***คำขอร้องถึงศาลที่เคารพ จากประชาชนคนหนึ่ง (A Plea to Your Honor)**
ข้าแต่ศาลที่เคารพ
กระผมเป็นประชาชนคนไทยคนหนึ่ง มี ชาติ ศาสนา และ พระมหากษัตริย์ เป็นที่ตั้งมั่นเป็นแนวทางเสมอมา และในชีวิตนี้ มิเคยคาดว่าจะต้องเขียนคำร้องถึงศาลสถิตยุติธรรมเลย แต่บัดนี้ มีความจำเป็นที่จะต้องเขียนคำร้องนี้ ให้ท่านได้พิจารณา หากแม้ว่ามีข้อความใดไม่เหมาะสม ขอท่านได้โปรดพิจารณาวินิจฉัย เนื่องจากกระผมเป็นผู้รู้น้อยเถิดขอรับ
อำนาจอธิปไตย หรือ Sovereignty ตามความหมายของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยนั้น หมายถึง อำนาจที่กำหนดโดยประชาชนของประเทศนั้น ๆ โดยประชาชน จะมอบอำนาจอธิปไตยผ่านตัวแทนในระบอบรัฐสภา ก็คือ
อำนาจบริหาร ผ่านการเลือกตั้งทางอ้อม
อำนาจนิติบัญญัติ ผ่านการเลือกตั้งทางตรง
และอำนาจตุลาการ
ทั้งนี้ ก็เพื่อความผาสุกของประชาชนทั้งหลายเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ของการอยู่ร่วมกันไม่ว่าจะระบอบใดก็ตาม
จริงอยู่ อำนาจตุลาการนั้น พระมหากษัตริย์จะทรงแต่งตั้งผู้พิพากษา จากผู้ที่มีความสามารถด้านกฎหมายและผู้มีความสุจริตยุติธรรม จึงอาจจะกล่าวได้ว่าศาลสถิตยุติธรรมนั้น เปรียบเสมือนตัวแทนของพระมหากษัตริย์ ที่จะใช้อำนาจในการพิจารณาคดีความต่าง ๆ ภายใต้ตราพระปรมาภิไธยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
แต่ด้วยพระปรีชาสามารถและพระมหากรุณาธิคุณที่หาใดเปรียบมิได้ขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวต่อปวงพสกนิกรชาวไทย พระองค์ได้ทรงโปรดเกล้าฯ พระราชทานแนวทางการประพฤติปฏิบัติเพื่อความร่มเย็นของชาติเรื่อยมา และเคยมีพระราชกระแสรับสั่งว่า พระองค์ไม่เคยใช้พระราชอำนาจใดที่เกินเลย จากที่บัญญัติตามกฎหมายเลย อันจะเห็นตัวอย่างได้จาก การที่ทรงจดทะเบียนสมรสตามที่กฎหมายบัญญัติ เมื่อครั้นทรงอภิเษกสมรส หรือ ในการอื่นใด ซึ่งเป็นที่ประจักษ์แก่ปวงชนว่า พระองค์ทรงเป็นพระผู้ประพฤติปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดแท้จริง
ศาลที่เคารพ เมื่อท่านเป็นผู้ทรงไว้ซึ่งความยุติธรรม เสมือนหนึ่งตราชั่ง ที่จะตวงชั่งวัด ความผิดชอบชั่วดี ของประชาชนทั้งหลายตามกระบวนการยุติธรรมล้ว แต่โดยกฎของธรรมชาติ ที่บัญญัติเป็นแน่แท้ เสมือน ธรรมะที่มิอาจจะโต้แย้งได้ นั่นคือ ไม่มีสิ่งใดที่จะเที่ยงแท้ถาวรฉันใด ตราชั่งที่วัดความชั่วดีก็ย่อมมีการเอนเอียงไม่มากน้อยฉันนั้น
การนี้ กระผมขออนุญาตอัญเชิญพระราชดำรัสที่ทรงพระราชทานแก่ผู้พิพากษา ประจำสำนักงานศาลยุติธรรม ที่ได้เข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณตนก่อนเข้ารับหน้าที่ เมื่อวันที่ 3 ก.พ. 2549 ดังนี้
"ความเข้มแข็งสำคัญมาก เพราะบ้านเมืองโดยเฉพาะเวลานี้ อยู่ในสภาพที่เรียกได้ว่าง่อนแง่น เพราะว่าไม่เข้มแข็ง ถ้าคนในชาติเข้มแข็ง ก็ไม่มีปัญหา เพราะประเทศไทยเป็นประเทศที่มีประวัติมานาน และได้ปฏิบัติงานมาด้วยดี ด้วยความเรียบร้อยมาเป็นเวลาช้านาน เพราะว่าท่านปฏิญาณตนว่า จะรักษาความเข้มแข็งนี้ต่อไป ก็เชื่อได้ว่าประเทศจะรุ่งเรืองต่อไป
การที่ได้บอกว่าจะรักษาความดีอย่างที่ว่านี้ เป็นประกันว่า ประชาชนจะอยู่เย็นเป็นสุขที่มีผู้พิพากษา เพราะว่าจะต้องให้คดีต่างๆ ผ่านพ้นไปด้วยดี ในมวลชนก็จะต้องมีการปรองดอง ถ้าทุกคนตั้งอกตั้งใจ ที่จะพยายามรักษาความปรองดอง เชื่อว่าส่วนรวมจะอยู่ได้ ส่วนสำคัญของการปรองดอง และความเป็นอยู่ที่ดี ก็อยู่ที่ความยุติธรรม
ความยุติธรรมนี้คือ การปฏิบัติอะไรที่ถูกต้องตามธรรม คือยุติธรรม ถ้าฟังดูก็ยุติในธรรม ยุติในความดีความชอบ ท่านก็รักษาความยุติธรรม ท่านต้องรักษาความดีความชอบ ผู้พิพากษาจะต้องรักษาความยุติธรรมด้วยความดี ความถูกต้อง ถ้าท่านรักษาความยุติธรรม ตามที่ได้ปฏิญาณตน เชื่อว่าความสุขความสงบก็จะเกิดขึ้น ถ้าผู้พิพากษาไม่รักษาความยุติธรรมเมื่อใด ประเทศชาติคงวุ่นวาย
ผู้พิพากษามีหน้าที่ที่จะรักษาความดี ความปรองดองกัน ถ้าใครมายุยงบอกว่าต้องเถียงกัน ต้องเข้าข้างกัน ก็ต้องเข้มแข็ง ต้องเข้มแข็งในงานยุติธรรม หมายความไม่เข้าข้าง ผู้พิพากษาจะต้องตัดสินในความดี หรือถ้าดีแล้วก็ตัดสินไป ท่านก็รู้ดี และได้ฝึกเพื่อรักษาความยุติธรรมนี้ ฉะนั้น ขอฝากความยุติธรรม
ความเจริญของประเทศอยู่กับท่านทั้งหลาย เป็นงานที่ไม่ใช่ง่าย เพราะว่ามีอะไรต่ออะไรมาล่อ บางทีการล่อด้วยมิตร มีการล่อด้วยการยั่วยุ การล่อด้วยจะให้รางวัล รางวัลของท่านคือ ความยุติธรรม รู้ดีว่าหน้าที่ของประธานศาลนั้น ไม่ได้เป็นหน้าที่ที่จะมีเงินทอง นอกจากหน้าที่รักษาความยุติธรรม ความดี ความสื่อสัตย์ สุจริต ถ้าท่านทำได้ดีแล้ว ทุกสิ่งที่ท่านปฏิญาณก็เป็นผลดี เป็นผลทำให้บ้านเมืองอยู่เย็นเป็นสุข"
พระราชดำรัสนี้ หากผู้ที่ได้ฟังและนำไปปฎิบัติตาม ถึงแม้มิใช่ผู้พิพากษาศาล ก็ถือว่าเป็นมงคลของชีวิต
จากปัญหาของชาติบ้านเมืองในขณะนี้ พวกกระผม มีความทุกข์อย่างแสนสาหัส ทั้งภาวะทางเศรษฐกิจ สังคม และความปรองดองของผู้คนในชาติที่ดูเหมือนจะเปราะบาง
เมื่อสองอำนาจตามอธิปไตย ไม่มีอยู่ให้พวกกระผมได้พอบำบัดความทุกข์ยากแล้ว ก็จึงเหลือแต่อำนาจตุลาการ ที่เป็นที่พึ่งที่หวังของพวกกระผมได้ เพราะพวกกระผมไม่ต้องการจะไปรบกวนเบื้องพระยุคลบาทของพระเจ้าแผ่นดิน เนื่องจากเรื่องทั้งปวงนี้เป็นเรื่องของราษฎรโดยแท้
เมื่อศาลรัฐธรรมนูญ ได้วินิจฉัยให้การเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ถึงแม้โดยส่วนตัว กระผมจะไม่ค่อยเห็นด้วยก็ตาม แต่ก็น้อมรับว่า ท่านได้พิจารณาด้วยความรู้และความเป็นธรรมแล้ว ก็ปรารถนาที่จะเห็นความผาสุกของบ้านเมืองดังเดิม ด้วยการ "ยุติ" เรื่องทั้งหลายด้วยความดีความชอบและความเป็นธรรม
หากแต่เมื่อได้ฟังเขาพูดว่า ศาลถูกล็อบบี้ หรือ อาจถูกผู้มีจิตใจไม่ชอบด้วยธรรม เข้ามาชักชวน หรือ ชักจูง ให้ไปสู่ทางเสื่อมได้นั้น กระผมไม่ทราบว่าคำกล่าวนี้ เท็จจริงแท้เพียงใด แต่ก็ได้สร้างความไม่สบายใจต่อปวงกระผมเป็นอย่างมาก เพราะหากคำกล่าวนั้นเป็นจริงแล้ว ก็เปรียบเหมือนผู้ที่ลอยคอในมหาสมุทรที่ขาดสิ่งพึ่งพา
การปกครองในระบอบประชาธิปไตยนั้น การเคารพในสิทธิของมนุษย์แต่ละบุคคล ถึอเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง รัฐธรรมนูญที่ประชาชนไทยได้ร่วมกันสร้างขึ้นมา ได้ระบุถึงขอบเขตการใช้อำนาจของแต่ละฝ่าย แต่ละองค์กร ได้ค่อนข้างชัดเจนถี่ถ้วน ฉะนั้นทุก ๆ ฝ่ายจะต้องมีขอบเขตตามกฎเกณฑ์และหน้าที่ของตนโดยสุจริต หากเมื่อใดที่มีการละเมิดสิทธิ ก็หมายถึง การล่วงละเมิดอธิปไตยของแต่ละบุคคล
ณ วันนี้ กระผมยังมีความเชื่อมั่น ในความเที่ยงธรรม และการใช้อำนาจอธิปไตยตามหน้าที่ของท่านผู้พิพากษาทั้งปวง ว่าเป็นไปตามครรลองของธรรมทั้งหลาย จึงใคร่ได้ร้องขอวิงวอนต่อท่านทั้งหลาย ได้โปรดยึดมั่นเอาประเทศชาติ นั่นคือ ความผาสุกของปวงชนเป็นที่ตั้ง โดยความสุจริตและความยุติธรรม ดังที่ท่านได้ถวายสัตย์ปฏิญาณต่อองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไว้เถิด
จึงได้ขอวิงวอนท่านผ่านหน้ากระดานแสดงความคิดเห็นนี้
ควรมิควรแล้วแต่จะวินิจฉัย
ขนมต้ม
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
จดหมายเปิดผนึกถึง..ท่านผู้ใช้อำนาจตุลาการแก้วิกฤติชาติ
กราบเรียน ท่านผู้เกี่ยวข้องกับการใช้อำนาจตุลาการเพื่อแก้ไขวิกฤติชาติที่เคารพ
----------หลังจากที่ประชาชนชาวไทยได้รับฟังพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่พระราชทานแด่บุคลากรชั้นสูงของผู้ใช้อำนาจตุลาการเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2549 แล้ว ต่างก็น้อมรับใส่เกล้าและรู้สึกโล่งใจว่าประเทศไทยของเรามีแนวทางที่จะคลี่คลายภาวะวิกฤติทางการเมืองให้กลับคืนไปสู่ภาวะปกติในเร็ววัน ทุกฝ่ายต่างตั้งความหวังและปวารณาตนที่จะยอมรับข้อวินิจฉัยของศาลโดยดุษณี
----------เมื่อศาลปกครองได้วินิจฉัยให้ชลอการเลือกตั้งวันที่ 28 เมษายน 2549ไว้ก่อน ตามคำร้องของพรรคประชาธิปัตย์ ทุกฝ่ายก็ปฎิบัติตามโดยปราศจากเงื่อนไขใดๆ และเมื่อศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยให้การเลือกตั้งวันที่ 2 เมษายน 2549 และการเลือกตั้งภายหลังจากนั้นไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ และให้ กกต.หารือกับผู้เกี่ยวข้องเพื่อจัดการเลือกตั้งใหม่ ทุกฝ่ายต่างก็น้อมรับและมีความเห็นร่วมกันว่าน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับการเริ่มต้นใหม่ของการใช้ กติกาตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ ผู้เกี่ยวข้องส่วนใหญ่ได้ให้ความร่วมมือเข้าประชุมเพื่อปรึกษาหารือเกี่ยวกับการกำหนดวันเลือกตั้งที่ทุกฝ่ายรับได้ ซึ่งเป็นการเริ่มต้นที่ทุกฝ่ายควรจะร่วมกันปฎิบัติตามได้
----------แต่เหตุการณ์ไม่เป็นไปตามที่ควรจะเป็น เมื่อเลขาฯศาลได้อ้างถึงฝ่ายวิชาการศาลออกมาให้สัมภาษณกับสื่อมวลชน โดยเสนอแนะให้ กกต.เสียสละ ลาออกจากตำแหน่งและศาลจะดำเนินการสรรหากรรมการการเลือกตั้งใหม่ ให้มากำกับดูแลการเลือกตั้งครั้งต่อไปให้บริสุทธิ์ยุติธรรม ปราศจากข้อกล่าวหาใดๆต่อ การบริหารงานของกรรมการการเลือกตั้ง ซึ่งน่าที่จะทำให้ผลการเลือกตั้งเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย
----------ท่านทั้งหลายโปรดทราบว่า ความคิดเห็นต่อไปนี้มิใช่เป็นการปกป้อง และยื้อการดำรงตำแหน่งของ กกต.ชุดปัจจุบันที่ยังเหลืออยู่ เพราะตราบใดที่ระบบยังคงมีและดำเนินไปได้ ตัวบุคคลจะเปลี่ยนไปกี่สิบครั้งก็ไม่ทำให้สังคมไทยโดยรวมเกิดความเสียหาย ประการต่อมา การแสดงความคิดเห็นต่อไปนี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของหลักการที่ปกป้องความน่าเชื่อถือของผู้ใช้อำนาจตุลาการ ซึ่งเป็นฟางเส้นสุดท้ายของ อำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทย ที่ยังใช้ได้อยู่ในปัจจุบัน ข้อเสนอนี้ตั้งอยู่บนความเคารพ ความปรารถนาดี ต่อสถาบันที่ใช้อำนาจตุลาการทั้งปวง เราในฐานะปวงชนชาวไทย(ส่วนหนึ่ง) ผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย ใคร่ขอแสดงความคิดเห็นดังต่อไปนี้.
๑...ท่านผู้เกี่ยวข้องกับการใช้อำนาจตุลาการเพื่อแก้ไขวิกฤติชาติ ควรเรียกประชุมผู้ที่รักษาการการใช้อำนาจอธิปไตย ทั้งสามอำนาจและองค์กรอิสระที่เกี่ยวข้องมาปรึกษาหารือ เพื่อหาทางออกให้แก่ประเทศชาติ โดยปราศจากอคติ และหลีกเลี่ยงการสื่อสารระหว่างองค์กรทางสื่อมวลชน เว้นเสียแต่ว่ามีความจำเป็นที่จะต้องชี้แจงมติ ของที่ประชุมให้แก่ปวงชนชาวไทยเจ้าของอำนาจอธิปไตยได้รับทราบ
๒...ให้ที่ประชุมตามข้อหนึ่งจัดทำแผนแก้ไขวิกฤติชาติให้เสร็จโดยเร็วและชี้แจงรายละเอียด ขั้นตอนการปฎิบัติให้ปวงชนชาวไทยซึ่งเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยได้รับทราบ หากมีความจำเป็นต้องลงประชามติก็ให้ลงประชามติ เพื่อให้ปวงชนชาวไทย ผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย ได้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจ
๓...หากท่านผู้เกี่ยวข้องกับการใช้อำนาจตุลาการเพื่อแก้ไขวิกฤติชาติมีความเห็นว่าจะต้องดำเนินการ พิพากษา หรือวินิจฉัย ให้ใครอยู่ในตำแหน่ง หรือ ออกจากตำแหน่ง ควรใช้วิถีแห่งกระบวนการยุติธรรม มิใช่ วิถีแห่งกระบวนการทางการเมือง โดยมีสื่อมวลชนเป็นกลไกการทำงาน มิเช่นนั้น ท่านผู้เกี่ยวข้องกับการใช้อำนาจตุลาการเพื่อแก้ไขวิกฤติชาติ ทำให้ประชาชนส่วนหนึ่ง เห็นว่า อาจจะไม่เป็นธรรมและเป็นห่วงถึงการใช้อำนาจของท่าน
๔...เราเชื่อว่า หากท่านดำเนินการโดยอิงการใช้อำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทยตามข้อเสนอสามข้อข้างต้น ประชาชนที่แบ่งเป็นฝักฝ่ายสามารถยอมรับได้ นอกจากจะไม่ปฎิเสธแผนการดำเนินงานของท่านแล้ว ยังจะยกย่อง สรรเสริญต่อการให้เกียรติ ให้คุณค่าแก่ปวงชนชาวไทยผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยอย่างแท้จริง
----------พวกข้าพเจ้าตามรายนามแนบท้ายนี้ ขอกราบอภัยอย่างสูงหากมีถ้อยคำใดกล่าวล่วงเกิน หรือแสดงถึงความไม่เคารพต่อเกียรติและศักดิ์ศรีของท่าน แต่โปรดเข้าใจว่าพวกข้าพเจ้าทั้งหลาย นอกจากจะไม่มีเจตนาร้ายแล้ว ยังให้ความเคารพ ยำเกรงและตั้งความหวังให้ท่านเป็นที่พึ่งสุดท้าย
----------จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณา ควรมิควรแล้วแต่ท่านจะวินิจฉัย
grassroot
สมาชิกชุมชนห้องราชดำเนิน แห่งพันทิพ ดอท คอม
และรายนามที่แสดงความคิดเห็นต่อท้ายมานี้
.
แก้ไขเมื่อ 20 พ.ค. 49 00:03:53
แก้ไขเมื่อ 18 พ.ค. 49 17:03:13
แก้ไขเมื่อ 17 พ.ค. 49 21:06:30
จากคุณ :
grassroot
- [
17 พ.ค. 49 20:45:13
]