ความคิดเห็นที่ 1 นายสุรเกียรติเนี่ยะหรือเป็นคนกลาง ทำไมแหล่งข่าวไทยรัฐจึงคาดว่าคนนี้ แทนที่จะเป็นคนอื่นที่เป็นกลางจริงๆ เช่น อ.ปุระชัยหรือ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ แก้ไขเมื่อ 22 เม.ย. 49 06:43:02 จากคุณ : vi3r - [ 22 เม.ย. 49 06:40:34 ]

ความคิดเห็นที่ 2 อ้าวเพิ่งรู้ว่าเป็นคอลัมน์นิต์ที่กรุงเทพธุรกิจ พอมองเห็นเลยเครือข่ายสนธิเนี่ย จากคุณ : Devil_electric - [ 22 เม.ย. 49 07:07:40 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ตกลงจะฉีก รธน จริงหรือนี่ เฮ้อออออออออออออออ ถ้าฉีกจริงโดนฟ้องแน่ จากคุณ : มือใหม่DSM - [ 22 เม.ย. 49 08:47:47 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ยืนยันว่า ดร. อมร วาณิชวิวัฒน์ เนี่ย ไม่ใช่เครือข่ายใครทั้งนั้น เราว่าแกเป็นนักวิชาการทางรัฐศาสตร์ไม่กี่คนตอนนี้ที่ยังพอเชื่อถือได้ ไม่โอนเอียงไปทางไหน เท่าที่ทราบแกเขียนบทความตรงไปตรงมา จุดยืนก็ชัดเจนไม่เข้าใครออกใคร ที่สำคัญข้อมูลภายในแกเอามาจากไหน เห็นทายแม่นหลายครั้งแล้วอ่ะ จากคุณ : นพวรรณ - [ 22 เม.ย. 49 10:03:15 ]

ความคิดเห็นที่ 5 สงสัยเป็นเหนึ่งในผู้ร่วมการวางแผนในครั้งนี้ พยายามผลักดันให้เกิดขึ้น จะเป็นเพราะรู้หรือแกล้งไม่รู้ว่า จะทำให้องค์เหนือหัวต้องลงเสื่อมเสียพระเกียรติ จากคุณ : ผู้นำสาส์น - [ 22 เม.ย. 49 10:04:20 ]

ความคิดเห็นที่ 6 เนี่ยเราลอกมาจากบทความของแกนะที่ลงในกรุงเทพธุรกิจ http://www.bangkokbiznews.com/2006/04/20/w017_95957.php?news_id=95957 จากคุณ : นพวรรณ - [ 22 เม.ย. 49 10:05:44 ]

ความคิดเห็นที่ 7 คุณความเห็นที่ห้าจ๊ะ เราว่าสิ่งที่ท่าน ดร.อมรฯ พูดไว้เนี่ย ชัดเจนนะว่า ไม่เห็นด้วยกับ นายกพระราชทาน ลองไปหาอ่านดูนะ ตามลิ้งค์ หรือถ้าไม่มีลิ้งค์ เดี๋ยวเราจัดให้ เราอ่านบทความของท่าน ดร. อมรฯ แล้ว เราเข้าใจชัดเจนเลยว่า ท่านต้องการให้พวกเรากำหนดบุคคลเอาเอง โดยไม่ต้องให้มีการระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาทแต่อย่างใด นึกออกไม๊ พอหาคนได้แล้วว่ากลางแน่ ก็นำความกราบบังคมทูลพระกรุณา ถือว่าเป็นสิ่งที่ควรกระทำหากการเมืองต้องหาทางออกในรูปแบบนี้ ซึ่งเราเองน่ะ เห็นด้วยเช่นกันว่า "ท่านสุรเกียรติ์" ไม่มีความเหมาะสม และไม่เป็นกลางอย่างแท้จริง ควรจะเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีคนสำคัญในคณะองคมนตรีหรือคนใกล้ชิดกับอดีตนายกรัฐมนตรีท่านนั้นที่เคยเป็นนายกรัฐมนตรีจะเหมาะสมกว่า เป็นใครลองคิดดูกันเอง เราไม่เฉลยหรอก จากคุณ : นพวรรณ - [ 22 เม.ย. 49 10:10:20 ]

ความคิดเห็นที่ 8 คนกลางมาแน่ 20 เมษายน 2549 13:33 น. ธรรมรัฐวิจารณ์: ดร.อมร วาณิชวิวัฒน์ a.wanichwiwatana@gmail.com     อนุสนธิจากการได้รับเชิญไปร่วมรายการคุยข่าวรายการหนึ่ง ที่มีเสียงสะท้อนกลับมาอย่างเข้าใจผิดต่อตัวผู้เขียนจากประชาชนบางกลุ่ม ที่ยังฝังใจกับการเรียกร้องนายกฯ พระราชทาน ทำให้สามารถจับประเด็นได้ว่า ในเวลานี้ ผู้อ้างตัวเป็นปราชญ์ของสังคมจำนวนไม่น้อย ได้สร้างอวิชชา(ignorance) ให้กับสังคมอย่างน่าเสียดาย การกล่าวเช่นนี้มิได้เกิดจากอัตตาหรือด้วยเห็นผิดเป็นชอบแต่อย่างใด เพียงต้องการย้ำเน้นจุดยืนอีกครั้งหนึ่งของผู้เขียนที่ไม่เห็นด้วยกับการเรียกร้องรัฐบาลหรือนายกฯ พระราชทาน ด้วยเหตุผลที่ตรงไปตรงมา อันเนื่องจากบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญไม่อยู่ในวิสัยที่จะกระทำได้ อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่มองเห็นว่าจะเป็นหนทางในการแก้ไขวิกฤตการณ์ทางการเมืองในขณะนี้ ที่ประเทศชาติไม่พึงอยู่ในภาวะสุญญากาศได้ต่อไป จากคุณ : นพวรรณ - [ 22 เม.ย. 49 10:11:05 ]

ความคิดเห็นที่ 9 เนื่องจากรัฐพิธีสำคัญกำลังจะมีขึ้นในเดือนมิถุนายนที่จะถึงนี้ ซึ่ง พบว่าทางออกที่มีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด คือ ความเป็นไปได้ของรัฐบาลเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติ ในกรณีเกิดภาวะตีบตันของการเลือกตั้งที่ไม่สามารถได้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตครบ 400 คน ภายในกรอบระยะเวลาที่กำหนด 30 วัน นับจากวันที่ 2 เมษายน 2549 การได้มาซึ่งความครบถ้วนตามองค์ประกอบของรัฐสภา จะเป็นก้าวย่างที่สำคัญที่จะเป็นข้อพิสูจน์ต่อสาธารณชนถึงความซับซ้อนและนิติวิธีการตีความกฎหมายของฝ่ายต่างๆ ว่า จะทิ้งร่องรอยความชื่นชมโสมนัสหรือร่องรอยแห่งความน่าอับอายให้ไว้เป็นบทเรียนแก่ศิษยานุศิษย์ทางกฎหมายของบรรดานักกฎหมายชั้นครูหลายต่อหลายท่านที่ออกมาให้ถ้อยแถลงผ่านสื่อมวลชนอย่างกว้างขวางในขณะนี้ อย่างไรก็ตาม ประวัติศาสตร์การเมืองไทยยุคหลังทักษิณที่หลายคนเรียกขานกันนี้ เป็นปรากฏการณ์ทางการเมืองที่ผิดแผกแตกต่างจากสิ่งที่สังคมไทยเคยเรียนรู้มาอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากความซับซ้อนทางสังคมวัฒนธรรมและระบบชนชั้นที่อาจถูกมองข้ามไป ถือได้ว่าเป็นปัจจัยหรือสาเหตุสำคัญแห่งความขัดแย้งที่ก่อตัวอยู่ในขณะนี้ ในแง่มุมของนักธุรกิจและบุคคลระดับสูงของสังคมจำนวนมาก ยังคงให้การสนับสนุนแนวนโยบายทางด้านเศรษฐกิจ และการเอื้อประโยชน์จากการดำเนินนโยบายของรัฐอย่างเหนียวแน่น ด้วยเหตุที่การบริหารจัดการภาครัฐที่ผ่านมามีขอบเขตชัดเจนว่า ไม่ได้เข้าไปแตะต้องหรือยุ่งเกี่ยวกับการจัดการระบบสังคมในเชิงชนชั้นดั้งเดิมให้ต้องสั่นคลอน หรือมีการลิดรอนสิทธิ์ในเชิงรูปธรรมหรือนามธรรมแต่ประการใด จากคุณ : นพวรรณ - [ 22 เม.ย. 49 10:11:28 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ทำให้การประสานประโยชน์ของรัฐบาลพลเรือน ที่ใครหลายคนเคยปรามาสกันว่าคงดำรงคงอยู่ได้ไม่เกินเวลานับเป็นเดือนผ่านไปเป็นปี กระทั่งในที่สุด สามารถประคองตัวอยู่ครบเทอม และมีการเลือกตั้งใหม่ เป็นภาพสะท้อนความเข้มแข็งของพรรคการเมืองพรรคใหญ่ ที่ไม่จำเป็นต้องอาศัยกองทัพเป็นเสาค้ำยันเหมือนรัฐบาลในอดีต ยิ่งเป็นหมุดตอกย้ำความสามารถในการอาศัยกลไกของการประนอมผลประโยชน์ภายในกลุ่มสังคมระดับชนชั้นนำ ไม่ว่าจะเป็นพ่อค้านักธุรกิจตลอดถึงข้าราชการ ซึ่งช่วยลดทอนแรงเสียดทานต่อการขับเคลื่อนนโยบายต่างๆ ให้เหลือน้อยที่สุด ยิ่งไปกว่านั้น กลุ่มบุคคลเหล่านี้ในบางเวลากลับกลายเป็นกระบอกเสียง หรือน้ำมันหล่อลื่นให้เครื่องจักรขนาดใหญ่ ที่เรียกว่า "รัฐนาวา" สามารถขับเคลื่อนออกไปโต้คลื่นลมพายุในสังคมโลกาภิวัตน์ได้อย่างฮึกเหิม ดังที่หลายคนกล่าวกันว่า ผู้นำก็ดีบุคคลระดับแกนนำของรัฐบาลก็ดีต่างมีความย่ามใจและเชื่อมั่นอย่างสูงกระทั่งคิดและตัดสินใจในเรื่องต่างๆ ได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด แต่นั่นคงไม่ได้เป็นเพียงเพราะบุคคลเหล่านี้เคยมีประสบการณ์ หรือชั้นเชิงในภาคธุรกิจที่เคยประสบความสำเร็จมาเป็นตัวตั้งเท่านั้น องค์ประกอบสำคัญที่ไม่อาจปฏิเสธได้คือ ความมั่นใจที่ได้รับมาจากการยอมรับของกลุ่มชนชั้นนำในสังคมไทย ซึ่งได้รับประโยชน์โดยตรงจากแนวนโยบายของรัฐ ดังได้กล่าวมาแล้วเป็นประการสำคัญ จากคุณ : นพวรรณ - [ 22 เม.ย. 49 10:11:54 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ในขณะที่ประชาชนระดับล่างหรือแม้แต่บุคคลที่ถูกเรียกขานให้เป็นรากหญ้าของสังคมก็ได้รับอานิสงส์จากแนวนโยบายประชานิยม หรือการพัฒนาแบบทุ่มทุนสร้าง ซึ่งก่อให้เกิดระบบการพัฒนาเศรษฐกิจสังคมแบบพึ่งพา (dependency) ซึ่งสามารถย้อนยุคไปถึงช่วงเวลาที่สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นำกลยุทธ์ของอเมริกันมาใช้ในยุคต้นๆ ของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติใน ฉบับที่ 1-2 ซึ่งสามารถโน้มน้าวใจคนระดับล่าง และสร้างความเชื่อมั่นให้เห็นพ้องต้องกันว่า รัฐบาลพรรคใหญ่ที่มีกำลังทุนหนาเท่านั้น ที่จะมาช่วยแก้ปัญหาปากท้องของพวกเขาได้ นี่คือ ค่านิยมของคนจำนวนไม่น้อยในสังคมไทยขณะนี้ ที่หากจะคำนวณตัวเลขของผู้ให้การสนับสนุนพรรคการเมืองใหญ่ ทั้งในด้านของกลุ่มทุนชนชั้นนำผนวกกับประชาชนระดับล่าง และกลุ่มรากหญ้า โดยยึดโยงจากการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งครั้งล่าสุดเป็นตัวตั้ง อย่างน้อยสิบกว่าล้านเสียงจากคะแนนเสียงของผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง เปรียบได้กับภาพเชิงซ้อนที่เหลื่อมกันอยู่ระหว่างแรงต้านของฝ่ายคัดค้านที่มักอ้างว่าเป็นชนชั้นกลางกับแรงเสริมของกลุ่มผู้ให้การสนับสนุนที่เป็นชนชั้นนำทางสังคมและกลุ่มรากหญ้า จากคุณ : นพวรรณ - [ 22 เม.ย. 49 10:12:20 ]

ความคิดเห็นที่ 12 แม้ว่าแรงปะทะของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเดิม จะส่งผลข้างเคียงให้เกิดปรากฏการณ์งดออกเสียง หรือการปฏิเสธการใช้อำนาจบังคับของรัฐ (civil disobedience) ออกไปเกือบจะทุกอณูของสังคม แต่ถือว่าสัดส่วนของผู้ใช้สิทธิออกเสียงที่ลดลงเป็นจำนวนกว่าสองล้านคน ทำให้พรรคการเมืองใหญ่ยังคงอ้างได้ว่า เมื่อเทียบกับสัดส่วนสิบเก้าล้านเสียงเดิม แล้วผลการเลือกตั้งล่าสุดแทบไม่มีนัยสำคัญทางการเมืองมากมายอย่างที่คาดคะเนกันไว้แต่ต้น ยิ่งไปกว่านั้น การต่อสู้ก่อนที่จะมีการพักรบนี้ ปรากฏชัดเจนว่าหลายต่อหลายครั้ง ทางกลุ่มพันธมิตรเองเน้นรูปแบบวิธีการมากเกินไป ดังเช่นการขับเคลื่อนไปในที่ต่างๆ กระทั่งสูญเสียมวลชนที่มีความอ่อนไหวต่อแนวโน้มความรุนแรง หรือการไม่พยายามตีเหล็กเมื่อร้อนในหลายต่อหลายครั้งเท่ากับเป็นการปล่อยให้โอกาสที่จะขับเคลื่อนไปยังจุดหมายที่ควรจะเป็นต้องเลอะเลือน และถูกตีความในทางเป็นโทษต่อกลุ่มของตนอย่างน่าเสียดาย นี่คือ เหตุผลสำคัญที่ทำให้รัฐบาลทักษิณอยู่ยงคงกระพันตีรันฟันแทงอย่างไรก็ดูเหมือนจะฟื้นคืนชีพได้ตลอดเวลา ไม่ต่างจากหนุมานในมหากาพย์รามเกียรติ์ ซึ่งเข้าใจว่าแกนนำพรรคฝ่ายค้านและกลุ่มสมัชชาเพื่อประชาธิปไตยคงทราบดี จึงมองไม่เห็นทางออกอื่นนอกจากการหยิบยกมาตรา 7 มาเป็นชนวนสำคัญที่จะเปลี่ยนแปลงระบอบทักษิณให้จงได้ จึงอยากให้ข้อคิดไว้ ณ ที่นี้ ว่า เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคมมาถึง หากองค์ประกอบของรัฐสภายังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ การนำมาตรา 7 เพื่อยกเว้นรัฐธรรมนูญบางมาตราน่าจะสมเหตุสมผลเพื่อยุติปัญหาคาราคาซังของวิกฤตการณ์ทางรัฐสภาเป็นประการแรก หลังจากนั้น แรงกดดันทางสังคมจะเป็นปัจจัยในการกรุยทางไปสู่การก่อตัวของรัฐบาลเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติ โดยกลไกทางสังคมจะทำหน้าที่ขับเคลื่อนไปโดยไม่มีความจำเป็นต้องดำเนินการใดๆ ให้เป็นที่ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท ดังที่หลายฝ่ายพยายามผลักดันกันอยู่ เพราะโดยส่วนตัวแล้วไม่เชื่อว่านายกรัฐมนตรีตัวแทนหรือรัฐบาลหลังม่านอย่างที่มีการกล่าวถึงจะได้รับการยอมรับจากสังคม ทั้งนี้ การได้มาซึ่งคนกลางในการทำหน้าที่สำคัญเพื่อชาติบ้านเมืองนี้ จะเป็นไปโดยการเชื่อมโยงจากสายอำนาจหลักอันเป็นตัวแทนอำนาจอธิปไตยทั้งสามส่วน ซึ่งเชื่อมั่นว่าจะไม่ได้รับการปฏิเสธจากสังคม และทุกภาคส่วนน่าจะยินดีในการหารือร่วมกันถึงการกำหนดตัวบุคคล ซึ่งแนวโน้มน่าจะเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีคนสำคัญ หรือบุคคลใกล้ชิดผู้มีสถานภาพเดียวกันที่เคยได้รับความไว้วางใจเป็นที่เคารพนับถือ และเคยเป็นหลักชัยให้บ้านเมืองในช่วงวิกฤตการณ์ของบ้านเมืองย้อนไปในสองสามทศวรรษที่ผ่านมา เพื่อทำหน้าที่กำหนดกรอบระยะเวลาของการปฏิรูปการเมืองก่อนจะมีพระราชกฤษฎีกายุบสภาให้มีการเลือกตั้งใหม่ ภายใต้กติกาที่ได้รับการประชาพิจารณ์ภายหลังเสร็จสิ้นพระราชพิธีเฉลิมฉลองสิริราชสมบัติ 60 ปี จากคุณ : นพวรรณ - [ 22 เม.ย. 49 10:12:32 ]

ความคิดเห็นที่ 13 กรุณาติดตามกระทู้ว่าด้วย ดร. อมรฯ นั่งอยู่ในใจนายก ต่อเนื่องกันไปด้วยนะจ๊ะ จากคุณ : นพวรรณ - [ 22 เม.ย. 49 10:19:59 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ก็เห็นว่าพาดหัวว่า ข่าวลือ แล้วจะจริงเปล่าเนี่ย จากคุณ : เชื่อในสิ่งที่ควรเชื่อ - [ 22 เม.ย. 49 10:28:58 ]

ความคิดเห็นที่ 15 เราว่าจริงนะ เพราะเรื่องนี้พูดกันมานานแล้ว เค้าพูดกันก่อนพันธมิตรกับเอียมาร์ก แห่ง ประชาธิปัตย์ จะเอามาเป็นประเด็นอีก เพียงแต่มันยังไม่สุกงอม ตอนนี้จริงอย่างที่ ดร.อมร  วาณิชวิวัฒน์ พูดไว้เปี๊ยบเลยว่า ต้องรอก่อน รอให้ทุกอย่างถึงเวลาสมควร แล้วอะไรก็ไหลลื่นมาเอง สุดยอดจริงๆ จ้ะ ดร.อมรฯ คนนี้ จากคุณ : นพวรรณ - [ 22 เม.ย. 49 10:34:43 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ถ้าอยากได้ นายกคนกลาง ขนาดนั้น ก็ต้องแก้ รธน ก่อน "อย่าฉีก รธน. " จากคุณ : มือใหม่DSM - [ 22 เม.ย. 49 10:54:42 ]

ความคิดเห็นที่ 17 เสนอพล อ.ชวลิต สุภาพบุรุษประชาธิปไตยมาเป็นนายกฯคนกลางครับ จากคุณ : vi3r - [ 22 เม.ย. 49 12:09:57 ]

ความคิดเห็นที่ 18 คุณ จขกท. ครับ การยกเว้นใช้บ้างมาตราของรัฐธรรมนูญ นั้นคือ การไม่ใช้รัฐธรรมนูญนะครับ ง่ายๆอีก คือ ฉีกรัฐธรรมนูญ ครับ จากคุณ : bookss - [ 22 เม.ย. 49 12:14:32 ]

ความคิดเห็นที่ 19 มาตรา 7 บัญญัติว่า "ในเมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก้กรณีใด ให้วินิจฉัยประเพณีนั้นไปตามกรณีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข" หมายความชัดเจนครับ ไม่สามารถงดเว้น บางมาตราได้ ใช้ได้ ต่อเมื่อมีเหตุ ที่ไม่มีบทบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ หากมี ส.ส. ก็ต้องเลือก นายกจาก ส.ส. ครับ ใครเลือกบุคคลนอกเหนือจากนั้น ก็ฉีกรัฐธรรมนูญ จากคุณ : คนชอบเขียน - [ 22 เม.ย. 49 12:47:43 ]

ความคิดเห็นที่ 20 จะไปฉีกรัฐธรรมนูญที่ไหนกันล่ะจ๊ะ การยกเว้นบางมาตราเหมือนประตูหลังบ้านที่ไว้สำหรับเป็นทางออกในการอุดช่องโหว่ของกฎหมาย อย่างที่บอกในหลายประเทศแม้แต่อังกฤษก็เคยใช้วิธีการแบบเดียวกันนี้มาแล้ว ไม่แปลกหรอกจ้า จากคุณ : นพวรรณ - [ 22 เม.ย. 49 13:24:31 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ...เข้ามาดูคนห่านฟ้าแถก จากคุณ : The Piggy@u - [ 22 เม.ย. 49 17:12:08 ]

ความคิดเห็นที่ 22 คุณนพวรรณ ชอบประตูหลังเหรอครับ จากคุณ : bharadorn - [ 22 เม.ย. 49 17:50:50 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ข่าวลือคือข่าวลือ ถ้าทรท. จะทำอย่างนั้นไม่จำเป็นต้องพยายามอดทนให้มีการเลือกตั้งหรอก       ปัญหาคือคนกลางอยากมา    โยนหินถามทางมากกว่า จากคุณ : jersy (jersy) - [ 22 เม.ย. 49 20:11:44 ]

ความคิดเห็นที่ 24 แน่ใจนะว่า ดร.อมร วาณิชวิวัฒน์ ไม่เอียง จากคุณ : Altier - [ 22 เม.ย. 49 20:42:05 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ความคิดเห็นที่ 20   อังกฤษเป็นประเทศที่มีรัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรนะครับ  ใช้จารีตประเพณีเป็นหลัก    ต่างจากไทยที่มีรัฐธรรมนูญระบุกติกาไว้ชัดเจน จากคุณ : zczc (zczc) - [ 22 เม.ย. 49 23:56:15 ]

ความคิดเห็นที่ 26 จ้ะ เราพอทราบว่า อังกฤษใช้รัฐธรรมนูญแบบจารีตประเพณี แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า เค้านึกเอาคิดเอานะจ๊ะ หลายๆ เรื่อง มาจาก convention ซึ่งในรอบหลายๆ ปี เค้าจะมีการสังคายนา พิจารณา อัพเดท ตัวบทกฎหมายกันด้วยจ้ะ ดังนั้นเรื่องระเบียบกฎเกณฑ์มีเขียนไว้จ้ะ ไม่ได้หมายความว่า พอเป็น จารีตประเพณีแล้ว เป็นเรื่องที่เข้าใจกันได้เอง ต้องมีลายลักษณ์อักษรในหลายเรื่องกำกับอยุ่ด้วยจ้ะ จากคุณ : นพวรรณ - [ 23 เม.ย. 49 02:52:54 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ถ้าหากผมาจำไม่ผิด นายอมรฯนี้อยู่ในกลุ่มเรียกร้องขอมาตรา 7 (นายกพระราชทาน)ด้วย แต่ถ้าไม่ใช่ก็ต้องขออภัยด้วย  แต่การอ้างว่าให้เสนอชื่อบุคคลที่ไม่ได้มาจากระบวนการเลือกตั้งตามบัญญัติในรัฐธรรมนูญแล้วให้ พระเจ้าอยู่หัวทรงลงพระปรมาภิไทนั้น ก็ไม่ต่างกับการยื่นให้พระองค์ละเมิดรัฐธรรมนูญ  ดังเช่นอ.อุกฤษฯ กล่าวว่าผู้ที่เสื่อมเสียที่สุดก็คือพระเจ้าอยู่หัว ลองคิดดูใหม่น่ะ  อีกประการหนึ่งที่พยามดึงอดีตนายกรัฐมนตรีบางคนที่ขึ้นมาจากกระแสความวุ่นวายก็เริ่มมองภาพจิกซอว์ได้ชัดเจนมากขึ้น ก็เล่นกันเป็นกระบวนการเลย จากคุณ : ผู้นำสาส์น - [ 23 เม.ย. 49 15:40:28 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ขอยืนยันจ้ะ ว่า ดร. อมรฯ ไม่ได้ร่วมในขบวนการเรียกร้องมาตรา 7 แต่อย่างใด กลับคัดค้านหัวชนฝาในหลายบทความที่เราติดตามอ่าน ส่วนประเด็นที่บอกเอาอดีตนายกรัฐมนตรีน่ะ เราเข้าใจว่า อาจารย์ อมรฯ หมายถึง อดีตนายกรัฐมนตรีที่อยู่ในคณะองคมนตรี เพราะภายหลังใช้มาตรา 7 ยกเว้นรัฐธรรมนูญบางมาตราได้แล้ว ก็สามารถทำได้ และจะช่วยลดปัญหาข้อขัดแย้งทั้งมวล เนื่องจากท่านที่อยุ่ในข่ายที่จะได้รับการทาบทาม มีความเป็นกลาง และคงไม่มีใครริษยาท่านเหล่านี้อีก เนื่องจากท่านที่อยู่ในข่ายต่างก็เคยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมาก่อน จากคุณ : นพวรรณ - [ 24 เม.ย. 49 01:45:06 ]