ความคิดเห็นที่ 51
ทั้งในฐานะลูกหนี้และในฐานะคู่ค้าในฐานะลูกหนี้ที่ไม่ต้องชดใช้หนี้ด้วยเงินสด แต่สามารถชดใช้ด้วยกระดาษหน้าหนังสือพิมพ์ ซึ่งตีราคากันไว้ที่หน้าละ 286,600 บาท เดือนละ 12 หน้า สำหรับผู้จัดการรายวัน ก็คิดเป็นเงิน 3,432,000 บาท หากคิดเป็นปีก็เท่ากับ 41,184,000 บาท 10 ปีผ่านไปก็เท่ากับ 410,184,000 บาท
หากใช้วิธีการกันแบบนี้ไม่นานนัก หนี้จำนวนมหาศาลของผู้จัดการ ก็จะหมดลงได้ยังพอเห็นแสงเทียนที่ปลายอุโมงค์นี่ยังไม่นับสื่ออื่นๆ อีก เช่น ผู้จัดการรายสัปดาห์ ผู้จัดการรายเดือน และเว็บไซต์ที่ก็มีเงื่อนไขการชดใช้หนี้ด้วยหน้ากระดาษเช่นเดียวกัน
ดังนั้น หากจะมีใครสักคนที่เสกกระดาษเป็นเงินได้จริงๆ คนคนนั้นย่อมชื่อสนธิ ลิ้มทองกุล ด้วยเงื่อนไขพิเศษนี้เองที่ทำให้สนธิ เป็นเดือดเป็นร้อนแทนวิโรจน์ นวลแข และโกรธแค้นผู้ว่าแบงก์ชาติ โกรธแค้นนายกรัฐมนตรีที่ไม่สนับสนุนคนที่สนธิสนับสนุนการหวนคืนสู่วงการธุรกิจสื่อในประเทศของสนธิในรอบนี้ สนธิในฐานะผู้ประกอบการที่มี "หนี้เน่า" จำนวนมากที่สุดในอุตสาหกรรมสิ่งพิมพ์ ที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ ได้รับสิทธิพิเศษมากกว่าผู้ประกอบการรายอื่นๆ และลูกหนี้รายอื่นๆ ด้วยแต้ต่อ ที่เรียกว่าการแฮร์คัทหนี้ หรือการลดหนี้ที่ตัวเองก่อไว้มากกว่า 6 พันล้านบาท
ด้วยหนี้จำนวน 6 พันล้านบาท ที่สนธิได้รับประโยชน์ไปนี้ เป็นเงินที่รัฐบาลต้องใช้เงินภาษีประชาชนมาชดใช้แทน ทั้งๆ ที่ไม่ได้ร่วมก่อหนี้ และไม่ได้รับประโยชน์จากเงิน 6 พันล้านบาท ทั้งขาที่ก่อหนี้ และขาที่ชดใช้หนี้ แม้แต่สลึงเดียว การแฮร์คัทหนี้ หรือลดหนี้ในครั้งนั้น เป็นที่มาของข้อกล่าวหาว่าสนธิ ได้รับปฏิบัติจากธนาคารเจ้าหนี้ซึ่งเป็นธนาคารรัฐบาล ในมาตรฐานที่พิเศษกว่าลูกหนี้ทุกรายและ
ธนาคารรัฐบาลที่เป็นผู้นำในการแฮร์คัทหนี้ จำนวนนี้ให้แก่สนธิ ก็ไม่ใช่ธนาคารไหนเลย ก็คือธนาคารกรุงไทยที่อยู่ภายใต้การกำกับของวิโรจน์ นวลแข นั่นเอง
จากคุณ :
Phyllis
- [
16 มี.ค. 49 01:33:39
]
|
|
|