ข้อความต่อไปนี้น่าศึกษา
ความขัดแย้งครั้งใหญ่ในสังคมไทยขณะนี้ นอกจากจะเป็นการต่อสู้กันระหว่างรัฐบาล ที่ต้องการปฏิรูปสังคมไทยตามแนวทางทุนนิยมโลกาภิวัฒน์ กับกลุ่มแนวร่วมต่อต้านโลกาภิวัฒน์แล้ว ยังมีมิติทางชนชั้นอันแหลมคมคือ เป็นการต่อสู้ครั้งสำคัญระหว่างชนชั้นล่างในเมืองและชมบทที่สนับหนุนผู้นำรัฐบาลและระบอบประชาธิปไตยกับคนชั้นนำและชนชั้นกลางในเมือง ที่ต้องการขับไล่ผู้นำรัฐบาลและ ฉีกรัฐธรรมนูญ
ชนชั้นล่างในเมืองและชนบทประกอบด้วย ประชาชนระดับรากหญ้าที่ตั้งแต่เกิดมาจนตายมีชีวิตยากจนลำบากยากแค้นไม่แน่นอนไม่มีการศึกษา ขาดเงินทุน มีแต่หนี้สินและโรคภัยไข้เจ็บ ยาเสพติดละแวกบ้าน อิทพลเถื่อนในพื้นที่ การข่มเหงรังแกจากเจ้าหน้าที่รัฐ ไม่เคยได้รับการเหลียวแลจากผู้ใด ไม่มีปากมีเสียง ถูกละเลยผ่านพ้นรัฐบาลแล้วรัฐบาลเล่ามาทุกยุคทุกสมัยพวกเขามีข้อได้เปรียบเพียงประการเดียวคือ มีจำนวนคนมากนับหลายสิบล้านคนทั่วประเทศและระบบการเมืองที่พอจะเปิดโอกาสให้พวกเขาได้มีปากมีเสียงบ้างคือ ระบอบประชาธิปไตย เพราะทุกคนมีหนึ่งเสียงเท่ากันหมด ไม่ว่าจะยากดีมีจนอย่างไรการศึกษาสูงหรือต่ำและเป็นระบบเดียวที่ทำให้พวกเขาพอจะส่งอิทพลไปยังนักการเมืองได้บ้าง พวกเขาสนันสนุนผู้นำรัฐบาลอย่างเข็มแข็ง ก็เพราะนี่เป็นรัฐบาลแรกที่หยิบยื่นผลประโยชน์ที่เป็นรูปธรรมเฉพาะหน้าให้กับพวกเขาได้จริงโดยผ่านโครงการประชานิยมต่างๆ เช่น หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ พักชำระหนี้ กองทุนหมู่บ้าน 30 บาทรักษาทุกโรค บ้านเอื้ออาทร หมู่บ้านเอสเอ็มเอล ขจัดปัญหายาเสพติด ลดอิทพลเถื่อน หวยเถื่อน มาเฟีย ในพื้นที่ แปลงหนี้นอกระบบให้ป็นหนี้ในระบบ ฯลฯ
ชนนำและชนชั้นกลางในเมืองไม่เคบเข้าใจในสิ่งเหล่านี้เพราะพวกเขาไม่ต้องเผชิญกับปัญหาสารพัดปัญหาที่ชนชั้นล่างต้องประสพตลอดชีวิตชนชั้นกลางมีเงิน มีการศึกษา ตำแหน่งงาน บ้าน รถยนต์ มีช่องทางเข้าถึงเงินทุนและ เงินในระบบ เจ็บป่วยก็มีเงินรักษา ไม่มีปัญหายาเสพติดละแวกบ้านไม่เคยถูกเจ้าหน้าที่รัฐและอำนาจเถื่อนรังแก ไม่ต้องพึ่งนักการเมืองท้องถี่นและรัฐบาล พวกเขาจึงมองชนชั้นล่างอย่างดูถูกดูแคลน ว่า ถูกซื้อ โดยรัฐบาล
พวกเขาต้องการที่จะโค่นล้มผู้นำรัฐบาลและเรียกร้อง "รัฐบาลพระราชทาน" ฉีกรัฐธรรมนูญทิ้งก็เพราะในระยะ 5 ปีมานี้ พวกเขาได้สูญเสีย "สวรรค์ของอภิสิทธิ์ชน" ของตนไปเรื่อยๆ กลุ่มทุนเก่าที่ผูกขาดระบบเศรษฐกิจไทยมาหลายสิบปี กำลังสูญเสียอำนาจทางเศรษฐกิจไปอย่างรวดเร็ว เพราะการเปิดเสรีการค้าและการลงทุนของรัฐบาลพวกเขาตึงต้องโค่นล้มรัฐบาลเพื่อยุตินโยบายดังกล่าวและ ชุดรั้งให้เศรษฐกิจไทยถอยหลังไปสู่ระบบทุนนิยมอุปถัมดังเดิม
ผู้นำแรงงานรัฐวิสาหกิจต้องการขับไล่รัฐบาลเพราะสูญเสียประโยชน์และสถานภาพจากการแปลงสภาพรัฐวิสาหกิจให้เป็นบริษัทมหาชน องค์กรพัฒนา เอกชนที่ต่อต้านทุนนิยมต้องการโค่นล้มรัฐบาลเพราะปฏิเสธการพัฒนาเศรษฐกิจให้ทันสมัย ปฏิเสธการค้าการลงทุนจากต่งประเทศต้องการฉุกรั้งให้เศรษฐกิจไทยถอยหลังไปเป็นสังคมเกษตรกรรมหมู่บ้านบุพกาลตามลัทธิชุมชนอนาธิปไตยของพวกตน ข้าราชการเทคโนแครตไม่ต้องการรัฐบาลและรัฐธรรมนูญแบบนี้เพราะทำให้พวกเขาสูญเสียอำนาจเกียรติภูมิและสถานภาพจากเดิมที่เป็นผู้บริหารประเทศตัวจริงและมีอิทธิพลเหนือรัฐมนตรีนักการเมือง แต่วันนี้พวกเขาเป็นเพียงคนรับคำสั่งของนกการเมือง
กลุ่มก้วนการเมืองต้องการฉีกรัฐธรรมนูญเพราะทำให้พวกตนไม่มีอำนาจต่อรองต้องพูกติดกับระบบพรรคไม่สามารถข่มขู่รัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีให้แบ่งปันผลประโยชน์แก่พวกตนได้เหมือนในอดีต นักวิชาการ อาจารย์มหาวิทยาลัย ราษฎรอาวุโส แม้จะเกลียดชังความไม่โปร่งใสในทรัพย์สินของผู้นำรัฐบาลแต่ภูมิหลังคือ พวกเขาเป็นอนุรักษ์นิยมไม่ต้องการโลกาภิวัฒน์ และยังสูญเสีนสถานภาพและความน่าเชื่อถือตลอด 5 ปีมานี้ เพราะรัฐบาลไทยรักไทยเป็นรัฐบาลที่ไม่สนใจนักวิชาการและอาจารย์มหาวิทยาลัย
ไม่ให้คุณค่าความสำคัญแก่ราษฏรอาวุโสอีกทั้งยังคอยกล่าวตอบโต้รุนแรงอยู่เสมอ นักวิชาการ และราษฏรอาวุโสเหล่านี้ ปากพูดว่าต้องการประชาธิปไตยแต่วันนีกำลังเรียนกร้อง"รัฐบาลพระราชทาน" ให้ฉีกรัฐธรรมนูญเอาระบบจารีตนิยมเข้ามากุมอำนาจรัฐ บางคนเรียกร้องอย่างเปิดเผยให้ฝ่ายทหารก่อรัฐประหารยึดอำนาจเอาเผด็จการทหารกลับคืนมาทั้งหมดนี้เพื่อโค่นล้มผู้นำรัฐบาลเพียงคนเดียวที่น่าสังเวชคือนักวิชาการเหล่านี้บางคน ปากอ้างมาตลอดชีวิตรว่าเป็นทายาททางคุณธรรม ของนายป๋วย อึ้งพากรณ์ แม้แต่อดีตฝ่ายซ้ายและนักต่อสู้กับเผด็จการทหารในอดีตมาวันนี้กลับขึ้นเวทีร้องเพลงเพื่อชีวิตรวิงวอนร้องขอ"รัฐบาลพระราชทาน"ให้ฉีกรัฐธรรมนูญ ฟื้นระบอบจารีตนิยมแม้เฉพาะหน้าจะเป็นประเด็นความไม่โปร่งใสของผู้นำรัฐบาล แต่พื้นฐานความขัดแย้งคือ รัฐธรรมนูญแบบนี้และผู้นำรัฐบาลทำให้ชนชั้นนำ และชนชั้นกลางในเมืองสูญเสียประโยชน์และสถานภาพ อภิสิทธิ์ ทำให้ชนชั้นล่างทั้งในเมืองและชนบทได้มีสิทธิ์มีเสียงทัดเทียมกันแม้คำขวัญเบื้องหน้า "!!!!!!!ชาติ" ปฏิรูปการเมือง " และชื่อกลุ่มลงท้ายด้วย "ประชาธิปไตย" แต่เนื้อแท้คือ ต้องการฉีกรัฐธรรมนูญและทำลายระบอบประชาธิปไตย ที่แบ่งอำนาจให้กับชนชั้นล่างมากเกินไปและเปิดช่องให้มีการปฏิรูปทุนนิยมโลกาภิวัฒน์ ฉะนั้นวาระของพวกเขาจึงเป็นปฏิกิริยา และถอยหลังเข้าคลองสิ่งที่ชนชั้นนำและชนชั้นกลางในเมืองต้องการไม่ใช่ประชาธิปไตยที่ "1คน1เสียงเท่ากัน" แต่เป็นระบบอบคณาธิปไตยที่ชนชั้นนำและชนชั้นกลางมีอำนาจอภิสิทธิ์ มีเสียงเหนือชนชั้นล่างเป็นระบอบที่คนส่วนน้อยในเมืองจำนวนหนึ่งมีเสียงเหนือกว่า สามารถ "สั่ง" และขับไล่รัฐบาล ที่มาจากการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญด้วยคะแนนเสียงข้างมากของประชาชนชั้นล่างนับสิบล้านคนได้ประชาธิปไตยไทยจึงไม่มีวันเป็น "ประชาธิปไตย" ไปได้เป็นได้แค่คณาธิปไตยจากจารีตนิยม
**บทความจากรศ.ดร.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์ คณะเศรษฐศาสตร์ มธ.
จากคุณ :
ddcmai
- [
2 เม.ย. 49 16:31:10
]