CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    หัวข้อ - กว่าจะถึง..2 เมษายน 2549..และทำไม...จึงมาถึง 2 เมษา จนได้

    ขออนุญาตคุณgrassroot เจ้าของกระทู้ P4249536
    ซึ่งผมเห็นว่าเป็นกระทู้ที่เขียนได้ดีมาก
    ไม่อยากให้ตกเร็วเกินไป จึงขออนุญาตินำมาให้อ่านกันในกระทู้นี้ครับ
    ---------------------------------------------------------------------------------------

    ----------และแล้ว....การเลือกตั้ง 2 เมษายน 2549 ก็เกิดขึ้น ท่ามกลางการชุมนุมของประชาชนที่อ้างกันว่าเรือนแสนเรือนล้านเพื่อเรียกร้องให้นายกลาออก....ลงท้ายด้วย ขอนายกพระราชทาน ประสานกับเสียงโหยหา ทหารให้มาปฎิวัติ...

    ----------เสธ.หนั่น ฟันธงหลังยุบสภาว่า จะไม่มีการเลือกตั้งในวันที่ 2 เมษายน อาจจะด้วย กกต. ลาออก ทหารปฎิวัติ ทักษิณแพ้ม็อบ ลาออกและได้นายกพระราชทาน........

    ----------ประชาธิปัตย์และพรรคร่วมฝ่ายค้าน...ต่างวิเคราะห์และประเมิณสถานการณ์ไปในทิศทางเดียวกับ เสธ.หนั่น และเพื่อให้การคาดการณ์นั้นสามารถเกิดขึ้นได้จริง ต้องทำให้การเมืองเข้าสู่ทางตัน......ด้วยมติอัปยศ...."คว่ำบาตรการเลือกตั้ง"...เพื่อให้การเลือตั้งดูอัปลักษณ์และไร้ซึ่งความชอบธรรม....ก็เกิดมหกรรมเช็ค คุณสมบัติผู้สมัครพรรคเล็ก ตลอดจนสร้างฉาก กำกับการแสดง ละครตบตาเรื่อง....."พลิ้วชิวหาของนางเจี้ยบ"....จนทำให้สุเทพ เทือกสุบรรณ ต้องเป็นจำเลย ที่รอวันพิสูจน์ความจริง ว่าอะไรจริง อะไรเท็จ จากกระบวนการยุติธรรม.......

    ----------กลุ่ม อีลีต หรือ ชนชั้นนำทางสังคม ได้ออกมาประสานเสียง ทุ้มบ้าง แหลมบ้าง...ต่ำบ้าง สูงบ้าง....แต่เป็นเพลงที่มีเนื้อร้องและทำนองเดียวกันกับที่ ม็อบสนธิ-จำลองและพันธมิตร ใช้ร้อง..นั่นคือ ไอ้หน้าเหลี่ยมออกไป...พระราชทานนายกใหม่มาให้เรา....

    ----------สื่อมวลชน..พร้อมใจกันแบบไม่เคยปรากฎมาก่อน..พวกเขาลืมข้อขัดแย้งทางธุรกิจและความบาดหมางของผู้นำทางธุรกิจสื่อที่เคยมีมาในอดีตไป....เพราะมีเป้าหมายเดียวกัน นั่นคือ โค่นทักษิณให้ได้.....เวลาสมานฉันท์แห่งสื่อ..เป็นปรากฎการ์ที่อัศจรรย์ที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย.....

    ----------บุคคลที่ประสงค์จะลงเลือกตั้ง สว.หลายคน แสดงตนให้สาธารณชนได้รู้ว่าเขาอยู่แถวหน้าของกระบวนการไล่ทักษิณครั้งนี้ ไม่ว่า อุทัย พิมใจชน กล้าณรงค์ รสนา ชูวิทย์ และคนอื่นๆอีกจำนวนหนึ่ง.......

    ----------บุคคลที่กำลังจะสูญเสียเวทีทางการเมือง เช่นแก้วสรร เจิมศักดิ์ การุณ ไกรศักดิ์และสว.ในกลุ่มนี้อีกหลายคน...ต่างก็ใช้เวทีและสถานการณ์นี้บอกกับสาธารณชนว่าเขาอยู่ในแถวหน้าของกระบวนไล่ทักษิณครั้งนี้เหมือนกัน......

    ----------ผู้ชี้นำสังคม..ประเวศ วสี กับธีรยุทธ บุญมี..ต่าง วางตำแหน่งของตนเองในฐานะผู้ชี้นำทางสังคม คนแรกเป็นผู้ชี้นำทางจริยธรรม ทำหน้าที่ ตั้งข้อกล่าวหา พิพากษา และกำหนดโทษลงทัณฑ์ม้วนเดียวจบ....ส่วนคนหลัง เป็นผู้ชี้นำทางด้านยุทธวิธีการต่อสู้ ภายใต้แนวคิด..อารยะแข็งขืน..ด้วยกลยุทธนานาประการ...

    ----------ภายใต้สภาพแวดล้อมเช่นนี้....ปัญญาชน ชนชั้นกลาง จำนวนหนึ่ง....ตื่นเช้าขึ้นมาพร้อมหนังสือพิมพ์หน้าหนึ่งแกล้มกับกาแฟขนมปัง หรือโจ๊กร้อน หรือปาท่องโก๋ ตามอัธยาศัย.....คนกลุ่มนี้ ได้ยินชื่อธีรยุทธ หรือ ประเวศ วสี เขาเชื่อไปแล้ว 80 % อีก 20 % ที่คลางแคลงใจ ก็คิดว่าตนเองปัญญาไม่ถึง คิดตามสองท่านนั้นไม่ทัน......ปัญญาชนพันธุ์นี้ในบ้านเรา....มีให้เห็นน้อยเสียเมื่อไหร่.....ครั้นออกจากประตูบ้าน...พลันเข้าประตูออฟฟิส...ทุกคนขุดเอาเรื่องที่อ่านจาก นสพ.เรื่องเล่าจาก ม็อบ..เม้าท์กันน้ำลายแตกฟอง....แล้วทุกคนต่างก็สกดจิตตัวเอง และสกดจิตคู่สนทนาว่า...ท้ากสิน..ออกไป..ให้คำๆนี้ฝังอยู่ใต้จิตสำนึก.....ใครที่ไม่เห็นด้วย...นอกจะไม่อินเทร็นด์แล้ว..ต้องโดนข้อหาว่า สมองหมา ปัญญาควาย ไร้ความคิด ....หากฝ่ายถูกกล่าวหาอยากโต้แย้งบ้าง.....แน่นอน...สงครามน้ำลายระเบิด และจบลงด้วยการเสียเพื่อน------ค น เ ห ล่า นี้.....ทั้งชีวิตเดินเข้าออกแค่สามประตู คือประตูบ้าน ประตูสถานศึกษา และประตูสำนักงาน.......ในวันเงินเดือนออก ถึงได้มีโอกาส เข้าประตูห้างสรรพสินค้า และประตูสถานบันเทิง.

    ----------ส่วนคนกลุ่มใหญ่ ที่ใครๆเขาเรียกกันว่า คนรากหญ้า....เขาไม่อินกับประโยคทองที่ต้องกับจริตของปัญญาชน ชนชั้นกลางเช่น...คอร์รับชั่นเชิงนโยบาย...โกงแบบบูรณาการ..ผลประโยชน์ทับซ้อน...แทรกแทรงสื่อ..แทรกแซงองค์กรอิสระ..ขายสมบัติชาติ..ใช่ว่าซับซ้อนเกินกว่าที่เขาจะทำความเข้าใจ ใช่ว่าสติปัญญาอันน้อยนิดของพวกเขาทำความเข้าใจไม่ได้ ..สำหรับพวกเขา มันเป็นจินตนาการที่เลื่อนลอยเกินไป..ทั้งชีวิตของพวกเขาสัมผัสแต่สิ่งที่เป็นรูปธรรม มากกว่านามนามธรรม...เขารู้เพียงว่า ในยุคทักษิณเป็นยุคที่วิถีชีวิตของพวกเขาถูกยกระดับขึ้น...เขาได้รับการดูแลมากกว่ายุคใดๆและเขารู้สึกเป็นเดือดเป็นแค้น ที่ต้องสูญเสียสถานะใหม่ที่พวกเขาเพิ่งได้รับ...เสียงร้อง..เรารักทักษิณ..ทักษิณสู้ๆ...แม้จะกู้ร้อง ตะโกนจนสุดเสียง...มันก็ดังได้แค่เสียงกระซิบเท่านั้น....สื่อมวลชนไม่เคยสนใจเสียงของพวกเขาในอดีตอย่างไร....สื่อมวลชนก็ยังไม่ใส่ใจเสียงเรียกร้องของพวกเขาในวันนี้เช่นนั้น....เพราะพวกเขาไม่เสพย์สื่อ นสพ. เขาไม่หมกมุ่นสื่อ นสพ. เขาอาจจะไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายทางการตลาดของ นสพ.....กล่าวถึงที่สุด พวกเขาไม่ใช่ที่มาของรายได้ของสื่มวลชนนั่นเอง

    ----------ในสถานการณ์เช่นนี้ กูรู และเซียนทางการเมือง ไม่อาจฟันธงเป็นอย่างอื่นได้..นอกจากข้อสรุปที่ว่า.."ทักษิณอยู่ไม่ถึงวันที่ 2 เมษาแน่"...เพราะการเมืองในอดีตสอนไว้...และไม่คิดว่าจะมีสิ่งที่เรียกว่า..megic..หรือความอัศจรรย์----------

    --------------------แต่ทักษิณอยู่ได้ อยู่มาถึงวันที่ 2 เมษา 2549--------------------

    -------------------------ทำไม ทำไม และทำไม ? ? ?--------------------

    คำตอบเกิดจากสองด้าน คือ

    ด้าน ฝ่ายชุมนุมและด้านพรรคไทยรักไทย

    ด้านผู้ชุมนุม...แม้ว่าเงื่อนไข ปัจจัยและสภาพแวดล้อมของการต่อสู้เป็นใจอย่างยิ่ง..แต่ข้อเรียกร้องไม่สอดคล้องกับความเชื่อและหลักการที่คนส่วนใหญ่ยอมรับ....ประการแรก แกนนำผู้ชุมนุมไม่สามารถทำให้คนส่วนใหญ่เชื่อข้อกล่าวหาของฝ่ายตนได้....ประการที่สอง..ข้อเรียกร้องให้ลาออกโดยวิธีนี้ ไม่เป็นที่ยอมรับ....ประการที่สาม..แกนนำไม่เสนอบุคคลที่สามารถมาแทน ทักษิณได้....ประการที่สี่ ..แกนนำไม่สามารถนำเสนอให้สังคมมั่นใจได้ว่า นโยบายและแนวทางบริหารประเทศหลังไล่ทักษิณแล้ว จะเป็นอย่างไร ซึ่งทำให้สังคมไม่อยากเสี่ยงด้วย...ประการที่ห้า...แกนนำเรียกร้องให้บุคคล(ทักษิณ)ลาออก ในขั้นต้น และเปลี่ยข้อเรียกร้องเป็น ไม่เอานายกจากการเลือกตั้ง(ทักษิณ)...แต่จะเอานายกมาจากการแต่งตั้ง(นายกพระราชทาน)...ซึ่งขัดรัฐธรรมนูญ ขัดกับเจตนารณ์เดือนพฤษภา ที่แกนนำเคยเรียกร้อง......ประการที่หก...แนวทางการต่อสู้ของม็อบที่ออกเคลื่อนที่ก็ดี เป็นดาวกระจายก็ดี ทำให้สังคมสัมผัสได้ว่าแกนนำม็อบกำลังสร้างเงื่อนไขให้เกิดความรุนแรง ประหนึ่งกำลังกระหายเลือด....ประการที่เจ็ด...สนธิ ที่เคยประกาศว่า ทวงคืนพระราชอำนาจ ต่อสู้เพื่อในหลวง..กลับมาพูดจาจาบจ้วงซึ่งมีหลักฐานปรากฎชัดอยู่แล้ว.....กล่าวอย่างสรุป ปัจจัยภายในของแกนนำม็อบ และแนวทางการต่อสู้ของม็อบ...เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ม็อบแพ้ภัยตนเอง..

    ด้านพรรคไทยรักไทย...ใช้ความสงบ ไม่เผชิญหน้า ไม่ตอบโต้...จึงดูประหนึ่ง ฝ่ายม็อบปรบมือข้างเดียว..ปกติจะไม่มีเสียงดัง แต่ที่เสียงดังได้ เพราะใช้มือข้างเดียวตบขาตัวเอง.....แต่ปัจจัยพื้นฐานที่ทำให้ ทักษิณ และ ทรท.เดินมาถึงวันที่ 2 เมษายนได้ พอสรุปได้ดังนี้

    ประการแรก..... การทำงานของทักษิณในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา แม้มีข้อกล่าวหามากมาย...แต่ปฎิเสธไม่ได้ว่า คนส่วนใหญ่สัมผัสผลงาน รับรู้ถึงความ ขยัน มุ่งมั่น ทุ่มเท...เมื่อบวกกับความเป็นนักบริหาร คนมีวิสัยทัศน์แล้ว.....เขาย่อมมีทีอยู่ในความรับรู้และในหัวใจของคนจำนวนมาก...น่าแปลก...ตรงที่ทักษิณโดนเหยียบจนติดพื้น...แต่ชื่อ อภิสิทธ์ซึ่งเป็นหัวหน้าพรรคเก่าแก่และใหญ่เป็นอันดับสอง..ไม่ได้รับการเรียกร้องจากคนในสังคมสักเเอะเดียว....ทุกโพล ทักษิณยังมาเป็นอันดับหนึ่ง คนของ ทรท.เป็นอันดับสอง และอภิสิทธิ์ อยู่อันดับสาม ห่างจากทักษิณ 3 เท่าตัว......5 ปีของทักษิณ ทำให้ประชาชนจำนวนมากเป็นผนังทองแดง กำแพงเหล็ก ที่คุ้มครองปกป้องให้เขาสามารถยืนอยู่ได้

    ประการที่สอง.....การออกมาเลือกตั้งล่วงหน้า ของพลเองเปรมในวันที่ 25 มีนาคม ก่อนการเลือกตั้งทั่วไปหนึ่งสัปดาห์ ไม่ใช่เป็นการปฎิบัตรตามปกติของท่าน....สังคมได้แปลความหมายว่า ท่านได้ส่งสัญญาณที่ชัดเจนที่สุด ในประเด็นที่ว่า..ต้องการให้ระบบมันเดินไปตามครรลอง....

    ประการที่สาม....การรับมือกับม็อบไม่เพียงแต่ไม่เผชิญหน้า ไม่เพียงแต่ไม่ให้เจ้าหน้าที่พกอาวุธแม้แต่กระบอง แต่ยังขจัดเงื่อนไขรอบข้างที่อาจนำไปสู่การใช้กำลังรุนแรงอีกด้วย...จนมีผู้สื่อข่าวบางคนกล่าวว่า...แม้วดูแลม็อบราวดูแลไข่ในหิน....

    ประการที่สี่.....ทหารและข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว....ต่างมีบทเรียน ต่างอ่านเกมขาด และต่างก็ไม่อยากให้ประเทศเดินไปสู่ความเสี่ยงตามข้อเรียกร้องของม็อบ...ทหารจึงตรึงกำลังอย่างสงบในที่ตั้ง....

    ประการสุดท้าย.....สาธุชนต่างอ่านเกมออกว่า...การไล่ทักษิณก็ดี การคว่ำบาตรการเลือกตั้งก็ดีการขอนายกพระราชทานก็ดี....ที่แท้ก็คือการตัดวงจรทางการเมืองของทักษิณ และมีบางคนต้องการขึ้นสู่อำนาจด้วยเส้นทางลัด....และลงทุนน้อย...

    ----------วันที่ 2 เมษายน 2549 จึงมาถึง------

    ----------หลังจากวันนี้ ถ้าทักษิณ ยังเป็นนายกต่อ...ก็ยังมีม็อบประดับบารมีทักษิณอยู่ต่อไป.....ถ้าคนอื่นมาเป็นนายก คน คนนั้นก็จะถูกเรียกว่า นอมินี่บ้าง หุ่นเชิดทักษิณบ้าง และคำพูดอื่นๆเท่าที่จะสรรหามาทำให้เกิดความรู้สึกที่ไม่ชอบธรรมและยอมรับรัฐบาลใหม่ไม่ได้.....ยิ่งสภา..ก็จะถูกขนานนาม ไปต่างๆนา นา สภาโจ๊ก เผด็จการรัฐสภา สภา 500 .....แล้วแต่จะสรรหาคำมา..เพื่อทำให้ทุกอย่างดูอัปลักษณ์ หดหู่ ไร้ทางออก.....

    ประเทศต้องเดินหน้า ถอยหลังไม่ได้
    ประเทศต้อง อยู่ในประชาคมโลกอย่างมีศักดิ์ศรี
    ประเทศต้องแข่งขันในเวทีโลก
    ประชาชนไทย ก็ต้องอยู่กับความไฝ่ฝันว่าวันหนึ่ง.....ยุคพระศรีอารยะจะมาถึง.....

    จากคุณ : grassroot

    จากคุณ : pchaiwat122 - [ 2 เม.ย. 49 17:38:56 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป