สถานการณ์ทางการเมืองที่เข้าขั้นรุนแรง ตึงเครียด และเผชิญหน้าอย่างเอาเป็นเอาตาย แถมยังจะมีการเลือกตั้งในวันที่ 2 เมษายน 2549 เป็นเสมือนกองไฟที่ร้อนระอุอยู่ข้างหน้า ที่มีแนวโน้มจะมี ส.ส.ไม่ครบ 500 คน หากใครยังบอกว่า ยังไม่ถึงขั้นวิกฤติ แล้วถ้าไม่เป็นเพราะคนๆ นั้นตกอยู่ในความประมาท ก็อาจเป็นเพราะเขาไม่อยากให้ใช้มาตรา 7
ถึงนาทีนี้คนที่จะตัดสินใจว่า คุ้มหรือไม่คุ้มที่จะเอาประเทศชาติและรัฐธรรมนูญ รวมทั้งภาษีอากรของประชาชนกว่า 2 พันล้านบาท ไปเสี่ยงกับการเลือกตั้งซึ่งไม่สมประกอบและผิดปกติ มีอยู่เพียงคนเดียว
คนๆนั้นคือ ประธานกรรมการการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นผู้รักษาการตามมาตรา 5 ของพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร
นอกจากนั้นยังเป็นผู้รักษาการตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งอีก 3 ฉบับ รวมทั้งเป็นนายทะเบียนพรรคการเมือง โดยตำแหน่งอีกด้วย
ประธาน กกต. ต้องตัดสินใจอย่างไรเพื่อคลี่คลายปัญหา
ถ้าประธาน กกต. และ กกต. พิจารณาแล้ว เห็นว่าคงไม่สามารถดำเนินการเลือกตั้งในสภาพที่ไม่สมประกอบและผิดปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเลือกตั้งไปแล้วก็เปิดสภาไม่ได้
ทั้งยังเชื่อมโยงกับสถานการณ์ความขัดแย้งแตกแยกกันใน ทางการเมืองที่กำลังทวีความรุนแรงและการเผชิญหน้าอยู่ทุกขณะ
เมื่อเป็นเช่นนี้ กกต. ก็มีอำนาจที่จะสั่งการอย่างใดอย่างหนึ่งตามกรอบของรัฐธรรมนูญ นั่นก็คือ สั่งเลื่อนการเลือกตั้งออกไปอีก แต่ไม่เกิน 60 วันนับแต่วันยุบสภา ทั้งนี้ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 116 มาตรา 144 และมาตรา 145
แต่ถ้าเห็นว่า ถึงแม้จะสั่งเลื่อนการเลือกตั้งออกไปอีกจนครบ 60 วันตามรัฐธรรมนูญแล้ว บ้านเมืองก็ยังจะไม่พ้นวิกฤติอยู่ดี ประธาน กกต. ก็ชอบที่จะหา ทางออกฉุกเฉิน ให้แก่ประเทศชาติและปวงชาวไทยอย่างเร่งด่วน
นั่นก็คือมาตรา 7 ของรัฐธรรมนูญ เพราะไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญบังคับแก่กรณีนี้อีกต่อไปแล้ว
ข้อถกเถียงที่นักวิชาการบางคนมักจะอ้างว่ามาตรา 7 ใช้ไม่ได้ เพราะไม่มีผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการนั้น เป็นข้อสันนิษฐานตามบรรทัดฐานของรัฐธรรมนูญฉบับก่อน ๆ ที่ในเมื่อไม่มีทั้งนายกรัฐมนตรีและไม่มีทั้งประธานรัฐสภาแล้ว ใครเล่าจะเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
แต่สำหรับรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ถ้าเป็นกรณีเกิดทางตันทางรัฐธรรมนูญ ในขณะที่อยู่ในความรับผิดชอบของ กกต. และจะใช้มาตรา 7 ผ่าทางตันเช่นว่านั้นแล้ว
ประธาน กกต. นี่แหละที่จะเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
แต่ที่สำคัญคือ ประธาน กกต. ต้องเป็นผู้นำความกราบบังคมทูล เพื่อถวายคำแนะนำและขอพระราชทานพระบรมราชวินิจฉัย ในอันที่จะขอให้ทรงมีพระบรมราชโองการตราพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรขึ้นใหม่ โดยกำหนดวันเลือกตั้งประมาณกลางเดือนกรกฎาคม 2549 ซึ่งเป็นเวลา 120 วันนับจากนี้ไป
ทางออกฉุกเฉินโดยวิธีนี้ นอกจากจะเป็นการหาทางออกแบบนุ่มนวลและไม่หักหาญแล้ว ยังไม่ต้องมีการแก้รัฐธรรมนูญมาตราใดทั้งสิ้นอีกด้วย
เพราะยังคงใช้กติกาเดิม คือผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. ต้องสังกัดพรรค 90 วัน
และที่น่าจะเป็นทางออกที่ดีสำหรับการเมืองไทยอีกอย่างหนึ่งก็คือ การรวมตัวกันของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จัดตั้งเป็นพรรคการเมืองลงสู้เลือกตั้งคราวนี้ด้วย กลายเป็นพรรคทางเลือกที่ 3 นอกเหนือไปจากพรรคไทยรักไทย และอดีตพรรคร่วมฝ่ายค้าน 3 พรรค
ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ ตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือนเต็มของเดือนมิถุนายน จะได้เป็นช่วงที่ปลอดการชุมนุมและความขัดแย้งทางการเมือง
นี่แหละคือข้อเสนอให้ใช้มาตรา 7 เป็น ทางออกฉุกเฉิน ของชาติ อันถือเป็นด่านแรกของการใช้ มาตรา 7 เพื่อชาติ
ต่อจากนั้นบุคคล 3 ฝ่ายต้องเสียสละถอยคนละหนึ่งก้าวเพื่อความสงบสุข และพร้อมกันถวายความจงรักภักดีในวโรกาสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงครองราชย์ครบ 60 ปี
แต่ก่อนอื่น กกต. ต้องตัดสินใจถอยหนึ่งก้าว เพื่อที่จะให้ 3 ฝ่ายถอยตาม เพราะถ้า กกต. ไม่ยอมถอยการเลือกตั้งวันที่ 2 เมษายนก็จะกลายเป็น สมรภูมิรบ ที่ทำให้บ้านเมืองแตกเป็นเสี่ยงๆเนื่องจากประชาชนฝ่ายที่ เอาทักษิณ กับฝ่ายที่ ไม่เอาทักษิณ จะตีกันตาย จนพาบ้านเมืองพังไปด้วย
ที่ร้ายกว่านั้น บุคคล 3 ฝ่ายจะตกอยู่ในสภาพ ถูกขึงพืด ให้หันหน้าชนกันแหลกไปข้างหนึ่ง ถ้า กกต. ไม่จับแยกเสียก่อน
เวลานี้อนาคตและชะตากรรมของประเทศอยู่ในมือของ กกต. แล้ว.
ขอให้เลื่อนการเลือกตั้งอีก ๑๒๐ วัน ทุกอย่างน่าจะจบลงได้
และให้ทุกฝ่ายลงแข่งขันกันในการเลือกตั้ง ในวันที่ ๒๓ ก.ค. ๔๙
ถอยคนละก้าวพร้อมๆกัน
พันธมิตรยุติการชุมนุม-นายกลาออกจากการรักษาการ- กกต.เลื่อนการเลือกตั้ง
จากคุณ :
จงเจริญ
- [
23 มี.ค. 49 00:19:02
]