ความคิดเห็นที่ 4
ไม่ใช่ทั้ง 2 กรณี เพราะ
1.ในกรณีขอนายกรัฐมนตรีพระราชทาน ในอดีต นายกรัฐมนตรี พระราชทาน มาจากธรรมนูญการปกครอง ที่ระบุให้นายกฯ ไม่ต้องมาจากการเลือกตั้ง และไม่ต้องให้ฝ่าย นิติบัญญัติ เห็นชอบ (เพราะช่วงนั้น ผู้ร่างธรรมนูญปกครอง คือคณะปฏิวัติ ที่มาโดยการยึดอำนาจ) ซึ่งหลักการไม่สอดคล้อง กับ รัฐธรรมนูญ ฉบับปัจจุบัน และ หากไม่ได้วิกฤตจนอาจทำให้ประเทศชาติเข้าสู่ขั้นจลาจล จนเสียเลือดเนื้อ แบบ 14 ตุลาคม 2516 พระมหากษัตริย์ จะทรงอยู่เหนือการเมือง เพราะหากทรงกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่นการพระราชทานรัฐบาล ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง จะทำให้รัฐบาลนั้น กลายเป็นรัฐบาลที่กระทำทุกอย่างในนามพระองค์ท่าน เช่นปัจจุบันนี้ พยายามเรียกร้องขอ นายกรัฐมนตรี พระราชทาน เพื่อปฏิรูปการเมือง แต่คงลืมนึกไปว่า หน้าที่ของนายกรัฐมนตรี มิได้มีแค่การดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญเท่านั้น แต่ต้องบริหารราชการแผ่นดิน ทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ซึ่งจะต้องสร้างผลกระทบทั้งทาง บวก และ ลบ แก่ประชาชน แล้วหากประชาชนที่ได้รับผลทางลบ ต่อว่า รัฐบาลซึ่งพระองค์ทรงแต่งตั้งเอง ก็จะทำให้กระทบถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ได้ จึงเรียกได้ว่าการเรียกร้องดังกล่าวไม่บังควร
2.การเปิดประชุมสภาผู้แทนในคราวแรก รัฐธรรมนูญกำหนดชัดว่า ต้องเปิดประชุมภายใน 30 นับจากวันเลือกตั้งทั่วไป แต่ปัญหาอยู่ที่ ไม่สามารถมี ส.ส.ครบจำนวน 500 คนได้ ซึ่ง สำหรับ 100 คน ในระบบบัญชีรายชื่อ รัฐธรรมนูฐ มาตรา 101 ได้บอกแล้วว่า หากไม่ครบก็ให้ถือตามจำนวนที่มีอยู่ แต่สำหรับ ส.ส.เขต แน่นอนว่าต้องครบ 400 คน ซึ่งหากจะดูปัฐหานี้ให้ดี ต้องไปดูที่สาเหตุ ที่ส.ส.แบบเขต ไม่สามารถเลือกมาครบ 400 คนได้ เพราะว่า มีการกำหนดใน พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และ ส.ว. กำหนดว่า หากมี ผุ้สมัครรับเลือกตั้ง รายเดียว ต้องได้คะแนน ไม่ต่ำกว่า ร้อยละ 20 ของจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ซึ่งในอดีตจะเป็นหากมีรายเดียว ก็ให้ถือว่าผ่านการเลือกตั้ง เป็น ส.ส. ได้เลย ตรงจุดนี้แหละที่เป็น ต้นตอของปัญหาว่า เมื่อ บทบัญญัติ ของ พ.ร.บ.เลือกตั้งฯ ไปส่งผลให้ บทบัญญัติในรัฐธรรมนูญเดินต่อไปไม่ได้ เราจะต้องวินิจฉัยอย่างไร ซึ่งแน่นอนว่า รัฐธรรมนูญระบุไว้ชัดในมาตรา 6 ว่า หาก กฎหมายใดขัดหรือแย้ง กับรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เป็นอันใช้ไม่ได้ นั้นก้คือ ข้อกำหนด ร้อยละ 20 ของ พ.ร.บ.เลือกตั้งฯ ตอนนี้ ไปขัดกับ บทบัญยัติ เปิดสภาฯ ภายใน 30 วันของรัฐธรรมนูญ ก็เป็นอันที่ว่า ร้อยละ 20 มันจะสู้กำลัง รัฐธรรมนูญไม่ได้ ต้องแพ้ไป และสุดท้าย เราจะได้ ส.ส.ครบ 400 โดยเขตไหนมีผู้สมัคร คนเดียว ก็เป็นส.ส.ไปเลย
ที่นี้แหละจะส่งผลให้ สภาผุ้แทนราษฎรไทย กลายเป็น สภาส.ส.ไทยรักไทยไปจริงๆ แต่ผมจะไม่โทษ นายกฯ เพราะสาเหตุที่เป็นเช่นนี้มันมาจากการที่ พรรคร่วมฝ่ายค้านเดิมตัดสินใจ ไม่ลงรับสมัครเอง โดยอ้างแต่สิทะตามรัฐธรรมนูญ แต่ไม่คำนึงถึงความรับผิดชอบต่อหน้าที่ ในฐานะพรรคการเมืองที่ต้องส่งผู้สมัคร และหากจะโวยวาย ว่า การวินิจฉัยนี้เป็นไปเพื่อช่วยให้ไทยรักไทยผุ้ขาดสภาฯ ก็ช่วยไม่ได้ เพราะสาเหตุทำให้เรามีการวินิจฉัยเช่นนี้ก็มาจากการที่พวกท่านไม่ร่วมลงเลือกตั้งเอง และแกนนำระดับหัวบางคนของพรรคประชาธิปัตย์ก็เคยเข้าสภาฯได้ โดยไม่มีการเลือกตั้งเพราะไม่มีคู่แข่งลงเลือกตั้งด้วย
-----------------------------------------------------------
เพราะเหตุนี้จึงขอยืนยันว่า มาตรา 7 จะใช้ไม่ได้ทั้ง 2กรณี และไม่สมควรใช้ด้วย เพราะไม่ได้เป็นไปตามประเพณีการปกครอง ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
จากคุณ :
<<First>>
- [
วันจักรี 23:25:12
]
|
|
|