วันพฤหัสบดีที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2549
ที่สโมสรทหารบก ถนนวิภาวดีรังสิต - เมื่อเวลา 10.00 น. สภากรรมกรแห่งชาติ ได้จัดแสดงปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ แนวทางแก้วิกฤติชาติในสถานการณ์ปัจจุบัน โดย พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี มาเป็นองค์ปาฐกถา เพื่อเป็นแนวทางในการแก้วิกฤติของประเทศชาติในสถานการณ์ปัจจุบัน
พล.อ.ชวลิต กล่าวปาฐกถาตอนหนึ่งว่า การเตรียมการวันนี้กระทำมาตั้งแต่ต้นเดือนเมษายน โดยวางหลักการเพื่อการสร้างสรรค์ความสมานฉันท์ให้เกิดขึ้นในยามวิกฤติของชาติ ซึ่งประเทศไทยได้เสียเวลาไปกว่าค่อนศตวรรษกับความทรุดโทรมและตกต่ำ แต่ฉาบหน้าไว้ด้วยภาพลวงตาของความเจริญสมัยใหม่ที่ภายในเป็นโพรง ทั้งที่ประเทศไทยควรเป็นประเทศพัฒนาเท่าเทียมกับประเทศรุ่นเดียวกันนานแล้ว ปัจจุบันคนไทยต่ำต้อยในสายตาของคนชาติอื่น ทั้งที่คนไทยมีลักษณะพิเศษประจำชาติอันสูงส่งสืบทอดมาแต่บรรพกาล
"ประเทศไทยมีความอุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ การพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติขาดความสมดุล ยิ่งพัฒนายิ่งจนถึงกับต้องประกาศสงครามกับความยากจน ประชาชนส่วนใหญ่รายได้ไม่พอกับรายจ่าย ชาวนาต้องทำนา และต้องกู้หนี้ยังชีพและกลายเป็นคนจรจัดไปเป็นอันมาก อุตสาหกรรมทำลายเกษตรกรรมการประกอบกิจการขนาดกลางและขนาดเล็กถูกทำลาย สังคมเกิดปัญหาร้ายแรงเมืองไทยเมืองพุทธศาสนากลายเป็นเมืองเบียดเบียน โหดร้าย ความขัดแย้งในทุกรูปแบบแผ่ซ่านไปในสังคมโดยทั่ว บ้านเมืองเกิดอาเพศภัยต่างๆ และมีช่องว่างระหว่างคนจนกับคนรวยถ่างกว้างออกไปอย่างรวดเร็ว อันจะนำบ้านเมืองไปสู่มิคสัญญีกลียุค"
พล.อ.ชวลิต กล่าวอีกว่า บนความเสื่อมโทรมและตกต่ำมาเป็นระยะเวลายาวนานนี้ การเมืองการปกครองของประเทศช่วงเวลาที่ผ่านมา มีเหตุการณ์เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก ดูเป็นวงจรแห่งความเลวร้าย หรือที่เรียกว่าวงจรอุบาทว์ในชาติ อย่าลืมว่าการเมืองการปกครองคือ มรรควิธีการบริหารราชการแผ่นดิน ซึ่งจะนำพาชาติไปสู่การพัฒนาก้าวหน้า ประเทศมั่นคง ประชาชนมั่งคั่งในที่สุด
วิพากษ์ทฤษฎีประชาธิปไตย
สังเกตว่าการเมืองการปกครองเวลาดังกล่าว เริ่มจากคณะราษฎรโค่นรัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อปี 2475 คณะรัฐประหารโค่นคณะราษฎร เมื่อปี 2490 ฝ่ายหนึ่งของคณะรัฐประหารโค่นอีกฝ่ายหนึ่งคือจอมพลสฤษดิ์ โค่นจอมพล ป. พิบูลสงคราม เมื่อปี 2500 คณะปฏิวัติโค่นคณะรัฐประหาร เมื่อปี 2501 พรรคการเมืองร่วมกับนักศึกษาโค่นคณะปฏิวัติเมื่อปี 2516 คณะปฏิรูปโค่นรัฐบาลพรรคการเมือง ปี 2519 คณะปฏิวัติโค่นคณะปฏิรูป ปี 2520 คณะรสช.โค่นรัฐบาลพรรคการเมือง ปี 2535
และสถานการณ์ปัจจุบัน การโค่นล้มสลับไปมา ก็ยังมีอยู่ความซ้ำซากของวงจรแห่งความเลวร้ายในด้านการเมืองการปกครอง เป็นไปกว่าค่อนศตวรรษดำเนินไปมา 26 ครั้ง และมีรัฐธรรมนูญรวม 16 ฉบับ เกือบทุกครั้งที่มีปัญหา มีผู้คนกล่าวกันว่าประเทศไม่เป็นประชาธิปไตย
"ที่น่าสังเกตคือ ผู้มีอำนาจหรือรัฐบาลทุกยุคสมัย ต่างเห็นสอดคล้องกันว่า จะต้องสร้างประชาธิปไตยให้ได้ โดยการสร้างรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตย โดยไม่ได้ดูเลยว่า ประเทศที่เขาเป็นประชาธิปไตยทั้งหลาย เขาสร้างระบอบประชาธิปไตยขึ้นมาก่อน จากนั้นจึงร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมา เพื่อรักษาระบอบของเขาไว้ จากตรรกะดังกล่าวที่ใฝ่ฝันถึงการปกครองระบอบประชาธิปไตยว่า จะแก้ปัญหาชาติได้โดยแน่นอนแสดงว่า ปัจจุบันประเทศไทยไม่ได้เป็นประชาธิปไตย และเป็นที่พูดจากันโดยทั่วไปว่า ประเทศไทยปัจจุบันใช้การปกครองแบบเผด็จการรัฐสภา นั่นก็คือการปกครองแบบเผด็จการนั่นเอง"
พล.อ.ชวลิต กล่าวอีกว่า จากประวัติศาสตร์ของทุกประเทศในโลก เมื่อชุมชนแบบเก่าพัฒนาขึ้นเป็นชาติ ย่อมจะเกิดปัญหาของชาติ ที่จะต้องแก้ไขอยู่ 2 ปัญหาคือ ปัญหาเอกราช และ ปัญหาประชาธิปไตย
อันดับแรก ของแนวทางแก้ปัญหาชาติ คือการรู้อย่างถูกต้องว่า ปัญหาพื้นฐานของชาติคืออะไร เมื่อกำหนดความมุ่งหมายการแก้ปัญหาได้ถูกแล้ว ยังต้องมีแนวทางแก้ปัญหานั้นอย่างถูกต้อง คือการสร้างประชาธิปไตย ไม่ใช่สร้างรัฐธรรมนูญ
"ซึ่งรัฐธรรมนูญมีความสำคัญ แต่ไม่ใช่เป็นความสำคัญสูงสุด แต่การสร้างการปกครองแบบประชาธิปไตยถือเป็นเรื่องหลักถ้าจะแก้ปัญหาชาติต้องแก้ปัญหาประชาธิปไตยให้สำเร็จถ้าไม่สร้างประชาธิปไตยก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะพูดว่าแก้ปัญหาชาติแล้ว"
ในมุมมองอดีตผู้บัญชาการทหารบก ที่ผ่านยุคสงครามประชาชนเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว มองว่า การเคลื่อนไหวของประชาชนครั้งนี้ ถือเป็นการเคลื่อนไหวที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งแท้จริงเป็นสถานการณ์เคลื่อนไหว"ปฏิวัติประชาธิปไตย" ซึ่งสมบูรณ์ทั้งแนวทางการเมืองและแนวทางการต่อสู้
คือการต่อสู้ของประชาชน เพื่อปฏิเสธพรรคการเมืองต่อต้านการเลือกตั้ง และใช้แนวทางต่อสู้ที่ถูกต้องคือ แนวทางสันติ สถานการณ์ปัจจุบันเรียกว่า สถานการณ์ปฏิวัติ ซึ่งย่อมมีความเข้มแข็งและรุนแรงเสมอ
เพราะเป็นการต่อสู้ของประชาชน ถ้าเกิดอุปสรรคขัดขวางก็จะกลายเป็น "มิคสัญญีกลียุค"
แต่ถ้าทุกฝ่ายเข้าใจและให้ความร่วมมือ โดยรัฐบาลเฉพาะกาลเข้าใจการสร้างประชาธิปไตยเปลี่ยนระบอบรัฐสภาเป็นระบอบประชาธิปไตยที่ถูกต้องแล้ว นอกจากจะส่งผลให้ผ่านวิกฤติเลวร้ายไปได้ ยังนำบ้านเมืองหลุดพ้นวงจรแห่งความชั่วร้ายเข้าสู่วิถีแห่งความเจริญก้าวหน้าอันไพบูลย์
ปัจจุบันสภาวะบ้านเมืองเสมือนคนเจ็บป่วย สาเหตุของการเจ็บป่วยทำให้หมดเรี่ยวแรง ซึ่งเจ็บป่วยเพราะใช้การเมืองการปกครองที่ผิดพลาดจนทำให้เกิดความขัดแย้งในสังคมไทยทุกรูปแบบ ทุกพื้นที่ขั้นตอนแรกต้องสร้างความเข้าใจ ความสมานฉันท์ของคนในชาติให้กลับคืนมาสู่สภาวะเดิม เมื่อเสร็จแล้วจึงสร้างประชาธิปไตย
"ซึ่งการสร้างประชาธิปไตยในชาติคือ ปัญหาหลักการสร้างความสมานฉันท์ในชาติคือ ปัญหานำ ซึ่งในสภาวะปัจจุบันไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะทำให้คู่กรณีของความขัดแย้งสร้างความสมานฉันท์ได้ ดังนั้น คนกลางที่มีความรอบรู้ เข้าใจปัญหา มีประสบการณ์เป็นที่เคารพรักเชื่อถือของคนทั่วไปและคู่กรณี ทำให้ทั้ง 2 ฝ่ายเชื่อถือว่าจะได้รับการปฏิบัติที่เป็นธรรม เชื่อว่าความเคียดแค้นอาฆาตของทั้ง 2 ฝ่าย จะหมดไปด้วยการดำเนินการของท่านผู้นี้ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งแต่จะเป็นใครที่ไหน ผมไม่ทราบ รู้แต่เพียงว่าไม่ใช่ผม" พล.อ.ชวลิต ระบุ
เสนอแนะทางออก 6 ข้อ
พล.อ.ชวลิต กล่าวว่า คุณสมบัติคนกลางที่จะมารับผิดชอบบริหารราชการแผ่นดินในสถานการณ์ปัจจุบันมี 6 ข้อคือ
1.ไม่มีความคิดใหญ่ คิดแบบชาวบ้านธรรมดา ถือว่าตำแหน่งและอำนาจเป็นเครื่องมือการทำหน้าที่ในการแก้ปัญหาชาติเท่านั้น
2.มีหลักวิชาถูกต้อง รู้สถานการณ์ตรงตามความเป็นจริง สามารถประยุกต์หลักวิชากับสถานการณ์อย่างถูกต้อง และมีประสบการณ์แก้ไขปัญหาชาติดังกล่าวมาแล้ว
3. มีความระมัดระวังสูงสุด ในการปฏิบัติทางการเมือง ไม่ทำอะไรหยาบ ง่าย โดยไม่แน่ใจว่าถูกต้องแท้จริง
4. ร่วมมือกับประชาชนและส่วนรวม
5. มีสติระลึกตลอดว่าอำนาจและความเป็นใหญ่มีอันตรายต่อจิตใจยิ่งกว่าอะไรทั้งสิ้น
6.มีความเป็นอยู่ระดับกลาง
พล.อ.ชวลิต ระบุด้วยว่า ปัญหาชาติกว่า 74 ปีที่ผ่านมา ไม่ใช่ปัญหาที่ผู้บริหารสูงสุด หรือตัวบุคคลแต่เป็นปัญหาระบอบ ซึ่งระบอบที่ดีคือ ระบอบประชาธิปไตย อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน ระบอบที่ไม่ดีคือระบอบเผด็จการ ให้โอกาสคนไม่ดี และตัดโอกาสคนดี
ดังนั้น ต้องแก้ที่ระบอบ ไม่ใช่เรียกหาคนดีที่มีความสามารถ ซึ่งความห่วงใยขณะนี้ สังคมกำลังเรียกร้องการปฏิรูปการเมือง หรือการร่างรัฐธรรมนูญ การชักชวนให้ล้มระบอบทักษิณ หรือการทำลายล้างตัวทักษิณเอง
"แม้แต่การเลือกตั้งที่มาจากความคิดว่า จะคืนอำนาจให้กับประชาชนเป็นผู้ตัดสิน ซึ่งความจริงตั้งแต่เปลี่ยนการปกครองในปี 2475 ประชาชนยังไม่เคยได้อำนาจ เพราะคณะราษฎร์ยึดอำนาจมาจากพระมหากษัตริย์ถ้าจะคิดคืนอำนาจ ต้องคืนอำนาจให้กับพระมหากษัตริย์จึงจะถูกต้อง"
พล.อ.ชวลิต ระบุว่าหากติดขัดด้วยกฎเกณฑ์หรือรัฐธรรมนูญ ประชาชนควรจะแสดงออกถึงเจตนารมณ์ และความต้องการที่จะสรรหาคนกลาง ผู้เหมาะสมมาบริหารราชการในสภาวะการณ์ปัจจุบัน โดยให้ผู้ที่มีอำนาจและเกี่ยวข้องถวายข้อเสนอของประชาชนต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
ที่เสนอนั้น เพื่อให้คนกลางมารับสนองการปฏิบัติภาระกิจอันศักดิ์สิทธิ์ของชาติให้ลุล่วงไป อีกทั้งยังเป็นไปตามพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งมีพระราชประสงค์ ที่จะมอบอำนาจให้กับประชาชนเป็นจริงได้ด้วย และเพื่อเป็นการลดความสับสน ยุ่งยาก และเสียเวลาไปโดยใช่เหตุ ผู้มีอำนาจและผู้เกี่ยวข้องอาจเป็นผู้นำการปฏิบัติดังกล่าวเสียเองก็ได้
ซึ่งผู้ที่ตัดสินใจดังกล่าวคือ "วีรบุรุษ" ของชาติโดยแท้จริง ขอให้ทุกคนมาร่วมกันยุติความขัดแย้ง ร่วมกันสร้างวิถีทางเดินของชาติให้ถูกต้องเพื่อเฉลิมฉลองวันอันเป็นสิริมงคล ในวโรกาสเสด็จขึ้นครองราชย์ครบ 60 ปี ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ซึ่งตอนหนึ่ง ผู้สื่อข่าวได้ถามว่า "คนกลาง" ที่ต้องการให้เข้ามาบริหารประเทศคือผู้ใด พล.อ.ชวลิต กล่าวว่า กำลังหาอยู่ เมื่อถามย้ำว่า ต้องเป็นระดับองคมนตรีหรือไม่ พล.อ.ชวลิต กล่าวว่า "ยังไม่รู้เลยลูก"
เมื่อถามอีกว่า มีความเป็นไปได้ที่จะเชิญ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษมาแก้วิกฤติช่วงนี้ พล.อ.ชวลิต กล่าวว่า
"ไม่ทราบ ต้องถามประชาชน ซึ่งอีก 2 วันผมจะให้สัมภาษณ์อีกครั้ง" พล.อ.ชวลิต กล่าวทิ้งท้าย
******************************
สงสัยว่าวันนั้นท่านเพิ่งได้รับการปล่อยตัวอย่างนั้นหรือ
หรือว่าวันที่ 25 ท่านไม่ได้ดูทีวี หรือว่าช่วงนั้นท่านไม่ได้ฟังข่าวอะไรเลย
ถ้าท่านรับรู้ แต่ยังออกมาแถลง มันหมายความว่าอย่างไร
พระราชดำรัส ท่านไม่ใส่ใจอย่างนั้นหรือ หรือว่าท่านมึนอยู่จึงออกมาพูด
หรือว่าท่านมาพูดเพราะถูกใครบังคับให้พูด ผมว่าคนไทยน่าจะใส่ใจประเด็นนี้นะครับ
แก้ไขเมื่อ 28 พ.ค. 49 15:12:26
แก้ไขเมื่อ 28 พ.ค. 49 15:08:49
จากคุณ :
ขยะสังคม
- [
28 พ.ค. 49 15:04:27
]