี.ค. 49 14:08:15 ]

ความคิดเห็นที่ 175 to khun POM.com จะมองได้ไหมครับว่า AR เป็นตัวแทน(นอมินี่)ของพานทองแท้  การขายเป็นเพียงการเปลี่ยนชื่อ กลับมาให้เจ้าของที่แท้ (มองARเป็นคนขับรถก็ได้)  ไม่ได้มีเจตนาซื้อขายหากำไร  ฉะนั้นแม้พานทองแท้ จะซื้อต่ำกว่ากำไร ก็ไม่ใช่การซื้อขาย (ไม่มีเจตนาทำนิติกรรมซื้อขายตามกฎหมาย) เป็นแค่การเปลี่ยนชื่อ ฉะนั้นก็ไม่ได้มีกำไรอะไร... จากคุณ : The Pinky and the Brain - [ 15 มี.ค. 49 14:24:39 ]

ความคิดเห็นที่ 176 โหวตค่ะ เห็นด้วยกับเจ้าของกระทู้ จากคุณ : คนไทยในฝรั่งเศส (V3 Je t'aime plus que tout) - [ 15 มี.ค. 49 14:30:24 ]