ความคิดเห็นที่ 31
เอาข้อมูลไปอีกด้าน เวลาเดินจะได้เดินตรงๆ ไม่เดินเอียง หรือหัวขมำไปข้างหน้าซะก่อน
ขออนุญาตเริ่มจากเหตุการณ์การเปลี่ยนแปลง ทางการเมืองครั้งใหญ่(ในช่วงระยะการเมืองไทยยุคใหม่) คือเมื่อครั้งเหตุการณ์ 14-16 ตุลาคม 2516 พันโท มนูญ รูปขจร ผู้บังคับกองพันทหารม้าที่ 4 รักษาพระองค์ ในขณะนั้น เป็นกองพันหลักสำคัญในการตรึงกำลังมิให้เหตุการณ์การจลาจลกลางเมืองตุลามหาวิปโยคบานปลาย อาจพูดได้ว่า พันโท มนูญ รูปขจร ปฏิเสธที่จะนำกำลังเข้าร่วมการปราบปราม พลังนิสิต นักศึกษา ประชาชน ที่เรียกร้องรัฐธรรมนูญ และประชาธิปไตย ประท้วงต่อต้านการสืบทอดอำนาจของรัฐบาลเผด็จการทหารในขณะนั้น ผลสุดท้ายรัฐบาลในขณะนั้น ต้องล่มสลายหลุดจากอำนาจไปในที่สุด นี่คือความสง่างามและภาวะผู้นำของ นายพันโท ทหารบกเล็กๆคนหนึ่ง สง่างามที่เลือกข้างสนับสนุนฝ่ายเรียกร้องรัฐธรรมนูญและประชาธิปไตย
...หลังจากการถึงแก่อนิจกรรมอย่างมีเงื่อนงำของ พล อ. กฤษณ์ สีวะรา กรณีรับประทานข้าวเหนียวมะม่วงภายในโรงพยาบาล พระมงกุฎเกล้าฯ ในขณะที่ พล อ. กฤษณ์ เพิ่งเพิ่งได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ดำรงตำแหน่ง รมว. กลาโหม ในรัฐบาล ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช พรรคประชาธิปัตย์ ขั้วอำนาจ ทางการทหาร เปลี่ยนแปลงเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน ค่อนข้างรุนแรง และนำไปสู่เหตุการณ์ เปลี่ยนแปลงทางการเมือง ด้วยกำลังอำนาจอีกครั้งหนึ่งในปี พ.ศ. 2519 กรณีที่จำกันได้ติดตาติดใจ คือ จอมพล ถนอม กิตติขจร เดินทางกลับประเทศไทยด้วยสถานะสามเณร และเหตุการณ์พัฒนา ไปจนถึง การสังหารหมู่ภายในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ การจัดตั้งรัฐบาลหอย ฯพณฯ ธานินทร์ กรัยวิเชียร เป็นนายกรัฐมนตรี โดยเปรียบเทียบรัฐบาลคือตัวหอย ฝ่ายทหารเป็นเปลือกหอย วางแผนจะอยู่ในอำนาจการเมืองแบบเป็นขั้นเป็นตอน 12 ปี แต่อยู่ไม่ถึง ถูกเปลือกหอยกินตัวหอยเสียก่อน โดยกรณียึดอำนาจจากคณะปฏิรูป การปกครองแผ่นดินด้วยการนำของประธานฯ พล ร.อ. สงัด ชลออยู่
ในช่วงนี้หลังจากสิ้นพล อ. กฤษณ์ สีวะรา แล้วได้มีการสถาปนา กลุ่มทหารศึกษาการเมืองตามวิถีทางไทยขึ้นมาในนามกลุ่มทหารหนุ่ม หรือ ยังเตอร์ก โดยการนำกลุ่มของนายทหารหนุ่มหลายระดับในขณะนั้น รวมตัวกันหลายรุ่นหลายเหล่า โดยแกนนำหลัก นำโดย จปร.7 อาทิเช่น พันโท มนูญ รูปขจร, พันโท ประจักร สว่างจิตร, พันโท จำลอง ศรีเมือง, พันโท พัลลภ ปิ่นมณี, พันโท ชาญบูรณ์ เพ็ญตระกูล, พันโท บุลศักดิ์ โพธิเจริญ, พันเอก นานศักดิ์ ข่มไพรี, พันโท ม.ร.ว. อดุลยเดช จักรพันธ์, พันตรี บุญยัง บูชา, พันตรี สุทิน เชียงทอง, พันตรี รณชัย ศรีสุวรนันท์ ,พันตรี สุรพล ชินะจิตร ฯลฯ ยังเตอร์กเริ่มติดอาวุธทางปัญญาเพิ่มมากขึ้น มีการเชื้อเชิญ ผู้รอบรู้ทางสาขาวิชาต่างๆหลายๆวงการเป็นการภายใน เข้าไปให้ทัศนะบทเรียนต่างๆต่อกลุ่มทหารหนุ่ม
... 26 มีนาคม 2520 เกิดการ รัฐประหารโดยการนำของ พล อ. ฉลาด หิรัญศิริ เลขาธิการฯชื่อ พันโท สนั่น ขจรประศาสน์ แต่ล้มเหลว กำลังหลักของการยับยั้ง รัฐประหารครั้งนั้น คือ กลุ่มทหารหนุ่ม ยังเตอร์กที่มี พันโท มนูญ รูปขจร เป็นผู้นำ และมีชื่อ พันโท ประจักร สว่างจิตร ซึ่งถูกเรียกตัวมาจากภาคเหนือให้เป็นผู้บัญชาการฯในการปราบรัฐประหารครั้งนั้น ณ กรุงเทพมหานคร พล อ. ฉลาด หิรัญศิริ ถูกประหารชีวิตด้วย มาตรา 21 พันโท สนั่น พร้อมพรรคพวกหลายคนถูกจองจำในคุกลาดยาว
... หลังจากเกิดเหตุการณ์ ปฏิรูปการปกครองแผ่นดินฆ่าหมู่ใน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นักศึกษา ประชาชน หลบหนีภัยเข้าป่าไปร่วมกับกองกำลัง พ.ค.พ. ไม่ต่ำกว่า 2 หมื่นคน เหตุการณ์การเมืองพัฒนาไปจน พล อ. เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ยังเตอร์กเป็นกำลังหลักและกุนซือสำคัญให้กับ พล อ. เกรียงศักดิ์ ขณะนั้น และเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้มีการนิรโทษกรรมทางการเมืองครั้งใหญ่ ทำให้ประชาชนนิสิต นักศึกษา ต่างหลั่งไหลกลับเข้าสู่เมือง และสถาบันการศึกษาเป็นระยะๆ คนป่าคืนเมืองเหล่านี้ในปัจจุบันนี้ต่างก็เป็นกำลังหลักให้กับสังคมไทยโดยต่างกรรมต่างวาระกัน กระจายกันอยู่ตามองคาพยพของสังคมไทย ทั้งนักวิชาการ, นักบริหารธุรกิจ, นักการเมือง และสมาชิกพรรคการเมืองต่างๆ
ดังนั้นจึงอยากจะบันทึกไว้ว่านี่คือความสง่างามของยังเตอร์ก กลุ่มทหารหนุ่มในขณะนั้น ซึ่งมีผู้นำชื่อ พันโท มนูญ รูปขจร ที่มองการณ์ไกล วางแผนชักนำให้บุคคลเข้ามาร่วมพัฒนาชาติร่วมกันในที่สุด
... 31 มีนาคม-3 เมษายน 2524 ในห้วงเวลาที่มีนายกรัฐมนตรีชื่อ พล อ. เปรม ติณสูลานนท์ เกิดเหตุการณ์ เมษาฮาวาย ยังเตอร์กปฏิวัติด้วยกำลังรบหลักไม่ต่ำกว่า 48 กองพัน ผนวกกับ การสนับสนุนในภาคประชาชนพอสมควร ลงเอยด้วยการก้าวถอยของฝ่ายก่อการ ด้วยเหตุผลหลักคือไม่ต้องการเกิดสงครามกลางเมืองระหว่างกลุ่มทหารเลือดเนื้อเชื้อไขเดียวกัน และต้องการให้เกิดความสงบภายในประเทศ พันเอก มนูญ รูปขจร ในขณะนั้น ชีวิตทางการเมือง การทหาร ตกต่ำถึงขีดสุด ถูกปลด ถูกถอดยศ ถูกบังคับ เนรเทศ จนในที่สุด ความสง่างามของชีวิต กลับมาอีกครั้งหนึ่งด้วยการได้รับพระราชทานอภัยโทษ และนิรโทษกรรมทางการเมือง และได้รับการคืนยศเฉกเช่นเดิม
เมื่อสิ้นสุดรัฐบาล พล อ. เปรม พล อ. ชาติชาย ชุณหวัณ เป็นนายกรัฐมนตรีสืบต่อมา ได้จัดส่งบุคคลพร้อมเทียบเชิญให้กลับเข้าสู่ประเทศไทย ในขณะที่พำนักอยู่ในประเทศเยอรมันนีพร้อมครอบครัว ได้รับพระราชทานยศ พลตรี ในตำแหน่ง เลขานุการ รมว.กลาโหม ความสง่างามในขณะนั้นคือการได้รับความยอมรับ จากรัฐบาลชาติชาย และถูกมอบหมายงานในภารกิจสำคัญ ด้านความมั่นคงหลายประการ จนในที่สุดเกิดเหตุการณ์ ร.ส.ช. ขึ้นมา โดยการนำรัฐประหารของ พล อ. สุนทร คงสมพงษ์, พล อ. สุจินดา คราประยูร ฯลฯ พลตรี มนูญ รูปขจร ต้องลี้ภัยรัฐประหารอีกครั้งหนึ่งด้วยข้อหาฉกรรจ์
... พฤษภาคม 2535 ในรัฐบาล พล อ. สุจินดา คราประยูร นายกรัฐมนตรี ขณะนั้นเกิดเหตุการณ์พฤษภาทมิฬการต่อสู้ของภาคประชาชน โดยการนำของ พล ต. จำลอง ศรีเมือง กดดันจนในที่สุดรัฐบาลในขณะนั้นต้องล่มไปด้วยอายุเพียง 47 วัน
พล ต. มนูญ กลับเข้าสู่คดี ภายใต้ศาลทหารในกรณีคดีลอบสังหาร ผลที่สุด ศาลทหารพิพากษายกฟ้องไม่มีมูลความผิด เป็นที่สิ้นสุดคดีความ ครั้งนี้ถือเป็นความสง่างามของชีวิตครั้งใหญ่ ประชาชนโดยทั่วไปได้ทราบอย่างแน่ชัดว่า จำเลยคือ พล ต. มนูญถูกกลั่นแกล้งใส่ความจากผู้มีอำนาจในขณะนั้น
... พล ต. สนั่น ขจรประศาสน์ ซึ่งเป็นซึ่งเป็นเพื่อนร่วมเหล่าทหารม้าวัยเดียวกัน ชักนำเข้าไปสู่ภาคการเมืองระบบพรรคในพรรคประชาธิปัตย์ พล ต. มนูญ มักประกาศเสมอว่าเข้ามาช่วยเพื่อน และช่วยเหลือส่วนตัว ต่อ พล ต. สนั่น ซึ่งอาจแปลได้ว่า พรรคประชาธิปัตย์ สมัยนายชวน หลีกภัยเป็นผู้นำ ไม่สนับสนุน หรือยอมรับโดยเด่นชัด(เพราะอะไร? ผู้มีปัญญาทางการเมืองกรุณาไตร่ตรองแล้วจะทราบ)
... ภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน พล ต. มนูญกฤต รูปขจร ตัดสินใจลงสมัครแข่งขันเลือกตั้ง สมาชิกวุฒิสภา ณ จังหวัด สระบุรี เมืองที่ผูกพันยิ่งรองจากอยุธยาบ้านเกิด ท่านได้รับเลือกตั้งมาด้วยคะแนนเสียงท่วมท้น เป็นที่หนึ่ง นับเป็นความสง่างามในวิถีทางประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
หลังจากเสนอตัวเข้าแข่งขันคัดเลือกในตำแหน่งประธานวุฒิสภา และพ่ายแพ้ต่อ นาย สนิท วรปัญญา แล้ว เมื่อมีโอกาสใหม่เพราะนาย สนิท วรปัญญา ตกบันได สถานะทางการเมืองเป็นเหตุให้ พล ต. มนูญกฤต เสนอตัวเข้าทำการแข่งขันอีกครั้งหนึ่ง และผลที่สุดก็ได้รับความไว้วางใจ จากสมาชิกวุฒิสภา เลือกให้เป็นประธานวุฒิสภา คนที่ 2 ครั้งนี้น่าจะปฏิเสธไม่ได้ว่านับเป็นความสง่างามและได้รับการยอมรับอย่างชัดเจน จากสมาชิกเสียงส่วนข้างมากในขณะนั้น
มาถึงวันนี้มีสมาชิกวุฒิสภาส่วนหนึ่ง ทวงถามถึงความสง่างามและการยอมรับ ของ ส.ว. ต่อท่านประธานวุฒิสมาชิก ซึ่งไม่ทราบว่ามีมาตรฐานอะไรหรือใช้เครื่องมืออะไรมาเป็นเครื่องวัด นอกเหนือจากความไม่พอใจส่วนตัวเพียงเท่านั้นหรือ? และอยากจะถามท่าน ส.ว. เหล่านั้นที่ออกมากดดันว่า มีนัยยะทางการเมืองที่ซ่อนเร้นอะไรอยู่หรือไม่ ? และท่านประธานวุฒิฯ พล ต. มนูญกฤต รูปขจร ประพฤติตนผิดพลาด เสื่อมเสียบกพร่อง อะไร? อย่างไร? ที่ทำให้ส่วนรวมของสังคม และประเทศชาติเสียหาย การทีจับประเด็นเอาคำพูดที่แสดงวิสัยทัศน์แล้วเอามาตีความเป็นสัญญาประชาคมนั้น น่าจะเป็นเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้น และประธานวุฒิฯ ก็ได้ออกมาชี้แจงถึงความหมายที่ท่านพูดออกไปแล้วว่าหมายความว่าอย่างไรลูกผู้ชายคำพูดย่อมเป็นนาย แต่ถ้าพูดผิดพูดใหม่ได้
ทุกวันนี้น่าจะพูดถึงความสง่างามของวุฒิสภา มากกว่าอย่างอื่น ส.ว. น่าจะช่วยกันตรอง และหาแนวทางช่วยกันสร้างให้วุฒิสภามีความสง่างามและได้รับการยอมรับโดยองค์รวม เป็นศักดิ์เป็นศรี ของระบอบการเมืองไทยมากกว่าอย่างอื่น วุฒิสภาจักต้องเป็นองค์กรทางการเมืองที่ได้รับการยอมรับและประชาชนฝากความหวังไว้ได้ในฐานะที่ต้องเป็นองค์กรทาง
การเมืองที่คอยถ่วงดุล ตรวจสอบภาครัฐบาล มิใช่พยายามแบ่งเป็นพรรคเป็นพวกกันเยี่ยงทุกวันนี้ ฝ่ายบริหารเขาจะแบ่งเป็นพรรคเป็นพวกเป็นกลุ่มทางการเมืองอย่างไร ก็เป็นเรื่องของพวกเขา เพราะเขามาจากพรรคการเมือง มุ้งการเมือง แต่ ส.ว. ไม่ใช่ ท่านมาจากอิสระชน ท่านไม่ใช่มาจากพรรคการเมือง แล้วท่านจะไปรับใช้พรรคการเมืองได้อย่างไร?
สิ่งหนึ่งที่น่าจะบันทึกได้เป็นเกร็ด แห่งการรับรู้ทางการเมืองว่า ท่านประธานวุฒิฯ พล ต. มนูญกฤต ท่านเปรียบได้กับกวนอูทางการเมืองนายในดวงใจท่านมีคนเดียวที่ผูกพันยิ่ง ท่านนั้นคือ พล อ. กฤษณ์ สีวะรา บุคคลผู้พลิกแปรดุลกำลังทางทหารและการเมืองครั้งใหญ่เมื่อ พ.ศ. 2516 ดังนั้นจากนามมนูญ จึงมาสู่ มนูญกฤต (ออกเสียงคล้ายๆ) กวนอูมีนายชื่อเล่าปี่ฉันใดมนูญกฤตมีนายชื่อพล อ. กฤษณ์ฉันนั้น บุคคลอื่นที่ พล ต. มนูญกฤต เคยสนับสนุนคงเป็นเพียงผู้ใหญ่ที่เหมาะสม สมควรสนับสนุนมากกว่าอย่างอื่น และทุกคนก็มาจากสาแหรกเดียวกัน คือ ลูกน้อง พล อ. กฤษณ์ สีวะรา ทั้งนั้น
ความสง่างามขอ ประธานวุฒิสภา พล ต. มนูญกฤต รูปขจร ในปัจจุบันและอนาคตต่อไปจะอยูที่นายตลอดกาลนั่นคือชาติและราษฎรท่านจักต้องซื่อสัตย์มั่นคงต่อชาติและราษฎร
ท่านจะต้องประพฤติธรรมให้สุจริต ทำความดีให้สุจริต ดังพระพุทธพจน์ คือธัมมัง สุจริตตัง จเร ความสง่างามและการยอมรับในสิ่งนี้จะเป็นอมตะ โดยท่านมิต้องไปพะวักพะวงกับ ความสง่างามและการยอมรับจอมปลอม จาก ส.ว. บางท่านบางกลุ่ม ที่ถากถางท่านอยู่ในขณะนี้เลยและบุคคลเหล่านั้นจักต้องกลับไปไตร่ตรอง พิจารณา สำเหนียกตัวเองว่าตัวตนเองมีความสง่างามในฐานะสมาชิกวุฒิสภาผู้ทรงเกียรติเพียงพอหรือไม่ ก่อนอื่นใด
ว่ะ555
จากคุณ :
SilentPower
- [
15 มี.ค. 49 13:24:56
]
|
|
|