มองมุมใหม่ : "อนารยะขัดขืน" กับความพ่ายแพ้ใน "ชัยชนะ" ของกลุ่มต่อต้านโลกาภิวัตน์
ในที่สุด การต่อสู้ระหว่างรัฐบาลไทยรักไทยที่ต้องการผลักดันสังคมไทยให้ก้าวไปสู่ทุนนิยมโลกาภิวัตน์กับกลุ่มต่อต้านโลกาภิวัตน์ก็ยุติลงชั่วคราว เมื่อผู้นำรัฐบาลได้ทำการถอยทางยุทธวิธีด้วยการ "ลาออกในทางพฤตินัย" โดยประกาศว่า จะไม่รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสมัยหน้า รวมทั้งยื่นหนังสือลาพัก ยุติบทบาทหัวหน้าฝ่ายบริหารโดยทันที และให้รักษาการรองนายกรัฐมนตรีอันดับหนึ่งปฏิบัติราชการแทนไปจนกว่ารัฐสภาจะสรรหานายกฯ คนใหม่ได้
โดยพลันกลุ่มต่อต้านโลกาภิวัตน์ก็พากันออกมากระโดดโลดเต้น เปล่งเสียงโห่ร้อง "ชัยชนะ" ดังก้องไปทั้งท้องสนามหลวง
แต่หากพิเคราะห์ในภาพรวมแล้ว จะพบว่าแม้ในทางปรากฏการณ์ กลุ่มต่อต้านโลกาภิวัตน์ประสบ "ชัยชนะ" แต่ก็เพียงทางยุทธวิธีและชั่วคราวเท่านั้น หากเนื้อแท้แล้ว พวกเขาพ่ายแพ้ทางยุทธศาสตร์ในการต่อสู้ยกแรกนี้
ประการแรก พวกเขาล้มเหลวในการบรรลุเป้าหมายหลักทางยุทธศาสตร์ ที่ต้องการทำลายการเลือกตั้ง ฉีกรัฐธรรมนูญ โค่นประชาธิปไตย ตั้ง "นายกฯ พระราชทาน" ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ฟื้นระบอบคณาธิปไตยอภิสิทธิ์ชนของกลุ่มทุนเก่าและปัญญาชนอนุรักษนิยมในเมือง ยุติแนวทางทุนนิยมโลกาภิวัตน์ เพราะการณ์กลับเป็นว่า การเลือกตั้ง 2 เมษายนดำเนินไปใกล้จะเสร็จสิ้นแล้ว รักษาการนายกรัฐมนตรีไม่ลาออกทันที แต่ลาพักให้รักษาการรองนายกฯ ปฏิบัติราชการแทน เป็นการปิดประตูมิให้มีการอ้าง "มาตรา 7" ในรัฐธรรมนูญ เพื่อตั้ง "นายกฯ พระราชทาน" ได้
ประการที่สอง พรรคไทยรักไทยยังคงชนะคะแนนเลือกตั้งอย่างท่วมท้น ได้ถึง 16 ล้านเสียงจากผู้ใช้สิทธิทั้งสิ้น 28 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 64 ซึ่งสูงกว่าตัวเลขร้อยละ 61 ในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2548 เสียอีก แม้แต่ในกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นฐานกำลังของกลุ่มต่อต้านโลกาภิวัตน์ พรรคไทยรักไทยก็แพ้เพียงเล็กน้อยราว 2 หมื่นเสียงเท่านั้น ซึ่งแสดงว่า ราวครึ่งหนึ่งของผู้มาใช้สิทธิในกรุงเทพฯ ยังคงให้การสนับสนุนผู้นำ และพรรคไทยรักไทยอย่างเหนียวแน่น
ชัยชนะในต่างจังหวัดและคะแนนสูสีในกรุงเทพฯ นับเป็นความล้มเหลวที่สำคัญของกลุ่มต่อต้านโลกาภิวัตน์ และเป็นเรื่องน่าประหลาดใจอย่างยิ่งจากข้อเท็จจริงที่ว่า ผู้นำรัฐบาลถูก "ล้อมปราบ" รุมกระหน่ำจากทั่วสารทิศติดต่อกันหลายเดือน ทั้งกลุ่มประท้วง พรรคฝ่ายค้าน ปัญญาชน คนชั้นกลางบางส่วน และสื่อมวลชนทุกสาขาไม่เว้นแม้แต่สื่อของรัฐบาลเอง
ข้อนี้สะท้อนว่า ผู้นำรัฐบาลและพรรคไทยรักไทยยังคงได้รับความนิยมที่หยั่งรากลึกและกว้างขวางเพียงไรทั้งในเมืองและชนบท ถึงแม้จะมีข้อกล่าวหามากมายเรื่อง "ขายชาติ" และทุจริตไม่โปร่งใสก็ตาม
ประการที่สาม แม้จำนวนผู้ "ไม่ประสงค์จะลงคะแนน" ทั่วประเทศจะมากถึง 9 ล้านเสียง ส่วนหนึ่งเป็นฐานคะแนนเสียงของพรรคร่วมฝ่ายค้านเดิม แต่อีกส่วนหนึ่งที่ "ไม่ประสงค์จะลงคะแนน" ไม่ใช่เพราะสนับสนุนกลุ่มประท้วงต่อต้านโลกาภิวัตน์และต้องการนายกฯ พระราชทาน แต่เป็นการแสดงเจตนาให้ยุติความขัดแย้งโดยเร็ว ผู้คนส่วนนี้ยังอาจกลับมาลงคะแนนให้ผู้นำพรรคไทยรักไทยได้อีกในการเลือกตั้งคราวหน้าเมื่อสถานการณ์คลี่คลาย
ประการที่สี่ การถอยออกไปของผู้นำรัฐบาล ทำให้กลุ่มต่อต้านโลกาภิวัตน์ไม่มีเป้าโจมตีที่เด่นชัดอีกต่อไป และทำให้เหตุผลเฉพาะหน้าของการเคลื่อนไหวหมดสิ้นลง กลุ่มแกนนำจึงพยายามสานต่อกระแสด้วยการชูเป้า "โค่นล้มระบอบทักษิณ" ซึ่งก็คือ ทำลายล้างตระกูลของผู้นำ ฉีกรัฐธรรมนูญ เอานายกฯ พระราชทาน เขียนรัฐธรรมนูญใหม่ ฟื้นระบอบอภิสิทธิ์ชน ยุติโลกาภิวัตน์ อันเป็นเป้าหมายที่แท้จริงของพวกเขา แต่นี่เป็นเป้าหมายที่สุดขั้ว และไม่ได้รับการสนับสนุนจากประชาชนส่วนใหญ่
ประการที่ห้า กลุ่มต่อต้านโลกาภิวัตน์ได้กระทำผิดพลาดทางยุทธวิธีมากมาย พวกเขาอ้างวิธีการต่อสู้แบบ "อารยะขัดขืน" ซึ่งเป็นแนวทางสันติอหิงหา แต่ในทางปฏิบัติ กลับตรงข้ามโดยสิ้นเชิง
ขั้นตอนการชุมนุมประท้วงและเดินขบวน เต็มไปด้วยความรุนแรง ยั่วยุหาช่องทางให้เกิดการปะทะนองเลือด ด่าทออย่างลามกหยาบคาย ปะติดปะต่อบิดเบือนข้อมูล ปลุกอารมณ์คลั่งชาติ เกลียดชังต่างชาติอย่างสุดขั้ว รุมทำร้ายผู้คนที่ผ่านมาและไม่เห็นด้วยกับพวกตน ข่มขู่ทำร้ายผู้สื่อข่าวในพื้นที่ ละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของผู้อื่นด้วยการปิดถนน ปิดล้อมอาคาร ตรวจค้นรถยนต์ส่วนบุคคลของผู้อื่นโดยไม่มีอำนาจตามกฎหมาย ปฏิเสธการเลือกตั้งและระบอบประชาธิปไตยด้วยการฉีกบัตรเลือกตั้ง
ทั้งหมดนี้ด้วยการยกตนว่า มีการศึกษาสูง มีฐานะเศรษฐกิจดี และมีความเป็น "อารยะ" สูงกว่าประชาชนชั้นล่างที่ยังคงสนับสนุนผู้นำรัฐบาล มหาปราชญ์โสกราติสและมหาตมะ คานธี หากได้เห็น "อารยะขัดขืน" ของกลุ่มต่อต้านโลกาภิวัตน์ไทยในวันนี้ คงถึงร่ำไห้!
กลุ่มคาราวานคนจนก็ละเมิดสิทธิของผู้อื่นด้วยการปิดถนน ปิดล้อมอาคาร บังคับข่มขู่ให้สื่อมวลชนทำตามความต้องการของตน ซึ่งล้วนเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายทั้งสิ้น จึงต้องถูกประณามและดำเนินคดีเช่นเดียวกัน แต่กลุ่มคาราวานคนจนก็มิได้เสแสร้งปวารณาตนว่า เป็น "อารยะขัดขืน"
วิธีการของกลุ่มต่อต้านโลกาภิวัตน์ที่ยั่วยุ รุนแรง หยาบคาย ละเมิดกฎหมายและละเมิดสิทธิของผู้อื่น ทำให้พวกเขาตกอยู่ในสถานะโดดเดี่ยว ไม่เป็นที่ยอมรับจากแม้แต่ประชากรชั้นกลางส่วนข้างมากในกรุงเทพฯ การเหมาเอาว่า จำนวนผู้ "ไม่ประสงค์ลงคะแนน" ทั้งหมดเป็นคะแนนสนับสนุนกลุ่มประท้วงต่อต้านโลกาภิวัตน์ จึงเป็นเรื่องน่าขบขัน
บัดนี้ หมอกควันและฝุ่นละอองเริ่มจางหาย แต่นี่เป็นเพียงการพักรบชั่วคราว เพื่อรอการสัประยุทธ์ครั้งใหญ่และเด็ดขาดที่จะมาถึงในอนาคตอันใกล้ เพื่อตัดสินชะตากรรมและทิศทางของประเทศไทย ว่า จะไปสู่เสรีประชาธิปไตยเต็มรูปและทุนนิยมโลกาภิวัตน์ หรือถอยหลังไปสู่ระบอบคณาธิปไตยของอภิสิทธิ์ชนเมืองและทุนนิยมด้อยพัฒนา
รศ.ดร.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์
คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
http://www.bangkokbiznews.com/2006/04/13/news_20391619.php
อาจารย์บรรยายได้ตรงใจดีแท้
"ขั้นตอนการชุมนุมประท้วงและเดินขบวน เต็มไปด้วยความรุนแรง ยั่วยุหาช่องทางให้เกิดการปะทะนองเลือด ด่าทออย่างลามกหยาบคาย ปะติดปะต่อบิดเบือนข้อมูล ปลุกอารมณ์คลั่งชาติ เกลียดชังต่างชาติอย่างสุดขั้ว รุมทำร้ายผู้คนที่ผ่านมาและไม่เห็นด้วยกับพวกตน ข่มขู่ทำร้ายผู้สื่อข่าวในพื้นที่ ละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของผู้อื่นด้วยการปิดถนน ปิดล้อมอาคาร ตรวจค้นรถยนต์ส่วนบุคคลของผู้อื่นโดยไม่มีอำนาจตามกฎหมาย ปฏิเสธการเลือกตั้งและระบอบประชาธิปไตยด้วยการฉีกบัตรเลือกตั้ง"
อาจารย์เขียนแนวนี้ จะได้ลงอีกไหมเนี่ย จะถูกใจสื่อจอมบิดเบือนหรือเปล่าหนอ
ผลงานคนผ่านฟ้า
***เดอะเนชั่น สื่อเจ้าเล่ห์จอมบิดเบือน....***
http://www.pantip.com/cafe/rajdumnern/topic/P4281844/P4281844.html
http://www.khonpanfa.com/index.php?option=com_content&task=view&id=21&Itemid=28
จากคุณ :
tonytui
- [
วันมหาสงกรานต์ (13) 13:05:25
]