| เห็นด้วย (122 คน) |
| ไม่เห็นด้วย (2 คน) |
| จำนวนผู้ร่วมโหวตทั้งหมด 124 คน |
ทรท.ร้องดีเอสไอหาคนผิดปรส.ขายทรัพย์สินขาดทุนเกือบ6แสนล้านบ.
Source - เว็บไซต์คมชัดลึก
Saturday, May 06, 2006
ส.ส.บัญชีรายชื่อไทยรักไทย ร้องดีเอสไอให้ดำเนินคดีผู้บริหาร ปรส.สมัยรัฐบาลชวน 2 ที่ขายทรัพย์ สิน สถาบันการเมือง 56 แห่ง ขาดทุน 5 แสน 7 หมื่นล้านบาท ด้าน"ชวน กรีดลิ่วล้อทรท.วิ่งโร่ฟ้องดีเอสไอ แก้เกี้ยวเพราะโดนเล่นงานเรื่องขายชาติ ท้าให้รีบแจ้งความตอนคนเกี่ยวข้องมีชีวิตอยู่
กรมสอบสวนคดีพิเศษ (6พ.ค.) เวลา 10.00 น.นายวีระ มุกสิกพงษ์ กรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย นายจตุพร พรหมพันธุ์ รองโฆษกพรรคไทยรักไทย และนายณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคไทยรักไทย นำหลักฐานเข้าร้องเรียน พล.ต.อ.สมบัติ อมรวิวัฒน์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ให้ดำเนินคดีต่อผู้บริหารองค์กรเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.) ในสมัยรัฐบาลชวน 2 กรณีการขายทรัพย์สินสถาบันการเงิน 56 แห่ง ขาดทุนไปเป็นเงินกว่า 5 แสน 7 หมื่นล้านบาท
โดยนายวีระ กล่าวว่า ตนและคณะมายื่นเรื่องให้ดีเอสไอ ดำเนินคดีคณะกรรมการและผู้บริหาร ปรส.รวมทั้งผู้เกี่ยวข้องที่หมายถึงคณะรัฐบาล กระทรวงการคลังและภาคเอกชนที่จะปรากฏในรายระเอียด เนื่องจากสมัยรัฐบาลชวน 2 หรือรัฐบาลที่มีพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำนั้นได้ขายทรัพย์สินและสินทรัพย์ 56 สถาบันการเงินที่ถูกสั่งปิดกิจการเป็นการถาวร ขาดทุนไปเป็นเงิน 5 แสน 7 หมื่นล้านบาทเศษ ซึ่งเป็นความเสียหายของประชาชนคนไทย ตนจึงมาทวงหาความรับผิดชอบจากยอดเงินประมาณ 6 แสนล้าบาท และตนเชื่อมั่นในความซื่อตรง เกียรติยศและศักดิ์ศรีของดีเอสไอ เป็นหน่วยงานที่จะสามารถฝากความยุติธรรมไว้ได้
นายวีระ กล่าวอีกว่า ความสับสนวุ่นวายทางการเมืองขณะนี้เกิดขึ้นจากคำกล่าวหาทางการเมือง ไม่มีการพิสูจน์ พูดกันไปมา ไม่มีใครเอาเรื่องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ทำให้ประชาชนสับสน ปวดหัว เมื่อตนกล่าวหาก็ต้องเอาเรื่องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม การเมืองกล่าวหากันวันนี้ว่ารัฐบาลชุดปัจจุบันไร้จริยธรรม ทุจริตและไม่โปร่งใส สารพัดจะพูด รวมไปถึงเรื่องการขายชาติที่เป็นข้อกล่าวหาที่พูดกันอยู่ ตนจึงอยากพูดไว้ในที่นี้เลยว่าคำว่าขายชาติ ทุจริตหรือไร้จริยธรรม รวมอยู่ในปรส.ขายสินทรัพย์นี้ทั้งหมด ซึ่งตนหมายถึงเราควรมาพิสูจน์เรื่องนี้ และจะได้รู้ว่านักการเมืองคนไหน พรรคการเมืองไหนที่ขายชาติ ทุจริต ไร้จริยธรรมแน่
มันไม่ใช่การกล่าวหาลอยๆ แต่มันมีเหตุมีมูล มีพยานที่จะต้องจัดการกัน ผมขอท้าต่อนักวิชาการทุกคน นักการเมืองทุกคนและสื่อมวลชนทุกแขนง ที่มีความรู้สึกว่าสังคมไทยเวลานี้มีการขายชาติ มีการทุจริตและไร้จริยธรรม ขอให้นำเรื่องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เช่นเดียวกับเรื่องที่ผมทำกรณี ปรส. โดยแน่นอนว่าพุ่งข้อกล่าวหาไปยังรัฐบาชวน 2 เพราะเราต้องการพิสูจน์ว่าเงิน 6 แสนล้านของประชาชนเกี่ยวกับการขายชาติอย่างไร ทุจริตอย่างไร และไร้จริยธรรมอย่างไร
นายวีระ กล่าวอีกว่า ไม่ว่าจะเปิดสภาได้หรือไม่ จะเลือกตั้งใหม่หรือไม่ บรรดาผู้ที่นั่งอยู่นี้จะตามเรื่องนี้ทุกฝีก้าว เพื่อพิสูจน์ให้ได้ว่า 6 แสนล้านของประชาชนไปอยู่กับใคร อยู่ที่ไหน และกรรมวิธีในการดำเนินการ มันทุจริตช่อฉลอย่างไร แต่ทั้งหมดมันอยู่ที่ว่าเรากล่าวหาแล้วเรานำเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ไม่ใช่กล่าวหากันเล่นๆ โยนกันไปมา เล่นลิ้นไปวันๆ เรื่องนี้เป็นเรื่องการเมืองอยู่แล้ว แต่ไม่เกี่ยวกับเรื่องข้อขัดแย้งที่ทะเลาะกันโครมครามอยู่ตอนนี้ ซึ่งตนไม่เกี่ยว แต่ตนเกี่ยวเฉพาะเรื่องเงิน 6 แสนล้านไปอยู่ในมือใครเท่านั้น และตนติดตามเรื่องนี้มานาน ตั้งแต่เขียนบทความที่หนังสือพิมพ์สยามรัฐ และตามเรื่อยมาจนอยู่ไทยรักไทย ก็ตามเรื่องนี้ตลอด แต่นายดุสิต ศิริวรรณ คอลัมน์นิสต์คนหนึ่ง ติดตามเรื่องนี้มากกว่า แต่ที่มาถึงจุดนี้ เพราะการเมืองตอนนี้ได้แต่เถียงกันไปมา แล้วไม่มีข้อสรุป ตนจึงรำคาญ เพราะตนคิดว่าข้อถกเถียงทางการเมืองจะเป็นประโยชน์กับประชาชนต่อเมื่อมีข้อสรุป และจะเชื่อถือได้ก็ต่อเมื่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
ในข้อกล่าวหานี้จะระบุเลยว่าผู้ที่เกี่ยวข้องเรื่องนี้ ทั้งคณะกรรมการ ผู้บริหาร ปรส. และคณะรัฐมนตรีหรือกระทรวงการคลัง หรืออกชนอื่นๆที่เกี่ยวข้อง ซึ่งต้องดูในเอกสารว่ามีใครบ้างชื่ออะไรอย่างไร ข้อหาขายชาตินั้นมันเป็นเพียงสำนวนเท่านั้น เช่นเดียวกับที่กล่าวหากันอยู่เวลานี้ ผมต้องการให้มีการพิสูจน์ว่าครอบครัว นายกฯทักษิณ (พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หัวหน้าพรรคไทยรักไทย) ขายหุ้นให้เทมาเสก มันขายชาติอย่างไร ผมพูดให้ฟังว่าใครที่กล่าวหาอย่างนี้ต้องพิสูจน์ ให้ได้ว่ามันขายชาติอย่างไร เช่นเดียวกันกับที่ผมพูดว่าถ้าพูดเรื่องขายชาติแล้ว เรื่อง ปรส.มันใกล้เคียงกับคำว่าขายชาติมากยิ่งกว่า มันชัดเจนยิ่งกว่ากรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยกล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่าการมายื่นหลักฐานให้ดีเอสไอดำเนินคดีเพื่อพิสูจน์ว่ากรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ขายหุ้นให้เทมาเสก กับขายสินทรัพย์ของ ปรส. กรณีไหนร้ายแรงกว่าเท่านั้นหรือนายวีระตอบว่า สังคมไทยกล่าวหารัฐบาลชุดนี้ว่า 1.ขายชาติ โดยอาศัยมูลเหตุเรื่องการขายหุ้น 2 .กล่าวหาว่าทุจริตก็เรื่องทำนองเดียวกัน 3.ไร้จริยธรรม ก็เช่นเดียวกัน คือเป็นผู้บริหารแล้วไม่มีจริยธรรมที่จะบริหารประเทศ ซึ่งผู้ที่กล่าวหาคือนักวิชาการ ตัวแทนกลุ่มม็อบและสื่อร่วมกัน แต่ตนเห็นว่าทั้ง 3 ข้อกล่าวหาที่เป็นข้อกล่าวหาทางสังคมกรณี ปรส.ใกล้เคียงที่สุด ถ้าจะบอกว่าขายชาติอันนั้นใกล้เคียง ถ้าจะบอกว่าทุจริตอันนั้นก็ใกล้เคียง และถ้าจะบอกว่าไร้จริยธรรม ก็แปลว่ารัฐบาลในขณะนั้นที่ดูแลแล้วหลิ่วตาไปข้างหนึ่ง นี่ใกล้เคียงที่สุด และการที่ตนมาพิสูจน์ที่ดีเอสไอก็พิสูจน์เฉพาะเรื่องนี้ แต่ขอท้าคนที่กล่าวหาว่ารัฐบาลนี้เป็นอย่างไรให้นำเรื่องนี้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมด้วย
ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่าถ้าไม่มีข้อกล่าวหาว่ารัฐบาลชุดนี้ขายชาติ ก็จะไม่มีการดำเนินการใดๆเกี่ยวกับกรณีการขายสินทรัพย์ของ ปรส.นายวีระกล่าวว่ามี แต่ไม่มาแจ้งอย่างนี้ ตนจะเอาไปดำเนินการในสภาฯ แล้วก็ได้ปราศรัยไว้ในเวทีการหาเสียงในภาคใต้ด้วยว่าเรื่อง ปรส. 6 แสนล้านเป็นเรื่องใหญ่กว่า มีหลักฐานชัดเจนกว่า และพวกตน ซึ่งจะมาเป็น ส.ส.จะรับมาดำเนินการต่อให้เรื่องจบโดยมีข้อยุติในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งก็ได้ปฏิบัติตามพันธกรณีที่ได้หาเสียงไว้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่านายวีระ ได้มอบหนังสือ ฉีกหน้ากาก ปรส. ทั้งฉบับพิมพ์ครั้งที่ 2 ซึ่งเขียนโดยนายดุสิต ศิริวรรณ ให้กับ พล.ต.อ.สมบัติ โดยนายวีระได้กล่าวกับพล.ต.อ.สมบัติว่า ขอมอบเอกสารหลักฐานและพยานบุคคลที่ปรากฏชื่ออยู่ในหนังสือฉีกหน้ากาก ปรส. จะชัดเจนทั้งหมด ซึ่งจะบอกว่าใครเกี่ยวข้องอะไรอย่างไร และเล่าเรื่องไปว่ากรรมาธิการของวุฒิสภาฯ เคยดำเนินงานไปอย่างไร และตนเห็นว่าเรื่องนี้ไม่อยากต่อการดำเนินการ และสิ่งนี้ก็จะเป็นเอกสารหลักฐานและเป็นช่องทางที่จะดำเนินการตรวจสอบโดยเร็ว และต่อพวกตนพร้อมที่จะหาพยานหลักฐานมาเพิ่มเติม
ด้านพล.ต.อ.สมบัติ ได้กล่าวว่า ดีเอสไอเคยรับเรื่องของบริษัทเรย์แมนบาร์เดอร์โฮลดิ้ง เป็นคดีพิเศษในการประชุมเมื่อ 2 เดือนที่แล้วไว้แล้ว เพราะคดีนี้เกิดก่อน กฎหมายคดีพิเศษ จึงต้องมีการขออนุมัติจากคณะกรรมการคดีพิเศษก่อน สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมที่ได้นำมายื่นในวันนี้เราจะนำไปตรวจสอบทั้งหมดถ้าเรื่องใดนำไปสอบสวนดำเนินคดีได้เราจะนำไปเสนอต่อคณะกรรมการสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อให้คดีนี้เป็นคดีพิเศษ และเจ้าหน้าที่คดีพิเศษสมารถสืบสวนต่อไป
ส่วน พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง หัวหน้าพนักงานสอบสวนในคดีดังกล่าว ระบุว่าในคดีที่เป็นคดีพิเศษคดีเดิม ในการสอบสวนจะมีพนักงานอัยการ ซึ่งเป็นที่ยอมรับ และผู้ที่มีความเชี่ยวชาญจากตลาดหลักทรัพย์ ธนาคารแห่งประเทศไทยและกรมบังคับคดี มาร่วมเป็นหนักงานสอบสวน ซึ่งคาดว่าในคดีเดิมอย่างช้าประมาณ 2 เดือน ส่วนข้อมูลใหม่ ที่อาจจะแตกเป็นคดีใหม่ได้ เพราะเรื่องนี้มีผลกระทบกับหลายคน และตอนนี้อธิบดีกรมดิเอสไอกำลังจะเปิดตู้ป.ณ. พิเศษสำหรับรับเรื่องราวร้องทุกข์ เพื่ออยากให้ผู้ที่ได้รับความเสียหายในเรื่อง ปรส.ทั้งหมด ส่งผู้มูลเข้ามาเพื่อเราจะตรวจสอบต่อไป
ทางด้านนายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวกรณี นายวีระ มุกสิกพงษ์ กรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย พร้อมด้วย ส.ส. พรรคไทยรักไทย 20 คน ได้เดินทางไปที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) เพื่อแจ้งความดำเนินคดีตนและนายธารินทร์ นิมมานเหมินท์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในฐานะที่นำ คณะกรรมการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน(ปรส.)ไปขายให้ต่างชาติ ว่ารัฐบาลคงโดนเล่นงานเรื่องขายชาติจึงหาทางทำอะไรแก้เก้อ ซึ่งนี่คือวิธีการของรัฐบาลชุดนี้ ซึ่งตนยังไม่ทราบรายละเอียดในเรื่องนี้ แต่ขอให้รีบไปแจ้งความเพราะขณะนี้คนที่เกี่ยวข้องกับ ปรส.ทั้งนายธารินทร์ และนายอมเรศ ศิลาอ่อนยังมีชีวิตอยู่
ขอให้รีบไปแจ้งเลย เพราะตอนนี้คุณธารินทร์ยังไม่ตาย และผมคิดว่ารัฐบาลคงโดนเล่นงานเรื่องขายชาติ เลยหาทางพูดอะไรแก้เก้อซึ่งเป็นวิธีการของรัฐบาลชุดนี้พวกมือปืนรับจ้าง ก็รับใช้ไปตามหน้าที่ไปตามรายได้ ซึ่งผมเห็นว่าไม่เป็นไร แม้เป็นเรื่องในอดีต ถ้าผิดก็ต้องรีบดำเนินการ คนที่เกี่ยวข้องใน ปรส.ยังอยู่ทุกคน ดังนั้นต้องรีบไปจัดการเสียเดี๋ยวคนพวกนี้ตายไปแล้วทำอะไรไม่ได้ ส่วนนโยบายเรื่อง ปรส.ที่ได้ดำเนินการในสมัยที่รับบาลผมนั้น ผมมั่นใจว่าเป็นเรื่องถูกต้องเพราะหากทำผิดคงไม่อยู่จนถึงป่านนี้ และคงถูกเล่นงานนานไปแล้ว. นายชวน กล่าว
จากคุณ :
<_Eminem_>
- [
6 พ.ค. 49 21:24:28
]