ความคิดเห็นที่ 1 เป็นไปได้ยากครับ แต่ถ้าบางคนมาทำไม่แน่... ขายตอนรวย กับขายตอนจน ต่างกันครับ.. จากคุณ : T_Romance - [ 12 เม.ย. 49 10:08:28 ]

ความคิดเห็นที่ 2 เอาไปดู http://www.cia.gov/cia/publications/factbook/geos/ar.html#Econ http://www.odci.gov/cia/publications/factbook/rankorder/2188rank.html จากคุณ : ไม่มีอะไรในกอไผ่ - [ 12 เม.ย. 49 10:09:27 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ล่มสลาย ยิ่ง กว่า อาเจน แน่ ครับ ถ้า สนธิแอน์ดเดอะแก๊งค์ ยังป่วนบ้านเมืองเราแบบนี้ จากคุณ : vn, (vn, man) - [ 12 เม.ย. 49 10:20:27 ]

ความคิดเห็นที่ 4 นิติภูมิ เป็นคนเคยล้มเหลวแม้กระทั่งการศึกษาในอดีต บังเอิญมาจัดรายการเป็นสื่อ ก็ทำตัวเหมือนสื่อทั่วๆไป เก่งทุกเรื่อง ในรุ่นเขาเองรู้กันดี จากคุณ : s_reewong - [ 12 เม.ย. 49 10:20:45 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ถ้าจะล่มสลาย ก็ไมใช่ด้วยเหตุผลที่ยกมาครับ แต่เป็นเพราะ คนของเราเองที่อยากได้อำนาจ จนหน้ามืดทำลายกันเองครับ จากคุณ : กลาง. - [ 12 เม.ย. 49 10:22:39 ]

ความคิดเห็นที่ 6 อ๊อย..ย.. ขอโวย คห 2 หน่อยเหอะ ขอบคุณมากนะที่ทำลิ้งค์ไป.. แต่แปลให้หน่อยได้มั๊ยคะ เอะอะอะไรก็จะให้อ่านแต่ภาษาอังกิด ภาษาอังกิด จบตรีนะแต่ไม่ได้อะไรมาเลย..ย..ได้ยินมั๊ย ไม่ได้อะไรมาเลยอ้ะ ว๊อย..ย..หงุดหงิดแต่เช้าเลย จากคุณ : นางงามซิมบับเว่ - [ 12 เม.ย. 49 10:32:57 ]

ความคิดเห็นที่ 7 แปลเองไม่ได้ ก็ต้องคอยรับข้อมูลคนอื่นสิครับ เค้าแปลอะไรมา คุณมีสิทธิ์ไม่เชื่อไหม ? จากคุณ : false - [ 12 เม.ย. 49 10:45:22 ]

ความคิดเห็นที่ 8 เป็นไป บ่ ได้ดอก เรื่องนี้ คนพูด เขาเอาไว้หลอกปั่นหัว เพื่อหาแนวร่วมเท่านั้นครับ จากคุณ : sirivajj - [ 12 เม.ย. 49 10:47:56 ]

ความคิดเห็นที่ 9 นิติภูมิ เพียงใช้ความคิดตัวเองมาวิเคราะห์ อย่าไปสนใจเลยมันไม่เหมือนกัน ถ้านิติภูมิ แน่จริงคงไม่อยู่แค่นี้หรอก จากคุณ : Capt.K - [ 12 เม.ย. 49 10:53:03 ]

ความคิดเห็นที่ 10 เป็นไปได้ถ้าประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล บางคนกลัวกันจังว่าจะเป็นเหมือนอาร์เจนตินา กลัวกันจังว่าสิงคโปร์จะยึดครองประเทศ นี่ปี 2549 แล้ว ตื่นได้แล้ว หลับหูหลับตาเป็นกระต่ายตื่นตูมให้ม็อบ NPL ปั่นหัวอยู่ได้ จากคุณ : FM_AM - [ 12 เม.ย. 49 10:56:49 ]

ความคิดเห็นที่ 11 เป็นไปไม่ได้หรอกครับ แบบอาร์เจนน่ะ เพราะตอนนั้นเค้าขายยกก้อนไปทั้งกิจการเลย ทั้งไฟทั้งประปา เพราะตอนนั้นรัฐบาลโกงกินหนักหน่วงมาก ๆ ถึงขั้นแก้กฏหมายเพื่อเอื้อแก่การขายกิจการสุด ๆ แต่ของเรายังไงก็มี พรบ. พรก. คอยควบคุม คุ้มครองกิจการของรัฐครับ ยังไงเจ้าของก็ต้องเป็นรัฐ ถึงจะมีใครไปแก้กฏหมาย ให้สามารถเปลี่ยนเจ้าของเป็นคนอื่นได้ ที่ไม่ใช่รัฐ (ถือหุ้นมากกว่า 50%) พวกเราชาวไทยก็คงไม่อยู่นิ่งเฉยหรอกครับ ถึงจะไม่มีฝ่ายค้านก็ตาม กรณีอาร์เจน ฟังไว้รู้ไว้เป็นกรณีศึกษาก็พอครับ ไม่ใช่ว่าเราจะไปเอาอย่างเค้า ไม่เหมือนกันเลย แก้ไขเมื่อ 12 เม.ย. 49 11:06:26 จากคุณ : ศิวะ - [ 12 เม.ย. 49 11:04:08 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ทำไมยังมีกระทู้แบบนี้ มาเรื่อยๆ จังเลย จขกท. ลองใช้คำว่า แปรรูป กฝผ อาร์เจนตินา หรือ นิติภูมิ หา ในช่อง search ดูนะครับ จะได้คำตอบ หรือไม่ ลอง ไปที่นี่ดูนะ http://www.thaijustice.com/webboard.asp?sub=0&id=275240 จากคุณ : Gump - [ 12 เม.ย. 49 11:10:55 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ขอให้ดู ปตท.เป็นตัวอย่างครับ  รัฐถือหุ้นทั้งหมด68%  ภายในห้าปี  มีมูลค่าเพิ่มมากมาย  ได้รายได้จากภาษภาษีหลายร้อยเท่า   อันที่ล้มเหลวที่สุดคือ การบินไทย  ไม่ค่อยไปถึงไหน   เพราะตัวองค์กรเอง ไม่ขยับเท่าไหร่  แต่ทั้ง2 องค์กร เป็นของคนไทยทั้งชาติ เมื่อก่อนผมนิยมคุณนิติภูมิมาก  ตอนลงผู้ว่า ยังลงให้  แต่หลังจากกรณีออกมาให้ข้อมูลเรื่องอาเจนตินาแล้ว ผมว่าแกไม่ต่างกับสนธิ  คือให้ข้อมูลครึ่งเดียว  ไม่พูดถึงการแปรรูปของอังกฤษ หรือญี่ปุ่น ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงเลย อีกกรณี  ถ้าไม่มีปตท. ตรึงราคาน้ำมันไว้  วันนี้ สงกรานต์ ต้องสาดน้ำตา ทุกครั้งที่เติมน้ำมันแล้วครับ   ใครเคยไปลาวเขมรก็จะรู้ว่าน้ำมันแพงกว่าบ้านเราหลายบาท ท้งๆที่ค่ารองชีพต่ำกว่าบ้านเรา จากคุณ : NiceBenz - [ 12 เม.ย. 49 11:20:17 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ช่วงรัฐบาลน้าชาติ ผมรู้สึกคล้าย ๆ จะพังเหมือนอาเจนติน่าครับ ส่วนรัฐบาลทักษิณ คิดว่าไม่น่าจะเหมือน หรือ เป็นไปได้เท่าไหร่ การขายรัฐวิสาหกิจของอาเจนติน่า เป็นการลดภาระหนี้ภาครัฐ และให้เอกชนเข้ามาดำเนินการเรื่องการขยายโครงสร้างพื้นฐาน ส่วนของไทย เป็นการระดมทุนในตลาดทุน ลดหนี้ภาครัฐ เพิ่มประสิทธิภาพการประกอบการ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เป็นห่วงไม่ใช่เรื่องประเทศชาติล้มละลายครับ ผมเป็นห่วงว่า เอกชนที่เข้ามาถือหุ้นร่วมกับรัฐ จะเอาประโยชน์จนเบียดเบียนประชาชน เช่น การเพิ่มค่าไฟฟ้าอย่างไม่เป็นธรรม จากคุณ : บก.ลายจุด - [ 12 เม.ย. 49 11:21:48 ]

ความคิดเห็นที่ 15 นิติภูมิ จบด้านประวัติศาสตร์จากรัสเซีย ที่ทาง กพ.  ไม่รับรอง  แต่ก็ยังกล้ามาโม้เรื่องเศรษฐกิจ  เรื่องการค้าการขาย  ที่ตัวคนพูดไม่มีความรู้เลยสักนิด    ช่างไม่มีความอายหลงเหลืออยู่เลย จากคุณ : ชอบนอนมองเพดาน - [ 12 เม.ย. 49 11:26:25 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ถ้าหลังจากนี้ล่ม ต้องโทษม๊อบ....หรือใครจะเถียง จากคุณ : 9เก้าก้าว - [ 12 เม.ย. 49 11:27:19 ]

ความคิดเห็นที่ 17 นิติภูมิ ออกมาเคลื่อนไหว เพราะ 1) จะลงเลื่อกตั้ง ส.ว. เลยต้องโฆษณาตัวเอง 2) เป็นที่ปรึกษา "พรรคฟ้าดิน" ของสันติอโศก ถ้าเป็นสมัยฟองสบู่แตก แล้วชวนเป็นผู้นำ รับรองว่าล่มสลายยิ่งกว่าอาร์เจนติน่าอีก ก็ดู 50000 ล้านที่ยืมมาจากญี่ปุ่นเป็นตัวอย่าง จ้างคนดายหญ้า 3 วันหมด  ป่านนี้ไม่รู้ใช้หนี้หมดแล้วยัง   ถ้าสมัย ทรท. ที่พื้นฐานเศรษฐกิจแข็งแรงมาก ขนาดเจอ โรคซาร์  ไข้หวัดนก  สึนามิ  ราคาน้ำมันที่พุ่งสูงสุด  ก็ยังนำพาประเทศให้แข็งแกร่งได้   ไปรอดยิ่งกว่ารอดเสียอีก ไม่ต้องห่วงว่าถ้าแปรรูปรัฐวิสาหกิจแล้วจะอยู่ไม่ได้  ถ้าไม่แปรรูปต่างหาก จะไม่เติบโต และอยู่ไม่ได้   เดี๋ยวนี้โลกแข่งขันกันทางเทคโนโลยี่  ใครปรับตัวได้ก่อนก็ได้เปรียบ  นายกทักษิณเล็งเห็นความสำคัญของการปรับตัวนี้  จึงพยายามพัฒนาประเทศให้ไปถึงจุดนั้น  ไม่เช่นนั้นเราจะเสียเปรียบ และล้าหลัง ยกตัวอย่าง การขายส่งโชห่วย เป็นต้น  ลองเปรียบเทียบร้านที่อาแปะยังใช้ปากกาเขียนบิล ใช้เครื่องคิดเลขกดคำนวณทีละรายการ ผิดบ้าง ถูกบ้าง ลูกค้ายืนรอเป็นแถวพร้อมถอนหายใจเฮือกด้วยความเบื่อหน่าย  กับห้างแม็คโคร  หรือร้านค้าส่งที่ปรับตัวมาใช้ระบบยิงบาร์โค้ด  ทำให้คล่องตัว ลดความผิดพลาด  สดวก รวดเร็ว  คุณคิดว่าลูกค้าจะเลือกเข้าร้านไหน ในขณะเดียวกัน การเปลี่ยนระบบทันสมัย ก็ต้องใช้เงินในการปรับปรุงมาก  ในระบบทุนนิยม เงินทุนเป็นสิ่งสำคัญ  นั่นคือเหตุผลความจำเป็นต้องแปรรูปรัฐวิสาหกิจให้เข้าตลาดหลักทรัพย์ เพื่อระดมทุน ในอัตราดอกเบี้ยที่ถูกกว่าการกู้ยืม   ถ้าไม่เข้าตลาดหลักทรัพย์ อาจต้องขึ้นค่าไฟในอัตราที่แพงกว่าเข้าตลาดหุ้นเสียอีก เพราะดอกเบี้ยเงินกู้แพงกว่า  และทุกวันนี้ ปริมาณไฟฟ้าที่ผลิตได้ก็เกือบจะไม่พอเพียงกับความต้องการแล้ว  จึงมีความจำเป็นต้องขยายโรงงาน หรือสร้างโรงงานผลิตไฟฟ้าเพิ่มเติม  จะเอาเงินทุน ดอกเบี้ยถูกจากไหน ถ้าไม่เข้าตลาดหลักทรัพย์ จากคุณ : เพื่อน รสนา - [ 12 เม.ย. 49 11:30:13 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ผมขอแนะนำนะครับว่า ทุกวันนี้ถ้าจะรับข้อมูลใดๆ อย่ารับจากแหล่งเดียว แล้วปลงใจเชื่อเช่นนั้น อย่างน้อยรับ 2 ด้านเสมอ ทั้งด้านดี ด้านไม่ดี แต่หลายๆครั้งต้องค้นลึกลงไปมากกว่านั้นอีกครับ เรื่องอาเจนตินา ถ้าเทียบรัฐบาลอาเจนตินาในช่วงนั้นผมคิดว่าใก้ลเคียงกับเมืองไทยก่อนยุคท่านนายกทักษิณครับ ทั้งประเทศถูกควบคุมโดยระบบราชการ กลุ่มทุนต่างชาติใส่ทุนเข้ามาโดยลักษณะเดียวกับ IBF ทั้งการให้กู้และวานิชธนกิจในรูปแบบต่างๆ โดยอ้อมกลุ่มทุนต่างชาติมีอิทธิพลในการกำหนดนโยบายของรัฐบาล เช่นผ่านเงื่อนไขของการกู้เงินจากต่างชาติ มีการคอร์รัปชั่นในรัฐวิสาหกิจกันอย่างมโหฬาร คนเกินงานมากกว่า 100% รัฐบาลไม่มีความเข้มแข็ง โดยเฉลี่ยเปลี่ยนรัฐบาล 1 ชุดต่อเดือน มองแล้วผมเห็นว่าถ้าไม่มีท่านนายกทักษิณ เมืองไทยอาจจะเป็นอย่างอาเจนติน่า หรือยิ่งกว่ามากก็ได้ครับ แต่หลังจากท่านนายกทักษิณเข้าปกครองประเทศสภาพแวดล้อมของเราต่างจากอาเจนติน่าโดยสิ้นเชิง เจ้าของกระทู้อ้างอิงอยู่บนข้อมูลที่มาจากของท่านนิติภูมิซึ่งจริงๆแล้วผมเคยติดตามเรื่องนี้ของคุณนิติภูมิเองเลย เมื่อ 2-3 ปีก่อน ในช่วงนั้นก็ยังเห็นว่าไม่มีดีกรีการชี้นำไปทำนองร้ายๆเลย ได้ข้อคิดมากมาย แต่หลังๆนี้ข้อมูลเดียวกันผมกลับรู้สึกได้ถึงทัศนะคติที่เปลี่ยนไปครับ ผมไม่ขอโหวตในกระทู้นี้ครับเพราะข้อเลือกจำกัดผมเกินไปครับ แก้ไขเมื่อ 12 เม.ย. 49 11:33:46 จากคุณ : ภูวเดช - [ 12 เม.ย. 49 11:31:49 ]

ความคิดเห็นที่ 19 กลัวอะไรละครับ? จากคุณ : Double07 - [ 12 เม.ย. 49 11:34:34 ]

ความคิดเห็นที่ 20 เมื่อก่อน ก็มีคนเตือนว่า "จะล่มแบบเม็กซิโก" ตอนนั้น ก็มีหลายคนพูดว่า "เป็นไปไม่ได้ดอก" แล้วผลสุดท้าย ก็เกิดขึ้นในปี ๒๕๔๐ ... จากคุณ : สมชายสายชม - [ 12 เม.ย. 49 12:26:30 ]

ความคิดเห็นที่ 21 หลายท่านได้ตอบคำถามโดยใช้เหตุผลที่ดีทีเดียว... ความเห็นส่วนตัวผมคือ มีโอกาสเป็นไปได้อยู่ประมาณ 3-5 % อย่างมากไม่เกิน 10% แต่การที่มีใครบางคน นำเอาประเด็น 5-10% นี้มาขยายผล โดยที่ไม่ได้ดูเหตุผลว่า อีก 90% ที่มันไม่มีโอกาสเป็นไปได้มาดูเลย... ถ้าคนที่พอจะมีภูมิปัญญาไตร่ตรองเองได้ คงไม่มีปัญหา แต่คนทั่วๆไปพอเห็นมี ดร. คนนึงออกมานั่งเป่าประกาศไปทั่วเกี่ยวกับความน่าจะเป็นของ 5-10%นี้ มันเลยทำให้ดูเหมือนความน่าจะเป็นนี้มันกลายเป็น 50 %กว่า แล้วทีนี้ใครที่ไม่ได้ติดตามข่าวทางอินเตอร์เน็ต ก็คงไม่มีโอกาสรับรู้โอกาสที่จะเป็นไปไม่ได้อีก 90% เลยน่ะเนี่ย ส่วนเรื่อง เมกซิโก นั้น สถานการณ์มันต่างกันครับ สถานะทางการเงินของประเทศตอนนี้คนละเรื่องกับตอนนั้นเลยครับ ดูตัวเลขเทียบตัวต่อตัวเลย บัญชีเดินสะพัด เงินเฟ้อ ทุนสำรอง หนี้ต่างประเทศ(สั้นยาว) ค่าเงิน(ผูกติด ลอยตัว) แก้ไขเมื่อ 12 เม.ย. 49 12:42:53 จากคุณ : wanchale - [ 12 เม.ย. 49 12:38:23 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ความคิดเห็นที่ 7   แปลเองไม่ได้ ก็ต้องคอยรับข้อมูลคนอื่นสิครับ เค้าแปลอะไรมา คุณมีสิทธิ์ไม่เชื่อไหม ? จากคุณ : false แหม..แหม..แหม..อย่าเหยียบย่ำซ้ำเติมกันเลยพ่อคู๊ณ มันก็พอได้อยู่แต่ก็เกรงว่าจะเข้าใจแบบผิดๆน่ะ ขอบคุณทุกความเห็นเจ้าค่า จากคุณ : นางงามซิมบับเว่ - [ 12 เม.ย. 49 12:58:15 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ...มีแต่ คห. ดีๆ ทั้งนั้น เลย... ขอบพระคุณอย่างสูงนะครับ... จากคุณ : จขกท...:) (โซล-เมท) - [ 12 เม.ย. 49 13:19:41 ]

ความคิดเห็นที่ 24 แรกๆก็ดูดี น่าเชื่อถือสำหรับ นิติภูมิ  แต่ช่วงหลังๆ เหมือนหลุดโลกไปเลย(อเมริกางดออกวีซ่า)  เรื่องอาเจนติน่า จะเอามาเปรียบเทียบกับประเทศไทยไม่ได้หรอกครับเพราะการขายกับการแปรรูปมันไม่เหมือนกัน ทำให้ได้รู้ว่าคนอย่าง นิติภูมิ  ไม่มีความรู้ความเข้าใจในด้านการบริหารบ้านเมือง เปิดประเด็นมาเพื่อทำลาย นายกฯทักษิณ โดยเฉพาะเท่านั้นเอง จากคุณ : ชาย1 (ekatik) - [ 12 เม.ย. 49 13:35:03 ]

ความคิดเห็นที่ 25 คห.18 ว่าด้วยร้านโชห่วย เสียดใจผมมั่กๆครับ เพราะผมเป็นเจ้าของร้านเช่นนั้นเหมือนกัลลล แหะๆ แต่ผมก็กำลังพยายามปรับปรุงร้านให้สู้โลกนะ การปฏิรูปร้านที่ได้รับมาจากป๋าของผมนี่มันยากหินจริงๆพับผ่าสิ แทบอยากจะยุบทำร้านใหม่เลยดีกว่า จากคุณ : เบื่อความเกลียดชัง (kung lee) - [ 12 เม.ย. 49 15:32:02 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา จากคุณ : ... (พ่อค้าหน้าเลือด) - [ 12 เม.ย. 49 16:06:33 ]

ความคิดเห็นที่ 27 เมื่อไหร่จะเลิกเชื่อนายนิติอารายนั้นเสียทีว่า อาร์เจนติน่าล่มสลาย อาเจนตินา เป็นอย่างไรหรือครับ ลองดูข้อมูลเปรียบเทียบ - อาร์เยนติน่ามีประชากร 40 ล้านคน ไทย 65 ล้านหกแสน - อาร์เยน 13000 ดอลลาร์ ขณะที่อำนาจซื้อของไทย 8300 ดอลลาร์ - คนอาร์เยนอายุเฉลี่ย 75 ปี คนไทย 71.9 ปี สาธารณสุขเขาดีกว่าเรา - โทรศัพท์บ้าน อาร์เยนมี 8 ล้านเลขหมาย ไทยมี 7 ล้าน - มือถือ อาร์เยนมีใช้กันเกร่อ 65 ล้านเครื่อง ไทย 27 ล้านเครื่อง (ทั้งที่คนน้อยกว่าเราเกือบครึ่ง) - ในปี 2003 2004 2005 อาร์เยนติน่า มีศก โตเฉลี่ยร้อยละ 8 ต่อปี ขณะที่ไทยโตราวปีละ 4-5 เปอร์เซนต์เท่านั้น - รายรับรายจ่าย อาเจนติน่า มีรายได้ 42.63 พันล้านเหรียญ รายจ่าย 39.98 พันล้านเหรียญ ไทย รายรับ 30.64พันล้านเหรียญ รายจ่าย 31.76 พันล้านเหรียญ หรือว่าไม่ใช่ประเด็นเหล่านี้แต่เป็นประเด็นอื่นครับ??? ---------------------------------------------------------- ขออนุญาตอ้างอิง ข้อมูลของคุณพี่ prettypetite เพิ่มเติมครับ ...Agentina  ก็ได้ฟื้นตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว    ไปหาอ่านได้ที่เวป   http://www.cia.gov/cia/publications/factbook/   แล้วพิมพ์ชื่อประเทศ  เป็นข้อมูลความจริงเกี่ยวกับประเทศต่างๆในโลกนี้ ที่ updated เร็วที่สุด  หาอ่านของ Thailand ได้ด้วย หลังการแปรรูป   จากติดลบ  ก็โตขึ้นเฉลี่ยสูงถึงปีละ  8.2%   ภาคอุตสาหกรรมโตขึ้นปีละ 7.5%   คนรู้หนังสือทั้งหญิงและชายเท่ากันที่  97.1%   มีสถานีโทรทัศน์หลัก 42 ช่อง  มีดาวเทียม  มี cable ใยแก้วใช้   ประชาชนใช้  internet มากกว่า 25% แต่ก็ยังมีคนยากจนคิดเป็น 38.5%   (เมื่อเทียบกับรายได้เฉลี่ยของภูมิภาคนี้   ซึ่งขณะนี้  คน Agentina ได้มากกว่าคนไทย)   ตกงาน 11.1% หนี้สินสาธารณะ 69.7% ของ GDP มีตรงไหนที่บ่งบอกว่า  เกิดหายนะ  หรือแย่กว่าเดิม ?? จากคุณ : prettypetite จากคุณ : มือใหม่DSM - [ 12 เม.ย. 49 17:07:10 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ท่านทูตอาเยนติน่า คงให้คำตอบได้ดีที่สุด เราก็เห็นอาร์เจนติน่า เค้าอยู่ดีมีสุข พี่เบิ้มก็ให้เงินสนับสนุน เช่นเดียวกับแมกซิโก ที่เปิดการค้าขายเสรีกับทาง North America  คนไปเที่ยวกันโครมๆ    นิติภูมิ คงเลือกเอามาแต่ข้อมูลที่ตัวเองต้องการ เอาแต่ข้อมูลที่มา support ความ pessimistic ของตัวเอง ข้อมูลดีๆ ไม่เอามาเสนอ เพราะไม่ตรงกับจุดประสงค์ที่จะทำลายปท อื่น  แย่ จากคุณ : แย่ (uti) - [ 12 เม.ย. 49 19:28:46 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ถามว่าเป็นไปได้ไหมตอบว่าเป็นไปได้ 5-10% นิติภูมิมันก็เอา 5% มาใสสีตีข่าวเกินจริง เพื่อหวังผลหาเสียงครับ พวกแกนนำผลประโยชน์ซ่อนเร้นทั้งน้าน จากคุณ : nattavut (n.suwan) - [ 12 เม.ย. 49 20:52:38 ]

ความคิดเห็นที่ 30 ความคิดเห็นที่ 4   นิติภูมิ เป็นคนเคยล้มเหลวแม้กระทั่งการศึกษาในอดีต บังเอิญมาจัดรายการเป็นสื่อ ก็ทำตัวเหมือนสื่อทั่วๆไป เก่งทุกเรื่อง ในรุ่นเขาเองรู้กันดี จากคุณ : s_reewong  - [ 12 เม.ย. 49 10:20:45 ]     >>>>> ผมลองค้นประวัติดูพอสังเขป ท่านผู้อ่านลองอ่านดูละกัน เปรียบเทียบกับคำกล่าวหาพล่อยๆ แล้วตัดสินใจเอา เพราะอำนาจการตัดสินใจอยู่ที่ท่าน อย่าให้ใครมาจูงจมูกของคุณได้<<<< ********************ประวัติโดยสังเขป********************          ร้อยตำรวจเอก นิติภูมิ นวรัตน์ เกิดเมื่อ พ.ศ. 2503 ที่จังหวัดตราด บุตรนายมิ่ง-นางเชื้อน อยู่พร้อม -ได้ทุนโรตารี่เรียนที่ ร.ร. มัธยมเซ็นต์เออนาร์ด ประเทศออสเตรเลีย (2521) - ร.ร. ภาษาของกองทัพอากาศออสเตรเลีย เมืองพ้อยคุก รัฐวิคตอเรีย (2522) - เข้าเรียนที่สถาบัน การศึกษาสหกรณ์ (2523) - ปริญญาตรีรัฐศาสตร์ ม. รามคำแหง(2523) - ปริญญาโทรัฐศาสตร์ ม. ธรรมศาสตร์ (2527) - ปริญญาเอกประวัติศาสตร์สถาบันเอเชียและแอฟริกาศึกษาแห่ง ม.มอสโก สหพันธรัฐรัสเซีย (2535) - เคยเป็นประธานนายร้อย ตำรวจ น.บ., ร.บ. รุ่น 15 (2528) - จบหลักสูตรรบในแบบ นักโดดร่ม มวลชนสัมพันธ์ ลาออกจาราชการเมื่อ พ.ศ. 2537 เป็นที่ปรึกษา รมว. วิทยาศาสตร์ (2539) - ที่ปรึกษาประธานสภากรุงเทพมหานคร (2539) ที่ปรึกษารองนายก รมต. (539)นักวิชาการคณะทำงานผู้นำฝ่ายค้านฯ (2540) - ที่ปรึกษาคณะกรรมการการท่องเที่ยว สภาผู้แทนราษฎร (2541) - ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการการสิ่งแวดล้อม สภาฯ (2541) - ผู้ชำนาญการประจำคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ สภาฯ (2541) - กรรมการสถาบันผู้ทรงคุณวุฒิ สถาบันราชภัฏรำไพพรรณี จ.จันทรบุรี (2543) - ฯลฯ          ผู้ก่อตั้งและติวเตอร์ภาษาอังกฤษประจำสถาบัน บาลานซ์ (2525) อาจารย์วิชาการการเจรจาต่อรอง ม.อัสสัมชัญ (2539) คอลัมน์ประจำหน้า ต่างประเทศ คอลัมน์เปิดฟ้าส่องโลก (2540) และหน้าการศึกษาคอลัมน์เปิดฟ้าส่องโลก หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ (2541) และในขณะนี้ ได้ลงสมัคร เป็น สว. เขตกรุงเทพมหานคร หมายเลข 164 ***ไม่สังกัดพรรคใด***(19 เมษายน 2549)                                                                                                                              นิติภูมิ     นวรัตน์ ********************************************************************* จากคุณ : โบกธงรบ (เชิงบวก) - [ วันมหาสงกรานต์ (13) 11:23:14 ]

ความคิดเห็นที่ 31 >=====>> ถ้ามีเวลาลองอ่าน ดูน่ะ เผื่อ มัน จะประกอบการตัดสินใจ ในการเชื่อหรือไม่เชื่อ ผมไม่ได้ ขอร้องให้พวกคุณเชื่อตาม แต่ถ้าหากมีเวลาลองอ่านดู อย่างน้อยก็ยังดีกว่าการฟังความข้างเดียว !!~ <<=====< สาเหตุสำคัญที่ทำให้อาร์เจนติน่าล่มสลายจริงๆเกิดจากมีผู้นำเฮงซวยห่วยแตกผลัดกันมาโกงกินประเทศ  เล่นการเมืองน้ำเน่า  ออกนโยบายผิดๆที่ทำให้ประเทศเป็นหนี้เป็นสิน  ปลูกฝังค่านิยมที่เป็นการบ่อนทำลายทรัพยากรบุคคลจนกลายเป็นคนขี้เกียจ  ฟุ้งเฟ้อ  เป็นการสะสมยาพิษมาเรื่อยๆเป็นระยะเวลายาวนานจนออกฤทธิ์ร้ายทำลายประเทศให้พังพาบลงในที่สุด อิริโกเยน (พ.ศ.2495) เป็นประธานาธิบดีที่เป็นต้นแบบในการใช้นโยบายประชานิยมเพื่อสร้างความนิยมให้กับตัวเอง เช่นให้เงินเดือน ขรก.สูงๆ เพิ่มเงินเดือนทหารและเพิ่มงบประมาณซื้ออาวุธให้กองทัพ ให้เงินสนับสนุนรากหญ้าหรือเกษตรกรด้วยการประกันผลผลิตในราคาสูงเกินเหตุ และให้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ แต่ประธานาธิบดีอาร์เจนจะลงเลือกตั้งสองสมัยติดกันไม่ได้  เดอ อัลเวีย  ประธานาธิบดีคนต่อมาเห็นว่านโยบายประชานิยมของอิริโกเยนมีผลเสีย  จึงพยายามปรับเปลี่ยนโดยการลดค่าใช้จ่ายต่างๆในภาครัฐลง  ทำให้ได้รับการต่อต้านมาก  ดังนั้นอิริโกเยนซึ่งลงเลือกตั้งในครั้งต่อมาจึงได้รับเลือกกลับมาอีกครั้ง  พร้อมกับสัญญาว่าจะใช้เงินสนับสนุนจำนวนมากเหมือนครั้งที่แล้วอีก  เมื่อเข้ามาจึงสานต่อนโยบายเดิม  ทำให้งบประมาณขาดดุลย่อยยับ  จึงต้องไปกู้เงินมา  ในทางการเมืองก็เล่นวิชามารด้วยการพยายามครอบงำสภา ปลายปีพ.ศ.2472 เกิดวิกฤติตลาดหลักทรัพย์สหรัฐล่มสลายครั้งใหญ่ที่สุด  ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจทั่วโลกเป็นเวลา 6ปี  รัฐบาลอาร์เจนจึงไม่มีเงินจะนำมาใช้ในโครงการประชานิยมได้อีก  เพราะเศรษฐกิจถดถอยทำให้เก็บภาษีไม่เพียงพอ  กู้อีกก็ไม่ได้เพราะหนี้เดิมก็ท่วมหัวแล้ว  ทำให้ต้องตัดค่าใช้จ่ายต่างๆในภาครัฐลง  ทำให้ประชาชนกลุ่มที่เคยได้รับผลประโยชน์ออกมาประท้วง  ภายในพรรครัฐบาลก็เกิดการแตกแยกอย่างรุนแรง  ความวุ่นวายแผ่ลามไปทั่วจนทหารต้องออกมาปฏิวัติ หลังปฏิวัติ  ทหารได้จัดให้มีการเลือกตั้งโดยใช้กลโกงช่วยเหลือพรรคการเมืองที่ตนเองสนับสนุน  และห้ามพรรครัฐบาลประชานิยมของอิริโกเยนลงเลือกตั้งด้วย... เศรษฐกิจของอาร์เจนเริ่มฟื้นตัวขึ้นค่อนข้างเร็วกว่าประเทศอื่น  เพราะพื้นฐานอาร์เจนเป็นประเทศเกษตรกรรมซึ่งผลิตสิ่งจำเป็นอย่างอาหารส่งออก  แต่ก็มีมาตรการอื่นร่วมฟื้นฟูเศรษฐกิจด้วย  เช่นตัดรายจ่ายโครงการประชานิยม  ลดค่าเงิน  ขึ้นภาษีขาเข้า รัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลแรกที่เริ่มนโยบายพัฒนาอุตสาหกรรมโดยส่งเสริมการผลิต  ทำให้มีโรงงานอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นมากมายในเขตเมืองหลวง  ทำให้คนต่างจังหวัดอพยพเข้ามาทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมเหล่านี้เป็นจำนวนมาก  จึงสร้างความแออัดและปัญหาสังคมที่เลวร้ายขึ้นอีก ต่อมาไม่นาน  เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2  ทำให้อาร์เจนประสบปัญหาเศรษฐกิจอีก  เนื่องจากตลาดสำคัญของอาร์เจนเป็นประเทศแถบยุโรป  ซึ่งเป็นสมรภูมิรบในขณะนั้น  อาร์เจนจึงหันไปเปิดตลาดใหม่ที่สหรัฐ  แต่ก็ถูกสหรัฐใช้มาตรการกีดกันต่างๆนานา เมื่อเศรษฐกิจมีทีท่าว่าไม่ดีขึ้น  และพรรคฝ่ายค้านก็ดูจะคะแนนเสียงดีขึ้นมา  ทหารจึงปฏิวัติอีก  แต่ทหารเองก็แบ่งกันหลายก๊ก  เมื่อผลประโยชน์ไม่ลงตัวก็มีปฏิวัติซ้อนขึ้นมาอีก  คราวนี้ทหารไม่จัดให้มีการเลือกตั้งขึ้นมาอีก  แต่เข้าปกครองประเทศเอง  และงัดนโยบายอันเด็ดดวงของอิริโกเยนขึ้นมาใช้เรียกคะแนนนิยมในทันที หลังรัฐบาลชุดนี้บริหารประเทศได้ปีนึง  เนื่องจากทหารมีหลายก๊กหลายพวก  เมื่อผลประโยชน์ไม่ลงตัวก็เกิดการปฏิวัติขึ้นมาอีก  โดยมีนายทหารคนนึง  คือพันเอกฮวน เปรอน เข้าร่วมด้วย ฮวน เปรอน  เป็นคนที่มีบุคลิกดี  ฉลาด  วิสัยทัศน์กว้างไกล  เขาเล็งเห็นว่ากรรมกรจะเป็นฐานเสียงที่สำคัญของการเมือง  เนื่องจากนโยบายพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศ  จึงมีโรงงานอุตสาหกรรมเกิดขึ้นมากมาย  ทำให้มีสหภาพแรงงานเกิดขึ้น  ฮวน เปรอน จึงเข้าไปตีสนิทและสนับสนุนผลประโยชน์ให้กลุ่มกรรมกร  เช่นเป็นตัวสำคัญที่ก่อให้เกิดการตั้งทบวงแรงงาน  และเป็นรัฐมนตรีทบวงแรงงานคนแรกด้วย  ทำให้กลุ่มกรรมกรจงรักภักดีในตัวเขามาก เมื่อเป็นรัฐมนตรีกลาโหม  ฮวน  เปรอน  ได้ขยายฐานอำนาจด้วยการเป็นตัวตั้งตัวตีในการหางบประมาณเพิ่มให้กองทัพ  สนับสนุนการซื้ออาวุธใหม่ๆ  เพื่อซื้อใจกองทัพให้จงรักภักดีในตัวเขา ฮวน เปรอน  ได้รับเลือกตั้งเป็นประนาธิบดีในปี พ.ศ.2489 มีฐานเสียงทั้งในระดับชาติและท้องถิ่น พรรคของเขาจึงมีฐานและกลไกพร้อมเข้าไปควบคุมรัฐสภาอย่างท่วมท้น ต่อมาเปรอนจึงแก้ไขรัฐรรมนูญให้ประธานาธิบดีอยู่ในตำแหน่งได้เกินกว่า 1 สมัย เมื่อเป็นประธานาธิบดี  เปรอน  ได้วางนโยบายเช่น - ส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมของภาคเอกชนเต็มที่  โดยให้การช่วยเหลือด้านทุน  เช่นการลดดอกเบี้ย  จำกัดและห้ามนำเข้าสินค้าที่เป็นคู่แข่ง  ยกเว้นภาษีขาเข้าจำพวกวัตถุดิบและเครื่องจักรให้ - ตั้งรัฐวิสาหกิจจำพวกอุตสาหกรรมหนักเพิ่มขึ้น  โดยให้การสนับสนุนเป็นพิเศษ - ยึดกิจการต่างชาติบางอย่างมาเป็นของรัฐ  โดยเฉพาะโทรคมนาคมและตั้งสายการบินแห่งชาติขึ้น - สนับสนุนให้กรรมกรและข้าราชการมีรายได้มากขึ้น  และส่งคนของตัวเองไปควบคุมกิจการของสหภาพแรงงานโดยใช้วิชามาร  เช่น ยุแหย่ให้แตกแยกกันเอง  แล้วเข้าแทรกแซงการเลือกตั้งของสหภาพให้ฝ่ายตัวเองชนะ - ตั้งองค์กรสวัสดิการสังคมขึ้นเพื่อแจกเงินและสิ่งของโดยภรรยาประธานาธิบดีคืออีวิต้า  เพื่อสร้างภาพ  เป็นการปูฐานคะแนนเสียง - ตั้งหน่วยโฆษณาชวนเชื่อ  เพื่อโปรโมทความสำเร็จของรัฐบาล  และสร้าง ภาพลักษณ์ที่สวยหรูให้เปรอนและอีวิต้า  เข้าแทรกแซงและปิดหนังสือพิมพ์ที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล นโยบายของเปรอนมีผลทันตา  เศรษฐกิจขยายตัวในอัตราที่สูงมาก  เนื่องจากปัจจัยกระตุ้นหลายอย่าง  โดยเฉพาะการใช้จ่ายจำนวนมากของภาครัฐ  การขยายตัวของการบริโภคอย่างรวดเร็วเนื่องจากการเพิ่มรายได้ของกลุ่มกรรมกรและข้าราชการที่ได้รับผลประโยชน์จากโครงการประชานิยมของรัฐ  และการลงทุนระดับสูงที่เกิดจากการส่งเสริมอุตสาหกรรมเป็นพิเศษ การขยายตัวทางเศรษฐกิจ  และการกินดีอยู่ดีทันตาเห็น  ทำให้เปรอนได้รับความนิยมอย่างท่วมท้น ในขณะนั้นชาวอาร์เจนส่วนมากไม่รู้ว่ารัฐบาลได้วางระเบิดเวลาไว้ให้พวกเขานั่งทับ  ไม่รู้ว่าผลผลิตที่เพิ่มขึ้นที่ทำให้พวกเขากินดีอยู่ดีนั้น  นำไปสู่การขาดดุลการค้าระดับสูง  เพราะผู้ผลิตต้องนำเข้าเครื่องจักรและวัตถุดิบเพื่อผลิตสิ่งต่างๆในการบริโภคภายในประเทศ  ไม่ใช่เพื่อส่งออก รัฐบาลจึงปิดการขาดดุลด้วยการใช้เงินสำรองของประเทศ... ตอนฮวน  เปรอน เข้ารับตำแหน่ง  อาร์เจนมีเงินทุนสำรองในรูปเงินตราต่างประเทศสูงถึง 2.5 เท่าของการนำเข้าต่อปี  ผู้เชี่ยวชาญคำนวณว่าเป็นประมาณ70% ของเงินทุนสำรองของประเทศละตินอเมริกาแทบทั้งหมด แต่เปรอน  ได้ใช้เงินสำรองของประเทศจำนวนมากจนหมดสิ้นในเวลาต่อมา ถึงแม้รัฐบาลจะลดค่าเงินเปโซเพื่อจะทำให้สินค้าส่งออกถูกลงและส่งออกได้มากขึ้น  พร้อมกับทำให้สินค้านำเข้าแพงและการบริโภคลดลง  แต่ยังไม่สามารถปิดดุลการค้าได้  ส่วนหนึ่งเพราะรัฐบาลไม่ยอมลดค่าใช้จ่ายของรัฐโดยเฉพาะเงินสวัสดิการประชานิยมและงบประมาณทหาร  เพื่อรักษาฐานอำนาจทางการเมืองไว้ เมื่อปิดดุลการค้าไม่ได้  และงบประมาณขาดดุลเพิ่มขึ้น  รัฐบาลก็หันไปกู้เงิน  พร้อมพิมพ์ธนบัตร  การลดค่าเงินและพิมพ์ธนบัตรเพิ่มขึ้นทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ  ทำให้ผู้กินเงินเดือนประจำลำบากทันที  จึงขอค่าจ้างและเงินเดือนเพิ่มขึ้น  เมื่อไม่ได้ก็ประท้วงบ้าง  หยุดงานบ้าง  เป็นข้ออ้างให้ทหารกลุ่มหนึ่งทำการปฏิวัติ  แต่ไม่สำเร็จ เมื่อมีความวุ่นวายเกิดขึ้น  รัฐได้ใช้อำนาจปราบปรามการต่อต้านด้วยวิธีต่างๆอย่างรุนแรง  อีวิต้าผู้ภรรยาก็ก่อตั้งกองกำลังลับๆของตนขึ้นมา  ซึ่งเงินที่ใช้ในการก่อตั้ง  ล้วนมาจากความฉ้อฉลแผ่นดินทั้งสิ้น จากคุณ : โบกธงรบ (เชิงบวก) - [ วันมหาสงกรานต์ (13) 11:30:10 ]

ความคิดเห็นที่ 32 พ.ศ.2495 ฮวน เปรอน  ได้ขึ้นเป็นประธานาธิบดีสมัยที่สอง  เปรอนพยายามแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่เลวร้ายขึ้นเรื่อยๆ  แต่ก็ไม่สำเร็จ  เพราะนยบายและมาตรการต่างๆล้วนขัดกันอยู่ในตัวเอง ส่วนกลุ่มคนที่เคยได้ประโยชน์จากนโยบายประชานิยม เมื่อรัฐบาลไม่ตามใจอีกเนื่องจากไม่มีเงินก็ประท้วงกันอย่างกว้างขวาง   รัฐบาลตอบโต้ด้วยการใช้กำลังลับและฝงชนที่ปลุกปั่นขึ้น  เมื่อบาทหลวงไม่เห็นด้วยและออกต่อต้าน  เปรอนก็จับบาทหลวงขังคุก ประเทศเข้าสู่ภาวะจลาจล กองทัพอากาศไม่เห็นด้วยกับการกระทำของเปรอน  จึงส่งเครื่องบินไปทิ้งระเบิดที่ทำเนียบประธานาธิบดี  แต่เปรอนรอดตัว  จนในที่สุดกองทัพบกทนไม่ไหวจึงก่อการปฏิวัติ  เปรอนจึงหลบหนีไปอยู่ต่างประเทศ หลังจากนั้นอาร์เจนก็อยู่ในวังวนการปฏิวัติช่วงชิงอำนาจตลอดเวลา  เศรษฐกิจล้มลุกคลุกคลาน  เงินทุนสำรองหมดประเทศ  จนต้องไปกู้เงินไอเอ็มเอฟในปี พ.ศ. 2500 ข้ามไปถึงปี 2516  ฮวน  เปรอน  กลับมาเป็นประธานาธิบดีอีกครั้งด้วยคะแนนเสียงท่วมท้น  เขากลับมาคราวนี้พร้อมกับอิซาเบล  ภรรยาคนใหม่... เมื่อกลับมา  เปรอนก็งัดนโยบายเดิมๆมาใช้อีก  และเป็นโชคดีของเขาที่ช่วงนั้นราคาวัตถุดิบในตลาดโลกสูงขึ้นมาก  ทำให้อาร์เจนมีรายได้จากการส่งสินค้าเกษตรกรรมได้มาก  และสามารถเก็บเงินสำรองได้อย่างรวดเร็ว  ภาวะเศรษฐกิจที่ดีขึ้นย่อมสร้างภาพลักษณ์ให้กลุ่มที่นิยมเขามากขึ้นอีก แต่ถัดมาอีกปี  เปรอนได้เสียชีวิต  อิซาเบลผู้ภรรยาจึงก้าวขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีสืบต่อ ปี2517 เป็นปีที่น้ำมันในตลาดโลกขึ้นราคาราว4 เท่า เนื่องจากปัญหาสงครามในตะวันออกกลาง  ทำให้น้ำมันและสินค้านำเข้าทุกอย่างในอาร์เจนแพงขึ้นด้วย  อาร์เจนยังถูกซ้ำเติมด้วยการห้ามนำเข้าเนื้อวัวของประเทศในยุโรป  เพราะโรคปากเปื่อยเท้าเปื่อยระบาด ทั้งที่เศรษฐกิจอยู่ในภาวะร่อแร่  ประธานาธิบดีกลับหันไปใช้นโยบายประชานิยมเพื่อสร้างความนิยมให้ตัวเอง  เกิดการแตกแยกและโกงกินในรัฐบาลมากขึ้น  ต้องเปลี่ยนค.ร.ม.กันบ่อยๆ เมื่อรายได้ไม่พอชำระหนี้และเพื่อปิดงบประมาณ  รัฐบาลก็ไปใช้เงินสำรองและเพิ่มการพิมพ์ธนบัตร  เงินสำรองหมด  พร้อมกับการเกิดเงินเฟ้อในอัตราเดือนละ30%  ทำให้อาร์เจนเศรษฐกิจล่มสลายจนต้องหันไปกู้ไอเอ็มเอฟอีกในปี 2518 เหตุการณ์วุ่นวายจนทหารออกมาปฏิวัติในปี พ.ศ.2519  พร้อมกวาดล้างฝ่ายตรงกันข้ามอย่างรุนแรงจนแทบจะเป็นสงครามกลางเมือง เมื่อปราบฝ่ายตรงข้ามเรียบร้อย    รัฐบาลได้วางรากฐานเศรษฐกิจโดยเน้นหลักตลาดเสรี เช่น - ลดค่าเงิน - ตั้งอัตราดอกเบี้ยสูง - ลดภาษีขาเข้า - พยายามขายรัฐวิสาหกิจ -ลดรายจ่ายภาครัฐ - ห้ามขึ้นค่าจ้างแรงงาน (เพื่อทำลายอำนาจและฐานการเมืองของกลุ่มกรรมกร) มาตรการเหล่านี้มีผลทั้งบวกและลบ  ด้านบวกคือเงินเฟ้อบรรเทาลง  พร้อมการขยายตัวในอัตราสูงของภาคเกษตร  ทำให้ประเทศมีรายได้จำนวนมากจากการส่งออก  เงินทุนจากต่างประเทศค่อยๆไหลกลับเข้ามาส่วนหนึ่งเพื่อลงทุนในกิจการต่างๆ  และเพื่อให้กู้  การไหลเข้าของเงินตราต่างประเทศทำให้อาร์เจนสามารถสะสมเงินสำรองของประเทศได้ถึงระดับเหมาะสมกับฐานทางเศรษฐกิจ ส่วนด้านลบ  ภาคอุตสาหกรรมในประเทศได้รับผลกระทบมากที่สุด  กิจการและโรงงานที่ขาดประสิทธิภาพแต่อยู่ได้ด้วยกำแพงภาษีและการสนับสนุนของรัฐล้มละลายเป็นจำนวนมาก  ก่อให้เกิดภาวะว่างงานและกลุ่มกรรมกรต้องยากจน  แม้เงินเฟ้อจะลดลง  แต่ก็ยังอยู่ในระดับสูงจึงมีผลกระทบต่อผู้มีรายได้จำกัด มาตรการที่ตั้งขึ้นเพื่อดูดเงินทุนต่างประเทศได้ผลดี  เงินทุนจำนวนมากหลังไหลเข้ามาเข้ามาเพื่อหาผลต่างจากดอกเบี้ย  สถาบันการเงินจึงมีทุนท่วมท้นที่จะให้กู้  จึงมีการแข่งขันกันอย่างมากในการแย่งชิงลูกค้า  ผลจากการแข่งขันทำให้มีการให้กู้ยืมอย่างหละหลวม  ปราศจากทรัพย์ค้ำประกันอย่างเพียงพอบ้าง  ส่วนมากจะกู้ไปบริโภคเนื่องจากสินค้าต่างประเทศถูกลง  ชาวอาร์เจนแสวงหาความร่ำรวยอย่างเต็มที่ทั้งการปั่นหุ้น  หรือเก็งกำไรที่ดิน การหมุนเวียนของเงินจำนวนมากทำให้ดูเหมือนว่าเศรษฐกิจขยายตัวเต็มที่  แต่มันเป็นเพียงภาพหลอนของภาวะที่เรามักเรียกกันว่า "ฟองสบู่"  นั่นคือเศรษฐกิจบางตัวถูกกระตุ้นให้ขยายตัว  แต่ส่วนมากไม่ได้นำไปสู่การขยายฐานและการผลิตเพิ่มขึ้น ช่วงนั้นโลกกำลังประสบปัญหาการขึ้นราคาน้ำมันครั้งใหญ่อีก  เนื่องจากการโค่นบัลลังก์พระเจ้าซาห์แห่งอิหร่าน  อาร์เจนจึงขาดดุลการค้าหนักข้ออีก  เมื่อชาวต่างชาติเห็นความไม่ชอบมาพากลจึงเริ่มถอนเงินออกไป  สถาบันการเงินบางแห่งไม่มีเงินให้ถอนเนื่องจากเก็บจากลูกค้าไม่ได้  เพราะเงินที่กู้ไปไม่ก่อให้เกิดผลตอบแทน  ทำให้ฟองสบู่แตกเมื่อธนาคารและสถาบันการเงินหลายแห่งล่มสลาย  อาร์เจนเข้าสู่ภาวะวิกติอีกครั้ง ผลกระทบของวิกฤติและมาตรการแก้ไขของรัฐบาลทำให้ชาวอาร์เจนประท้วงและพยายามกดดันให้รัฐบาลทหารจัดการเลือกตั้ง  แต่ทหารกลับปฏิวัติกันเอง นอกจากจะไม่จัดให้มีการเลือกตั้งใหม่แล้ว  รัฐบาลกลับใช้วิธีเบี่ยงเบนความสนใจด้วยการก่อกรณีพิพาทเรื่องหมู่เกาะฟอล์คแลนด์กับอังกฤษ... สงครามครั้งนี้เบี่ยงเบนความสนใจของชาวอาร์เจนจากภาวะเศรษฐกิจได้  แต่อาร์เจนต้องยอมแพ้ในที่สุด ค่าใช้จ่ายและค่าเสียหายอันเกิดจากสงครามครั้งนั้น  ทำให้เศรษฐกิจยิ่งทรุดหนักถึงขั้นล้มละลาย  รัฐบาลจึงเปลี่ยนผู้นำและกำหนดการเลือกตั้ง  แต่ก่อนเลือกตั้ง  รัฐบาลได้ใช้มาตรการต่างๆเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจซึ่งเข้าสู่ภาวะล้มละลาย  เมื่อไม่สามารถใช้ดอกเบี้ยเงินกู้จากต่างประเทศได้ทัน  เช่น  ลดค่าเงิน  และลดค่าใช้จ่ายภาครัฐ  มาตรการเหล่านี้ทำให้รัฐบาลได้รับเงินกู้ฉุกเฉินจากไอเอ็มเอฟ(อีกแล้ว) เพื่อใช้หนี้ต่างประเทศเมื่อถึงกำหนด  แต่ก็ทำให้เศรษฐกิจถดถอยยิ่งขึ้น  พร้อมกับเงินเฟ้ออัตราปีละกว่า 400% ต่อมา อาร์เจนติน่าจึงได้ประธานาธิบดีคนใหม่ที่มาจากการเลือกตั้งในปลายปี2526 คือ ราอูล อัลฟองซิน ขณะที่ประธานาธิบดีราอูล  เข้าบริหารประเทศนั้น  เศรษฐกิจของประเทศวิกฤติถึงขั้นล้มละลาย  อาร์เจนเป็นหนี้ต่างประเทศถึง 45,000 ล้านดอลล่าร์   เมื่อดอกเบี้ยในตลาดโลกพุ่งสูงถึง 2 เท่า  ภาระหนี้ก็ยิ่งหนักขึ้น  ดังนั้นเงินกู้ฉุกเฉินที่ได้จากไอเอ็มเอฟจึงช่วยชำระหนี้ได้ชั่วคราวเท่านั้น  พองวดต่อไปมาถึง  อาร์เจนไม่มีเงินจ่ายหนี้  จึงต้องค้างหนี้ไว้  ภาวะเงินเฟ้อในประเทศก็เลวร้ายลงอีก แต่แทนที่รัฐบาลจะลดค่าใช้จ่ายลง  กลับใช้จ่ายมากขึ้นเพื่อเพิ่มค่าจ้างและสงเคราะห์คนจนที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ  การใช้จ่ายมากยิ่งทำให้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นอีก เมื่อรายได้ขาดดุลอย่างหนัก  รัฐจึงปิดงบประมาณด้วยการพิมพ์แบ็งค์เพิ่ม  อัตราเงินเฟ้อจึงพุ่งพรวดเป็น 1,000%  รัฐบาลจึงต้องไปกู้ไอเอ็มเอฟอีก... กลางปี พ.ศ. 2528  รัฐบาลตกลงที่จะใช้มาตรการเข้มงวดใหม่อย่างจริงจัง  ทำให้อัตราเงินเฟ้อลดลง  แต่การลดค่าใช้จ่ายของรัฐทำให้เกิดผลกระทบรายได้ของคนจำนวนมาก  ทำให้มีการประท้วงหยุดงาน  ในที่สุดรัฐและนายจ้างต้องยอมแพ้  ภาวะเงินเฟ้อกลับมาอีก  รัฐจึงต้องลดค่าเงินเป็นระยะ  เพื่อให้สินค้าอาร์เจนราคาสู้กับผู้ผลิตอื่นในตลาดโลกได้ แม้เศรษฐกิจจะพ้นวิกฤติแล้ว  แต่ก็ไม่ได้ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง  มีการกู้เงินเพิ่มเพื่อใช้หนี้เก่า  ทำให้อาร์เจนมีหนี้หนักขึ้นไปอีก  หนี้ต่างประเทศเพิ่มขึ้นเป็น69,000 ล้านดอลล่าร์ จากคุณ : โบกธงรบ (เชิงบวก) - [ วันมหาสงกรานต์ (13) 11:31:18 ]

ความคิดเห็นที่ 33 พ.ศ.2531  อาร์เจนได้ประนาธิบดีคนใหม่ชื่อ  คาร์ลอส  เมนเนม... เมนเนมได้พยายามเปลี่ยนเศรษฐกิจไปสู่ระบบตลาดเสรีมากขึ้น  มาตรการหลักที่สำคัญได้แก่ - ขายรัฐวิสาหกิจให้เอกชนอย่างจริงจัง รัฐวิสาหกิจส่วนมากของอาร์เจนขาดประสิทธิภาพ  เพราะมีคนงานเกินความจำเป็นเนื่องจากนักการเมืองฝากเข้ามากันมาก  และขาดการบริหารจัดการที่ดี  จึงทำให้ขาดทุน  การขายรัฐวิสาหกิจทำให้ลดหนี้ต่างประเทศได้จำนวนหนึ่ง  เนื่องจากสามารถต่อรองให้เจ้าหนี้ต่างประเทศซื้อรัฐวิสาหกิจได้ในราคาสูง... รัฐบาลตั้งอัตราแลกเปลี่ยนตายตัวกับเงินดอลล่าร์  เพื่อประกันว่าค่าของเงินจะมั่นคง  เป็นการลดความเสี่ยงให้นักลงทุน  เพื่อหวังดูดเงินต่างประเทศ... มาตรการต่างๆมีผลดีเกินคาด  อัตราเงินเฟ้อลดเหลือเพียง10%  ซึ่งก่อนหน้านั้นอัตราเงินเฟ้อของอาร์เจนเฉลี่ยเกือบ 400%ต่อปี  เศรษฐกิจขยายตัวถึง8%   เสถียรภาพทางเศรษฐกิจทำให้เมเนมได้รับความนิยมมาก  จึงได้รับเลือกตั้งเข้ามาอีกสมัย เมื่อเกิดวิกฤติเศรษฐกิจในเม็กซิโก  จึงส่งผลกระทบอย่างแพร่หลายต่อประเทศด้อยพัฒนาทั่วโลก อาร์เจนจึงเริ่มเข้าสู่วิกฤติอีกรอบ  ค่าเงินดอลล่าร์แข็งตัวขึ้นจึงทำให้ค่าเงินเปโซแข็งขึ้นด้วย  ผลที่ตามมาทำให้สินค้าอาร์เจนแพงขึ้นในตลาดโลก  ทำให้ขายได้น้อยลง  รัฐบาลจึงไปกู้เงินไอเอ็มเอฟอีกครั้งต้นปี พ.ศ. 2541 จำนวน2,800 ล้านดอลล่าร์ นอกจากต้องเจอกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยแล้ว  ยังมีเรื่องอื้อฉาวทางการเมืองที่สร้างความสั่นคลอนให้อาร์เจนคือการโกงกินอย่างแพร่หลายใน ค.ร.ม.  รวมทั้งเครือญาติของประธานาธิบดีเอง อีกด้านคือการลอบสังหารนักข่าวที่นำเรื่องคดโกงออกมาเปิดเผย  ตำรวจไม่สามารถให้ความกระจ่างได้นอกจากบอกว่าเป็นการฆ่าตัวตายเองของนักข่าว  สร้างความอึมครึมสิ้นศรัทธาแก่ประชาชนโดยทั่วไป ปลายปี2542  ชาวอาร์เจนได้เลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่คือ เฟอร์นาน โด เดอลา รัว เดอ ลารัว ต้องเผชิญภาระที่หนักอึ้ง  คือหนี้สินต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นเป็น 144,000 ล้านดอลล่าร์ เศรษฐกิจหดตัว 3.5% รัฐบาลพยายามแก้ปัญหาด้วยมาตรการต่างๆเพื่อจะขอกู้เงินไอเอ็มเอฟเพิ่มและผ่อนผันการชำระหนี้  มาตรการหลักมุ่งไปที่การลดการขาดดุลด้าน งบประมาณด้วยการขึ้นภาษีและตัดค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือย  เช่น เครื่องบินประจำตำแหน่งประธานาธิบดี  ซึ่งเมนเนมซื้อมาในสมัยเป็นประธานาธิบดีราคา66ล้านดอลล่าร์  มาตรการเหล่านี้ทำให้รัฐบาลกู้เงินไอเอ็มเอฟได้อีก 7,400ล้านดอลล่าร์ รัฐบาลได้เปลี่ยนกฎหมายแรงงานด้านต่างๆเพื่อลดค่าใช้จ่ายของนายจ้างและลดอำนาจการต่อรองของสมาคมเพื่อกระตุ้นการลงทุน  สหภาพกรรมกรจึงประท้วงอย่างกว้างขวาง  และเกิดปะทะกับตำรวจ...รัฐบาลตัดงบประมาณและลดเงินเดือนข้าราชการ 15%  ก่อให้เกิดการหยุดงานทั่วประเทศ มาตรการของรัฐบาลได้ผลในการลดการขาดดุลของรัฐและป้องกันมิให้เกิดเงินเฟ้อตามที่ไอเอ็มเอฟเรียกร้อง  แต่มันทำให้เศรษฐกิจถดถอยและการว่างงานขยับสูงขึ้น  รัฐพยายามแก้ปัญหาต่อไปด้วยการขึ้นภาษี  และขออำนาจฉุกเฉินจากสภาให้ประธานาธิบดีขายรัฐวิสาหกิจ  การพยายามเปลี่ยนเงื่อนไขในการใช้หนี้ต่างประเทศโดยลำพัง  และการไล่ผู้ว่าแบ็งค์ชาติออก  สร้างความตกใจให้นักลงทุน  ทำให้ตลาดหุ้นตก  เงินไหลออกนอกประเทศมากขึ้น รัฐบาลพยายามขอเงินจากไอเอ็มเอฟเพิ่มอีก  แต่ครั้งนี้รัฐบาลไม่สามารถทำตามเงื่อนไขที่ไอเอ็มเอฟต้องการอีกได้  เมื่อไม่มีทางออกรัฐบาลก็ประกาศลดเงินเดือนและจำกัดจำนวนเงินที่ชาวอาร์เจนจะถอนได้จากธนาคาร  ทำให้เกิดการประท้วงอย่างรุนแรงทั่วประเทศ  มีการทำลายสาธารณะสมบัติและบุกเข้าไปขนของในร้านรวงต่างๆ  ทำให้มีคนเสียชีวิต  เป็นผลให้เกิดวิกฤติทางเศรษฐกิจและสังคมร้ายแรงอีกครั้ง  ประธานาธิบดีจึงต้องลาออกในปี พ.ศ.2544 หลังแต่งตั้งประนาบดีคนใหม่ประชาชนก็ยังประท้วงกันต่อไป  เพราะนอกจากรัฐบาลจะดำเนินตามนโยบายเดิมแล้ว  ยังแต่งตั้งนักการเมืองที่เคยมีประวัติโกงกินสมัยเมเนมเป็นร.ม.ต.อีก ชาวอาร์เจนเริ่มอดอยากอย่างแพร่หลาย  มีเด็กเป็นโรคขาดสารอาหารทั่วไป  ในตอนกลางคืนจะมีผู้คนออกเก็บของตามถังขยะในย่านต่างๆทั่วเมืองเพื่อยังชีพ  ความอดอยากและคับแค้นทำให้ประชาชนบางกลุ่มออกประท้วงอย่างรุนแรงและถูกปราบปรามจากตำรวจ ประธานาธิบดีคนใหม่ไม่รู้จะบริหารประเทศและหาทางออกยังไงต่อไป  จึงกำหนดให้มีการเลือกตั้งต้นปี พ.ศ. 2546 การขายรัฐวิสาหกิจเป็นปลายเหตุแล้ว  ต้นเหตุจริงๆก็อย่างข้อมูลที่ให้มานี่แหละ...อาร์เจนเป็นหนี้สินล้นพ้นตัวเกิดจากการบริหารผิดพลาดและการโกงกินมโหฬารของนักการเมืองสืบต่อกันมา...รัฐบาลเลยต้องขายรัฐวิสาหกิจเพื่อเอามาใช้หนี้เป็นการเอาตัวรอดไปก่อน  เมื่อมีเม็ดเงินจากต่างชาติเข้ามา  และรัฐไม่ต้องแบกรับภาระรัฐวิสาหกิจในขณะที่ตัวเองก็แบกหนี้ไว้จนหลังแอ่น  ก็ทำให้เศรษฐกิจในช่วงต่อมาดีขึ้น...แต่ประชาชนโดยส่วนมากก็รับกรรมไปอีตรงที่ต้องจ่ายค่าสาธารณูปโภคแพงมหาโหดนี่แหละ รัฐบาลแกฉลาดคือเล่นค่อยๆขายหุ้นรัฐวิสาหกิจไปเรื่อยๆ 50%มั่ง เดี๋ยวก็อีก10percentageมั่ง ขายไปเรื่อยๆจนขายครบ 100%เข้า ก็ต้องมาดูกันต่อไปว่ากำไรจากรัฐวิสาหกิจที่คืนเม็ดเงินอาร์เจนไปสู่ประเทศที่เป็นเจ้าของรัฐวิสาหกิจเป็นจำนวนมากนั้น  จะสำแดงเดชอะไรต่อสภาวะเศรษฐกิจของอาร์เจนในอนาคตบ้าง : ข้อมูลจาก ประชานิยม หายนะจากอาร์เจนติน่าถึงไทย จากคุณ : โบกธงรบ (เชิงบวก) - [ วันมหาสงกรานต์ (13) 11:32:08 ]

ความคิดเห็นที่ 34 ไอ้พวกขี้อิจฉา  หาว่า กพ.  ไม่รับรองเขา  แน่จริงมาเจอตัวต่อตัวม๊ะ จูงมือกันไปที่ กพ. เลยมา  ผมให้ 10 ล้านเลยเอ้า จากคุณ : ขำกลิ้ง (โด๊ะ) - [ วันมหาสงกรานต์ (13) 19:52:20 ]

ความคิดเห็นที่ 35 ****************************************************                                                                   อีกทางเลือกหนึ่ง             ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องโชคดีหรือโชคร้าย ที่ผมเคยได้สัมผัสกับระบบเศรษฐกิจใหญ่ๆของโลก 3 ระบบ คือ 1. ทุนนิยม 2. คอมมิวนิสต์ 3. สหกรณ์             ที่สัมผัสมาตั้งแต่อ้อนแต่ออด ก็คือทุนนิยม ระบบนี้นายทุนเป็นเจ้าของกิจการ มีการแข่งขันกันสูง มุ่งเน้นกำไรเป็นสำคัญ ใครมือยาวสาวได้สาวเอา ยิ่งทำไรได้มากเท่าไหร่ยิ่งดี ก่อให้เกิดช่องว่างระหว่างชนชั้น ระบบทุนนิยมทำให้เกิดโลกเล็กๆขึ้นมา 2 ใบ ซ้อนกันอยู่ในโลกใบเดียวกัน คือ โลกของคนรวย และโลกของผู้คนที่จนข้นแค้น             ส่วนคอมมิวนิสต์ที่ไปสัมผัสในโซเวียต ก็เป็นระบบที่รัฐเป็นเจ้าของกิจการ ไม่มีการแข่งขัน คนที่ทำหน้าที่ทำงานให้รัฐ ต้องทำตามหน้าที่ ไม่มีช่องว่างระหว่างคนจนกับคนรวย ระบบนี้ถูกพิสูจน์แล้วว่าไม่เหมาะสมสำหรับโลก เพราะขัดกับธรรมชาติของมนุษย์ ประเทศที่ใช้ระบบนี้หาความเจริญได้ยากผู้คนจนเหมือนกันหมด             สหกรณ์คือระบบที่สมาชิกเป็นเจ้าของกิจการ เป็นการรวมกลุ่มกันทำธุรกิจ ผู้บริโภครวมกลุ่มกันผลิตและให้บริการกันเอง ไม่มีการแข่งขันแต่แบ่งปันกัน เน้นการช่วยเหลือเกื้อกูล เฉลี่ยกำไรคืนทุนทุกคนอย่างเป็นธรรม สมาชิกมีความเสมอภาค สอดคล้องกับวัฒนธรรมดั้งเดิมของไทยก่อนโน้นเราเคยลงแขกเกี่ยวข้าว แบ่งปันอาหารให้เพื่อนบ้าน ใครมีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจเพื่อนบ้านก็คอยช่วยกันแก้ไขคนละไม้คนละมือ             คอมมิวนิสต์กับสหกรณ์เข้ามาในประเทศไทยในเวลาใกล้เคียงกัน คอมมิวนิสต์มาอย่างผิดกฎหมาย สหกรณ์เข้าอย่างถูกต้อง แต่ก็ถูกพวกทุนนิยมอย่างนายธนาคารพาณิชย์ต่อต้านมากเหมือนกัน หลายท่านพยายามสร้างความเข้าใจผิดๆ บางอย่างโยนบาปให้สหกรณ์ ถึงขนาดบอกสหกรณ์เป็นคอมมิวนิสต์ บางคนเมตตาหน่อยก็บอกว่าสหกรณ์คือลูกหลานคอมมิวนิสต์ เป็นคอมมิวนิสต์ชนิดหนึ่ง ราชการไทยจึงลงมาควบคุมกิจการสหกรณ์อย่างเต็มที่ บางรัฐบาลถึงกับออกกฎหมายมาทำลายระบบสหกรณ์             สังคมไทยทุกวันนี้คับแค้นซะจนผู้คนแทบไม่มีที่ไป เศรษฐกิจ ตกต่ำ คนว่างงานบานเบอะ ปลายปีที่แล้วเพื่อนรักผมคนนึงเดินหน้าแห้งมาหา บอกว่าเราถูกลดเงินเดือนแล้วเพื่อนเอ๋ย หาเงินมาเลี้ยงครอบครัวได้ไม่พออย่างเก่าปีนี้เพื่อนคนเดียวกันมาหาอีก บอกว่าบริษัทที่เราทำงานต้องปิดกิจการซะแล้วตอนนี้เราไม่มีรายได้แม้แต่บาทเดียว อยากจะยืมเงินเพื่อนไปซื้อข้าวประทังชีวิตลูกๆสักหน่อย            ตะวันตกพยายามบอกว่าโลกใบนี้เป็นโลกหนึ่งเดียวต้องทำอะไรให้เหมือนกันทั้งโลก ตะวันตกพร่ำแก่เราอย่างว่าต้องเสรี ยิ่งการค้าต้องให้เสรีที่สุดประเทศเล็กชาติน้อยอุตส่าห์เข้าเป็นสมาชิกองค์การค้าโลก ถูกชักชวนให้เลิกระบบกำแพงภาษี แต่ภายหลังประเทศตะวันตกกลับตั้งกำแพงแบบใหม่ขึ้นมากีดกัน            รัฐมนตรีไทยใจฝรั่งบางคนก็ตั้งบีไอเอฟเพื่อเปิดเสรีทางการเงินให้ตะวันตกโกยกำไรจากตลาดหุ้น ออกไปได้โดยสะดวก เอาเงินนอกดอกเบี้ยต่ำมาใช้กันอย่างฟุ่มเฟือย สุดท้ายไอเอ็มเอฟเป็นเจ้าของครอบครองประเทศทุกอย่างตั้งกฎเกณฑ์เยอะแยะ สั่งลดค่าเงินบาท บอกให้ขึ้นภาษี ไม่ให้ขึ้นค่าจ้าง และให้ลดค่าแรงงาน ให้แปรรูปรัฐวิสาหกิจ สั่งให้แก้กฎหมายการลงทุนเพื่อให้ต่างชาติเข้ามาซื้อกิจการต่างๆ ในเมืองไทยได้ ต่อไปสมัยลูกรุ่นหลานยุคโหลนของเรา ฝรั่งจะเป็นเจ้าของกิจการหลักๆทั้งหมด            คนไทยเองเมื่อฟองสบู่ยังไม่แตก ก็ฟุ่มเฟือยใช้แต่ของนอก ทำให้เงินตราไหลออกนอกประเทศมาก หนี้ที่ไปกู้ต่างชาติมา ส่วนมากเป็นหนี้ภาคเอกชน รัฐบาลแก้ไขปัญหาด้วยการแปรหนี้ภาคเอกชนมาเป็นหนี้ของประชาชน โดยการไปกู้เงินในนามรัฐบาลมาใช้ให้ แต่ภาระการชำระหนี้ที่รัฐบาลไปกู้มาเป็นของพวกเราทุกคน            ไม่ว่าออกไปพูดในต่างจังหวัดหรือในกรุงเทพฯ ทุกแห่งจะมีท่านผู้ฟังเข้ามาปรารภด้วยเสมอ ทุกคนท้อแท้สิ้นหวังกับระบบเศรษฐกิจทุนนิยมเสรี            ตอนเรียนอยู่ที่รามคำแหง ผมแอบไปเรียนที่สถาบันการศึกษาทางสหกรณ์ เพื่อนร่วมรุ่นที่ 12 ยังรับราชการอยู่ในกรมส่งเสริมสหกรณ์ ตอนนี้ก็ ซี 6 ซี 7 กันหมดแล้ว เพื่อนโทรศัพท์มาหาทุกวันๆ “เฮ้ย ได้เวลาแล้วที่สื่อมวลชนอย่างเพื่อนจะต้องช่วยกระตุ้นให้รัฐบาลหันมาสนับสนุนระบบสหกรณ์กันอย่างจริงจังซะที”            ผมตอบว่า ถ้ารัฐมนตรีส่วนหนึ่งยังมาจากธนาคารพาณิชย์เช่นทุกวันนี้ตะโกนไปก็ไลฟ์บอยนะเพื่อนเอ๋ย ระบบสหกรณ์ไปขัดกับระบบทุนนิยมเข้าอย่างจัง รัฐมนตรีจากธนาคารพาณิชย์ทำได้อย่างมากก็แค่เลี้ยงไข้สหกรณ์ให้อยู่อย่างถูไถไปวันๆ            ถ้าเมื่อไรรัฐบาลเอาประธานชุมนุมสหกรณ์แห่งประเทศไทยไปเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังแทนนายธนาคาร เมื่อนั้น ฝันของพวกเราจึงจะเป็นความจริง            เมืองไทยมี 2 โลกที่ซ้อนกันอยู่ในใบเดียวกัน โลกของคนรวย และโลกของคนจน. ที่มา : เปิดฟ้าส่องโลก 5 สิงหาคม 2541 โดย : นิติภูมิ      นวรัตน์ ///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////// จากคุณ : เชิงบวก - [ วันเนา (14) 19:25:28 ]

ความคิดเห็นที่ 36 เป้นไปได้  และเริ่มเป็นแล้ว  เพราะเราทะเลาะกัน  แบ่งฝ่ายกัน  ไม่สนใจการบริหารบ้านเมือง  มัวแต่ทะเลาะกัน   ไม่คิดสร้างสรรค์   คิดแต้ จับผิด  และตำหนิกันทุกวัน   รับรองได้เป็นแย่ยิ่งกว่า อเยนติน่า  สมใจ จากคุณ : น้าช่าง - [ วันเถลิงศก (15) 13:59:45 ]