การตัดสินของศาลที่ให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะนั้น ผมยอมรับได้ แม้ว่าไม่สนิทใจกับเหตุผลของศาล เพราะมันอ่อนด้อยไร้น้ำหนักเกินไป แต่เพื่อให้บ้านเมืองเดินต่อไปได้ ผมก็ยอมรับได้
แต่ผมเริ่มสงสัยพฤติกรรมของศาลที่มาให้สัมภาษณ์ไล่ กกต. ผ่านสื่อนี่แหละ มันสุดวิสัยที่จะเชื่อว่าคนที่เป็นผู้ใหญ่เหล่านี้ผ่านงานมามากจะทำงานไม่เป็น ที่จริงคุยกับ กกต. ก่อนก็ได้ และการแก้ปํญหาในโลกนี้มันไม่เคยมีทางเดียว และยืนกระต่ายขาเดียวว่า "ความเห็น แนวทางของตนต้องถูก"
ผมสิ้นสุดความอดทนทันที ที่ผู้พิพากษามีมติ ไม่ส่งคนเข้าร่วมกัน กกต.ในการจัดการเลือกตั้ง พูดตรง ๆ ไม่อ้อมค้อมคือ "การบอยคอต" กดดัน กกต. นั่นเอง ตรงนี้ พฤติกรรมไป "ซ้ำกับวิธีการของสนธิ และสามพรรคร่วมฝ่ายค้าน" เหมือนคนวางแผนมาจากที่เดียวกัน เป็นคนกลุ่มเดียวกัน
พฤติกรรมแบบนี้มันเป็นเด็ก และไม่ใช่การแก้ปัญหา มีอย่างที่ไหนที่เขาทำแบบนี้ การแก้ปัญหา คนขัดแย้งกันมันต้องมีการประสานงานพูดคุยกัน วิธีนี้ไม่ได้ มันกระทบคนอื่นมากเกินไป ก็ต้องหาวิธีอื่น หนึ่ง สอง สาม เป็นต้น มันต้องมีหลายอ็อบชั่น
แต่พฤติกรรมของศาลครั้งนี้เหมือนมีวัตถุประสงค์ซ้อนเร้นบางอย่าง มีใบสั่ง มีใครล็อบบี้ (ผมไม่รวมคำพูดของนายไทกรที่ว่าล็อบบี้ศาลได้ แต่มันสะท้อนว่า เคยมีกรณีนี้มาแล้ว และผมไม่เชื่อว่าคนอย่างนายไทกรจะล็อบบี้ศาลได้)
พฤติกรรมที่สร้างความคลางแคลงใจ และพยายามบีบให้คนอื่นต้องทำตามข้อเสนอของตนเท่านั้น ไม่ใช่พฤติกรรมของคนที่เข้ามาแก้ปัญหา การขัดแย้งในสังคมได้ แต่มันจะทำให้ความขัดแย้งบานปลายยิ่งขึ้น
อย่าลืมพระราชดำรัสสุดท้าย ที่ "แก้ปัญหาไม่ได้ให้ลาออกไป"
ตอนนี้ผมไม่เชื่อว่าศาลจะแก้ปัญหาได้
การบีบบังคับให่คนอื่นยอมตาม โดยการปลุกม็อบนั้น ไม่เคยสำเร็จ
ไม่อย่างนั้น ยิวกับปาเลสไตน์ ก็ไม่เป็นศัตรูกันทุกวันนี้ เพราะความไม่ไว้ใจคนที่เข้ามาไกล่เกลีย และพฤติกรรมที่บีบบังคับให้อีกฝ่ายต้องทำตามให้ได้ ก็ไม่ต่างจาก อเมริกันที่ยื่นเงื่อนไขที่ "ห้ามปฎิเสธ" ให้คนอื่นนั้นเอง
จากคุณ :
ประชาชน(ไทย)
- [
19 พ.ค. 49 01:39:59
]