วิวาทะมาตรา 7 ว่าด้วยนายกฯ พระราชทาน
..................................................................
ในภาวการณ์ที่การเมืองไทยถึง 'ทางตัน' และกริ่งเกรงกันว่าอาจทำให้เกิดการสูญเสียอีก หลายฝ่ายจึงพยายามเสนอแนวทางที่คาดว่าจะเป็นทางออกที่ดีสำหรับสังคม
และหนึ่งในนั้นคือการใช้ มาตรา 7 ซึ่งมีการตีความว่าให้ถวายคืนพระราชอำนาจ เพื่อขอนายกรัฐมนตรีพระราชทานโดยมาตรา 7 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 บัญญัติไว้ว่า "ในเมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใด ให้วินิจฉัยกรณีนั้นไปตามประเพณีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข"
ฟากที่เห็นด้วยมองว่าเป็นเรื่องที่ทำได้ ขณะที่อีกฟากหนึ่งมองว่า การทำเช่นนั้นเหมือนเป็นการถอยหลังเข้าคลอง ไม่ใช่แนวทางการการปกครองของระบอบประชาธิปไตย ควรปล่อยให้พลังทางสังคมเป็นผู้ขับเคลื่อนมากกว่า
ไม่ว่าคำตอบจะออกมาเช่นไร แต่คำอธิบายเบื้องหลังความคิดนี้ ก็นับว่าน่าสนใจไม่น้อย
ธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์ อาจารย์ประจำสาขาวิชารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช และนายกสมาคมรัฐศาสตร์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า มาตรา 7 เป็นกลไกหรือเครื่องมือในการแก้ไขปัญหาของประเทศเมื่อถึงคราวจำเป็น ซึ่งพิจารณาได้ใน 4 กรณี คือ
1.ไม่มีบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญฯ เขียนไว้ ก็ให้ใช้จารีตประเพณีปฏิบัติที่เคยเป็นมาในอดีต
2.กรณีที่มีบทบัญญัติเขียนไว้ แต่ปฏิบัติไม่ได้ เนื่องจากเงื่อนไขเปลี่ยนแปลงไป
3.กรณีที่มีบทบัญญัติเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญฯ เงื่อนไขครบ เงื่อนเวลาไม่มีปัญหา แต่ปฏิบัติแล้วทำให้เกิดผลเสียหายติดตามมา ยกตัวอย่าง การเลือกตั้งในวันที่ 2 เมษายน 2549 เป็นการเลือกตั้งที่ปราศจากพรรคการเมืองฝ่ายค้าน และได้รับการต่อต้านจากประชาชน
4.กรณีที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ทำให้การใช้รัฐธรรมนูญฯ การบริหารราชการแผ่นดิน ต้องสะดุดหยุดลง จึงอาจจำเป็นต้องแก้ไขโดยการงดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา หรืองดใช้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับเป็นการชั่วคราว
ในกรณีสถานการณ์ของบ้านเมืองในปัจจุบัน ที่แต่ละฝ่ายต่างไม่ยอมซึ่งกันและกัน มีการนำประชาชนมาประจันหน้ากัน ซึ่งคาดการณ์ได้ว่าอาจจะเกิดการปะทะกันขึ้นได้ หรือเมื่อมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นในวันที่ 2 เมษายน ก็คาดการณ์ได้ว่าจะเป็นการเลือกตั้งที่ไม่มีความชอบธรรม หรือขาดการยอมรับของประชาชน ในขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็เป็นผู้นำที่มีปัญหาทั้งด้านจริยธรรมทางการเมือง และยังมีข้อกล่าวหาที่เกี่ยวข้องกับการไม่ปฏิบัติตามกฎหมายอีกหลายประการ ที่จะต้องมีการดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมต่อไป
ดังนั้น เมื่อมีผู้ทำหนังสือถวายฎีกาขอพระบารมีปกเกล้าปกกระหม่อมได้พระราชทานพระบรมราชวินิจฉัย นำจารีตประเพณีการปกครองตามมาตรา 7 ของรัฐธรรมนูญฯ มาใช้ เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนมีรัฐบาลชั่วคราว ทำหน้าที่แก้ไขรัฐธรรมนูญ และดูแลการเลือกตั้งให้เป็นไปอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม เป็นการเริ่มต้นกิจกรรมทางการเมืองตามระบอบประชาธิปไตยใหม่ โดยพรรคการเมืองทุกพรรคมีโอกาสในการแข่งขันอย่างเท่าเทียมและบริสุทธิ์ยุติธรรมต่อไปนั้น
จึงเป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์แต่ดั้งเดิม ที่เรียกกันว่าพระราชอำนาจพรีร็อกเกตีฟ (Royal Prerogative) ที่ขึ้นอยู่กับพระบรมราชวินิจฉัยที่จะสามารถดำเนินการได้ โดยไม่ต้องอิงอำนาจหน้าที่ของรัฐสภา เป็นพระบรมราชวินิจฉัยส่วนพระองค์ในภาวะที่บ้านเมืองถึงยามคับขัน
ในฐานะที่พระมหากษัตริย์ทรงอยู่เหนือการเมือง ไม่ทรงยุ่งเกี่ยวกับการเมืองในระบบพรรค การใช้พระราชอำนาจตามมาตรา 7 ของรัฐธรรมนูญฯ จึงเป็นการใช้พระราชอำนาจที่เป็นกลาง เป็นพระราชอำนาจที่แท้จริง ที่จะปกป้องและรักษาไว้ซึ่งรัฐธรรมนูญระบอบการเมืองการปกครองแบบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
สอดคล้องกับความคิดของนักวิชาการอาวุโส ปราโมทย์ นาครทรรพ ซึ่งเสนอทางเลือกที่เรียกว่า 'ระบบราชประชาสมาศัย' อันอาจจะเกิดขึ้นได้เพราะสุญญากาศทางการเมือง 3 ประการ คือ 1.รัฐบาลรักษาการลาออกหรือถูกออก 2.การเลือกตั้งในวันที่ 2 เมษายน เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ หรือถึงแม้เลือกก็จะมิได้ผลตามรัฐธรรมนูญ 3.จะเกิดภยันตรายในอนาคตอันใกล้ อันอาจมองเห็นได้ และมีความเป็นไปได้สูง เพราะการแตกแยกเป็นฝักเป็นฝ่ายในสังคม
"หากการณ์เป็นเช่นนี้ ก็จะเปิดโอกาสให้มีการนำมาตรา 7 แห่งรัฐธรรมนูญมาใช้ องค์พระมหากษัตริย์อาจลงมาช่วยได้ ดังที่ทรงอธิบายไว้ในกรณีเหตุการณ์ 14 ตุลา วิธีนี้มีแบบให้เลือกหลายอย่าง สุดแท้แต่พระบรมราชวินิจฉัยและความเห็นของประชาสังคม... ด้วยวิธีนี้ผมคาดว่าในหลวงอาจจะพระราชทานรัฐธรรมนูญได้ภายใน 6 เดือน รัฐบาลชั่วคราวสามารถทำการปฏิรูปวางรากฐานระบบพรรค การเลือกตั้งและการขุดรากถอนโคนคอร์รัปชันได้ภายในระยะเวลาที่กำหนด เวลาและงบประมาณที่นำมาใช้คงอยู่ใต้ปรัชญาเดียวกับเศรษฐกิจพอเพียง"
0 0 0
ขณะที่นักคิดคนดังอย่าง ศ.ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์ มีความเห็นต่างออกไป ศ.ดร.นิธิ มีความเห็นว่า การใช้มาตรา 7 ต้องตีความตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ซึ่งจุดมุ่งหมายหลักคือ ก่อให้เกิดการใช้อำนาจตรวจสอบ และถ่วงดุลของภาคประชาชนภายใต้ระบอบประชาธิปไตย ประเทศไทยปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยซึ่งมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ดังนั้น หากจะมีการใช้มาตรา 7 เพื่อขอให้มีนายกฯ พระราชทาน ก็ต้องดำเนินไปโดยรักษาหลักการ 2 ประการที่สำคัญ คือ สถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นประมุขของประเทศ และการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่มีนายกฯ และผู้แทนมาจากการเลือกตั้ง
แต่การขอพระราชทานนายกฯ เป็นการทำลายระบอบประชาธิปไตย เพราะไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชน และการดำเนินการเพื่อก่อให้เกิดการใช้มาตรา 7 เป็นเสมือนการฉีกรัฐธรรมนูญและทำลายระบอบประชาธิปไตย และว่า ขณะนี้ทางออกของภาคประชาชนเกิดขึ้นแล้วจากกลไกของรัฐธรรมนูญ ซึ่งหัวใจสำคัญของการออกมาเคลื่อนไหวคือ ต้องการผลักดันให้ประชาชนเกิดการพัฒนา และเรียนรู้ที่จะใช้กระบวนการตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ให้ได้ครบครอบคลุมทุกส่วน
ขณะที่ เสรี สุวรรณภานนท์ สมาชิกวุฒิสภาและอดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) กล่าวว่า ตามหลักกฎหมายรัฐธรรมนูญ นายกฯ ต้องมาจากสภาผู้แทนราษฎร แต่นายกฯ พระราชทานอาจเกิดขึ้นได้จากการผ่าทางตันตามมาตรา 7 โดยเทียบเคียงจากอดีตสมัยที่มีรัฐบาลพระราชทานปี 2516 ที่พระราชทาน สัญญา ธรรมศักดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี โดยมีสภานิติบัญญัติ รองรับสนองพระบรมราชโองการ การจะใช้มาตรา 7 ได้มีทางเดียวคือ นายกรัฐมนตรีต้องลาออก ซึ่งขณะนี้ยังมีวุฒิสภา สามารถรับดำเนินการได้
"สถานการณ์การเมืองไม่นิ่ง...ถ้านายกฯ ลาออกเมื่อไหร่ ก็จะเข้าสู่กระบวนการมาตรา 7 ได้ทันที" และว่า...
ถ้านายกรัฐมนตรีลาออก สมาชิกวุฒิสภา สามารถทำหน้าที่ได้โดยเทียบเคียงกับมาตรา 7 ตามรัฐธรรมนูญ แต่ยังไม่เห็นทาง เพราะอยู่ที่การตัดสินใจของนายกฯ เพียงคนเดียวเท่านั้น ทำให้ขณะนี้สถานการณ์น่าเป็นห่วง ทางออกคือ ต้องมีผู้ใหญ่ในบ้านเมืองที่เป็นคนกลาง ทำหน้าที่เชิญนายกฯ ผู้นำฝ่ายค้าน 3 พรรค ตัวแทนจากภาคประชาชนนอกสภาฯ ให้มาหาทางออกร่วมกัน ยึดแนวทางถอยกันคนละก้าว
"แม้ว่าหลายคนจะพยายามเอามาตรา 7 มาใช้ แต่ผมมองว่า ไม่ใช่ทางออกที่แท้จริง ทางออกวันนี้คือ ต้องหาคนกลางมาเจรจาและตกลงร่วมกัน โดยยึดหลักการแก้รัฐธรรมนูญหรือการปฏิรูปการเมือง"
สรุปแล้ว วิวาทะเรื่องมาตรา 7 ก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่สังคมไทยต้องพูดถึง 'นายกฯ พระราชทาน' อีกครั้ง!
จากคุณ :
มุทะลุ
- [
26 เม.ย. 49 13:52:50
]