ความคิดเห็นที่ 1 1. ปริศนารอดคดีซุกหุ้น เรื่องแรกที่พันตำรวจโททักษิณชี้แจงนั้น อ้างว่าวันแรกที่ประกาศลงสนามการเมือง ก็ถูกจ้องเล่นงานด้วยเรื่องหุ้น แต่ในที่สัดก็รอมาได้เพราะศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าไม่มีเจตนาปกปิดซุกหุ้น ศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2544 พิพากษาว่า พันตำรวจโททักษิณ ไม่มีความผิดตามมาตรา 295 ด้วยเสียง 8 ต่อ 7 รอดอย่างหวุดหวิด ทว่าในจำนวน 7 เสียงข้างน้อย ลงมติชัดเจนว่า พันตำรวจโททักษิณ จงใจที่จะปกปิดบัญชีทรัพย์สินหรือจงใจซุกหุ้น มีเพียง 4 เสียงเท่านั้นที่วินิจฉัยว่า พันตำรวจโททักษิณ ไม่จงใจซุกหุ้น ดังนั้นเสียงจงใจย่อมมากกว่าไม่จงใจคือ 7 ต่อ 4 แต่เมื่อนำเสียงที่พิพากษาว่า มิได้จงใจซุกหุ้น 4 เสียง บวกกับอีก 4 เสียงที่อ้างว่ามาตรา 295 บังคับใช้กับพันตำรวจโททักษิณไม่ได้ จึงกลายเป็น 8 เสียง วิธีการตัดสินคดีของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญในลักษณะนี้ จึงถูกวิพากวิจารณ์อย่างหนัก ---ต่อ--- จากคุณ : ชมพูภูพิงค์ - [ 14 มี.ค. 49 23:15:33 ]

ความคิดเห็นที่ 2 2. ขายหุ้นให้ลูกชายจริงหรือ พันตำรวจโททักษิณชื้แจงว่า หลังวันที่ 1 ธันวาคม 2543 ไม่มีหุ้นในมือแม้แต่หุ้นเดียว เนื่องจากได้มีการโอนหุ้นให้แก่ลูกชาย(นายพานทองแท้ ชินวัตร)หมดแล้ว แต่ในข้อเท็จจริง สิ่งที่พันตำรวจโททักษิณไม่เคยปริปากบอกต่อสาธารณชน ก็คือ การโอนหุ้นชินคอร์ปจำนวน 103 ล้านหุ้น ให้แก่ นายพานทองแท้ ชินวัตร นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ และ นางยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2543 เป็นการขายหุ้นให้แก่บุคคลทั้งสามโดยไม่มีการจ่ายเงินกันแม้สักสลึงเดียว ภายหลังจากที่พันตำรวจโททักษิณและคุณหญิงพจมานขายหุ้นชินคอร์ปให้แก่บุคคลทั้สามแล้ว ได้แจ้งต่อสำนักงาน ก.ล.ต. ไม่มีหุ้นชินคอร์ปเหลืออยู่ ทั้งๆที่พันตำรวจโททักษิณยังถือหุ้นชินคอร์ปผ่านบริษัทแอมเพิล ริช อินเวสต์เม้นท์อยู่ 32.9 ล้านหุ้น หลังจากวันที่ 1 ธันวาคม 2543 ได้โอนหุ้นบริษัทแอมเพิลริช ให้นายพานทองแท้ ดังนั้น บุคคลภายนอก แม้แต่ ก.ล.ต. ก็ไม่เคยรู้ ก็คือ หุ้นชินคอร์ป 32.9 ล้านหุ้นที่แอมเพิลริชถืออยู่ ถูกโอนจากพันตำรวจโททักษิณอย่างเงียบๆ จนกระทั่ง ก.ล.ต. ตรวจพบในปี 2544 จึงได้มีการแจ้งย้อนหลังกลับไป ในลักษณะดังกล่าว จะเป็นเจตนาปกปิดด้วยหรือไม่? ทำไม ก.ล.ต. จึงอ้างว่าไม่มีเจตนาและให้ยุติเรื่อง ---ต่อ--- แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 49 23:26:16 จากคุณ : ชมพูภูพิงค์ - [ 14 มี.ค. 49 23:25:34 ]

ความคิดเห็นที่ 3 3. ผิดกฎหมาย-ติ๊กผิดซ้ำซาก นอกจากนี้ พันตำรวจโททักษิณยังยืนยังว่า การโอนและขายหุ้นชินคอร์ปได้ทำถูกต้องตามกฎหมายและโปร่งใส แต่ปรากฎว่า เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2549 ที่ผ่านมา ก.ล.ต. ได้แถลงว่า นายพานทองแท้ได้กระทำผิดพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ถูกปรับเป็นเงิน 5.9 ล้านบาท เช่นเดียวกับคุณหญิงพจมานที่เคยถูกปรับจำนวน 6.3 ล้านบาท นอกจากทำผิดกฎหมายแล้ว ยังพบว่าในแบบรายงานการเปลี่ยนแปลงการถือครองหุ้น(แบบ 246-2) ต่อ ก.ล.ต. ของครอบครัวชินวัตรและผู้เกี่ยวข้องมีการ "กาเครื่องหมายผิด" หรือ "ติ๊กผิด" มาตั้งแต่ปี 2542-2549 พฤติกรรมดังกล่าวทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่า เป็นการจงใจแจ้งเท็จซ้ำซากหรือได้รับคำแนะนำจากที่ปรึกษาที่ว่าจ้างรายใด ปรากฎการณ์ดังกล่าวยังทำให้เห็นว่า ครอบครัววชินวัตรกระทำผิดกฎหมายอย่างซ้ำซากและโยนบาปไปให้ "ไอ้ติ๊ก" มาตลอด โดยที่ ก.ล.ต. ได้แต่ทำตาปริบๆ ---ต่อ--- จากคุณ : ชมพูภูพิงค์ - [ 14 มี.ค. 49 23:35:17 ]

ความคิดเห็นที่ 4 4. หลีกเลี่ยงการเสียภาษี พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตรอ้างว่า การโอนหุ้นให้นายพานทองแท้ เป็นการโอนแบบ "พ่อให้ลูก" ซึ่งกฎหมายให้ทำได้โดยธรรมจรรยา ซึ่งกฎหมายยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีการโอน แต่จากข้อเท็จจริง พันตำรวจโททักษิณ "ขาย" หุ้นให้กับพานทองแท้ในราคาต่ำกว่าท้องตลาดถึงหุ้นละ 140 บาท ซึ่งบรรดานักวิชาการด้านกฎหมายภาษีเห็นว่า ต้องเสียภาษี "ส่วนต่าง" ราคาดังกล่าวหลายพันล้านบาท นอกจากนั้น พันตำรวจโททักษิณยังอ้างว่าการขายหุ้นชินคอร์ปของครอบครัวชินวัตรให้กับเทมาเส็ก เป็นการขายผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จึงได้รับการยกเว้นภาษีตามกฎกระทรวงการคลัง ฉบับที่ 187 กำหนดไว้ว่า เงินที่ได้จากการขายหลักทรัพย์หรือขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ เป็นเงินพึงประเมินที่ได้รับการยกเว้นภาษี การขายหุ้นในลักษณะดังกล่าวมี 2 ช่วง ซึ่งเป็นประเด็นที่มีการถกเถียงในกลุ่มนักวิชาการว่ากรมสรรพกรใช้ดุลินิจและอำนาจโดยมิชอบเป็นการทำลายระบบภาษีของประเทศอย่างรุนแรง จากคุณ : ชมพูภูพิงค์ - [ 14 มี.ค. 49 23:44:01 ]

ความคิดเห็นที่ 5 5. ตั้งบริษัทบนเกาะบริติช เวอร์จิน รักชาติหรือไม่ พันตำรวจโททักษิณ อ้างว่า การตั้งบริษัทบนเกาะบริติช เวอร์จิน(BVI) ซึ่งได้รับฉายาว่า สวรรค์ของนักเลี่ยงภาษีเป็นเรื่องปกติทางธุรกิจ มีบริษัทไทยหลายบริษัทก็ไปเปิดบริษัทที่เกาะดังกล่าว เมื่อพิธีกรในรายการถึงลูกถึงคน ได้ถามประเด็นนี้ พันตำรวจโททักษิณกลับแสดงท่าทีอึกอักและตอบว่า "ผมไม่แน่ใจว่า ผมพูดขนาดนั้นเลยเหรอ ผมว่า ผมไม่ได้พูดขนาดนั้นหรอก" จากคำพูดดังกล่าวเป็นได้ชัดว่า พันตำรวจโททักษิณได้บิดเบือนคำพูดที่ตนเองได้พูดไว้ถึง 2 ครั้ง ---ต่อ--- จากคุณ : ชมพูภูพิงค์ - [ 14 มี.ค. 49 23:49:09 ]

ความคิดเห็นที่ 6 6. หนีตอบวินมาร์คสุดชีวิต ประเด็นที่พันตำรวจโททักษิณหลีกเลี่ยงที่จะตอบมากที่สุดแบบสุดชีวิต คือ กรณีบริษัทวิน มาร์ค ลิมิเต็ด ซึ่งตั้งอยู่บนเกาะบริติช เวอร์จิน ที่พันตำรวจโททักษิณและคุณหญิงพจมานไอนหุ้น 5 บริษัทของตนเองให้แก่บริษัทดังกล่าวเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2543 เป็นมูลค่าเกือบ 1,500 ล้านบาท บริษัททั้ง 5 ประกอบด้วย บริษัท โอเอไอ พร็อพเพอร์ตี้ บริษัท เอสซี ออฟฟิช ปาร์ค บริษัทเวิร์ธ ซัพพลายส์ บริษัทเอสซีเค เอสเตท และบริษัทพีที คอร์ปอเรชั่น สิ่งสำคัญ อาจทำให้ได้เป็นคำตอบว่าอาจมีการซุกซ่อนทรัพย์สินเอาไว้ในต่างประเทศเป็นจำนวนมหาศาล กองทุนที่ถือหุ้นบริษัทเอสซี แอสเซทเป็นเพียงส่วนเล็กๆที่จับได้เท่านั้น ทั้งหมดนี้เป็น "ความจริง" ที่พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร ยังไม่ตอบ อ้างอิงจาก คอลัมน์ "ทัศนะวิจารณ์" หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันอังคารที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2549 แก้ไขเมื่อ 15 มี.ค. 49 00:15:54 จากคุณ : ชมพูภูพิงค์ - [ 14 มี.ค. 49 23:58:14 ]

ความคิดเห็นที่ 7 อยากตอบทุกข้อนะครับ แต่ขี้เกียจพิมพ์ ถ้าอ่าน พันทิพ ก็จะรู้คำตอบทุกข้อเองแหละ เพราะที่นี่เค้ารวบรวมข้อมูลไว้หมด และนายก ก็ตอบแต่ละเรื่องหลายครั้ง เช่นข้อห้า จากคุณ : ^-^MyIdea - [ 15 มี.ค. 49 00:08:08 ]

ความคิดเห็นที่ 8 คุณชมพูพิงค์ครับ ช่วยกลับไปถามหาจรรยาบรรณในการเสนอข่าวของสื่อให้ผมก่อนได้มั้ยครับว่า คุณเป็นกลางจริงหรือ คุณเคยเสนอความจริงในทุกแง่มุมหรือเปล่า คุณเคยพูดความจริงหมดทุกอย่างหรือไม่ หากคุณเสนอข่าวที่ไม่เป็นความจริง แค่คำขอโทษคุณคิดว่าจะลบล้างสิ่งที่คุณตีแผ่ไปก่อนหน้านั้นได้หรือไม่ ครับ ผมก็อยากรู้สิ่งนี้จากปากสื่อเมืองไทยเหมือนกันครับ ยังไงก็ฝากถามให้หน่อยน๊ะครับ เดี๋ยวนี้เห็นข่าวพาดหัวแล้วใจหายอ่ะ กลัวประเทศมันจะแตกครับ จากคุณ : น้องรถถัง - [ 15 มี.ค. 49 00:43:17 ]

ความคิดเห็นที่ 9 อีกข้อยังตอบไม่ได้ปากไม่ดี นะนายกแก้หรือยัง จากคุณ : สกล - [ 15 มี.ค. 49 07:01:20 ]