ความคิดเห็นที่ 1 ไปอยู่ที่ ทรท.ซะเยอะ จากคุณ : อำพรางอำยวน - [ 19 มี.ค. 49 19:48:11 ]

ความคิดเห็นที่ 2 อาจารย์ นักวิชาการ หรือกลุ่มคนบางกลุ่ม ไม่ควรกล่าวอ้างประชาชน ไม่ควรสมอ้างว่าเป็นตัวแทนของประชาชน ควรสำเหนียกว่าพวกท่านก็ 1 ชีวิต  1 เสียง ......สำเหนียกว่าพวกท่านก็คนธรรมดาที่มีกิเลส ทำดีได้ ทำชั่วได้แล้วแต่โอกาสและสิ่งแวดล้อม ......ตราบใดที่ท่านยังพิสูจน์ตัวเองต่อหน้าสาธารณชนไม่ได้ว่า ท่านคือบุคคลผู้มีภูมิคุ้มกันอย่างยิ่งยวด ต่อความทุจริตคิดมิชอบ  ท่านละเว้นประโยชน์ที่พึงจะได้ด้วยสามัญสำนึกแห่งคุณธรรม ด้วยตัวเอง *****ตราบนั้นท่านก็คือคนธรรมดาเหมือนคนอื่น หรือหากมีโอกาสใครจะรู้ได้ว่าท่านอาจเลวมากกว่าคนที่ท่านด่าก็ได้ แก้ไขเมื่อ 19 มี.ค. 49 20:20:09 จากคุณ : ไม้กวาดขยะ - [ 19 มี.ค. 49 19:53:37 ]

ความคิดเห็นที่ 3 และมีคำถามต่ออีกว่าระหว่าง กฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน กับพรรคไทยรักไทย ......ใครเกิดก่อน ??? จากคุณ : ไม้กวาดขยะ - [ 19 มี.ค. 49 19:56:14 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ถ้าจะถามถึงกติกา และการเล่นตามกติกา คงจะหาคำตอบที่สมเหตุสมผลจากฝ่ายที่ขับไล่นายกไม่ได้หรอกครับ คนพวกนี้พยายามล้มกระดาน แล้วลงไปเล่นใต้ดินแทนเพื่อหวังพลิกมาเป็นผู้ชนะ จากคุณ : xtraordinary - [ 19 มี.ค. 49 20:03:04 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ไปเป็นลูกน้องทักษิณหลายคน จากคุณ : Can (ไทเมือง) - [ 19 มี.ค. 49 20:11:36 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ถามถึงกลุ่มคนที่ร่วมประชุมแล้วลงมติในการเรียกขานการเมืองปัจจุบันว่า " ระบบทักษิณ " สั่งสมการพอกหน้า และใช้เวลาในการชะล้างจริยธรรมออกจากใจ นานแค่ไหน ถึงคิดเรื่องแบบนี้ได้  หรือว่า.. ตามปกติก็เป็นแบบนี้อยู่แล้ว????? จากคุณ : ไม้กวาดขยะ - [ 19 มี.ค. 49 20:17:01 ]

ความคิดเห็นที่ 7 อดีต สสร. คุณคณิน บุญสุวรรณ  ฝากมาให้คิด ยังอยู่รับใช้ประชาชน ม.7 ทางออกฉุกเฉิน ขณะเขียนเรื่องนี้อยู่เสียงตะโกน “ทักษิณ...ออกไป” ยังดังก้องแถวทำเนียบรัฐบาล งานนี้จึงยังคงเป็นศึกยืดเยื้อต่อไป จะนานแค่ไหนไม่รู้เหมือนกัน ผู้นำส่งเสียงที่แหบเครือเพราะพิษไข้มาจากอุบลราชธานีผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์มาถึง ครม. ที่กรุงเทพฯ ยืนยันสู้ต่อพร้อมขอร้อง “ให้ใจกันบ้าง” ท่ามกลางกระแสการเมืองที่ตึงเครียดหลายฝ่ายต่างมีข้อเสนอแนะ นอกจากเรียกหาความปรองดองแล้ว ยังเรียกร้องให้ผู้นำเสียสละเพื่อให้ความสงบสุขกลับคืนมา อีกทั้งยังมีผู้เห็นว่า รัฐธรรมนูญมาตรา 7 คือ ทางออกในช่วงที่บ้านเมืองกำลังจะเกิดวิกฤติ คณิน บุญสุวรรณ ก็เป็นอีกคนที่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ โดยบอกว่าคนที่พูดว่า ถ้าใช้มาตรา 7 เท่ากับฉีกรัฐธรรมนูญ นอกจากจะสะท้อนตัวตนที่แท้จริงซึ่งอาจจะมาจากยึด “อัตตา“ และ “ความรู้สึก” จนถอนตัวไม่ขึ้นแล้ว ยังแสดงให้เห็นว่าคนๆนั้น ไม่รู้จักด้วยซ้ำว่ารัฐธรรมนูญ คืออะไร และรัฐธรรมนูญมีไว้เพื่ออะไร เขายังบอกอีกว่า หากเปรียบเทียบว่า การปกครองระบอบประชา ธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ตามมาตรา 2 เป็นเสมือนอาคารขนาดใหญ่ที่ปวงชนชาวไทยกว่า 60 ล้านคน ได้พักอาศัยอยู่ มาตรา 7 ก็จะเป็นเสมือน “ทางออกฉุกเฉิน” ของปวงชนชาวไทย ในยามที่บ้านเมืองเกิดวิกฤติ หรือเจอทางตัน ถ้าหมุนเวลาย้อนหลังไปได้ ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์นองเลือดในเหตุการณ์ 14 ตุลา 16, 6 ตุลา 19 และพฤษภา 35 หากทุกฝ่ายได้ฉุกคิดกันสักนิดว่าช่องทางตามมาตรา 7 น่าจะเป็น “ทางออกฉุกเฉิน” ของปวงชนชาวไทยแล้ว การสูญเสียเลือดเนื้อ และความรุนแรงซึ่งกระทบภาพลักษณ์ของประเทศก็จะไม่เกิด การที่ได้ทรงแต่งตั้ง “นายกฯ พระราชทาน” หลังวันมหาวิปโยค อันเกิดจากเหตุการณ์นองเลือด 14 ตุลา 16 การที่ต้องลงพระปรมาภิไธยประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2519 ภายหลังเหตุการณ์นองเลือด 6 ตุลา 19 ทั้ง ๆ ที่เป็นรัฐธรรมนูญที่ร่างขึ้นโดยคณะรัฐประหาร และการที่มีพระราชกระแสให้คู่กรณีในเหตุการณ์พฤษภา 35 เข้าเฝ้าฯ และทรงแนะนำให้ยุติความขัดแย้งระหว่างคนในชาติ ล้วนแล้วแต่เป็นการ “พระราชทาน” ภายหลังจากที่ได้เกิดเหตุการณ์อันไม่พึงปรารถนาทั้งสิ้น ที่สำคัญเป็นกรณีที่ต้องทรงลงมาคลี่คลายสถานการณ์ด้วยพระองค์เอง เนื่องจากก่อนหน้านั้น ไม่มีฝ่ายใดยอมเสียสละ ให้พระองค์ได้ใช้พระบารมีและพระบรมราชวินิจฉัยตามกรอบของรัฐธรรมนูญและจารีตประเพณีอันดีงามเลย หรือว่าครั้งนี้ก็จะเป็นเช่นเดิมอีก ต้องรอให้เกิดเหตุการณ์นองเลือดล้มล้างรัฐธรรมนูญเสียก่อน สถานการณ์ทางการเมืองที่เข้าขั้นรุนแรง ตึงเครียด และเผชิญหน้าอย่างเอาเป็นเอาตาย แถมยังจะมีการเลือกตั้งในวันที่ 2 เมษายน 2549 เป็นเสมือนกองไฟที่ร้อนระอุอยู่ข้างหน้า ที่มีแนวโน้มจะมี ส.ส.ไม่ครบ 500 คน หากใครยังบอกว่า “ยังไม่ถึงขั้นวิกฤติ” แล้วถ้าไม่เป็นเพราะคนๆ นั้นตกอยู่ในความประมาท ก็อาจเป็นเพราะเขาไม่อยากให้ใช้มาตรา 7 ถึงนาทีนี้คนที่จะตัดสินใจว่า คุ้มหรือไม่คุ้มที่จะเอาประเทศชาติและรัฐธรรมนูญ รวมทั้งภาษีอากรของประชาชนกว่า 2 พันล้านบาท ไปเสี่ยงกับการเลือกตั้งซึ่งไม่สมประกอบและผิดปกติ มีอยู่เพียงคนเดียว คนๆนั้นคือ ประธานกรรมการการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นผู้รักษาการตามมาตรา 5 ของพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร นอกจากนั้นยังเป็นผู้รักษาการตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งอีก 3 ฉบับ รวมทั้งเป็นนายทะเบียนพรรคการเมือง โดยตำแหน่งอีกด้วย ประธาน กกต. ต้องตัดสินใจอย่างไรเพื่อคลี่คลายปัญหา ถ้าประธาน กกต. และ กกต. พิจารณาแล้ว เห็นว่าคงไม่สามารถดำเนินการเลือกตั้งในสภาพที่ไม่สมประกอบและผิดปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเลือกตั้งไปแล้วก็เปิดสภาไม่ได้ ทั้งยังเชื่อมโยงกับสถานการณ์ความขัดแย้งแตกแยกกันใน ทางการเมืองที่กำลังทวีความรุนแรงและการเผชิญหน้าอยู่ทุกขณะ เมื่อเป็นเช่นนี้ กกต. ก็มีอำนาจที่จะสั่งการอย่างใดอย่างหนึ่งตามกรอบของรัฐธรรมนูญ นั่นก็คือ สั่งเลื่อนการเลือกตั้งออกไปอีก แต่ไม่เกิน 60 วันนับแต่วันยุบสภา ทั้งนี้ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 116 มาตรา 144 และมาตรา 145 แต่ถ้าเห็นว่า ถึงแม้จะสั่งเลื่อนการเลือกตั้งออกไปอีกจนครบ 60 วันตามรัฐธรรมนูญแล้ว บ้านเมืองก็ยังจะไม่พ้นวิกฤติอยู่ดี ประธาน กกต. ก็ชอบที่จะหา “ทางออกฉุกเฉิน” ให้แก่ประเทศชาติและปวงชาวไทยอย่างเร่งด่วน นั่นก็คือมาตรา 7 ของรัฐธรรมนูญ เพราะไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญบังคับแก่กรณีนี้อีกต่อไปแล้ว ข้อถกเถียงที่นักวิชาการบางคนมักจะอ้างว่ามาตรา 7 ใช้ไม่ได้ เพราะไม่มีผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการนั้น เป็นข้อสันนิษฐานตามบรรทัดฐานของรัฐธรรมนูญฉบับก่อน ๆ ที่ในเมื่อไม่มีทั้งนายกรัฐมนตรีและไม่มีทั้งประธานรัฐสภาแล้ว ใครเล่าจะเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ แต่สำหรับรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ถ้าเป็นกรณีเกิดทางตันทางรัฐธรรมนูญ ในขณะที่อยู่ในความรับผิดชอบของ กกต. และจะใช้มาตรา 7 ผ่าทางตันเช่นว่านั้นแล้ว ประธาน กกต. นี่แหละที่จะเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ แต่ที่สำคัญคือ ประธาน กกต. ต้องเป็นผู้นำความกราบบังคมทูล เพื่อถวายคำแนะนำและขอพระราชทานพระบรมราชวินิจฉัย ในอันที่จะขอให้ทรงมีพระบรมราชโองการตราพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรขึ้นใหม่ โดยกำหนดวันเลือกตั้งประมาณกลางเดือนกรกฎาคม 2549 ซึ่งเป็นเวลา 120 วันนับจากนี้ไป ทางออกฉุกเฉินโดยวิธีนี้ นอกจากจะเป็นการหาทางออกแบบนุ่มนวลและไม่หักหาญแล้ว ยังไม่ต้องมีการแก้รัฐธรรมนูญมาตราใดทั้งสิ้นอีกด้วย เพราะยังคงใช้กติกาเดิม คือผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. ต้องสังกัดพรรค 90 วัน และที่น่าจะเป็นทางออกที่ดีสำหรับการเมืองไทยอีกอย่างหนึ่งก็คือ การรวมตัวกันของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จัดตั้งเป็นพรรคการเมืองลงสู้เลือกตั้งคราวนี้ด้วย กลายเป็นพรรคทางเลือกที่ 3 นอกเหนือไปจากพรรคไทยรักไทย และอดีตพรรคร่วมฝ่ายค้าน 3 พรรค ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ ตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือนเต็มของเดือนมิถุนายน จะได้เป็นช่วงที่ปลอดการชุมนุมและความขัดแย้งทางการเมือง นี่แหละคือข้อเสนอให้ใช้มาตรา 7 เป็น “ทางออกฉุกเฉิน” ของชาติ อันถือเป็นด่านแรกของการใช้ “มาตรา 7 เพื่อชาติ” ต่อจากนั้นบุคคล 3 ฝ่ายต้องเสียสละถอยคนละหนึ่งก้าวเพื่อความสงบสุข และพร้อมกันถวายความจงรักภักดีในวโรกาสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงครองราชย์ครบ 60 ปี แต่ก่อนอื่น กกต. ต้องตัดสินใจถอยหนึ่งก้าว เพื่อที่จะให้ 3 ฝ่ายถอยตาม เพราะถ้า กกต. ไม่ยอมถอยการเลือกตั้งวันที่ 2 เมษายนก็จะกลายเป็น “สมรภูมิรบ” ที่ทำให้บ้านเมืองแตกเป็นเสี่ยงๆเนื่องจากประชาชนฝ่ายที่ “เอาทักษิณ” กับฝ่ายที่ “ไม่เอาทักษิณ” จะตีกันตาย จนพาบ้านเมืองพังไปด้วย ที่ร้ายกว่านั้น บุคคล 3 ฝ่ายจะตกอยู่ในสภาพ “ถูกขึงพืด” ให้หันหน้าชนกันแหลกไปข้างหนึ่ง ถ้า กกต. ไม่จับแยกเสียก่อน เวลานี้อนาคตและชะตากรรมของประเทศอยู่ในมือของ กกต. แล้ว. จากคุณ : จงเจริญ - [ 19 มี.ค. 49 20:46:12 ]

ความคิดเห็นที่ 8 สวัสดีครับพี่ เจริญๆ อะไรก็ได้ครับ บนกรอบกติกา เพื่อความสงบของบ้านเมือง แต่ที่ผมหวั่นใจ บางทีอาจคิดมากไปคือ คือกลัวลูกติดตาม ลูกติดใจจากสนธิ    พี่ลอง คงไม่เท่าไหร่แค่ดื้อรั้นและสู้ตายคงรู้จักพอ....แต่ที่น่ากลัวคือ กลัวสนธิมาเรียกร้องฉกฉวยหรือกรรโชกจากรัฐบาลต่อๆไปเพราะความเคยชิน ความวุ่นวายก็ไม่จบ จากคุณ : ไม้กวาดขยะ - [ 19 มี.ค. 49 21:04:06 ]

ความคิดเห็นที่ 9 การสร้างความรับรู้ร่วมกันของสังคม มิใช่จะทำได้ง่าย ๆ กว่าจะมีวันนี้ ประชาชนแลกเปลี่ยน เรียนรู้ความไม่ชอบมาพากลของรัฐบาลมานาน ผมไม่เชื่อว่า หากไม่มีประเด็นใหญ่ ๆ ผู้คนทั้งสังคมคงไม่ยอมรับ จากคุณ : Can (ไทเมือง) - [ 19 มี.ค. 49 21:15:20 ]

ความคิดเห็นที่ 10 มีเหตุผลครับ คุณแคน ถ้าไม่มีประเด็นสำคัญประเด็นใหญ่ๆ สังคมคงไม่ยอมรับ แต่ถ้ารัฐบาลกลัวแบบงุบงิบขออะไรได้หมดล่ะ ..เฮ้อ จากคุณ : ไม้กวาดขยะ - [ 19 มี.ค. 49 23:22:53 ]