บทความชิ้นนี้อาจจะออกสู่สายตาผู้อ่านช้าไปสักนิดกับการเขียนถึงเหตุการณ์โศรกสลดที่คุณครูสาว ๒ คนถูกกลุ่มแนวร่วมโจรก่อการร้ายและผู้ก่อการร้ายจากหมู่บ้านกูจิงรือปะรุมซ้อมอย่างทารุณโหดร้ายจนสลบเหมือดโดยเฉพาะคุณครูจูหลิงหรือครูจุ้ยมีอาการสาหัสที่สุด แต่ถึงอย่างไรก็ตามผู้เขียนคิดว่าการกล่าวถึงเหตุน่าเศร้าสลดใจในครั้งนี้ก็คงไม่มีคำว่าสายเกินไปกับเสียงสะท้อนเล็กๆจากแดนไกลเสียงนี้ที่มีต่อเหตุการณ์ความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย
เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาผู้เขียนได้่มีโอกาสอ่านคำให้สัมภาษณ์ของนายสูน ปงกันมูล คุณพ่อของคุณครู จูิหลิง ปงกันมูลหนึ่งในสองคุณครูโรงเรียนบ้านกูจิงรือปะให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวว่า:
" ...ช่วงที่จุ้ย (ชื่อเล่นของ น.ส.จูหลิง) รู้ตัวว่าได้เป็นครูสอนหนังสือที่ภาคใต้ จุ้ยดีใจมากบอกว่าจะได้ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ เคยเรียกจุ้ยไปถามว่าไม่กลัวหรือเพราะฆ่ากันตายทุกวัน จุ้ยกลับพูดอย่างเด็ดเดี่ยวว่าไม่กลัวอยู่เมืองไทยที่ไหนก็ปลอดภัยเหมือนกัน จึงเลือกที่จะเป็นครูอาสาสมัครลงมาทำงานที่โรงเรียนกูจิงรือปะ จุ้ยเป็นลูกสาวคนเดียวของครอบครัวผม เขาชอบด้านการวาดภาพและมีความสามารถพิเศษวาดภาพจิตรกรรมตามฝาผนังได้สวยงามมาก
หลังจากจบมหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง เมื่อปี 2546 คณะศิลปศาสตร์ก็สมัครสอบบรรจุครูจนกระทั่งมาเป็นครูอาสาสอนวิชาศิลปะของโรงเรียนกูจิงรือปะ เมื่อวันที่ 11 ต.ค.48 ที่ผ่านมาก็เป็นห่วงลูกตลอด โทรศัพท์มาพูดคุยก็จะเตือนให้ลูกระวังตัว ไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องร้ายแรงกับจุ้ยอย่างนี้ หลังเข้าเยี่ยมอาการของลูกสาวก็รู้สึกดีใจที่ทางคณะแพทย์ของโรงพยาบาลให้ความสนใจช่วยเหลืออย่างเต็มความสามารถ ขณะนี้ยังทำใจไม่ได้ แม้รู้ว่าโอกาสที่จุ้ยจะกลับมาเหมือนเดิมเหลือน้อยเต็มที แต่ก็ยังหวังว่าลูกจะฟื้นขึ้นมาอีกสักครั้ง.... "
อ่านแล้วช่างเป็นประโยคที่ร้าวรานใจน่าดู และต้องขอประณามกลุ่ม "ชาวบ้านหัวรุนแรงใจโหด" เหล่านี้ที่ทำร้ายได้แม้กระทั่งผู้หญิงตัวเล็กๆที่ไม่มีทางสู้ ... ผู้เขียนอ่านคำให้สัมภาษณ์ของคุณพ่อคุณครูจูหลิงแล้วน้ำตาไหลค่ะ แม้นว่าผู้เขียนจะมิได้เป็นญาติหรือรู้จักกับครอบครัวของคุณครูจูหลิงก็ตาม แต่รับรู้ได้ด้วยตัวเองว่า ความรู้สึกสะเทือนใจ นั้นมันเกิดขึ้นเมื่อเห็นประโยคบอกเล่าง่ายๆ ของคนเป็นพ่อที่ถ่ายทอดออกมาด้วยหัวใจที่ร้าวรานกับความหวังอันริบหรี่ว่า " ขณะนี้ยังทำใจไม่ได้ แม้รู้ว่าโอกาสที่จุ้ยจะกลับมาเหมือนเดิมเหลือน้อยเต็มที แต่ก็ยังหวังว่าลูกจะฟื้นขึ้นมาอีกสักครั้ง "
สงสารคุณพ่ิอของเธอมากๆความบอบช้ำในจิตใจของหัวอกคนเป็นพ่อนี้คงแสนสาหัสนัก รู้สึกเศร้าสลดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับคุณครูจูหลิงและครอบครัวของเธอมากค่ะและผู้เขียนคิดว่าคนไทยหลายๆคนคงมีความรู้สึกไม่ต่างจากผู้เขียนเช่นกัน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นลักษณะแบบนี้อย่างชาวบ้านถูกปลุกระดมให้เชื่อ หรือให้ความร่วมมือในการก่อการ ใช้ผู้หญิงมาเป็นแนวหน้า และจบลงด้วยการที่ผู้บริสุทธิ์ถูกทำร้ายจนถึงแก่ชีวิตก็ไม่ใช่ครั้งแรก เหตุเกิดที่ตันหยงลิมอร์เป็นบทเรียนราคาแพงที่สังเวยด้วยชีวิตของสองนาวิกโยธินมาแล้ว
เมื่อไหร่นะถึงจะได้ยินคำว่าบทเรียนบทสุดท้ายจากเหตุการณ์ความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้สักที เพราะเมื่อใดก็ตามที่รัฐบาลใช้มาตราการขั้นเด็ดขาดในการปราบปรามในการจับกุมหรือตอบโต้กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ ก็มักจะถูกกลุ่ม NGO ... ราษฎรอาวุโส ... นักวิชาการบางคนและนักสิทธิมุษยชน ขัดขวาง และประณามอยู่ตลอดเวลาแต่สิทธิมนุษชนของเหยื่อไฟใต้กลับไม่ได้รับการกล่าวถึง ล่าสุดนี่องค์กรด้านสิทธิมนุษยชนถึงกับรวมตัวกันไปยื่นหนังสือต่อเลขาธิการยูเอ็นโดยระบุว่ารัฐบาลไทยละเมิดสิทธิมนุษยชนรุนแรง ... อ่านแล้วเศร้าค่ะ
ผู้เขียนจึงอยากจะขอฝากไปยัง องค์กรด้านสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ หรือ กลุ่ม NGO ให้พวกท่านเรียกร้องสิทธิมนุษยชนให้กับ 2 คุณครูสาว "เรือจ้าง" ที่นำศิษย์ข้ามฟากส่งคนข้ามฝั่งแสนไกลลำนี้ด้วยค่ะเพราะผลตอบแทนที่แม่พิมพ์ของชาติทั้งสองได้รับกลับเลวร้ายเกินกว่าที่จะรับได้ ความหมายของคำว่า "สิทธิมนุษยชน" ที่หมายถึง ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพและความเสมอภาคของบุคคลที่ได้รับการรับรองหรือคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยนั้นนักสิทธิมนุษยชนทั้งหลายคงท่องได้ขึ้นใจ นักสิทธิมนุษยชนที่มักจะเรียกร้องความเป็นธรรมจากรัฐบาลเพื่อไม่ให้มีการเลือกปฏิบัติต่อความเป็นมนุษย์ไม่ว่าจะเชื้อชาติ ศาสนาใดก็ตาม ควรจะใช้โอกาสนี้ออกมาประณามกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบอย่างแข็งขันให้ชาวไทยได้ประจักษ์ชัดถึงการทำหน้าที่ของพวกท่านอย่างไม่เลือกปฏิบัติ เพราะการกระทำของกลุ่มผู้ก่อการในครั้งนี้ได้ทำลายความรู้สึกอันดีที่คนร่วมชาติ ร่วมอาณาเขตดินแดนเดียวกันพึงมี การสมานฉันท์หรือการสร้างสันติภาพอย่างยั่งยืนนั้นต้องกระทำร่วมกันทั้งสองฝ่ายไม่ใช่เรียกร้องจากฝ่ายรัฐฝ่ายเดียวและต้องให้ความร่วมมือกับรัฐบาลด้วย
จากเหตุการณ์จับ 2 คุณครูสาวเป็นตัวประกันในครั้งนี้ กลุ่มแนวร่วมโจรก่อการร้ายและผู้บงการก็ยังคงใช้ยุทธวิธีจู่โจมที่ไม่ต่างจากเมื่อครั้งเกิดเหตุการณ์สังหารโหดสองนาวิกโยธินไทยโดยใช้ ผู้หญิงในหมู่บ้านมาเป็นโล่ห์ทางศีลธรรมส่งผลให้เจ้าหน้าที่รัฐที่ปฏิบัติงานโดยยังคำนึงถึง"ศีลธรรม" และ "กฏของสงคราม" มีความเกรงใจชาวบ้านจึงไม่กล้าทำอะไรที่รุนแรง ทำให้ไม่สามารถเข้าไปช่วยตัวประกันได้ทันท่วงที นี่จึงเป็นอีกครั้งหนึ่งที่คนไทยต้องอ่านและรับฟังข่าวด้วยความเศร้าสะเทือนใจกับชีวิตบริสุทธิ์ของหญิงสาวคนหนึ่งที่กำลังแขวนอยู่บนเส้นด้ายโดยมีพ่อและแม่ที่เฝ้าดูอาการของลูกสาวด้วยความหวังให้ฟื้นกลับมาหายเป็นปกติดังเดิม
การทำหน้าที่แม่พิมพ์ของชาติของคุณครูจูหลิงจึงเป็นภาพสะท้อนของการเสียสละไปทำงานในพื้นที่สีแดงโดยไม่หวั่นกลัวอันตรายใดๆ เพราะหัวใจของเธอมีความรักต่อเพื่อนร่วมชาติ ร่วมอาณาเขตดินแดนเดียวกัน เพราะเธอเชื่อว่าอยู่เมืองไทยที่ไหนก็ปลอดภัยเหมือนกัน เพราะเธอเชื่อว่า "หากเราไม่ทำร้ายใคร ไม่มีใครทำร้ายเราหรอก เราเป็นแค่ครูผู้หญิงตัวเล็ก ๆ" คุณครูจุ้ยบอก กับแม่ของเธอเมื่อตอนที่เธอเริ่มเป็นครูที่ระแงะใหม่ๆ เธอเป็นคนที่มีจิตใจสูงส่งมากค่ะ
ผู้เขียนคิดว่าคนที่ทำร้ายคุณครูจูหลิงอย่างทารุณโหดร้ายเช่นนี้ได้ต้องเป็นคนที่ใจดำน่าดู เพราะแม้แต่ในกฎ กติกาของการทำสงครามจะรู้กันเป็นสากลว่าจะต้อง "ละเว้นผู้หญิงกับเด็ก" ดังนั้นกรณีที่เกิดขึ้นที่ตันหยงลิมอและกูจิงรือปะจึงเป็นการละเมิดกติกาของสงครามโดยสิ้นเชิง
(ยังมีต่อค่ะ...)
จากคุณ :
เอื้องอัยราวัณ
- [
29 พ.ค. 49 16:14:19
]