ความคิดเห็นที่ 1 ข้อแรก เขาตั้งข้อสังเกตคนไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนไทยที่เป็นคนชั้นกลาง และคนในระดับสูง รวมทั้งปัญญาชน ครูบาอาจารย์ระดับมหาวิทยาลัย ที่สะท้อนออกมาจากปฏิกิริยาต่อกระแสทางความคิดทางการเมือง ยังไม่พร้อมที่จะเป็นผู้นำทางความคิดในระบอบประชาธิปไตย สังเกตได้จากกระแสความคิดที่ไม่เชื่อขบวนการทางการเมืองประชาธิปไตย เช่น ขบวนการทางกฎหมาย ขบวนการตัดสินข้อขัดแย้งต่างๆ โดยองค์กรอิสระ ไม่ว่าจะเป็นคณะกรรมการการเลือกตั้ง ..... ศาลรัฐธรรมนูญ หรือองค์กรต่างๆ หากการชี้ขาดขององค์กรต่างๆ ตัดสินไม่ตรงกับความคิดเห็นของตน.......... แก้ไขเมื่อ 04 มิ.ย. 49 14:17:13 จากคุณ : นางสาวหมอนทอง - [ 4 มิ.ย. 49 08:59:14 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ข้อที่สอง คนไทยมีอารมณ์ทางการเมืองรุนแรงไม่แพ้ประเทศทางตะวันตก แต่คนทางตะวันตกนั้นจะดำเนินการตามกรอบของระบบกฎหมายในกรอบของรัฐธรรมนูญ แต่คนไทยระดับสูงและระดับกลางให้ความสำคัญกับรัฐธรรมนูญและกฎหมายของตนน้อยมาก จะสังเกตได้จากการรายงานหรือความคิดเห็นที่ออกมาผ่านสื่อมวลชน การเรียกร้องบีบบังคับเป็นไปในทิศทางนอกกรอบรัฐธรรมนูญ นอกระบอบประชาธิปไตยอย่างสิ้นเชิง.......... แท้จริงลึกๆ ในใจของคนที่มีการศึกษา แม้กระทั่งครูบาอาจารย์ทางรัฐศาสตร์และกฎหมาย ยังนิยมระบบอำนาจนิยม การยึดอำนาจรัฐโดยไม่ผ่านขบวนการตามระบอบประชาธิปไตย ดังจะเห็นได้จากการที่ผู้นำขบวนการชุมนุมกระทำการเสมือนว่าตนได้ยึดอำนาจรัฐสำเร็จแล้ว สามารถออกคำสั่งให้รัฐบาลก็ดี องค์กรอิสระต่างๆ กระทำการหรือตัดสินไปตามทิศทางที่ตนต้องการ ฟังดูเหมือนกับการออกคำสั่งของหัวหน้าคณะปฏิวัติที่ยึดอำนาจรัฐได้สำเร็จแล้ว คล้ายกับเป็นการยึดอำนาจรัฐได้สำเร็จแล้ว.... เพียงแต่ไม่ใช่การยึดอำนาจรัฐโดยกองทัพ ถ้าเป็นประเทศที่ระบอบประชาธิปไตยหยั่งรากลึกแล้ว ประชาชนจะไม่ยอมรับการออกคำสั่งอย่างนี้ จะยอมรับเฉพาะการชุมนุมเรียกร้องแสดงความคิดเห็นอย่างสงบ เพื่อให้รัฐบาลหรือรัฐสภาดำเนินการให้ตามกรอบของรัฐธรรมนูญและขบวนการยุติธรรม อันเป็นสถาบันที่เขายอมรับนับถือ ว่าเมื่อเรื่องถึงรัฐบาล ถึงรัฐสภา และสถาบันยุติธรรมแล้ว ก็เป็นอันยุติ .......... แต่ของเราไม่เป็นเช่นนั้น อาจจะเป็นเพราะประวัติศาสตร์การเมืองของเรามีปฏิวัติรัฐประหารบ่อย ยกเลิกและร่างรัฐธรรมนูญกันใหม่อยู่เรื่อยๆ รัฐธรรมนูญและระบบกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับขบวนการประชาธิปไตย จึงไม่มีใครสนใจให้ความสำคัญ ให้ความเคารพ เหมือนกับยุโรปหรืออเมริกา........ จากคุณ : นางสาวหมอนทอง - [ 4 มิ.ย. 49 09:03:10 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ข้อที่สาม การเมืองและธุรกิจนั้นเกี่ยวข้องกันมานานแล้ว ในสมัยก่อนตอนที่โลกมีสงครามเย็น ประเทศไทยก็มีรัฐบาลที่ตั้งโดยทหาร คณะรัฐมนตรีส่วนมากมาจากระบบราชการ เป็นบุคคลที่มีประวัติชื่อเสียงดี แต่ทหารก็ให้การอุปถัมภ์แก่พ่อค้านายทุนในการที่จะได้การผูกขาด เพื่อแสวงหากำไรจากการผูกขาด หรือที่ภาษาเศรษฐศาสตร์ อดัม สมิธ เรียกว่า "ค่าเช่าทางเศรษฐกิจ" หรือ "economic rent" ..... ส่วนผู้นำทางทหารทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ไม่มีธุรกิจของครอบครัว อย่างมากก็ไปนั่งเป็นประธานธนาคาร หรือธุรกิจใหญ่ๆ ทุกเช้าพ่อค้านายทุนก็ไปนั่งเฝ้าบันไดบ้าน.. สังคมรับได้ พ่อค้าตระกูลเก่าๆ ก็เริ่มมาอย่างนั้น รุ่นลูกหลานอาจไม่เคยเห็น เพราะกำลังไปเรียนหนังสืออยู่เมืองนอก ขณะนี้สถานการณ์เปลี่ยนไป ระบบการเมืองเป็นแบบประชาธิปไตยแบบเปิด ประชาชนผู้ออกเสียงลงคะแนนกลับเป็นฝ่ายเรียกร้องเงินทอง เรียกร้องให้ช่วยเหลืออุปถัมภ์ในรูปแบบต่างๆ นายทุนพ่อค้าแทนที่จะต้องเข้าไปซูฮก เค้าเต๋า ผู้มีอำนาจ ก็รวมตัวกันตั้งพรรคส่งลูกหลานลงสมัครรับเลือกตั้งเสียเอง ตระกูลนายทุนเก่าจึงยอมรับได้......... สมาชิกสภาผู้แทนจึงเต็มไปด้วยชนชั้นพ่อค้านายทุนทั้งในส่วนกลางและต่างจังหวัด แทบจะไม่มีลูกหลานชนชั้นอื่นเลย กว่าร้อยละ 90 เป็นคนไทยเชื้อสายพ่อต้านายทุนทั้งนั้น ด้วยเหตุนี้วัฒนธรรม พฤติกรรมทางการเมืองจึงเปลี่ยนไป ค่านิยมและคุณค่าทางการเมืองก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว.. แต่ก็มีประสิทธิภาพมากขึ้น...ตัดสินรวดเร็วมากขึ้น ไม่ "เชื่องช้า" แบบเก่า ข้าราชการถูกจี้ให้ทำงานเร็วขึ้น มิฉะนั้นจะถูกย้าย ภาพลักษณ์ของผู้นำก็เปลี่ยนไป.. คนไทยไม่คุ้นเคย คนไทยจึงอยู่ในช่วงสับสน ในหมู่ข้าราชการย่อมไม่ชอบใจแน่ เพราะปลัดกระทรวงเป็นที่พึ่งอย่างเดิมไม่ได้แล้ว ......... รัฐมนตรีเข้ามาตัดสินใจไล่จี้งานเอง ส่วนคนร่ำรวยตระกูลเก่าก็ยังรับนักการเมืองและผู้นำรุ่นใหม่ไม่ได้ เพราะยังติดกับผู้นำและรัฐบาลที่อ่อนแอ ผสมกันหลายพรรค พูดจามีมารยาท ไม่อหังการ ยังยอมรับการเป็นรัฐบาลที่มาจากชนชั้นพ่อค้าซึ่งเป็นชนชั้นเดียวกับตนไม่ได้ เหตุการณ์ที่ผ่านมา ถ้าทหารปฏิวัติรัฐประหาร ยกเลิกรัฐธรรมนูญ ขับไล่รัฐบาลออกไป ใช้อำนาจปฏิวัติยึดทรัพย์นักการเมือง คนในกรุงเทพฯจะยินดีปรีดา ......... แล้วอีกปีหนึ่งก็ชุมนุมขับไล่รัฐบาลกันใหม่ จากคุณ : นางสาวหมอนทอง - [ 4 มิ.ย. 49 09:09:01 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ข้อที่สี่ คนไทยชั้นสูงยังยึดถือที่ตัวบุคคลมากกว่าระบบ ซึ่งขัดแย้งกับระบอบประชาธิปไตย เมื่อไม่ชอบหรือเกลียดชังเสียแล้ว ก็ไม่คำนึงถึงระบบ จะทำอย่างใดก็ได้ขอให้บุคคลผู้นั้นพ้นๆ ไป ถ้าจะอยู่ต่ออีกสักวันหนึ่งก็เหมือนบ้านเมืองจะล่มสลาย....... ข้อกล่าวหาบางอย่าง แม้จะรู้ว่าไม่ได้ผิดกฎหมายก็พร้อมจะเชื่อ และข้อกล่าวหาบางข้อที่กล่าวหาว่าฝ่ายตรงกันข้ามทำผิดกฎหมาย ก็ไม่สนใจที่จะติดตามให้ได้ข้อมูลลึกเพื่อที่จะสามารถเอาผิดได้ตามกฎหมาย คนกลุ่มนี้ไม่ได้สนใจแยกแยะว่าอะไรถูกอะไรผิด เวลารักทุกอย่างก็ถูกไปหมด........ เวลาเกลียดเวลาไม่ชอบทุกอย่างก็ผิดหมด เป็นสังคมแบบไฟไหม้ฟาง จากคุณ : นางสาวหมอนทอง - [ 4 มิ.ย. 49 09:11:36 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ข้อที่ห้า สังคมชั้นสูงและชั้นกลางมีแนวโน้มที่จะเชื่อข่าวลือมากกว่าข่าวจริง หลายเรื่องถ้าหยุดคิดแล้วก็จะไม่เชื่อ แต่คนไทยชอบเชื่อข่าวลือที่ถูกใจตัว ข่าวจริงที่ไม่ถูกใจตัวจะไม่ยอมเชื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งข่าวร้ายและข่าวโจมตีกัน...... สื่อมวลชนซึ่งเข้าใจจิตวิทยาเช่นว่านี้ ก็ถือโอกาสกระพือข่าวลือเพื่อประโยชน์ทางการค้า เพิ่มยอดขายหนังสือพิมพ์...... แล้วผู้จัดรายการวิทยุ ก็เอาข่าวหนังสือพิมพ์ไปอ่าน และขยายข่าวลือต่อ........... สื่อมวลชนไทยนั้นมีอิสระเสรีภาพมากที่สุดในโลก แม้จะเทียบกับอเมริกาหรือยุโรป ไม่ถูกควบคุมโดยใครเลย ไม่ว่าจะเป็นทางการหรือสมาคมวิชาชีพของตนเอง ผู้คนแม้แต่รัฐมนตรีข้าราชการผู้ใหญ่ นักธุรกิจล้วนแต่เกรงกลัวและเกรงใจ นักข่าวเด็กๆ อายุ 20-30 ปี สามารถนัดพบรัฐมนตรี ปลัดกระทรวง อธิบดี นายธนาคาร นักธุรกิจใหญ่ๆได้ เพราะไม่มีใครอยากขัดใจสื่อมวลชน........... ผู้ที่เสียหายจากการลงข่าวที่จริงและไม่จริง หรือจริงเพียงครึ่งเดียว มักจะต้องทำเฉยเสีย ..... หากทำอะไรไปและยิ่งเป็นผู้มีอำนาจก็จะถูกกล่าวหาว่าแทรกแซงสื่อมวลชน แม้กระทั่งการใช้สิทธิตามกฎหมายฟ้องร้องทางศาลถูกกล่าวหาว่าแทรกแซงปิดกั้นสื่อมวลชนทันที ซึ่งสื่อมวลชนในประเทศต่างๆ ทั่วโลกไม่มีอภิสิทธิขนาดนี้........ การที่สื่อมวลชนไทยมีอิสระเสรีภาพและอภิสิทธิสูงมากอย่างนี้ ประเทศไทยจึงเป็นที่สื่อมวลชนต่างๆทั่วโลก ส่งนักข่าวเด็กๆ นักข่าวมือใหม่มาฝึกงานก่อนจะรับเข้าบรรจุ เพราะถ้ามาอยู่เมืองไทยแล้วยังทำข่าวไม่ได้ก็จะไม่ได้รับการบรรจุ เพราะสังคมไทยเปิดกว้างอย่างที่สุด และสื่อมวลชนมีอภิสิทธิสูงที่สุดในโลกแล้ว........ ด้วยเหตุนี้รัฐบาลไทยและรัฐบาลทหาร ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล พล.อ.เกรียงศักดิ์ รัฐบาล พล.อ.เปรม รัฐบาลคุณอานันท์ รัฐบาลคุณบรรหารและคุณชวน หลังเหตุการณ์ 14 ตุลาเป็นต้นมา ไม่มีทางเป็นรัฐบาลเผด็จการได้เลย ....... เป็นได้แต่รูปแบบ...เนื้อหาเป็นไม่ได้ แต่ผลเสียก็มี.... เพราะหลายคนหลายครั้งก็ถูกหนังสือพิมพ์ละเมิดสิทธิเสรีภาพ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ หรือไม่กล้าแม้แต่การใช้สิทธิตามกฎหมายทางศาล... จากคุณ : นางสาวหมอนทอง - [ 4 มิ.ย. 49 09:16:05 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ดีครับ อ่านง่ายกว่ากระทู้เดิม มาก ขอบคุณจ้า จากคุณ : มีใครไทยแลนด์ - [ 4 มิ.ย. 49 09:20:21 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ต้องมีคนเข้ามาบอกว่า ต่างประเทศไม่ใช่ประเทศไทย มันเป็นพวกทักษิณ แน่ๆ จากคุณ : Thaina - [ 4 มิ.ย. 49 09:20:51 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ข้อที่หก เพื่อนผมค่อนข้างผิดหวังนักวิชาการ ครูบาอาจารย์ในมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งครูบาอาจารย์ทางรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ รวมทั้งสมาคมทนายความ และผู้ที่มีวิชาชีพทางกฎหมายและรัฐศาสตร์ ซึ่งในประเทศอื่นจะเป็นผู้ที่เรียกร้อง ให้ประชาชนยืนหยัดในหลักของการปกครองในรัฐธรรมนูญและกฎหมาย ปัญญาชนไทยทางด้านนี้กลับชี้นำให้สังคมละทิ้งหลักการปกครองตามกฎหมาย โดยการอ้างจริยธรรมบ้าง... ความชอบธรรมบ้าง......... หลักความชอบธรรมตามกฎหมายนั้นเป็นหลักที่ชัดเจน เป็นลายลักษณ์อักษร มีสถาบันซึ่งจะชี้ขาดเป็นที่ยุติของปัญหาความขัดแย้งได้เป็นรูปธรรม เนื้อหาของกฎหมายรัฐธรรมนูญก็ดี กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญก็ดี ปกติก็จะสะท้อนจริยธรรม ขนมธรรมเนียมประเพณีของระบอบการปกครองอยู่แล้ว แต่การไม่ยอมรับรัฐธรรมนูญ กฎหมาย ระบอบการปกครอง รวมถึงการวินิจฉัยชี้ขาดขององค์กรที่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย ก็เท่ากับเป็นการเรียกร้องบีบบังคับตามอำเภอใจ....... ส่วนหลักความชอบธรรมที่อ้าง "จริยธรรม" ที่เกินกว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมาย ประเพณีขนบธรรมเนียม การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขนั้น เป็นเรื่องที่เป็นนามธรรม เลื่อนลอย ไม่แน่นอน เปลี่ยนแปลงไปตามกลุ่มชน เช่น ชั้นสูง ชั้นกลาง มีมาตรฐาน จริยธรรมอย่างหนึ่ง ชั้นล่างอย่างหนึ่ง .... เปลี่ยนแปลงไปตามภูมิภาค ภาคใต้ว่าอย่าง ภาคเหนือ ภาคอีสานว่าอย่าง และเปลี่ยนไปตามกาลเวลา เช่น ปี 2547 ว่าอย่าง ปี 2549 ว่าอย่าง ต่อไปปี 2550 อาจจะว่าอีกอย่างก็ได้ การตัดสินความชอบธรรมบนพื้นฐานของ"จริยธรรม"จึงเลื่อนลอย ไม่เหมือนความชอบธรรมที่อยู่บนพื้นฐานของ "ระบบ" "หลักการ" และ "กฎหมาย" ซึ่งเป็นรูปธรรม อ้างอิงได้ ถ้าระบบและหลักการควรจะเปลี่ยนเพราะสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนไป กฎหมายก็เปลี่ยนได้ตามขบวนการ แต่ระหว่างที่ยังไม่เปลี่ยนแปลง ก็ต้องใช้ความชอบธรรมบนพื้นฐานของกฎหมายที่ยังใช้บังคับอยู่......... ที่เป็นเช่นนี้ก็อาจจะเป็นเพราะว่า เรามีรัฐบาลทหาร ที่มีทหารเป็นนายกรัฐมนตรีเองหรือมีนายกรัฐมนตรีที่ทหารแต่งตั้ง ซึ่งไม่มีความชอบธรรมตามรัฐธรรมนูญ หรือตามระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นพระประมุข หรือบางครั้งจะชอบธรรมตามรัฐธรรมนูญ แต่ก็เป็นรัฐธรรมนูญที่คณะปฏิวัติหรือสภาร่างรัฐธรมนูญที่คณะทหารตั้งขึ้นมา การต่อต้านจึงต้องต่อต้านนอกรอบของรัฐธรรมนูญ โดยอ้างความไม่ชอบธรรมของระบอบหรือระบบได้ชัดเจน ไม่เปลี่ยนแปลงไปตามกลุ่มคน ภูมิภาค และกาลเวลาในโลกสมัยใหม่ แต่เหตุการณ์ที่ผ่านมาเที่ยวนี้ไม่เหมือนกัน เป็นการอ้างความไม่ชอบธรรมที่ไม่ใช่ความชอบธรรมของระบอบหรือที่มาของรัฐบาล แต่การอ้างความไม่ชอบธรรมบนพื้นฐานของ "จริยธรรม" ซึ่งเลื่อนลอย ถ้าทำได้สำเร็จก็จะเป็นความเสียหายต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยในระยะยาวอย่างยิ่ง จากคุณ : นางสาวหมอนทอง - [ 4 มิ.ย. 49 09:22:01 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ข้อที่เจ็ด เพื่อนอเมริกันตัวแสบของผมยังแสดงความผิดหวังต่อพรรคการเมืองของไทย ทั้งพรรคการเมืองที่เก่าแก่ พรรคที่เก่ากลาง พรรคที่กลางเก่ากลางใหม่ พรรคการเมืองควรจะเป็นสถาบันที่เป็นผู้นำทางความคิด เผยแพร่ปรัชญา จิตสำนึก และปฏิบัติตนเป็นนักประชาธิปไตย แต่วิกฤตการณ์การเมืองครั้งนี้ ผู้นำพรรคการเมืองกลับไปร่วมเรียกร้องให้มีการละเมิดรัฐธรรมนูญ ละเมิดกฎหมาย ละเมิดข้อเท็จจริง รวมทั้งปฏิเสธขบวนการรัฐสภา ปฏิเสธขบวนการให้กลับไปสู่การตัดสินใจของประชาชนผ่านการเลือกตั้ง โดยอ้างว่าขบวนการเลือกตั้งนั้นไม่ชอบธรรม ก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง ปฏิเสธกรรมการเลือกตั้ง รวมทั้งคว่ำบาตรการเลือกตั้ง ที่เหลือเชื่อก็คือสื่อมวลชน ซึ่งควรจะเป็นสถาบันที่ต่อต้านการปฏิเสธขบวนการประชาธิปไตย กลับไปเห็นด้วยและสนับสนุน.......... ปรากฏการณ์ดังกล่าวจะเป็นการสร้างประเพณี และวัฒนธรรมที่เป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อระบอบการปกครอง ระบอบประชาธิปไตย ระบอบรัฐสภา การเรียกร้องกดดันทั้งหมดที่ผ่านมาเป็นการเรียกรองและกดดันใ ห้มีการดำเนินการที่ไม่เป็นประชาธิปไตย ไม่เป็นไปตามกฎหมาย ไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญเลย และที่แปลก "นักประชาธิปไตย" ทั้งหลายกลับรับได้ ไม่ตะขิดตะขวงใจเลย.......... จากคุณ : นางสาวหมอนทอง - [ 4 มิ.ย. 49 09:27:26 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ข้อที่แปด การกดดันให้มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง โดยอ้างความไม่ชอบธรรมบนพื้นฐานของ "จริยธรรม" นั้น เป็นอันตรายที่สามารถสร้างความแตกแยกในสังคม เพราะมาตรฐานของจริยธรรมของผู้คน ต่างหมู่เหล่าต่างภูมิภาคจะต่างกัน ไม่เหมือนความชอบธรรมที่ตั้งอยู่บนรากฐานของรัฐธรรมนูญ กฎหมายและระบบ เพราะกฎหมายและระบบมีอันเดียว.... อย่างมากก็อาจจะตีความแตกต่างกันเท่านั้น และยุติได้โดยการยอมรับการตัดสินขององค์กรที่มีอำนาจหน้าที่ จากคุณ : นางสาวหมอนทอง - [ 4 มิ.ย. 49 09:29:28 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ข้อที่เก้า เพื่อนผมเคยตั้งข้อสังเกตว่า การเมืองระบอบประชาธิปไตยแบบมีสองพรรคใหญ่ตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ได้พัฒนาไปเร็วมาก... แต่ตอนนี้ชักจะไม่แน่ใจเสียแล้ว เพราะความไม่มีจิตวิญญาณประชาธิปไตยตามระบอบรัฐสภาของพรรคการเมือง ของปัญญาชน ของครูบาอาจารย์ รวมทั้งสื่อมวลชนที่เป็นกระแสหลักของประเทศที่จะเป็นผู้นำทางความคิด.......... ที่เห็นชัดก็คือ ยังชอบระบบการเมืองที่เละๆ มีรัฐบาลที่อ่อนแอ คอยเอาใจคนโน้นคนนี้ อ่อนน้อมถ่อมตน  พูดจามีคารมคมคาย จะมีผลงานหรือไม่ก็ไม่เป็นไร ชอบที่จะมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลบ่อยๆ ไม่ต้องทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน.......... ข้อที่เก้า เพื่อนผมเคยตั้งข้อสังเกตว่าการเมืองระบอบประชาธิปไตยแบบมีสองพรรคใหญ่ตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ได้พัฒนาไปเร็วมาก แต่ตอนนี้ชักจะไม่แน่ใจเสียแล้ว เพราะความไม่มีจิตวิญญาณประชาธิปไตยตามระบอบรัฐสภาของพรรคการเมือง ของปัญญาชน ของครูบาอาจารย์ รวมทั้งสื่อมวลชนที่เป็นกระแสหลักของประเทศที่จะเป็นผู้นำทางความคิด ที่เห็นชัดก็คือยังชอบระบบการเมืองที่เละๆ มีรัฐบาลที่อ่อนแอ คอยเอาใจคนโน้นคนนี้ อ่อนน้อมถ่อมตนพูดจามีคารมคมคาย จะมีผลงานหรือไม่ก็ไม่เป็นไร ชอบที่จะมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลบ่อยๆ ไม่ต้องทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน คุยกับเพื่อนอเมริกันเที่ยวนี้ผมรีบตัดบทแล้วรีบลากลับก่อนเขาจะพูดจบ จากคุณ : นางสาวหมอนทอง - [ 4 มิ.ย. 49 09:31:58 ]

ความคิดเห็นที่ 12 จบแค่นี้ค่ะ.. พยายามตัดวรรคตอน และประโยคให้อ่านได้ง่าย และเหมาะกับการนำไปเผยแพร่ต่อกับคนอื่นๆ ต่อไป จากคุณ : นางสาวหมอนทอง - [ 4 มิ.ย. 49 09:33:47 ]

ความคิดเห็นที่ 13 มา  vote   ให้ค่ะ ตรงใจ จากคุณ : แก้วเปล่า? - [ 4 มิ.ย. 49 09:38:06 ]

ความคิดเห็นที่ 14 จากคุณ : มะนาวไร้น้ำ - [ 4 มิ.ย. 49 09:52:38 ]

ความคิดเห็นที่ 15 แปลกนะ..คนไทยเราเตือนกันดีๆ ไม่ค่อยยอมเชื่อ ต้องให้คนนอกมาเขียนวิจารณ์แบบนี้ น่าอายดีครับ.. ยอมรับว่าที่ฝรั่งคนนี้เขียนมีส่วนถูกต้องอยู่มากทีเดียว โดยเฉพาะข้อที่ 4 คนไทยชั้นสูงยังยึดถือที่ตัวบุคคลมากกว่าระบบ ซึ่งขัดแย้งกับระบอบประชาธิปไตย เมื่อไม่ชอบหรือเกลียดชังเสียแล้ว ก็ไม่คำนึงถึงระบบ จะทำอย่างใดก็ได้ขอให้บุคคลผู้นั้นพ้นๆ ไป ถ้าจะอยู่ต่ออีกสักวันหนึ่งก็เหมือนบ้านเมืองจะล่มสลาย....... ----------------------------------- มันสะท้อนให้เห็นถึงการเกิดปัญหาแต่ละครั้ง เราแก้ไม่ค่อยตรงทาง เพราะมัวแต่ตั้งธงที่จะแก้ที่ตัวบุคคล ไม่ได้มองถึงภาพรวมของระบบ vote ให้เพื่อนๆร่วมอ่านครับ จากคุณ : วิทยา-พล - [ 4 มิ.ย. 49 10:00:35 ]

ความคิดเห็นที่ 16 เห็นด้วยครับ ขอบคุณครับ จากคุณ : สงบจริง - [ 4 มิ.ย. 49 10:02:37 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ดร.โกร่งวิเคราะห์ได้เห็นภาพชัดเจน แต่จะเป็นข่าวหรือไม่ ไม่แน่ใจเพราะใส่สื่อไปหลายดอก หรืออาจกลายเป็นของเล่นตัวใหม่ของสื่อที่จะโจมตีว่าเลียทักษิณ จากคุณ : น้ำฟ้างาม - [ 4 มิ.ย. 49 10:03:30 ]

ความคิดเห็นที่ 18 มาโหวต จากคุณ : ก้อนดินก้อนหนึ่งบนแผ่นดินไทย - [ 4 มิ.ย. 49 10:04:38 ]

ความคิดเห็นที่ 19 อ่านแล้ว....ดีครับ ขอบคุณครับ จากคุณ : BAMBERA - [ 4 มิ.ย. 49 10:06:39 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ชัดเจนดีครับ... พิมพ์แจก...ในมหาลัยดีกว่า...เผื่อเหล่าอาจารย์. จะได้รับรู้บ้าง...โง่เหลือเกิน แก้ไขเมื่อ 05 มิ.ย. 49 11:51:07 แก้ไขเมื่อ 04 มิ.ย. 49 10:18:13 จากคุณ : nichar - [ 4 มิ.ย. 49 10:12:02 ]

ความคิดเห็นที่ 21 คันฉ่อง ส่องได้ชัด แต่คงไม่ถูกใจนักวิชาการ พรรคการเมือง และสื่อมวลชนกระแสหลัก น่าจะช่วยกันเผยแพร่ ส่งต่อ โหวตให้จ้า จากคุณ : แวววัฒน์ - [ 4 มิ.ย. 49 10:12:49 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ขอเซฟไว้ครับ จากคุณ : X-CU - [ 4 มิ.ย. 49 10:16:52 ]

ความคิดเห็นที่ 23 เยี่ยมค่ะ จากคุณ : ป้ามะเหมี่ยว - [ 4 มิ.ย. 49 10:20:13 ]

ความคิดเห็นที่ 24 อ่านแล้วใช่เลย...สังคมไทยในขณะนี้จริงๆ โหวตให้เลย...เห็นด้วยอย่างยิ่ง จากคุณ : ตัวเล็ก (littlebone) - [ 4 มิ.ย. 49 10:22:35 ]

ความคิดเห็นที่ 25 vote ค่ะ รักดร.โกร่ง จากคุณ : สาวไทยในอะเดเลด - [ 4 มิ.ย. 49 10:27:48 ]

ความคิดเห็นที่ 26 เหมือนคนข้างบนครับ ขอโหวตด้วยคน จากคุณ : pormonkey - [ 4 มิ.ย. 49 10:33:11 ]

ความคิดเห็นที่ 27 มาโหวตให้ครับ จากคุณ : Sky - [ 4 มิ.ย. 49 10:34:42 ]

ความคิดเห็นที่ 28 จขกท ขอบคุณมาก    ถูกใจมากเลยค่ะ รู้สึกอย่างที่ post มานานแล้ว     กระจกบานนี้ใส  ชัดเจนมาก     กลัวท่านๆจะไม่ยอมส่อง   กลัวเจอผีดิบ จากคุณ : jersy - [ 4 มิ.ย. 49 10:46:49 ]

ความคิดเห็นที่ 29 อ่านแล้ว ใช่เลย จากคุณ : ลุงชอบ - [ 4 มิ.ย. 49 10:58:13 ]

ความคิดเห็นที่ 30 สังคมของเรามันมั่วไปหมดแล้ว เพื่อทำลายคนๆเดียว มันจะมั่วอะไรก็ได้ขอให้สำเร็จ แม้แต่3ศาลจ้าวแถวบ้านยังเอียงจนเกือนติดพื้น มั่วได้ไม่อายฟ้าดิน ไม่อ้างกฎหมาย อ้างแต่เบื้องสูง ทั้งที่เป็นที่พึ่งสุดท้ายของชาวบ้าน และฟ้าสั่งไม่ให้มั่ว ยังทำกันไปได้  ไม่มีความละอายบาปเลย จากคุณ : BOHBO5 - [ 4 มิ.ย. 49 10:58:57 ]

ความคิดเห็นที่ 31 โดนในโหวตให้ครับ จากคุณ : Sam (หนูถ้ำ) - [ 4 มิ.ย. 49 10:59:39 ]

ความคิดเห็นที่ 32 Vote...................... จากคุณ : กองหนุนรุ่นลายคราม - [ 4 มิ.ย. 49 11:04:13 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ยอดเยี่ยมครับ....นั่นแหละครับ...บ้านเรามันพวกประชาธิปไตยแบบขุนนาง ขุนนางยึดอำนาจมาแต่ไหนแต่ไร...พวกขุนนางพวกนี้ไม่ว่า ทหาร หรือข้าราชการทั่วไป..และพวกชนชั้นผู้ดี ที่หมดอำนาจ...มีแต่ฐานันดร..คนกลุ่มนี้ก็ไปยกพรรคการเมืองขึ้นมา ชูขึ้นมาพรรคหนึ่ง...พรรคนั้นก็จะเต็มไปด้วยข้าราชการเกษียณ...อธิบดี ปลัด ที่เมื่อพ้นตำแหน่งในราชการ ก็จะมาสังกัดพรรคการเมืองนี้ ทั้งทหาร ตำรวจ ข้าราชการแทบทุกกระทรวง ทบวง กรม..พรรคการเมืองที่ว่านี้...คือพรรคอะไร ก็ลองไปดูเอาเถิด... การผูกขาดอำนาจจึงถ่ายทอดมาเป็นลำดับ และผูกโยงกันระหว่างพรรคการเมืองกับระบบขุนนาง.... เมื่อมีรัฐธรรมนูญใหม่....พรรคขุนนาง จึงปรับตัวไม่ได้ เพราะที่ผ่านมาการเลือกตั้งในความคิดของพรรคขุนนาง ไม่เคยมีความสัมพันธ์กับประชาชนชนชั้นล่าง เห็นคนชั้นล่างเป็นเพียงตัวเบี้ยที่เข้าระบบการเลือกตั้ง สามารถชักจูงได้ด้วยอำนาจของขุนนาง ยศฐาบรรดาศักดิ์ ไม่ต้องใช้นโยบายการเมือง เพราะคิดว่านี่คือสิ่งที่จะนำมาชักจูงในการเลือกตั้งทุกครั้งก็เป็นเช่นนี้....ที่ผ่านมาพรรคขุนนางมองประชาธิปไตยเป็นเพียงรูปแบบ และเครื่องมือ ที่กติกากำหนด...แต่ไม่ได้สนใจเนื้อหา สาระของประชาธิปไตยอย่างแท้จริง จากคุณ : TRAT - [ 4 มิ.ย. 49 11:17:54 ]

ความคิดเห็นที่ 34 ช่วยกันโหวตครับ.. จากคุณ : TRAT - [ 4 มิ.ย. 49 11:19:27 ]

ความคิดเห็นที่ 35 ฝรั่งลอกความคิดผมหรือผมลอกความคิดฝรั่งคิดหรือทั้งฝรั่งและผมมีความคิดเหมือนกัน ผิดกันที่ผมคิดในประเทศไทย ส่วนเพื่อนของ ดร.เกร่ง คิดในประเทศไทยหรือเปล่า ครับแสดงว่าอย่ที่ใหนก็คิดเหมือนกันได้ ไม่เป็นไรครับผมถือว่าที่มีผ้แสดงกระท้มานี้ โดนใจผมมากที่สุดและเป็นการชี้แจงรายละเอียดได้ครบถ้วน ผมโหวดให้ครับ จากคุณ : natdavooti (natdavooti) - [ 4 มิ.ย. 49 11:19:54 ]

ความคิดเห็นที่ 36 ขออนุญาตติงนิดเดียวเรื่องจริยธรรม  ที่กล่าวว่าเป็นเรื่องที่เป็นนามธรรม เลื่อนลอย ไม่แน่นอน เปลี่ยนแปลงไปตามกลุ่มชน เช่น ชั้นสูง ชั้นกลาง มีมาตรฐาน จริยธรรมอย่างหนึ่ง ชั้นล่างอย่างหนึ่ง .... ไม่เห็นด้วยขอรับ  จริยธรรมนั้นเป็นเรื่องของการสร้างความสงบสุขในสังคม  ความเป็นผู้ดีอย่างแท้จริง ที่ไม่ไช่ผู้ดีเทียม   ความเสียสละแก่สังคม ความซื่อสัตย์  ไม่มีเปลี่ยนแน่นอน  การแสดงออกในทางจริยธรรมในชนต่างเผ่า อาจแตกต่างกันทางการแสดงออก  แต่ที่เหมือนกันคือ อากัปกริยาที่มองเห็นได้ชัดเจนในทุกๆเผ่า จากคุณ : วอน (วอน) - [ 4 มิ.ย. 49 11:32:30 ]

ความคิดเห็นที่ 37 +Vote จากคุณ : Dot_Link - [ 4 มิ.ย. 49 12:09:29 ]

ความคิดเห็นที่ 38 ขอบคุณ จขกท ที่นำมาให้อ่าน............. โหวตคะ............. จากคุณ : Hermosa - [ 4 มิ.ย. 49 12:17:17 ]

ความคิดเห็นที่ 39 ผมว่าคำวิจารณ์จากคนนอกเป็นกลางที่สุดแล้วล่ะครับ เค้ามองสิ่งต่างๆด้วยใจเป็นกลาง ไม่ปิดกั้นความคิด เพราะเขาคือผู้อยู่เหนือปัญหาย่อมมองอะไรๆได้ออก เราคนไทยอยู่เป็นส่วนนึงของปัญหาที่เหมือนภูเขามาแยก เราออกเป็นสองฝั่ง เราจึงมองปัญหาอยู่มุมเดียว คนเตือนแบบนี้น่าเอากลับไปคิดนะครับ ไม่ว่าจะฝ่ายไหน ความคิดเห็นส่วนตัวของผมนะ!!? จากคุณ : ~เกือบไปแล้ว~ - [ 4 มิ.ย. 49 12:37:44 ]

ความคิดเห็นที่ 40 มาโหวตให้ครับ จากคุณ : เดชบดี - [ 4 มิ.ย. 49 12:47:28 ]

ความคิดเห็นที่ 42 Vote จากคุณ : COUNTER CLOCKWISE - [ 4 มิ.ย. 49 13:35:36 ]

ความคิดเห็นที่ 43 มาช่วย Vote เห็นด้วยครับ จากคุณ : ลุงเผือก - [ 4 มิ.ย. 49 13:39:24 ]

ความคิดเห็นที่ 44 ลงข้อความผิดพลาดขอแก้ไขจ้า แก้ไขเมื่อ 04 มิ.ย. 49 13:55:51 จากคุณ : แวววัฒน์ - [ 4 มิ.ย. 49 13:54:34 ]

ความคิดเห็นที่ 45 สรุปเป็น  ข้อๆแบบนี้อ่านเข้าใจง่ายดี ขอบคุน  จขกท.ครับ โหวดครับ จากคุณ : clk99 - [ 4 มิ.ย. 49 14:25:46 ]

ความคิดเห็นที่ 46 โหวตค่ะ เห็นด้วยทุกข้อเลย จากคุณ : อย่ารุมเค้านะ - [ 4 มิ.ย. 49 14:45:04 ]

ความคิดเห็นที่ 47 การเมืองระบอบประชาธิปไตยแบบมีสองพรรคใหญ่ตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ในข้อที่เก้า สงสัยจัง ? ช่วยอธิบายหน่อย ขอบคุณที่นำความรู้ดีดีมาให้ แก้ไขเมื่อ 04 มิ.ย. 49 14:55:58 จากคุณ : moneys - [ 4 มิ.ย. 49 14:53:58 ]

ความคิดเห็นที่ 48 ผมอ่านแล้ว และเห็นด้วยกับฝรั่งคนนั้นครับ เท่าที่ผมตระเวณสืบเสาะดูว่า คนต่างชาติ เขาคิดอย่างไรกันบ้าง อย่างใน The Economist เขาเขียนได้ดีมาก ๆ เขียนเหมือนที่คุณฝรั่งคนนี้เขาว่ามา ในนิตยสาร Time ก็พูดถึงเช่นกัน ในช่วงหลังเลือกตั้งรอบแรกมา หลังจากที่คุณทักษิณประกาศเว้นวรรค พวกฝรั่งเขางงกันยกใหญ่ จนคุณทักษิณต้องได้ไปตระเวณชี้แจงกับผู้นำประเทศชาติต่าง ๆ เคยมีคนเอามาโพสในราชดำเนินนี้ว่า อย่าง วลาดิเมียร์ ปูติน ปธน. รัสเซีย เข้ามาโอบกอดคุณทักษิณ แสดงความเห็นใจ เป็นอย่างนี้แทบทุกประเทศที่คุณทักษิณไป หรือ แม้แต่ตอนที่นายโคฟี่ อันนันมาเมืองไทย ผมก็เห็นเขาสอบถาม และได้รับการอธิบายจากทักษิณว่า เขาก็ทำตามรัฐธรรมนูญทุกประการ นี่เขาคิดอย่างมีตรรกะ มีเหตุมีผล ยึดหลักกฎหมาย ไม่ได้อ้างเหมือนองค์กรบางองค์กรว่า ประชาชนไม่เอา กกต. ฝรั่งเขามองคนไทยอย่างหนึ่งว่า ทำอะไรตามใจคือไทยแท้ ไม่มีระเบียบและวินัย คิดอยากจะแซงซ้าย ก็แซง อยากจะปาดหน้ารถตอนเข้าด่านทางด่วนก็ทำ คิดอยากจะทิ้งขี้บุหรี่ตอนขับรถก็ทำ ก็ขอโหวตให้ได้อ่านกันทั่วครับ จากคุณ : ขนมต้ม - [ 4 มิ.ย. 49 15:20:12 ]

ความคิดเห็นที่ 49 แม้จะเป็นความเห็นของชาวต่างชาติ แต่ก็อดที่จะโหวตให้ไม่ได้จริงๆ จากคุณ : ชนะมาร - [ 4 มิ.ย. 49 15:26:50 ]

ความคิดเห็นที่ 50 ฟังแต่ยังไม่เชื่อครับ...5555 VOTE จากคุณ : Angel ~ นรก - [ 4 มิ.ย. 49 15:55:38 ]

ความคิดเห็นที่ 51 เห็นด้วยอย่างยิ่ง   คับ จากคุณ : ปุ๊งเต้า - [ 4 มิ.ย. 49 17:24:09 ]

ความคิดเห็นที่ 52 เห็นด้วยกับ ดร.โกร่งครับ ผมว่าเป็นภาวะจิตตกต่ำของคนเหล่านั้นครับ แต่คนเหล่านี้ก็ถูกต่อต้านโดยประชาชนทั่วไปครับ และพวกเขาทำลายตัวเอง ทำลายความน่าเชื่อถือของตนเองครับ ผมว่าวิกฤตการณ์ทางการเมืองครั้งนี้ ทำให้ พาราไดม์เก่าที่ครอบงำสังคมไทยเสื่อมสลายลงครับ บทบาทนักวิชาการ ไม่ได้รับการยอมรับจากประชาชนทั่วไปครับ ปัญญาชน เดือนตุลา กำลังตาย มวลชน "จตุจักร"เดือนมีนาคม จะขึ้นมาแทนครับ จากคุณ : ประชาชน(ไทย) - [ 4 มิ.ย. 49 17:34:51 ]

ความคิดเห็นที่ 53 * * * * * จากคุณ : คุณนายน้ำหวาน - [ 4 มิ.ย. 49 17:36:01 ]

ความคิดเห็นที่ 54 โหวตครับ แต่ความคิดคงต้องขัดใจฝรั่งสักนิดครับ ขืนคิดเหมือนฝรั่งทั้งหมดการเมืองไทยคงขาดเอกเทศ หรือความเป็นตัวเอง และตราบใดที่คนไทยยังมีความหลากหลายทางความคิด ความก้าวหน้ากว่าต่างประเทศย่อมดีแน่ ส่วนด้านบนผมคงต้องว่าปลง ใครจะจุงอย่างไรก็ไป เวรกรรมจริงๆครับ อือ ถ้าผมจำไม่ผิดนายกทักษิณ ชินวัตรมักจะตำหนิสื่อต่างชาติ โดยเฉพาะบทความที่เขียนถึงการเมืองไทย แต่ครั้งนี้รู้สึกผู้สนับสนุนท่านจะกลับตัวกัน 180 องศาเลยนะครับ จากคุณ : ไม่อยากโดนฝรั่งจุง (i-dna) - [ 4 มิ.ย. 49 17:52:24 ]

ความคิดเห็นที่ 55 โหวต โหวต โหวต ถ้าโหวตได้เกินหนึ่งครั้งนะ ปานนี้ได้เป็นล้านแล้วครับ ช่วยกันโหวตครับ จากคุณ : ไม่ต้องสงสัย - [ 4 มิ.ย. 49 18:02:58 ]

ความคิดเห็นที่ 56 นี่แหละครับวิวัฒนาการทางการเมืองของไทย ตั้งแต่สมัยเปลี่ยนแปลงการปกครอง รากเหง้าของปัญหาที่แท้จริง ที่ไม่ใช่ คุณทักษิณ คนเดียว อนาถสุดๆกับพวกที่บอกว่า เพื่อประชาธิปไตยในเมืองไทยจริงๆ หลายคนเหมือนกับเพิ่งติดตามการเมืองครั้งนี้เป็นครั้งแรก จากคุณ : Locomotive_Bobae - [ 4 มิ.ย. 49 18:14:46 ]

ความคิดเห็นที่ 57 เพราะระบบเดิม ถูกปลุกฝัง จากนักการเมือง คร่ำครึ อย่างพรรคดึกดำบรรพ์ ซึ่งจะพรรคนี้ พังลง ประชาธิปไตยที่แท้จริงจะบังเกิดขึ้นอีกครั้ง จากคุณ : นายโอ้นโต้น - [ 4 มิ.ย. 49 18:27:58 ]

ความคิดเห็นที่ 58 เห็นด้วยครับ   อ่านแล้วอายจริง ๆในฐานะที่เป็นคนไทยคนหนึ่ง ทำดีให้ในหลวงครับ ดีที่สุด จากคุณ : barahoho (barahoho) - [ 4 มิ.ย. 49 18:43:26 ]

ความคิดเห็นที่ 59 เยี่ยม ! โหวตให้กระทู้ได้อยู่นานๆ จากคุณ : ชิกฮ้ง - [ 4 มิ.ย. 49 18:48:34 ]

ความคิดเห็นที่ 60 ทำอะไรตาใจคือไทยแท้... เพราะความถูกต้องคือความถูกใจ... เห็นด้วย Voteครับ จากคุณ : ต้นใผ่ (jeeradach) - [ 4 มิ.ย. 49 19:02:36 ]

ความคิดเห็นที่ 61 ดีครับ จากคุณ : เซรุ่มน้ำปลาหวาน - [ 4 มิ.ย. 49 19:14:01 ]

ความคิดเห็นที่ 62 โหวตค่ะ ขออนุญาต copy ไปให้หลายๆคนอ่าน จากคุณ : ตุ๊กตาหมู - [ 4 มิ.ย. 49 19:15:38 ]

ความคิดเห็นที่ 63 VOTE ให้นะคะ แล้วรู้สึกรัักฝรั่งคนนี้จับใจ สะท้อนออกมาอย่างกะเป็นคนไทยเอง ยังไง ยังงั้นเลย อับอายแทนกับกลุ่มชนชั้นกลาง(บางคน) ชั้นสูง(บางคน) สื่อฯหลายๆคน ที่ถูกกล่าวถึงอยู่ในบทความนี้ (รู้แล้วก็เลิกซะ อย่าทำอีก) จากคุณ : ทินารมภ์ - [ 4 มิ.ย. 49 19:21:06 ]

ความคิดเห็นที่ 64 อ่านแล้วรู้สึกว่าคนอเมริกันคนนี้เข้าใจเมืองไทยมากเลยครับ มากกว่าคนไทยหลายคนเสียอีก ขอช่วยกันเผยแพร่ออกไปให้มากๆนะครับ โหวตให้ครับ จากคุณ : ภูวเดช - [ 4 มิ.ย. 49 19:27:04 ]

ความคิดเห็นที่ 65 VOTE ให้ครับ ภูมิใจที่คนไทยคิดไม่เหมือนใคร จากคุณ : SSBO - [ 4 มิ.ย. 49 19:51:50 ]

ความคิดเห็นที่ 66 โหวตครับ ผมเชื่อ จริงๆคนไทยก็คิดเหมือน จข กท.บอก แต่ ไม่สามารถแสดงออกให้คนไทยทั้งประเทศได้รับรู้ เพราะสื่อบ้านเราด้อยพัฒนามาก ความจริงใจต่อประเทศน้อย  มีเดือนนี้ที่เริ่มมีสื่อวิทยุที่เกิดจากประชาชนทนไม่ไหวกับสื่อเก่าๆ เพิ่มทำความเข้าใจให้ประชาชนทราบ ข้อเท็จจริง แก้ไขเมื่อ 04 มิ.ย. 49 20:00:16 จากคุณ : เด็กอีสาน๘ - [ 4 มิ.ย. 49 19:59:01 ]

ความคิดเห็นที่ 67 โหวตให้นะครับเยี่ยมครับคนไทยยังไม่รู้สำนึกอีกยังมีพวกตะแบงอยู่เรื่อยตอนนี้แม้แต่พวกตุลาการยังเป็นไปกับเขาเลย จากคุณ : คนระดับล่าง - [ 4 มิ.ย. 49 20:08:03 ]

ความคิดเห็นที่ 68 สังคมป่วย คนทำถูกเป็นผิด คนทำผิดเป็นถูก คนทำดีอับปรีกินหัว แต่ถ้าทำชั่วมีคนช่วยปกป้องให้ ผู้ดีเดินตรอก ส่วนขี้คอกเดินถนน กฏหมู่กำลังจะอยู่เหนือกฏหมาย เสียงส่วนใหญ่ ของประเทศ กำลังถูกเหยียบย่ำ ความยุติธรรม อยู่ตรงไหน ? จากคุณ : มิตรภาพอาบยาพิษ - [ 4 มิ.ย. 49 20:17:42 ]

ความคิดเห็นที่ 69 เห็นด้วยอย่างยิ่งคะ โหวตอีก 1 เสียง จากคุณ : เพื่อน รสนา - [ 4 มิ.ย. 49 20:26:21 ]

ความคิดเห็นที่ 70 เยี่ยมครับ ตรงไปตรงมา ไม่ต้องอ้อมค้อมรักษาน้ำใจกันโดยไม่จำเป็น ผมชักอยากมีเพื่อนอเมริกันอย่างของดร.โกร่งบ้างเสียแล้ว จากคุณ : I_Feel_Control - [ 4 มิ.ย. 49 20:49:21 ]

ความคิดเห็นที่ 71 ปัญญาชน ม.7 เสียทีที่อุส่าห์ร่ำเรียนถึงปริญญาเอก กลับมีความคิดความเห็น แคบกว่าหว่างขาซะอีก...หุหุ ONE MAN ONE VOTE แก้ไขเมื่อ 04 มิ.ย. 49 20:50:45 จากคุณ : NOOKLOOK - [ 4 มิ.ย. 49 20:50:02 ]

ความคิดเห็นที่ 72 vote   ให้ครับ... จากคุณ : krabeerpa - [ 4 มิ.ย. 49 20:52:25 ]

ความคิดเห็นที่ 73 เป็นบทความที่ตีแสกหน้านักวิชาการและนักการเมืองโบราณ รวมทั้งกลุ่มคนที่คิดว่าตัวเองเป็นชนชั้นกลางรุ่นใหม่หัวก้าวหน้าของไทยได้สะใจจริงๆ โหวตค่ะ ขอบคุณที่หามาให้อ่านนะคะ ขอบคุณอาจารย์ โกร่ง ด้วยค่ะ จากคุณ : มายุมิ - [ 4 มิ.ย. 49 20:55:39 ]

ความคิดเห็นที่ 74 อ่านแล้วไม่รู้สึกว่าเป็นฝรั่งเขียนเลยครับ มองได้แม่นจริงๆ  ลึกซึ้ง โหวตให้ครับ จากคุณ : Autster - [ 4 มิ.ย. 49 21:09:13 ]

ความคิดเห็นที่ 75 อ่านง่ายดีครับ จากคุณ : ขยะแห้ง - [ 4 มิ.ย. 49 22:02:44 ]

ความคิดเห็นที่ 76 อีกหนึ่ง Vote ครับ จากคุณ : ฅ (May Man Return) - [ 4 มิ.ย. 49 22:05:01 ]

ความคิดเห็นที่ 77 เข้ามาโหวตให้กับ จขกท ที่เอาสิ่งที่โดนใจมาให้อ่าน ชอบมากครับ ขอบอก...ขอบคุณครับ จากคุณ : ชิบะจัง - [ 4 มิ.ย. 49 22:05:19 ]

ความคิดเห็นที่ 78 เป็นบทวิเคราะที่ดี พูดได้ตรงและเห็นภาพ อยู่ที่พวกผู้รู้ทั้งหลายโดยเฉพาะพวกนักวิชาเกิน สื่อ หรือนักเรียกร้องประชาธิปไตย แบบตามใจฉัน จะยอมรับกับการวิเคราะห์แบบนี้ได้หรือไม่ จากคุณ : คำพอดี - [ 4 มิ.ย. 49 22:19:08 ]

ความคิดเห็นที่ 79 โหวตครับ จากคุณ : DJ_Krong - [ 4 มิ.ย. 49 22:28:59 ]

ความคิดเห็นที่ 80 ต่างประเทศ เขายอมรับ ในกฏเกณฑ์กติกาที่ดี  เพราะผู้นำมีธรรมาภิบาลที่ดี  ที่เกาหลีใต้ นายกไปเล่นกอลฟ์ ในเวลาที่ไม่เหมาะสม เขาลาออก ที่ประเทศไทย นายกขายหุ้นและหลบเลี่ยงภาษี ยุบสภา หนีการซักฟอก จากคุณ : Anirudh 1970 - [ 4 มิ.ย. 49 22:29:00 ]

ความคิดเห็นที่ 81 อภิสิทธิ์ชน หลังเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อปี2475 ถึงแม้ในหลวงรัชกาลที่๗จะมีพระราชดำรัสเรื่องการพระราชทาน รัฐธรรมนูญว่า”ยินดีมอบอำนาจของข้าพเจ้าให้กับประชาชนโดยทั่วไปแต่ไม่ประสงค์ที่จะมอบให้กับคนหมู่ใดหรือคณะใดเป็นการเฉพาะ” แต่อำนาจหรือความเป็นอภิสิทธิ์ชน ได้ตกมาอยู่กับคณะราษฎร์ฯที่ทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองมีการแย่งชิงอำนาจกันระหว่างผู้ก่อการเองระหว่างทหารกับฝ่ายพลเรือน แต่โดยส่วนใหญ่ฝ่ายทหารจะเป็นผู้ครองอำนาจมีฝ่ายพลเรือนเข้ามาขัดบ้างเป็นช่วงเวลาสั้นๆแต่อำนาจที่แท้จริงก็ยังตกอยู่กับฝ่ายทหารอยู่ดี เพราะประเทศตกอยู่ภายใต้การปกครองในระบบปฎิวัติเป็นเวลานาน  ในสมัยที่ฝ่ายทหารมีอำนาจปกครองแผ่นดิน จึงเป็นอภิสิทธิ์ชนอย่างแท้จริง ตำแหน่งสำคัญต่างๆในบ้านเมืองจะมีทหารเข้าไปคุมไว้หมดสิ้น เจ้ากระทรวงต่างๆแทบจะเป็นทหารทั้งสิ้น แม้กระทั่งมหาดไทย  กรมตำรวจ  คมนาคม เกษตร อุตสาหกรรม   กรรมการและผู้บริหารรัฐวิสาหกิจ ต่างๆ ฯลฯ แม้กระทั่งตำแหน่ง อธิการบดีมหาวิทยาลัยต่างๆๆ โดยมีนักการเมืองที่หนุนหลังฝ่ายทหาร ข้าราชการและพ่อค้านายทุน เป็นอภิสิทธิ์ชน ลำดับถัดมา   สมัยทหารเรืองอำนาจ  กลุ่มอภิสิทธิ์ชนเหล่านี้ สามารถนำเฮลิคอปเตอร์ออกไปล่าสัตว์ในเขตป่าสงวนได้ จับจองพื้นที่ป่าสงวนได้ตามอัธยาศัย ทำธุระกิจผูกขาดต่างๆ และมีหุ้นลมอยู่ในบริษัทต่างๆมากมาย แม้กระทั่งอาชีพที่ผิดกฎหมายต่างๆก็จะมีอภิสิทธิ์ชนเหล่านี้ แทรกเป็นยาดำอยู่แทบทุกแห่ง   ตำแหน่งสำคัญต่างๆถ้าพอจะเอาทหารเข้าไปได้จะได้รับการพิจารณาก่อนส่วนที่ฝ่ายทหารไม่ต้องการแล้วก็จะตกถึงมือเหล่าข้าราชการลำดับถัดๆมา จึงทำให้เกิดคอรัปชั่นกันอย่างแพร่หลาย มีการซื้อตำแหน่งกันเอง เล่นเส้นเล่นสาย และข้าราชการพนักงานรัฐวิสาหกิจ วางตัวเองอยู่เหนือประชาชนตลอดมา  สภาวิชาชีพและชมรมต่างๆก็มักมีนักการเมือง ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่และเครือญาติ เข้าไปกุมอำนาจอยู่แทบทั้งสิน  เป็นอย่างนี้มาช้านาน สมัยรัฐบาล พลเอกชาติชาย  ได้จัดตั้งพ.ร.บ. สหภาพรัฐวิสาหกิจขึ้นมาทำให้เกิดอภิสิทธิ์ชนกลุ่มใหม่ขึ้นมาอีกคือกรรมการสหภาพรัฐวิสาหกิจ ขึ้นมาคานอำนาจกับฝ่ายบริหารและอยู่กันมาได้เพราะแบ่งผลประโยชน์กันลงตัว โดยเอาผลประโยชน์ของรัฐวิสาหกิจในแต่ละแห่งมาแบ่งเฉลี่ยกัน แต่ประสิทธิภาพในการทำงานกลับแย่ลง (ภายหลังกลุ่มนี้ได้จับมือกับกลุ่ม NGOบางกลุ่มด้วยวัตถุประสงค์ที่ต่างกันแต่เป้าหมายการต่อสู้เดียวกันคือการกดดันรัฐบาลเพื่อให้บรรลุสิ่งที่กลุ่มตัวเองต้องการ) จนกระทั่งเหตุการณ์ พฤษภาทมิฬ   สมัยพลเอก สุจินดา  อภิสิทธิ์ชน ฝ่ายทหาร ได้ถอนตัวออกไป   พรรคประชาธิปัตย์ และชาติไทย เข้ามาเป็นรัฐบาลแทน และรับช่วงตัวแทนอำนาจและความเป็นอภิสิทธิ์ชนของกลุ่มต่างๆ  มาแทนฝ่ายทหาร และอยู่มาได้เพราะได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มอภิสิทธิ์ชนฝ่ายต่างๆดังกล่าวมาแล้ว ภายหลังเกิดเหตุการณ์เศรษฐกิจล่มและลอยตัวค่าเงินบาท หลังจากพรรคประชาธิปัตย์เข้ามาบริหารได้ระยะ หนึ่งไม่สามารถแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจได้ และพรรค ไทยรักไทยได้ก่อกำเนิดขึ้น ได้เสนอนโยบายแนวใหม่ จนโดนใจประชาชน และได้รับความไว้วางใจให้เข้ามาจัดตั้งรัฐบาล ในช่วงสมัยแรก ของไทยรักไทย ทำงานได้โดนใจประชาชนมาก และสามารถแก้ปัญหาของชาติได้มากเฉลี่ยผลประโยชน์ตกถึงประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ (แม้ว่าอำนาจและความเป็นอภิสิทธิ์ชนจะยังอยู่ในกลุ่มของผู้สนับสนุนนายกทักษิณ แต่อำนาจและความเป็นอภิศิษย์ชนจากกลุ่มเดิมๆเริ่มเสื่อมถอยลง)จนกระทั่งได้รับความไว้วางใจจากประชาชนอย่างถล่มทลายให้เข้ามาบริหารประเทศอีกสมัยหนึ่ง ในสมัยที่สองหลังจากบริหารประเทศได้เกือบปี ได้เกิดกรณีย์ขัดแย้งผลประโยชน์กับนายสนธิด้วยเรื่องธุระกิจส่วนตัวของนายสนธิ  จนกระทั่งนายสนธิได้จัดตั้งเวทีด่าหัวหน้ารัฐบาล ทุกวันศุกร์ (ภายหลังได้แนวร่วมเพิ่มเติมอีก ๔ กลุ่มซึ่งมีวัตถุประสงค์ต่างกันแต่มีเป้าหมายแรกร่วมกันคือต้องเอา นายกทักษิณออกไปก่อนเป็นเป้าหมายแรก)ระหว่างนั้นก็มี อีเมล์ฟอร์เวิดร์ กล่าวร้ายถึงหัวหน้ารัฐบาลจากผู้ที่เสียประโยชน์จากนโยบาล ไทยรักไทย ส่งไปตามที่ต่างๆอย่างสม่ำเสมอ มีนายเอกยุทธ อัญชัญบุตร ที่เคยหลอกต้มตุ๋นประชาชนและหลบหนีไปสร้างฐานะที่ประเทศอังกฤษ จนร่ำรวยกลับมาหาทางเป็นใหญ่ในประเทศไทยต่อโดยคิดจะซื้อพรรคปชป ด้วยเงินถึง 1000ล้านบาท บังเอิญ เกิดกรณีย์ ขายหุ้นบริษัท ชิน ฯของครอบครัว นายกฯให้กับกองทุน เทมาเซ็ก ของสิงคโปร์ ซึ่ง ได้ติดต่อกันไว้นานแล้วแต่เพิ่งมีผล  เนื่องจากการที่นายกและครอบครัวยังถือหุ้นอยู่ในบริษัทดังกล่าว ทำให้ฝ่ายค้านมีเรื่องกล่าวหาได้ไม่เว้นแต่ละวัน และการขายหุ้นออกไปจะทำให้ นายกทักษิณ ตัวเบาขึ้น ที่จะบริหารจัดการ เรื่องราวต่างๆของประเทศเกี่ยวกับกิจการสื่อสารของประเทศซึ่งมีปัญหาอยู่มากและจำเป็นต้องได้รับการพัฒนา ไม่ว่าจะเรื่องการแปรรูป ทศท กสท และการคัดเลือกตัว คณะกรรมการ กสช และกทช แต่เหมือนฝ่ายค้านจะรู้จึงไม่ยอมปล่อยประเด็นนี้ และพยายาม ทุกวิธี ที่จะเช็คบิล นายกทักษิณประกอบกับเรื่องของนายสนธิกำลังสุกงอม โดยได้รับการสนับสนุนจากฝ่าย ปชป ทั้งทางลับ ทางแจ้ง  ฝ่ายสหภาพรัฐวิสาหกิจ ที่ต่อสู้เรื่องการแปรรูป เพราะกระทบถึงประโยชน์ฝ่ายตน ฝ่าย NGO  ที่โดนรัฐบาลปรับลดงบประมาณลง เพราะไม่มีโครงการณ์ที่ดีพอ ฝ่ายสำนัก สันติอโศก ที่มีพลตรีจำลองเป็นแกนนำที่มีวัตถุประสงค์ที่จะปักหลักลัทธิโพธิรักษ์ลงมาเป็นคู่แข่งกับฝ่ายมหาเถรสมาคม  ฝ่ายอภิสิทธิ์ชน ดั้งเดิม ที่เริ่มจะศูนย์เสีย อำนาจและความเป็นอภิสิทธิ์ชนที่เคยมี บวกกับ กลุ่มที่มีปัญหาต่อเนื่องจากเศรษฐกิจล่ม และกลุ่มพ่อค้า สินค้าเถื่อน หวยเถื่อน  และกลุ่มค้ายาบ้า บรรดาเจ้าพ่อเจ้าแม่ทั้งหลายที่ได้รับผลกระทบจากการทำงานของ พรรคไทยรักไทย (แต่ละกลุ่มมีวัตถุประสงค์ต่างกันทั้งสิ้นและไม่น่ารวมกันได้แต่เนื่องจากมีเป้าหมายร่วมกันคือต้องจัดการนายกฯทักษิณออกไปก่อนเป็นเป้าหมายแรกจึงรวมกันอย่างหลวมๆ)กลุ่มเหล่านี้ได้ถือโอกาสที่ ขบวนการของนายสนธิกำลังดำเนินอยู่ ช่วยกันโหมกระพือแรงต่อต้านนายกทักษิณ จนกระทั่งนายกฯทนกระแสต่อต้านไม่ได้ หลังเข้าพบพลเอก เปรม  รัฐบุรุษ  ในวันรุ่งขึ้นจึงได้ประกาศยุบสภาฯ และกำหนดวันเลือกตั้งใหม่ เป็นที่ผิดคาดของทางพรรคฝ่ายค้าน และกลุ่มต่อต้าน ที่ต้องการกดดันให้นายกฯลาออก  จึงได้เป็นที่มาของการบอยคอต การเลือกตั้ง เพื่อกดดันให้คนชื่อทักษิณพ้นออกไปจากวงการเมืองไทยให้ได้  แต่ด้วยบารมีขององค์ในหลวง เหตุการณ์จึงเริ่มคลี่คลายลง และเพื่อกู้หน้าและสร้างความชอบธรรมให้กับตัวเอง ของทางซีกฝ่ายค้านร่วมจึงต้องหาทางกดดัน กกต  ให้พ้นจากหน้าที่ ต่อไปให้ได้ตามที่ได้พยายามสร้างกระแสอยู่ในปัจจุบัน โดยมีกลุ่ม ม.๗ เป็นผู้สนับสนุน ตลอดกาล คุณอภิสิทธิ์หัวหน้าพรรค ปชป จึงนับเป็นตัวแทนฝ่ายอภิสิทธิ์ชน รุ่นเก่า  ได้สมชื่อ จริงๆ 'ชัยอนันต์ สมุทรวณิช  เป็นตัวตั้งตัวตีคนหนี่งในการยื่นถวายฎีกา เรื่อง ม๗ มีธุระกิจร่วมกับนายสนธิ ลูกชาย เป็นลูกจ้างนายสนธิ  และเป็นประธานกรรมการ กฟฝ ชุดที่เสนอ  พรฎ อัปยศที่ศาลปกครอง ตีกลับ  เหมือนเป็นการวางยารัฐบาล เป็นหัวหอก คณะรัฐศาสตร์จุฬา จึงไม่น่าแปลกที่จะ ให้ความเห้น ไล่ ทักษิณ อุดมการณ์เดียวกับ นายสนธิ และนายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง จากคุณ : p (หนุ่มหย่าย!) - [ 4 มิ.ย. 49 22:30:21 ]

ความคิดเห็นที่ 82 มิน่าทำไมจึงมีคำว่า"ไฮโซ" "ไฮซ้อ" มีชนชั้น วรรณศักดิ์ คงไม่ยอมเลิก ต้องการให้เป็นเหมือนอินเดียโบราณ หรือเกาหลีโบราณ แน่เลย จากคุณ : คิดก่อนทำ - [ 4 มิ.ย. 49 22:53:10 ]

ความคิดเห็นที่ 83 ยินดีที่มีความคิดเห็นแบบนี้ แต่ อย่าคิดว่าถูกต้องเสมอไป ทุกอย่างมีสองด้านเสมอ มันขึ้นอยู่กับจังหวะและเวลา จากคุณ : คนเมล่อ - [ 4 มิ.ย. 49 23:08:30 ]

ความคิดเห็นที่ 84 ขอบคุณค่ะหมอนฯ ขอนุญาตบอกต่อด้วยค่ะ จากคุณ : HippoKiK - [ 4 มิ.ย. 49 23:15:02 ]

ความคิดเห็นที่ 85 มัน...โดน...จาย....จัง VOTE krub. จากคุณ : Amous - [ 4 มิ.ย. 49 23:43:12 ]

ความคิดเห็นที่ 86 จขกท ครับ ขบวนการ หรือ กระบวนการ???? เบื่อพวกแบ่งพรรคแบ่งพวก แบ่งฝักแบ่งฝ่าย ทะเลาะกันไปด่ากันมา หลายมาตรฐาน เล่นคำพูด ฯลฯ ไม่ได้เรื่องกันทั้งนั้น จากคุณ : g9h - [ 5 มิ.ย. 49 00:12:27 ]

ความคิดเห็นที่ 87 ผมเอาไปทำเป็นไฟล์ pdf ให้พวกเราได้ download ไปอ่านกันแล้ว คลิกได้เลย http://www.geocities.com/prapant.geo/VRP2.pdf ช่วยกันพิมพ์เผยแพร่ให้คนอ่านมากๆ เพราะตอนนี้สื่อกำลังบิดเบือนข่าวสารข้อมูลขนาดหนัก แทบจะเรียกว่าสื่อที่เป็นกลาง หรือเอาแค่มีอคติน้อยหน่อยก็ยังดี คงหายากมากแล้วในยุคสมัยนี้ แก้คำผิด - ในบทความข้อที่สาม ที่ขึ้นย่อหน้าใหม่ว่า "ขณะนี้สถานการณ์เปลี่ยนไป.... ตระกูลนายทุนเก่าจึงยอมรับได้ (ผมขอแก้เป็น "..จึงยอมรับไม่ได้" เพราะอ่านข้อความแล้วคิดว่าพิมพ์ตกไปแน่นอน ยังไงจะฝากถามอาจารย์อีกที) แก้ไขเมื่อ 05 มิ.ย. 49 00:31:29 จากคุณ : sprapant - [ 5 มิ.ย. 49 00:24:10 ]

ความคิดเห็นที่ 88 Vote จากคุณ : CSV - [ 5 มิ.ย. 49 00:42:59 ]

ความคิดเห็นที่ 89 ผมเป็นคนนึงที่มีญาติเป็นฝรั่ง เคยคุยกันเรื่องการเมืองไทย (เค้ามีศักดิ์เป็นลุงผมนะครับ) ในความคิดเค้าที่เค้าอ่าน นสพ. ภาษาอังกฤษ ฉบับหนึ่งที่ขานในไทย ในความคิวเค้า เค้าว่า ท่านนายกไม่ดี เหมือนจะฉลาด มองในแง่ลบนะครับ (ผมชอบท่านนายกแต่ไม่รู้จะอธิบายยังไงให้เค้าเข้าใจ เค้าเองก็อยู่กับคยไทยแต่ไม่เข้าใจ นิสัยคนไทย ไม่เข้าใจหลายๆอย่าง อาจจะเป็นเพราะว่ามาเมืองไทยปีละ ไม่กี่เดือนและไม่ยอมศึกษาสิสัยคยไทยมั้ง)ผมเห็นด้วยกับกระทู้นี้นะครับ เขียนอธิบายยาวไปและอาจไม่รู้เรื่องขอภัยด้วย จะหัดเขียนให้ดีกว่านี้ ขอบคุณครับ มือใหม่อยากคุย ในความเป็นไทย จากคุณ : Aragon (เด็กหลังวัด) - [ 5 มิ.ย. 49 00:59:50 ]

ความคิดเห็นที่ 90 มาโหวตให้ครับ จากคุณ : tung+ - [ 5 มิ.ย. 49 01:23:08 ]

ความคิดเห็นที่ 91 ถูกทุกข้อ... ดีที่เป็นฝรั่งเขียน ถ้าเป็นคนไทยเขียน ก็จะโดนไล่ให้ไปอยู่เมืองฝรั่ง หรือไม่ก็บอกว่าคงเป็นลูกกะเป๋งของฝรั่ง... ... ข้อที่สิบ... คนไทยที่เป็นชนชั้นสูง ไฮโซ หรือพวกขุนนาง –ข้าราชการ...(ที่เป็นเหลือบเกาะกินประเทศ) คนพวกนี้เป็นพวก “เก่งแต่ปาก”...แต่ถ้าให้มาบริหารประเทศกลับทำไม่ได้ บังเอิญมี “พ่อค้า” สักคนที่พอจะมีน้ำยาเข้ามาทำงานให้ประเทศ แต่ให้บังเอิญอีกที่ไปขัดแข้ง-ขัดขา  ขวางหู-ขวางตา พวกที่เก่งแต่ปาก จนทำให้เกิดความอิจฉา-ริษยา ว่า...นอกจากมันจะรวยกว่า แล้วดันเก่งกว่าด้วย ผลประโยชน์ หรืออำนาจ บารมี ที่เคยได้รับ...กลับต้องมาขาดตอนไป เลยเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดความวุ่นวายอยู่ในขณะนี้ ... ประเทศไทยมีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งหลายๆประเทศในโลกนี้อยากมีกษัตริย์อย่างพระองค์บ้าง แต่ประชาชนคนไทยเป็นเหมือน “ไก่ได้พลอย” ปากก็พร่ำพรรณาว่ารักในหลวง รักพระองค์...แต่การกระทำกลับเป็นตรงกันข้าม ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง  อยู่อย่างพอเพียง ไปจนถึงเรื่อง ความรัก ความสามัคคี ของคนในชาติ ขนาดที่พระองค์ยังอยู่นี่ก็ยกพวกตีกันมาหลายครั้งแล้ว และทุกครั้งที่ตีกัน พระองค์ท่านก็ต้องออกมาห้ามทุกครั้ง วันหนึ่งภายภาคหน้าที่ไม่มีพระองค์ท่านมาห้ามแล้ว คงจะได้ฆ่าล้างโครตกันให้ตายกันจนหมดข้างสมใจกันเสียที ... จากคุณ : ลูกกะเป๋งของฝรั่ง (turning_leaf) - [ 5 มิ.ย. 49 02:37:06 ]

ความคิดเห็นที่ 92 หลายข้อที่เขียนมา ไม่ใช่เป็นเรื่องใหม่ มันเป็นอะไรที่เรายอมรับกันว่า ก็มันเป็นอย่างนี้แหละ เป็นมาตั้งนานแล้ว  แล้วเราก็หยวนๆกันไป ก็ดีที่มีคนมาสรุปให้เข้าใจได้อย่างง่ายๆ จากคุณ : F & A (Freedom and Justice) - [ 5 มิ.ย. 49 07:06:38 ]

ความคิดเห็นที่ 93 สุดยอด..ขอบคุณคุณนางสาวหมอนทองที่โพสต์มาให้ เพื่อนๆห้องนี้ได้อ่านกัน..ขออนุญาติเก็บไว้และส่งต่อ ให้เพื่อนๆ และญาติได้อ่านนะคะ..ขอบคุณค่ะ. จากคุณ : come together - [ 5 มิ.ย. 49 07:08:27 ]

ความคิดเห็นที่ 94 บทความนี้...โดนจริงๆ โหวตให้เลยครับ จากคุณ : heiwa - [ 5 มิ.ย. 49 07:28:21 ]

ความคิดเห็นที่ 95 นึกว่ามีแต่ผมและคนไทยผู้มีสิทธิ์ออกเสียง16.4ล้านคนที่"ง.งู"2ตัว ฝรั่งมันก็"งง"เหมือนกัน     ขนาดอาจารย์โกร่งที่พวก"นักประชาธิปไตย"คาบคัมภีร์ชอบแดกว่าแกเป็นเทคโนแครตบ้าง เป็นขุนนางในระบอบเปรมาธิปไตยบ้าง อะไรมิต่ออะไรบ้าง ก็ยังรู้สึก"อาย"ฝรั่งได้ขนาดนี้   ผมถามหน่อย   -นักวิชาการ   -นักการเมือง   -นักสื่อสารมวลชน   -นักเคลื่อนไหวทางการเมือง   ทำไมพวกคุณ"อย่างหนา"ไม่รู้สึกสำนึกอายมั่ง จากคุณ : ป๋าเจ้าเก่า - [ 5 มิ.ย. 49 08:05:31 ]

ความคิดเห็นที่ 96 Vote !!! sir yes sir จากคุณ : ไก่อลาสก้า - [ 5 มิ.ย. 49 09:08:52 ]

ความคิดเห็นที่ 97 ขอบคุณจขกทที่อุตส่าห์นำมาไห้อ่าน  ความจริงผมก็มีความเห็นเช่นเดียวกันมานานแล้ว แต่จขกท ก็นำมาแยกแยะไห้เห็นเป็นข้อๆได้อย่างดีเยี่ยม จากคุณ : SPFC - [ 5 มิ.ย. 49 09:13:03 ]

ความคิดเห็นที่ 98 ผมเคยแสดงความคิดเห็นไว้หลายกระทู้ เหน็บไปก็หลายกระทู้ เรื่องการยกตนเป็นชนชั้นผู้ปกครองของเหล่านักวิชาการ นักการเมือง หรือแม้แต่เหล่าผู้ดี การไม่ยอมรับกฎกติกา เพียงอ้างการมีจริยธรรมนั้นมันต้องวัดกันยังไงจริยธรรม ของคนมันวัดกันยาก หากคุณเป็นพระมีศีล 227 ข้อ หาก เป็นคนกิเลสหนามีได้ 5 ข้อก็เป็นบุญ จริยธรรมของ คนหาเช้ากินค่ำกับผู้ดีมันอาจมีไม่เท่ากันก็ได้ แต่มันจะ ไม่วุ่นวายถ้าทั้งผู้ดีและไพร่ยอมรับในกฎทั้งตั้งขึ้นเพื่อ การอยู่ร่วมกัน ดังนั้นการที่ทักษิณแกจะดีจะเลว หากถึงเวลา ทักษิณก็ต้องไป ถ้้าใช้วิธีกดดันให้ออกโดยอ้างจริยธรรม ไม่นานคนที่เป็นนายกคนต่อไปต้องโดนข้อหานี้ให้ออกแน่นอน เพราะอะไรหรือ มันไม่ต้องมีหลักฐานอะไรเลยเอาเพียงคำพูด ของคนดังๆในสังคมพอมันก็สามารถล้มรัฐบาลได้แล้ว มันจึงไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องไปไล่เขาออกหาเขาไม่ได้ ทำผิดกฎหมาย จึงอยากให้คนในนี้หลายคนลองเอาอคติ ออกจากใจ แล้วไตร่ตรองดูว่า คุณและชาติได้อะไร จากการกระทำที่เป็นการฉีกรัฐธรรมนูญทิ้งในครั้งนี้ จากคุณ : ปลาน้ำร้อน - [ 5 มิ.ย. 49 09:19:43 ]

ความคิดเห็นที่ 99 Vote ................. แบบว่า อ่านแล้ว พวกนักวิชาเกินไม่รู้สึกหรอกครับ ด้านอย่างแรง จากคุณ : vn, man - [ 5 มิ.ย. 49 10:14:33 ]

ความคิดเห็นที่ 100 vote เพื่อความสงบสุขของบ้านเมือง ขอให้พวกที่พยายามล้มล้างรัฐบาล ได้โปรดสำนึกว่าพวกท่านกำลังทำอะไรอยู่ และพวกท่านได้ทำตามหลักการของระบอบประชาธิปไตยหรือไม่ จากคุณ : Free Heart - [ 5 มิ.ย. 49 10:25:11 ]

ความคิดเห็นที่ 101 แล้วพวกต่อต้าน โจมตี กดดัน ข่มขู่  ศาล นี่เรียกว่า พวกอะไรล่ะ ใช่พวกเดียวกันกับพวก ที่ชอบอ้าง  กติกา หรือเปล่า จากคุณ : คำทอง - [ 5 มิ.ย. 49 10:44:59 ]

ความคิดเห็นที่ 102 vote ครับ..อ่านแล้วใช่เลย.... จากคุณ : wise - [ 5 มิ.ย. 49 10:48:24 ]

ความคิดเห็นที่ 103 อ่านแล้วเศร้าใจแทนนักวิชาการทั้งหลาย+สื่อ+นักการเมือง+กลุ่มคนชนชั้นสูงและกลางมาก..ฝรั่งตีแสกหน้าเลย..ไม่รู้จนป่านนี้กลุ่มดังกล่าวเริ่มคิดได้แล้วหรือยัง จากคุณ : tdoy - [ 5 มิ.ย. 49 10:51:10 ]

ความคิดเห็นที่ 104 เห็นด้วย ทุกเรื่อง ครับ Voted. จากคุณ : mcmon - [ 5 มิ.ย. 49 10:52:59 ]

ความคิดเห็นที่ 105 ลุงก็ไม่รู้จะว่าไงแล้ว กรรมของชาติแท้ๆ ลุงให้ 1 โหวต นักวิชาการ ปัญญาชน อาจารย์มหาลัย สื่อเลว ยังไม่ตื่น โง่ แกล้งฉลาด กรรมแท้ๆ จากคุณ : นายบื้อ - [ 5 มิ.ย. 49 11:07:11 ]

ความคิดเห็นที่ 106 โดน....ใจ จริง ๆ จากคุณ : Thipphawand - [ 5 มิ.ย. 49 11:13:17 ]

ความคิดเห็นที่ 107 ดีใจที่มีคนมองเห็นเรื่องเหล่านี้เหมือนเรา โหวตให้เลย!!! จากคุณ : smart mind (smart mind) - [ 5 มิ.ย. 49 11:22:36 ]

ความคิดเห็นที่ 108 ดร.โกร่งอ้างเพื่อนฝรั่งรึเปล่าเนี่ย จริงๆอาจจะเป็นความคิดแกเองก็ได้ ฝรั่งคนนี้อะไรจะมองคนไทยได้ทะลุปุโปร่งแทงใจดำได้ขนาดนี้ มันเป็นอะไรที่จี้เข้ากลางใจคนไทยทั้งหมดเลยนะเนี่ย ถ้าวิธีคิดของคนไทยโดยเฉพาะนักวิชาการ ครูอาจาร์ย และคนชั้นสูงที่ว่าเป็นแบบนี้ มันจะเป็นอันตรายต่อระบอบประชาธิปไตยของเราเป็นอย่างมาก ทั้งที่คนเหล่านี้เรียกร้องประชาธิปไตยมาตลอด แต่อะไรที่ไม่ตรงกับความคิดตัวเอง ก็ฉีกทิ้งเอาดื้อๆ แสดงให้เห็นว่าคนเหล่านี้เป็นพวกจอมปลอมทั้งนั้น แสดงตนเป็นนักประชาธิปไตยเพื่อให้คนส่วนใหญ่ยอมรับเท่านั้น ไม่ได้ดูถูกคนไทยนะ แต่วิธีคิดของคนระดับ ดอกเตอร์บางคนยังเชื่อถือไม่ได้เล้ย เทียบกับฝรั่งที่แค่มองผ่านประเทศเราก็ยังรู้สึกได้เช่นนี้ วิธีคิดของเรากับของเขายังห่างกันมาเลยครับ เรื่องน่าขำอีกอย่างนึงคือ เหล่านักวิชาการที่เกลียดทักษิณ มักจะมองว่าเสียงส่วนใหญ่ที่เลือกทักษิณเป็นพวกรากหญ้า เป็นเสียงที่ไม่มีคุณภาพ เพราะโดนครอบงำด้วยนโยบายประชานิยม ทั้งที่มีคนอีกจำนวนมากที่ไม่แสดงออก ที่ไม่เคยเห็นด้วยกับนักวิชาการโง่ๆเหล่านั้นเลย แก้ไขเมื่อ 05 มิ.ย. 49 11:35:10 จากคุณ : dragon smile - [ 5 มิ.ย. 49 11:25:23 ]

ความคิดเห็นที่ 109 =====ข้อที่เจ็ด โดนใจมากครับ แต่วิกฤตการณ์การเมืองครั้งนี้ ผู้นำพรรคการเมืองกลับไปร่วมเรียกร้องให้มีการละเมิดรัฐธรรมนูญ ละเมิดกฎหมาย ละเมิดข้อเท็จจริง รวมทั้งปฏิเสธขบวนการรัฐสภา ปฏิเสธขบวนการให้กลับไปสู่การตัดสินใจของประชาชนผ่านการเลือกตั้ง โดยอ้างว่าขบวนการเลือกตั้งนั้นไม่ชอบธรรม ก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง ปฏิเสธกรรมการเลือกตั้ง รวมทั้งคว่ำบาตรการเลือกตั้ง ที่เหลือเชื่อก็คือสื่อมวลชน ซึ่งควรจะเป็นสถาบันที่ต่อต้านการปฏิเสธขบวนการประชาธิปไตย กลับไปเห็นด้วยและสนับสนุน.......... จากคุณ : เศษดาว - [ 5 มิ.ย. 49 11:29:56 ]

ความคิดเห็นที่ 110 ครับไม่ค่อยมีเวลา อ่านรวมๆแล้ว เป็นการนำเสนอที่น่าสนใจ แต่ผมขอตั้งข้อสังเกตุกึ่งจับผิดไว้ว่า ข้อความทั้งหมดที่อ่านแล้ว ผมว่าไม่น่าใช่ฝรั่งพูด แต่น่าจะเป็นคนไทยพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับฝรั่ง(แถมจะชี้นำข้อมูลกับฝรั่งด้วย) ฝรั่งน่าจะให้ข้อมูลเป็นข้อคิดเห็นจริงๆมาบางส่วน ความรู้สึกผมว่าน่าจะเป็นส่วนที่น้อย แต่เนื้อหาส่วนใหญ่ที่สรุปมาน่าจะเป็นการพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน แต่การเอามาโพสนี้น่าจะเป็นคนไทยสรุปเป็นความคิดตัวเองผ่านการพูดคุยกับฝรั่งครับ ไม่ใช่ฝรั่งมองไทย? ผมคิดจากสำนวนวิธีคิด มันคุ้นๆและคุ้นจนแทบจะเรียกว่าฝรั่งหัวแดงด้วยซ้ำ แต่ผมเชื่อว่าคุยกันจริงแต่ไม่น่าใช่ฝัร่งมองไทย แต่น่าจะเป็น "ฝรั่งดองมองไทย" มากกว่า จริงๆถ้ามีเวลาจะแยกตอบเป็นข้อ(มีข้อมูลแย้งเพียบ)แต่ขอ เอาสรุปรวมไว้ก่อนไม่มีเวลาว่า เนื้อหากระทู้ข้างบนนั้นเป็นการมองประชาธิปไตย ในเชิงรูปร่างหน้าตา ยังไม่ได้ลงลึกไปถึงจิตวิญญานประชาธิปไตยไทย คือส่วนใหญ่ถ้ามองในเชิงรูปร่างหน้าตา ก็คงไม่ต่างกับข้องกล่าวหาหญิงไทยขายตัว แต่ถ้าลงมาในรายละเอียดระดับจิตวิญญานความเป็นไทยกับวิกฤตที่สุดในโลกคราวนี้ของไทย  มาจากความพยายามที่จะใช้จิตวิญญานประชาธิปไตยแบบไทย เข้าไป"บัลลานซ์"การครองงำของประชาธิปไตยเชิงปริมาณหรือเชิงรูปร่างจนถึงเชิงตำรา??? เป็นความพยายามที่จะจัดดุลภาพให้ประชาธิปไตยภาพรวมทั้งหมด  แต่วิธีการจัดการหรือวิธีการตอบโจทย์ ขาดความชัดเจนและถูกต้อง เจตนาบัลลานซ์จึงกลายเป็นกระดานหกคะเมนตีลังกา เพราะแรงดันทุรังของสองฝ่ายสูง เพราะฝ่ายหนึ่งตั้งโจทย์วิธีทำผิด ?ขณะที่อีกฝ่ายหนีความจริงและหนีจนหลงเป็นการตั้งโจทย์ผิดเข้าหากัน บรรลัยครับ??? จากคุณ : อะตอม (ขอชื่ออะตอม) - [ 5 มิ.ย. 49 11:49:11 ]

ความคิดเห็นที่ 111 ไม่ว่าจะใครเขียน  จะเป็น  ทรท  ฝรั่ง  หรือใครก็แล้วแต่   ไม่ใช่ประเด็นสำคัญสำหรับผม แต่เห็นด้วยกับ คนเขียน เรื่องนี้ พวกอาจารยก็คงบอกว่าพวกนี้ไม่เข้าใจจิตวิญญานของประชาธิปไตย... ต้องเอาจิตวิญญานของประชาธิปไตยอาจารย์มาเป็นตัวตั้งถึงจะถูก.... เวร จากคุณ : nichar - [ 5 มิ.ย. 49 11:59:23 ]

ความคิดเห็นที่ 112 สุดยอด ต้องส่งต่อให้คนอื่นอ่านต่อ จากคุณ : สบายจัง - [ 5 มิ.ย. 49 12:02:09 ]

ความคิดเห็นที่ 113 บางอย่างก็ทำดี บางอย่างก็มีเงื่อน ข้อมูลทุกอย่างรับฟังไว้ แล้วลองเปรียบเทียบกับต่างประเทศซิ เปรียบเทียบคนรวยใน สหรัฐ กับ คนรวยในเมืองไทย การศึกษาระหว่างคนไทย กับชาติอื่นๆ เปรียบเทียบหลายๆมุม จะได้มุมมองที่แตกต่าง เรื่องนี้ ต้องถามใจคนทำดู และถามตัวเองว่า เป็นเครื่องมือของใครไหม คนเรามันก็แค่นี้เอง จากคุณ : phon77 - [ 5 มิ.ย. 49 12:14:51 ]

ความคิดเห็นที่ 114 ไม่มีอะไรให้แย้งครับ เป้นจริงทุกประการ..โหวต จากคุณ : Mr.DogGie - [ 5 มิ.ย. 49 12:48:45 ]

ความคิดเห็นที่ 115 vote ค่ะ  กำลังรอ comment จากคุณอะตอม อย่างใจจรดใจจ่อ รวมทั้งผู้ที่มีความเห็นที่แตกต่าง ขอให้เขียนมาไว ๆ จากคุณ : sao..เหลือ..noi - [ 5 มิ.ย. 49 14:00:36 ]

ความคิดเห็นที่ 116 ผมมองเช่นเดียวกับคนข้างนอกมองเรา  แต่ทุกวันนี้ไม่ว่าจะเป็นข่าวจาก TV หรือ หนังสือพิมพ์  ไปในแนวเดียวกันหมด  ไม่มีใครในสังคมนี้ท้วงติงหรือกระตุ้นให้ฉุกคิด  พวกเราคล้อยตามกระแสกันไปหมด  ไม่ว่าใครดูหนังสือพิมพ์ หรือ TV ชาวบ้านเขามีมุมมองตามข่าวที่เสนอกันหมด  ไม่มีใครให้ความคิดเห็นในแง่มุมต่างๆ ที่หลากหลายและน่าคิดอย่างในเวบบอร์ดนี้เลย  เหมือนเราพากันหลงทางไปกับใครก็ไม่รู้กลุ่มหนึ่งที่อยากให้เราเป็นไปตามที่เขาต้องการ  โดยไม่คำนึงถึงกฎหมายบ้านเมืองและความเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริงอย่างที่อ้างกัน แก้ไขเมื่อ 05 มิ.ย. 49 14:13:59 จากคุณ : ปุยนุ่นสีแดง (ปุยนุ่นสีแดง) - [ 5 มิ.ย. 49 14:12:53 ]

ความคิดเห็นที่ 117 ใช่เลย.....Vote จากคุณ : น้าแมงมุม - [ 5 มิ.ย. 49 14:26:06 ]

ความคิดเห็นที่ 118 สื่อเลว  ทำลายชาติ สิ่งสำคัญยิ่งที่จะทำให้การเมืองไปทิศไหนก็คือสื่อ  ปัจจุบันเจ้าของสื่อต้องการรัฐบาลแบบปชป.  เพราะปชป.จัดงบประมาณจำนวนมากสำหรับการประชาสัมพันธ์  สื่อก็เลยอยากให้ปชป.ขึ้นเป็นรัฐบาล  เลยต้องพยายามล้มทรท.ให้ได้  มีความเห็นว่าสื่อปัจจุบันนี้เห็นแก่ตัวมาก  ไม่เคยคิดถึงจรรยาบรรณหรือความรับผิดชอบต่อบ้านเมือง  ส่วนสื่ออื่นๆก็โอนเอนตามกระแส  น่าจะได้มีการศึกษาดูว่าสื่อของประเทศที่ประชาธิปไตยมั่นคงแล้วเป็นอย่างไร  มีงานวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้บ้างหรือไม่ จากคุณ : ธีรารัตน์ - [ 5 มิ.ย. 49 14:56:33 ]

ความคิดเห็นที่ 119 มันเป็นเช่นนั้นแล.. โปรดจับตาการไม่เคารพกติกา ไม่เคารพรัฐธรรมนูญ ของกลุ่มข้าราชการตุลาการทั้งหลายอย่างใกล้ชิด นอกจากสื่อ นักวิชาการ อาจารย์มหาวิทยาลัย ที่ร่วมกันละเมิดรัฐธรรมนูญแล้ว ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะมีศาลเข้าไปมีส่วนร่วม ประเทศไทยหนอประเทศไทย ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเราจึงใช้รัฐธรรมนูญเปลืองขนาดนี้ จากคุณ : FM_AM - [ 5 มิ.ย. 49 14:56:29 ]

ความคิดเห็นที่ 120 Vote แก้ไขเมื่อ 07 มิ.ย. 49 04:13:43 แก้ไขเมื่อ 06 มิ.ย. 49 08:18:02 จากคุณ : Ala Moana - [ 5 มิ.ย. 49 15:11:57 ]

ความคิดเห็นที่ 121 ผมกลับมองว่า ข้อเขียนนี้ เป็นข้อเขียนธรรมดาที่สะท้อนออกมาในสิ่งที่ควรจะเป็น เป็นสิ่งที่คนไทยเราทุกคน ได้รับรู้รับทราบกันดีอยู่แล้ว แต่เพียงว่าที่ผ่านมามีกลุ่มอะไรก็ไม่รู้ ที่เข้าใจ เข้าถึงจุดอ่อนของคนไทยเป็นอย่างดี ออกมาสร้างกระแส และถูกกระพือข่าวโดยสื่อมวลชนไทย ที่มอง คิด แค่สั้น ๆ ทำให้ทุกอย่างเกิดภาพที่ผิดเพี้ยนขึ้นมา จนทำให้เกิดความแตกแยกกันทางความคิดอย่างรุนแรง ผมว่าถ้ามองอย่างเป็นกลาง และประณีประนอมที่สุด พวกเราควรช่วยกันหาทางลงให้กับกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่หลงผิดไปกับเหตุการณ์ที่ผ่านมากันดีกว่า ไม่เช่นนั้น ความรุนแรง จะต้องเกิดขึ้นแน่นอน หลังเดือนมหามงคลนี้ จากคุณ : Chng - [ 5 มิ.ย. 49 15:21:52 ]

ความคิดเห็นที่ 122 โหวตให้ 1 เสียง จากคุณ : Honeymon (jintean) - [ 5 มิ.ย. 49 15:46:03 ]

ความคิดเห็นที่ 123 เห็นด้วยกับบทความทุกตัวอักษรครับ จากคุณ : 1 เสียง (Kira_XIII) - [ 5 มิ.ย. 49 15:59:47 ]

ความคิดเห็นที่ 124 โหวตให้ 1 เสียง จากคุณ : Honeymon (jintean) - [ 5 มิ.ย. 49 16:00:35 ]

ความคิดเห็นที่ 125 ตรงประเด็นครับ...... ตรงประเด็นครับ...... ตรงประเด็นครับ...... จากคุณ : ไอ้หัวลูกหิน - [ 5 มิ.ย. 49 16:05:17 ]

ความคิดเห็นที่ 126 โหวตด้วย จากคุณ : The Square - [ 5 มิ.ย. 49 16:39:45 ]

ความคิดเห็นที่ 127 เยี่ยมครับ เป็นบทความที่น่าอ่าน แต่พวกบัดซบพวกนั้นมันจะอ่านกันเร้อ จากคุณ : หนุ่ม (ลูกเอิธ) - [ 5 มิ.ย. 49 17:25:35 ]

ความคิดเห็นที่ 128 เห็นด้วยกับความคิดเห็นที่ 116  สำหรับความคิดเห็นที่ 121  ใครว่าคน ไทยทุกคนรับทราบ  ถ้าเราติดตามสื่อ  ก็จะเห็นว่ากระแสของสังคม   คล้อยตามสื่อ และสื่อมองว่า ฝ่ายค้าน และ พันธมิตร คือประชาชน ส่วนใหญ่  สังคมใน pantip  ก็คือสังคมเล็ก ๆ ไม่สามารถจะ สร้างกระแสได้  แล้วเราจะทำอย่างไรต่อไป   เพราะขณะนี้กระแส คือความถูกต้อง   เหมือนตอน ม.7  ยังมองไม่เห็นทางออกเลย จากคุณ : sao..เหลือ..noi - [ 5 มิ.ย. 49 17:36:41 ]

ความคิดเห็นที่ 129 เห็นด้วยกับบทความนี้นะครับ จากคุณ : อภิอัครมหายาน - [ 5 มิ.ย. 49 17:46:19 ]

ความคิดเห็นที่ 130 เป็นเรื่องที่ควรคิดได้ตั้งนานแล้ว  โหวตครับ แต่นิดนึงนะครับ   ทำไมผมอ่านความเห็นของคุณอะตอมไม่ค่อยรู้เรื่องครับ  พยายามอ่านหลายรอบ  ยังงงอยู่   มีใครเห็นเหมือนผมบ้างไหมครับ  หรือผมจะเป็นรากหญ้าที่ความรุ้ไม่ถึงจริงๆ ตรงที่คุณอะตอมเขียนว่า ......เนื้อหากระทู้ข้างบนนั้นเป็นการมองประชาธิปไตย ในเชิงรูปร่างหน้าตา ยังไม่ได้ลงลึกไปถึงจิตวิญญานประชาธิปไตยไทย คือส่วนใหญ่ถ้ามองในเชิงรูปร่างหน้าตา ก็คงไม่ต่างกับข้องกล่าวหาหญิงไทยขายตัว แต่ถ้าลงมาในรายละเอียดระดับจิตวิญญานความเป็นไทยกับวิกฤตที่สุดในโลกคราวนี้ของไทย  มาจากความพยายามที่จะใช้จิตวิญญานประชาธิปไตยแบบไทย เข้าไป"บัลลานซ์"การครองงำของประชาธิปไตยเชิงปริมาณหรือเชิงรูปร่างจนถึงเชิงตำรา??? เป็นความพยายามที่จะจัดดุลภาพให้ประชาธิปไตยภาพรวมทั้งหมด  แต่วิธีการจัดการหรือวิธีการตอบโจทย์ ขาดความชัดเจนและถูกต้อง เจตนาบัลลานซ์จึงกลายเป็นกระดานหกคะเมนตีลังกา เพราะแรงดันทุรังของสองฝ่ายสูง เพราะฝ่ายหนึ่งตั้งโจทย์วิธีทำผิด ?ขณะที่อีกฝ่ายหนีความจริงและหนีจนหลงเป็นการตั้งโจทย์ผิดเข้าหากัน............. มีใครช่วยอธิบายผมได้ไหมครับ แก้ไขเมื่อ 05 มิ.ย. 49 18:13:20 จากคุณ : ลูกแม่โดม - [ 5 มิ.ย. 49 18:08:26 ]

ความคิดเห็นที่ 131 เห็นด้วยกับบทความนี้ทุกประการ อยากให้คนได้อ่านกันมาก ๆ จะได้รู้สึกตัวกันบ้าง ว่ามันบ้าอะไรกัน ที่มีอาจารย์รัฐศาสตร์เสนอให้ทหารปฏิวัติ ฉีกรัฐธรรมนูญ พรรคการเมืองบอยคอตต์การเลือกตั้ง สื่อโวยวายว่าถูกคุกคามทั้งที่ตัวเองมีเสรีภาพสุดๆ แล้ว จากคุณ : momotoji - [ 5 มิ.ย. 49 18:54:43 ]

ความคิดเห็นที่ 132 vote ครับ จากคุณ : lamerma - [ 5 มิ.ย. 49 19:33:48 ]

ความคิดเห็นที่ 133 สังคมมันฟอนเฟะ จนแก้ไขอะไรไม่ได้ดังเดิมแล้ว... คนดีถูกใส่ไคล้ คนชั่วรอดตัวไป โหวตครับ เห็นด้วยกับบทความ จากคุณ : Bonaparte - [ 5 มิ.ย. 49 19:39:14 ]

ความคิดเห็นที่ 134 ขอบคุณทุกๆ เสียงที่เข้ามาแสดงความคิดเห็น และขอให้ช่วยเผยแพร่บทความนี้ออกไป..เท่าที่ทำได้ เราเชื่อว่าทุกคนมีแนวคิดที่ไม่ต่างกันมากนัก และมองเห็นภัยที่กำลังก่อตัวเหมือนคลื่นใต้น้ำ..... มองไปข้างหน้า..ยังไม่เห็นหนทางของความสงบสุขเช่นแต่ก่อน เราเชื่อว่าด้วยพลังบริสุทธิ์ และเจตนาที่ดีต่อชาติบ้านเมือง ที่พวกเรากำลังช่วยกันอยู่คนละไม้ละมือ อย่างน้อย..ก็เป็นส่วนหนึ่ง ที่ช่วยฉุดรั้งไม่ให้เหตุการณ์บ้านเมืองเบี่ยงเบนมากไปกว่านี้ ภาพที่เห็น ณ เวลานี้ หลายๆ คนที่เคยหลงผิด เข้าใจผิดเพราะสื่อฯ ชักนำ เริ่มเข้าใจอะไรๆ มากขึ้น........ ขอเพียงพวกเราช่วยถ่ายทอดข้อมูลที่เป็นจริงให้พวกเขาได้ร่วมรับรู้ อย่างน้อยก็แค่คนใกล้ตัว พ่อแม่ พี่น้อง เพื่อนฝูงของเรา.... เพื่อบ้านเมืองของเรา มาช่วยกันนะคะ....................... จากคุณ : นางสาวหมอนทอง - [ 5 มิ.ย. 49 20:49:36 ]

ความคิดเห็นที่ 135 ตรงใจดี  ขอบคุณครับ จากคุณ : who care - [ 5 มิ.ย. 49 21:07:13 ]

ความคิดเห็นที่ 136 พรรคการเมืองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศไทย = พรรคข้าราชการ จากคุณ : บิ๊กแหนม - [ 5 มิ.ย. 49 21:13:29 ]

ความคิดเห็นที่ 137 โหวต ครับ จากคุณ : ฝ่ามือมหาเมตตา - [ 5 มิ.ย. 49 21:17:11 ]

ความคิดเห็นที่ 138 โหวตด้วย ดีมากมากเลย เราขอชื่นชม วันที่ทักกี้ ประกาศเว้นวรรคฯ Bloomberg ได้สัมภาษณ์ นักธุรกิจชาวต่างประเทศคนหนึ่งเกี่ยวกับประเทศไทย ในรายการ money and  politics เขาบอกว่า ... "เมื่อเสียงส่วนใหญ่ต้องยอมให้แก่เสียงส่วนน้อยมันเป็น "coup d'etat not democracy". แต่เมื่อทีวีไทยนำมารายงานทางโทรทัศน์ เขาเลือกรายงานเฉพาะมุมมองเศรษฐกิจที่ว่าเศรษฐกิจไทยดีอยู่ ฯลฯ... สำหรับแนวคิดการปกครองระบอบประชาธิปไตยของไทย เราสิ้นหวังตั้งนานแล้ว... การที่รัฐธรรมนูญไทยถูกฉีกครั้งแล้วครั้งเล่าโดยกลุ่มผู้มีอำนาจ..ผลัดเปลี่ยนเวียนกลุ่มกันมา... ทุกครั้งก็อ้างทำเพื่อประเทศชาติบ้านเมือง ไม่ว่ารัฐธรรมนูญจะร่างดีแค่ไหนก็ต้องมีคนมาฉีกเสมอ... อาจเป็นเพราะสังคมไทยรักสงบและยอมตามกลุ่มผู้ที่ก่อความไม่สงบเสมอ... แต่ก็ไม่ใช่ทุกกลุ่มนะ เฉพาะกลุ่มที่มีอำนาจเท่านั้น คือ gun  money and education รัฐธรรมนูญที่ถูกฉีกไปหยกๆก็เป็นรัฐธรรมนูญที่ทุกคนช่วยกันร่างมากับมือ... ตอนนี้ก็กำลังจะร่างใหม่อีก...และก็ไม่ต้องสงสัยว่าจะต้องมีคนมาฉีกอีก... ไม่รู้จะร่างไปทำไม... เสียเวลา...เสียสมอง...เสียเงินภาษีที่ต้องสิ้นเปลืองกับเรื่องเดิมๆซ้ำๆซาก... เคยสงสัยว่าทำไม... แต่เมื่อมองไปรอบๆตัวในชีวิตประจำวันก็ไม่สงสัยเลย.. เพราะคนไทยส่วนใหญ่ชอบฝ่าฝืนกฏกติกามารยาทสังคมจนเป็นนิสัย... ไม่เคารพกฏหมายหรือกฏระเบียบอะไรอย่างจริงจัง... อยู่บนท้องถนนก็ไม่ได้ให้ความสนใจกฏจราจรมากกว่าตำรวจจราจรเลย... คนไทยเป็นคนที่ขาดระเบียบวินัยในตัวเองที่สุดชาติหนึ่ง ซึ่งมันเป็นลักษณะเด่นที่เห็นได้ในประเทศด้อยพัฒนาทั้งหลาย... แต่ที่เราแปลกใจมากที่สุดก็คือ ทำไมคนไทยบางคนที่ได้รับการศึกษาจากสังคมที่ได้รับการพัฒนาที่ดีสุดในโลกสังคมหนึ่งกลับไม่ได้พัฒนาสติปัญญาและจิตใจแบบประชาธิปไตยเหมือนคนในสังคมที่เขาพัฒนาแล้ว แก้ไขเมื่อ 10 มิ.ย. 49 12:39:57 แก้ไขเมื่อ 07 มิ.ย. 49 12:54:04 จากคุณ : red snake - [ 5 มิ.ย. 49 21:39:47 ]

ความคิดเห็นที่ 139 โหวตครับ   โดนนนนน...... จากคุณ : Vprawat - [ 5 มิ.ย. 49 21:52:23 ]

ความคิดเห็นที่ 140 โหวตครับ จากคุณ : มือใหม่DSM - [ 5 มิ.ย. 49 22:21:25 ]

ความคิดเห็นที่ 141 ช่างเป็นกระจกที่ส่องให้เห็นภาพสะท้อนกลับมาให้เห็นภาพได้อย่างชัดเจน ขอบคุณ จขกท ที่ได้นำมาเล่าสู่กันฟัง เห็นด้วยคะ ขอ VOTE จากคุณ : u@tao - [ 5 มิ.ย. 49 22:39:18 ]

ความคิดเห็นที่ 142 โดนใจเหมือนกัน แต่ถ้าเป็นฝรั่ง ควรเสนอแนวทางการแก้ปัญหาให้ด้วยดิ ผู้ใหญ่ในประเทศ ไม่ว่าจะเป็น ผู้ทรงคุณวุติทั้งหลายเอย ข้าราชการ เอย นักวิชาการเอย ครูบาอาจารย์เอย คิดแก้ปัญหาให้แต่ละอย่าง ได้ยินแล้ว ปวดใจเหลือเกิน ไม่รู้ว่ากลั่นออกมาจากสมองหรืออะไรกันแน่.....เฮ้อ จากคุณ : Cavalryman - [ 5 มิ.ย. 49 22:51:58 ]

ความคิดเห็นที่ 143 อภิสิทธิ์ชน หลังเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อปี2475 ถึงแม้ในหลวงรัชกาลที่๗จะมีพระราชดำรัสเรื่องการพระราชทาน รัฐธรรมนูญว่า”ยินดีมอบอำนาจของข้าพเจ้าให้กับประชาชนโดยทั่วไปแต่ไม่ประสงค์ที่จะมอบให้กับคนหมู่ใดหรือคณะใดเป็นการเฉพาะ” แต่อำนาจหรือความเป็นอภิสิทธิ์ชน ได้ตกมาอยู่กับคณะราษฎร์ฯที่ทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองมีการแย่งชิงอำนาจกันระหว่างผู้ก่อการเองระหว่างทหารกับฝ่ายพลเรือน แต่โดยส่วนใหญ่ฝ่ายทหารจะเป็นผู้ครองอำนาจมีฝ่ายพลเรือนเข้ามาขัดบ้างเป็นช่วงเวลาสั้นๆแต่อำนาจที่แท้จริงก็ยังตกอยู่กับฝ่ายทหารอยู่ดี เพราะประเทศตกอยู่ภายใต้การปกครองในระบบปฎิวัติเป็นเวลานาน  ในสมัยที่ฝ่ายทหารมีอำนาจปกครองแผ่นดิน จึงเป็นอภิสิทธิ์ชนอย่างแท้จริง ตำแหน่งสำคัญต่างๆในบ้านเมืองจะมีทหารเข้าไปคุมไว้หมดสิ้น เจ้ากระทรวงต่างๆแทบจะเป็นทหารทั้งสิ้น แม้กระทั่งมหาดไทย  กรมตำรวจ  คมนาคม เกษตร อุตสาหกรรม   กรรมการและผู้บริหารรัฐวิสาหกิจ ต่างๆ ฯลฯ แม้กระทั่งตำแหน่ง อธิการบดีมหาวิทยาลัยต่างๆๆ โดยมีนักการเมืองที่หนุนหลังฝ่ายทหาร ข้าราชการและพ่อค้านายทุน เป็นอภิสิทธิ์ชน ลำดับถัดมา   สมัยทหารเรืองอำนาจ  กลุ่มอภิสิทธิ์ชนเหล่านี้ สามารถนำเฮลิคอปเตอร์ออกไปล่าสัตว์ในเขตป่าสงวนได้ จับจองพื้นที่ป่าสงวนได้ตามอัธยาศัย ทำธุระกิจผูกขาดต่างๆ และมีหุ้นลมอยู่ในบริษัทต่างๆมากมาย แม้กระทั่งอาชีพที่ผิดกฎหมายต่างๆก็จะมีอภิสิทธิ์ชนเหล่านี้ แทรกเป็นยาดำอยู่แทบทุกแห่ง   ตำแหน่งสำคัญต่างๆถ้าพอจะเอาทหารเข้าไปได้จะได้รับการพิจารณาก่อนส่วนที่ฝ่ายทหารไม่ต้องการแล้วก็จะตกถึงมือเหล่าข้าราชการลำดับถัดๆมา จึงทำให้เกิดคอรัปชั่นกันอย่างแพร่หลาย มีการซื้อตำแหน่งกันเอง เล่นเส้นเล่นสาย และข้าราชการพนักงานรัฐวิสาหกิจ วางตัวเองอยู่เหนือประชาชนตลอดมา  สภาวิชาชีพและชมรมต่างๆก็มักมีนักการเมือง ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่และเครือญาติ เข้าไปกุมอำนาจอยู่แทบทั้งสิน  เป็นอย่างนี้มาช้านาน สมัยรัฐบาล พลเอกชาติชาย  ได้จัดตั้งพ.ร.บ. สหภาพรัฐวิสาหกิจขึ้นมาทำให้เกิดอภิสิทธิ์ชนกลุ่มใหม่ขึ้นมาอีกคือกรรมการสหภาพรัฐวิสาหกิจ ขึ้นมาคานอำนาจกับฝ่ายบริหารและอยู่กันมาได้เพราะแบ่งผลประโยชน์กันลงตัว โดยเอาผลประโยชน์ของรัฐวิสาหกิจในแต่ละแห่งมาแบ่งเฉลี่ยกัน แต่ประสิทธิภาพในการทำงานกลับแย่ลง (ภายหลังกลุ่มนี้ได้จับมือกับกลุ่ม NGOบางกลุ่มด้วยวัตถุประสงค์ที่ต่างกันแต่เป้าหมายการต่อสู้เดียวกันคือการกดดันรัฐบาลเพื่อให้บรรลุสิ่งที่กลุ่มตัวเองต้องการ) จนกระทั่งเหตุการณ์ พฤษภาทมิฬ   สมัยพลเอก สุจินดา  อภิสิทธิ์ชน ฝ่ายทหาร ได้ถอนตัวออกไป   พรรคประชาธิปัตย์ และชาติไทย เข้ามาเป็นรัฐบาลแทน และรับช่วงตัวแทนอำนาจและความเป็นอภิสิทธิ์ชนของกลุ่มต่างๆ  มาแทนฝ่ายทหาร และอยู่มาได้เพราะได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มอภิสิทธิ์ชนฝ่ายต่างๆดังกล่าวมาแล้ว ภายหลังเกิดเหตุการณ์เศรษฐกิจล่มและลอยตัวค่าเงินบาท หลังจากพรรคประชาธิปัตย์เข้ามาบริหารได้ระยะ หนึ่งไม่สามารถแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจได้ และพรรค ไทยรักไทยได้ก่อกำเนิดขึ้น ได้เสนอนโยบายแนวใหม่ จนโดนใจประชาชน และได้รับความไว้วางใจให้เข้ามาจัดตั้งรัฐบาล ในช่วงสมัยแรก ของไทยรักไทย ทำงานได้โดนใจประชาชนมาก และสามารถแก้ปัญหาของชาติได้มากเฉลี่ยผลประโยชน์ตกถึงประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ (แม้ว่าอำนาจและความเป็นอภิสิทธิ์ชนจะยังอยู่ในกลุ่มของผู้สนับสนุนนายกทักษิณ แต่อำนาจและความเป็นอภิศิษย์ชนจากกลุ่มเดิมๆเริ่มเสื่อมถอยลง)จนกระทั่งได้รับความไว้วางใจจากประชาชนอย่างถล่มทลายให้เข้ามาบริหารประเทศอีกสมัยหนึ่ง ในสมัยที่สองหลังจากบริหารประเทศได้เกือบปี ได้เกิดกรณีย์ขัดแย้งผลประโยชน์กับนายสนธิด้วยเรื่องธุระกิจส่วนตัวของนายสนธิ  จนกระทั่งนายสนธิได้จัดตั้งเวทีด่าหัวหน้ารัฐบาล ทุกวันศุกร์ (ภายหลังได้แนวร่วมเพิ่มเติมอีก ๔ กลุ่มซึ่งมีวัตถุประสงค์ต่างกันแต่มีเป้าหมายแรกร่วมกันคือต้องเอา นายกทักษิณออกไปก่อนเป็นเป้าหมายแรก)ระหว่างนั้นก็มี อีเมล์ฟอร์เวิดร์ กล่าวร้ายถึงหัวหน้ารัฐบาลจากผู้ที่เสียประโยชน์จากนโยบาล ไทยรักไทย ส่งไปตามที่ต่างๆอย่างสม่ำเสมอ มีนายเอกยุทธ อัญชัญบุตร ที่เคยหลอกต้มตุ๋นประชาชนและหลบหนีไปสร้างฐานะที่ประเทศอังกฤษ จนร่ำรวยกลับมาหาทางเป็นใหญ่ในประเทศไทยต่อโดยคิดจะซื้อพรรคปชป ด้วยเงินถึง 1000ล้านบาท บังเอิญ เกิดกรณีย์ ขายหุ้นบริษัท ชิน ฯของครอบครัว นายกฯให้กับกองทุน เทมาเซ็ก ของสิงคโปร์ ซึ่ง ได้ติดต่อกันไว้นานแล้วแต่เพิ่งมีผล  เนื่องจากการที่นายกและครอบครัวยังถือหุ้นอยู่ในบริษัทดังกล่าว ทำให้ฝ่ายค้านมีเรื่องกล่าวหาได้ไม่เว้นแต่ละวัน และการขายหุ้นออกไปจะทำให้ นายกทักษิณ ตัวเบาขึ้น ที่จะบริหารจัดการ เรื่องราวต่างๆของประเทศเกี่ยวกับกิจการสื่อสารของประเทศซึ่งมีปัญหาอยู่มากและจำเป็นต้องได้รับการพัฒนา ไม่ว่าจะเรื่องการแปรรูป ทศท กสท และการคัดเลือกตัว คณะกรรมการ กสช และกทช แต่เหมือนฝ่ายค้านจะรู้จึงไม่ยอมปล่อยประเด็นนี้ และพยายาม ทุกวิธี ที่จะเช็คบิล นายกทักษิณประกอบกับเรื่องของนายสนธิกำลังสุกงอม โดยได้รับการสนับสนุนจากฝ่าย ปชป ทั้งทางลับ ทางแจ้ง  ฝ่ายสหภาพรัฐวิสาหกิจ ที่ต่อสู้เรื่องการแปรรูป เพราะกระทบถึงประโยชน์ฝ่ายตน ฝ่าย NGO  ที่โดนรัฐบาลปรับลดงบประมาณลง เพราะไม่มีโครงการณ์ที่ดีพอ ฝ่ายสำนัก สันติอโศก ที่มีพลตรีจำลองเป็นแกนนำที่มีวัตถุประสงค์ที่จะปักหลักลัทธิโพธิรักษ์ลงมาเป็นคู่แข่งกับฝ่ายมหาเถรสมาคม  ฝ่ายอภิสิทธิ์ชน ดั้งเดิม ที่เริ่มจะศูนย์เสีย อำนาจและความเป็นอภิสิทธิ์ชนที่เคยมี บวกกับ กลุ่มที่มีปัญหาต่อเนื่องจากเศรษฐกิจล่ม และกลุ่มพ่อค้า สินค้าเถื่อน หวยเถื่อน  และกลุ่มค้ายาบ้า บรรดาเจ้าพ่อเจ้าแม่ทั้งหลายที่ได้รับผลกระทบจากการทำงานของ พรรคไทยรักไทย (แต่ละกลุ่มมีวัตถุประสงค์ต่างกันทั้งสิ้นและไม่น่ารวมกันได้แต่เนื่องจากมีเป้าหมายร่วมกันคือต้องจัดการนายกฯทักษิณออกไปก่อนเป็นเป้าหมายแรกจึงรวมกันอย่างหลวมๆ)กลุ่มเหล่านี้ได้ถือโอกาสที่ ขบวนการของนายสนธิกำลังดำเนินอยู่ ช่วยกันโหมกระพือแรงต่อต้านนายกทักษิณ จนกระทั่งนายกฯทนกระแสต่อต้านไม่ได้ หลังเข้าพบพลเอก เปรม  รัฐบุรุษ  ในวันรุ่งขึ้นจึงได้ประกาศยุบสภาฯ และกำหนดวันเลือกตั้งใหม่ เป็นที่ผิดคาดของทางพรรคฝ่ายค้าน และกลุ่มต่อต้าน ที่ต้องการกดดันให้นายกฯลาออก  จึงได้เป็นที่มาของการบอยคอต การเลือกตั้ง เพื่อกดดันให้คนชื่อทักษิณพ้นออกไปจากวงการเมืองไทยให้ได้  แต่ด้วยบารมีขององค์ในหลวง เหตุการณ์จึงเริ่มคลี่คลายลง และเพื่อกู้หน้าและสร้างความชอบธรรมให้กับตัวเอง ของทางซีกฝ่ายค้านร่วมจึงต้องหาทางกดดัน กกต  ให้พ้นจากหน้าที่ ต่อไปให้ได้ตามที่ได้พยายามสร้างกระแสอยู่ในปัจจุบัน โดยมีกลุ่ม ม.๗ เป็นผู้สนับสนุน ตลอดกาล คุณอภิสิทธิ์หัวหน้าพรรค ปชป จึงนับเป็นตัวแทนฝ่ายอภิสิทธิ์ชน รุ่นเก่า  ได้สมชื่อ จริงๆ 'ชัยอนันต์ สมุทรวณิช  เป็นตัวตั้งตัวตีคนหนี่งในการยื่นถวายฎีกา เรื่อง ม๗ มีธุระกิจร่วมกับนายสนธิ ลูกชาย เป็นลูกจ้างนายสนธิ  และเป็นประธานกรรมการ กฟฝ ชุดที่เสนอ  พรฎ อัปยศที่ศาลปกครอง ตีกลับ  เหมือนเป็นการวางยารัฐบาล เป็นหัวหอก คณะรัฐศาสตร์จุฬา จึงไม่น่าแปลกที่จะ ให้ความเห้น ไล่ ทักษิณ อุดมการณ์เดียวกับ นายสนธิ และนายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง จากคุณ : p (หนุ่มหย่าย!) - [ 5 มิ.ย. 49 22:59:46 ]

ความคิดเห็นที่ 144 อันนี้เป็นบทความของ The Economist นะครับ เก็บมาจากกระทู้เก่า ถ้าท่านไหนที่ไม่อยากจะอ่านทั้งหมด ผมทำเขียนเส้นใต้ไว้ให้  และท่านไหนที่ไม่เก่งภาษา ผมอยากให้ลองแปลเฉพาะที่เขียนเส้นใต้ก็พอครับ เขาเขียนโดยยกเอาพระราชดำรัสมาเป็นหัวข้อครับ "A sinking ship: When you tear up the rule book, democracy flounders [Economist, May 4] A sinking ship May 4th 2006 From The Economist print edition When you tear up the rule book, democracy flounders “THAILAND [could] sink more than 4,000 metres under the sea. Irretrievable. We would not be able to rescue it.” So, on April 26th, said King Bhumibol Adulyadej, expressing his fears about the political crisis into which his country has slipped, and urging its most senior judges to come up speedily with a solution. A week later, they had not, and the ship of state was riding ever lower in the waters. Under the constitution, Thailand should have convened a parliament within 30 days of its election on April 2nd. But that deadline has now expired, parliament has not convened and nobody knows what comes next. Thais are paying a heavy price for the opposition's dismissal of April's election result. That election was boycotted by the opposition parties. Thaksin Shinawatra, the country's prime minister, had won two resounding previous election victories but stood accused of sins ranging from conflicts of interest through corruption to allowing police brutality. Fearing defeat in a straight fight, the opposition called on voters to mark the “no vote” box on ballot papers. Mr Thaksin won 61% of the vote anyway, on a 65% turnout. The “People's Alliance for Democracy” refused to accept the verdict and threatened to continue the protests that had gone on in central Bangkok for weeks. And so, after meeting the king, Mr Thaksin offered his resignation. The anti-Thaksin lobby hailed this as a victory for democracy. This newspaper saw it as a blow to democracy—a view in which we feel fortified after receiving a critical letter from one western expat who reckoned that “ill-educated and gullible Thais” could not be trusted to get things right (but was quite happy to sell them insurance anyway). On one thing, however, everyone ought to agree. A country that was doing quite well has now, in the words of the king, been “messed up”. None of the paths out of the mess looks very promising. The most probable outcome is that the courts will decide, on a number of possible technicalities, to annul the April 2nd vote, and order another one. That in itself will mean no parliament for a good while yet, but it also raises all sorts of questions. For instance, will Mr Thaksin stand? Will the opposition participate fully and pledge to respect the outcome of the vote (which they should do, even though the contest might well end in another victory for Mr Thaksin's Thai Rak Thai, the party which, to the horror of the Bangkok “democrats”, most other Thais seem to like)? If the new election results in a number of unfilled seats in the parliament, will the legislature still be deemed inquorate, as it is now? If, on the other hand, the courts do not annul the April election, will the opposition stop playing politics with Thailand's new and fragile constitution, and run in elections for the unfilled seats, so that the legislature can get on with its job? Mr Thaksin's enemies appear to think that none of this matters very much compared to the benefits of having levered their elected prime minister out of office, albeit by extra-democratic means. They are mistaken. However glad some Thais may be to see the back of a prime minister who had some authoritarian ways and eye-popping conflicts of interest, their country has taken a big step backwards. Once you start allowing demonstrators who number in thousands to throw out politicians who have been elected by millions, the fabric of any democracy is bound to fray, let alone one that has existed for only 14 years and still lies under the shadow of crown and gun. Difficult days lie ahead. " อ่านแล้ว ฝรั่งยังรู้เลยว่าเกมการเมืองไทยเป็นอย่างไร จากคุณ : ขนมต้ม - [ 5 มิ.ย. 49 23:05:51 ]

ความคิดเห็นที่ 145 เข้ามาโหวตให้ ขอบคุณที่หามาให้อ่าน ตรงใจมาก จากคุณ : Roborovski - [ 5 มิ.ย. 49 23:13:59 ]

ความคิดเห็นที่ 146 vote จากคุณ : watd (watd) - [ 5 มิ.ย. 49 23:49:48 ]

ความคิดเห็นที่ 147 ย้อนกลับไปที่ คห 110 คุณอะตอม ผมเดาว่าอะตอมเป็นอาจารย์ทางสังคมนะ เพราะสำนวนพวกอาจารย์จะมีแนวทำนองนี้ คือ ฟังเผินๆ คล้ายจะเข้าท่า แต่ฟังให้ดีไม่มีอะไรหรอกครับ สรุปว่าเขาไม่มีอะไรในหัวหรอก แต่ก็ไม่อยากเห็นด้วยเท่านั้นเอง  (ขออภัยครับ บังเอิญอยู่ใกล้ชิดกับอาจารย์มากไปหน่อย) จากคุณ : sprapant - [ 6 มิ.ย. 49 00:03:22 ]

ความคิดเห็นที่ 148 บทความน่าสนใจ มากครับ แอบเข้ามาอ่านเงียบๆ ผมชอบ ครับ อยากรู้ว่าต่างชาติเค้ามองบ้านเราเป็นยังไงกันบ้าง จากคุณ : Mr. why? - [ 6 มิ.ย. 49 01:56:05 ]

ความคิดเห็นที่ 149 คห. 130 อย่าว่าแต่คุณไม่รู้เรื่องเลยครับ ผมยังไม่รู้เรื่องเหมือนคุณนั้นแหละครับ แม่ผมเรียกคนประเภทนี้ว่า "พูดอะไรอยู่ดาววี" คือ พูดแล้วคนไม่รู้เรื่องนะครับ คุณ Grassroot เคยเตือนเขาแล้วในการเขียนให้อ่านรู้เรื่อง คือ ความเห็นแตกต่างไม่เป็นไร แต่คุณอะตอม นี่เขียนไม่รู้เรื่องนะครับ ใช้พรรณาโวหารไม่จำเป็น แล้วหลุดไม่รู้ว่าสื่ออะไรนะครับ ผมว่าไม่ได้เป็นอาจารย์หรอกครับ แต่คงเป็นคนที่อ่านหนังสือมาก ประเภทพ็อกเก็ตบุ๊ค แล้วศึกษาด้วยตัวเองนะครับ ไปได้ข้อความแนวคิดจากหนังสือเล่มโน้นเล่มนี้ก็ติดใจ แล้วหยิบเอามาใช้ แต่ยัง "ไม่ได้ย่อยให้เป็นความคิดของตนเอง" นะครับ ความคิดเลยวกวน แต่คุณอะตอมมีจุดเด่นตรงที่เขียนยาวๆ ได้นะครับ ถ้าทำให้มัน "อ่านแล้วรู้เรื่อง" ก็จะเป็นนักเขียนชั้นดีครับ แต่ต้องย่อยสิ่งที่เขาอ่านมาให้เป็นความคิดของตัวเองให้ได้ก่อนนะครับ ไม่อย่างนั้นมันก็เป็นแบบนี้คือ คนอ่านเขาไม่รู้เรื่องนะครับ แก้ไขเมื่อ 06 มิ.ย. 49 02:31:10 จากคุณ : ประชาชน(ไทย) - [ 6 มิ.ย. 49 02:20:59 ]

ความคิดเห็นที่ 150 สำหรับคำวิจารณ์ของฝรั่งผมไม่แปลกใจหรอกครับ เพราะเราเพิ่งผ่านสังคมยุค ราชาธิปไตย ยุคพ่อขุนอุปถัมม์มายังไม่พ้นช่วงอายุคนเลย และเราเพิ่งมีประชาธิปไตยจริงๆ ไม่ถึง 10 ปี ก่อนหน้านั้น เป็นประชาธิปไตยครึ่งใบบ้าง รัฐบาลทหารบ้าง คนชั้นกลางเคยชินกับระบบการเมืองแบบนี้ และไม่เคย ถูกคนชั้นล่างเบียด จนสูญเสียสถานะการกำหนดทิศทางของสังคมได้แบบนี้มาก่อน นักวิชาการทั้งหลาย เคยเป็นผู้ชี้ทิศทางของสังคมในยุคที่ผ่านมา แต่พอยุคนี้ เขาสูญเสียสภาพนั้นไปในเวลาอันรวดเร็วทำให้เขายอมรับไม่ได้นะครับ ตัวอย่างที่ผมเห็นชัดอันหนึ่งคือ "สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ" ที่ตั้งขึ้นตามรัฐธรรมนูญ ที่คนชั้นนำเหล่านี้เคยคิดก่อนปี 2540 ว่าจะเป็นสภาชี้นำทิศทางสังคมไทย จะเห็นได้ว่าต่างแย่งกันเข้าไปเป็นกรรมการ ตอนเลือกตั้งครั้งแรก แต่เมืองไทยพัฒนาเร็วเกินไป รัฐบาลผสม กลายเป็น รัฐบาลพรรคเดียวในทันทีที่มีการเลือกตั้งครั้งแรกตามรัฐธรรมนูญ "สภาที่ปรึกษา" เลยกลายเป็นส่วนเกินที่ไร้ประโยชน์ไปในทันที เพราะไม่มีพรรคการเมืองใดในโลก ในประเทศที่เจริญแล้ว ให้องค์กรอื่นมากำหนดนโยบายแทนตน เพราะนั่นมันคือหน้าที่ของนักการเมือง คนชั้นกลางค่อนข้างสูง สื่อ นักวิชาการ ตื่นขึ้นมา อยู่ดีๆ ก็สูญเสียบทบาทการชี้นำไปโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวมาก่อน เลยทำใจยอมรับไม่ได้ ประกอบกับ "จิตวิญญาณประชาธิปไตย" ยังไม่หยั่งราก คนเหล่านี้ก็เลยเกิดอาการ "ผีเข้า" อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ผมจึงไม่แปลกใจที่ทั่วโลกเขางงกับเมืองไทยช่วงนี้นะครับ คนอย่าง ประเวศ วะสี นิธิ เอียวศรีวงศ์เป็นต้น  ที่เคยชี้นำสังคมได้ อยู่ๆ ก็รู้สึกว่าตัวเองหมดประโยชน์ อาการผีเข้าของสังคมไทยเลยออกฤทธิ์ จากคุณ : ประชาชน(ไทย) - [ 6 มิ.ย. 49 02:44:13 ]

ความคิดเห็นที่ 151 1 โหวต โดนใจเหลือเกิน ผมชอบรัฐบาล ทรท แต่ผมก็อยากฟังและยินดีรับฟัง ผู้ที่เห็นค้านกับผม ผมชอบฟังความคิดเห็นของ Silent Power ค้านทุกเรื่องแต่มีเหตุและผล อย่างผู้มีปัญญา ผมรับฟัง   The Square มีจุดยืนของตัวเองคือไม่เอา ทรท อย่างชัดเจน ผมกำลังพยายามจะทำความเข้าใจคุณอะตอม แต่ยอมรับครับความรู้ผมน้อย อ่านมาหลายกระทู้ ไม่รู้ว่าสื่ออะไร ปรับวิธีสื่อนิดหนึ่งครับ คนความรู้น้อยอย่างผมจะได้เข้าใจ ผมอยากฟังความคิดเห็นแบบรู้เรื่องจากคุณอะตอม แก้ไขเมื่อ 06 มิ.ย. 49 04:31:48 จากคุณ : chunchun - [ 6 มิ.ย. 49 04:02:30 ]

ความคิดเห็นที่ 152 -- เข้ามาโหวต ความเห็น 110 อ่านยังไงก็ไม่เข้าใจช่วยกลับมาสื่อให้เข้าใจหน่อยเถอะนะ -- เป็นข้อเขียนที่โดนใจซึ่งก็คิดเหมือนกันแต่สื่อออกมาไม่ได้ โหวตให้ค่ะ จากคุณ : amitra - [ 6 มิ.ย. 49 07:09:50 ]

ความคิดเห็นที่ 153 คคห. 138 เยี่ยมมากค่ะ..สิ่งที่น่าสลดใจคือคนพวกนั้น ไม่นำสิ่งที่ดีๆมาพัฒนาตามที่ได้ไปเล่าเรียนมาด้วยสิ..เสียดาย. จากคุณ : come together - [ 6 มิ.ย. 49 07:17:22 ]

ความคิดเห็นที่ 154 vote ครับ ผมมีอาชีพต้องไปต่างประเทศบ่อยๆ ไม่เคยเห็นที่ไหน มีประชาธิปไตยประหลาดแบบบ้านเรา ไม่เคยเห็นที่ไหน มีสื่อเสรีสุดขั้วแบบบ้านเรา จากคุณ : King Tiger - [ 6 มิ.ย. 49 09:00:13 ]

ความคิดเห็นที่ 155 อยากจะโหวตซัก 40 รอบ จากคุณ : ผีน่ารัก - [ 6 มิ.ย. 49 10:39:10 ]

ความคิดเห็นที่ 156 ความคิดเห็นที่ 91   ถูกทุกข้อ... ดีที่เป็นฝรั่งเขียน ถ้าเป็นคนไทยเขียน ก็จะโดนไล่ให้ไปอยู่เมืองฝรั่ง หรือไม่ก็บอกว่าคงเป็นลูกกะเป๋งของฝรั่ง... ... ข้อที่สิบ... คนไทยที่เป็นชนชั้นสูง ไฮโซ หรือพวกขุนนาง –ข้าราชการ...(ที่เป็นเหลือบเกาะกินประเทศ) คนพวกนี้เป็นพวก “เก่งแต่ปาก”...แต่ถ้าให้มาบริหารประเทศกลับทำไม่ได้ บังเอิญมี “พ่อค้า” สักคนที่พอจะมีน้ำยาเข้ามาทำงานให้ประเทศ แต่ให้บังเอิญอีกที่ไปขัดแข้ง-ขัดขา  ขวางหู-ขวางตา พวกที่เก่งแต่ปาก จนทำให้เกิดความอิจฉา-ริษยา ว่า...นอกจากมันจะรวยกว่า แล้วดันเก่งกว่าด้วย ผลประโยชน์ หรืออำนาจ บารมี ที่เคยได้รับ...กลับต้องมาขาดตอนไป เลยเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดความวุ่นวายอยู่ในขณะนี้ ... ประเทศไทยมีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งหลายๆประเทศในโลกนี้อยากมีกษัตริย์อย่างพระองค์บ้าง แต่ประชาชนคนไทยเป็นเหมือน “ไก่ได้พลอย” ปากก็พร่ำพรรณาว่ารักในหลวง รักพระองค์...แต่การกระทำกลับเป็นตรงกันข้าม ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง  อยู่อย่างพอเพียง ไปจนถึงเรื่อง ความรัก ความสามัคคี ของคนในชาติ ขนาดที่พระองค์ยังอยู่นี่ก็ยกพวกตีกันมาหลายครั้งแล้ว และทุกครั้งที่ตีกัน พระองค์ท่านก็ต้องออกมาห้ามทุกครั้ง วันหนึ่งภายภาคหน้าที่ไม่มีพระองค์ท่านมาห้ามแล้ว คงจะได้ฆ่าล้างโครตกันให้ตายกันจนหมดข้างสมใจกันเสียที ... จากคุณ : ลูกกะเป๋งของฝรั่ง (turning_leaf)  - [ 5 มิ.ย. 49 02:37:06 ] ... ผมอ่านข้อความของคุณลูกกะเป๋งของฝรั่ง ในใจผมเลยอยากให้ประเทศไทยเป็นแบบประเทศ...เลบานอน-อิสราเอล หรือ บอสเนีย-ยูโกสราเวีย..เอาแบบรบกันกลางเมืองไปเลย..ไม่ชอบฝ่ายไหน ยิงหัวกันไปข้างนึงเลย..เอาแบบให้สุด ๆ กันไปเลย ผมก็ชอบนะ..ผมจะได้ออกไปหายิงหัวคนที่ผมไม่ชอบมั้ง มันคงสะใจดี...เมื่อถึงเวลานั้น..เพราะฉะนั้น..ขอให้คนไทยที่สนันสนุน หรือไม่สนันสุนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ช่วยกันภาวนานะครับ ให้มันมาถึงเร๊ว ๆ จะได้ช่วยกันเอาปืนออกไปไล่ยิงกันให้มันสุด ๆ ไปเลย... จากคุณ : พระรถ - [ 6 มิ.ย. 49 10:56:29 ]

ความคิดเห็นที่ 157 vote krab. จากคุณ : taicoon (taicoon) - [ 6 มิ.ย. 49 11:15:53 ]

ความคิดเห็นที่ 158 ขออนุญาต คุณ p (หนุ่มหย่าย!)   เจ้าของ คห. ที่ 143 ที่เนื้อหาน่าสนใจ แต่อ่านยาก นำมาจัดรูปแบบใหม่ให้อ่านได้ง่ายขึ้น ลองอ่านดูนะคะ.......... .................. อภิสิทธิ์ชน หลังเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อปี2475 ถึงแม้ในหลวงรัชกาลที่ ๗ จะมีพระราชดำรัสเรื่องการพระราชทานรัฐธรรมนูญว่า ”ยินดีมอบอำนาจของข้าพเจ้าให้กับประชาชนโดยทั่วไป แต่ไม่ประสงค์ที่จะมอบให้กับคนหมู่ใดหรือคณะใดเป็นการเฉพาะ” แต่อำนาจหรือความเป็นอภิสิทธิ์ชน ได้ตกมาอยู่กับคณะราษฎร์ฯที่ทำการเปลี่ยนแปลงการปกครอง มีการแย่งชิงอำนาจกันระหว่างผู้ก่อการเอง ระหว่างทหารกับฝ่ายพลเรือน แต่โดยส่วนใหญ่ฝ่ายทหารจะเป็นผู้ครองอำนาจ มีฝ่ายพลเรือนเข้ามาขัดบ้างเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่อำนาจที่แท้จริงก็ยังตกอยู่กับฝ่ายทหารอยู่ดี เพราะประเทศตกอยู่ภายใต้การปกครองในระบบปฎิวัติเป็นเวลานาน   ในสมัยที่ฝ่ายทหารมีอำนาจปกครองแผ่นดิน จึงเป็นอภิสิทธิ์ชนอย่างแท้จริง ตำแหน่งสำคัญต่างๆในบ้านเมืองจะมีทหารเข้าไปคุมไว้หมดสิ้น เจ้ากระทรวงต่างๆแทบจะเป็นทหารทั้งสิ้น แม้กระทั่งมหาดไทย  กรมตำรวจ  คมนาคม เกษตร อุตสาหกรรม   กรรมการและผู้บริหารรัฐวิสาหกิจ ต่างๆ ฯลฯ แม้กระทั่งตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยต่างๆ โดยมีนักการเมืองที่หนุนหลังฝ่ายทหาร ข้าราชการ และพ่อค้านายทุน เป็นอภิสิทธิ์ชนลำดับถัดมา   สมัยทหารเรืองอำนาจ   กลุ่มอภิสิทธิ์ชนเหล่านี้สามารถนำเฮลิคอปเตอร์ออกไปล่าสัตว์ในเขตป่าสงวนได้ จับจองพื้นที่ป่าสงวนได้ตามอัธยาศัย ทำธุระกิจผูกขาดต่างๆ และมีหุ้นลมอยู่ในบริษัทต่างๆมากมาย แม้กระทั่งอาชีพที่ผิดกฎหมายต่างๆ ก็จะมีอภิสิทธิ์ชนเหล่านี้ แทรกเป็นยาดำอยู่แทบทุกแห่ง   ตำแหน่งสำคัญต่างๆ ถ้าพอจะเอาทหารเข้าไปได้...จะได้รับการพิจารณาก่อน ส่วนที่ฝ่ายทหารไม่ต้องการแล้ว ก็จะตกถึงมือเหล่าข้าราชการลำดับถัดๆมา .......... จึงทำให้เกิดคอรัปชั่นกันอย่างแพร่หลาย มีการซื้อตำแหน่งกันเอง เล่นเส้นเล่นสาย และข้าราชการพนักงานรัฐวิสาหกิจวางตัวเองอยู่เหนือประชาชนตลอดมา แก้ไขเมื่อ 06 มิ.ย. 49 11:35:25 จากคุณ : นางสาวหมอนทอง - [ 6 มิ.ย. 49 11:25:52 ]

ความคิดเห็นที่ 159 ต่อค่ะ........... สภาวิชาชีพและชมรมต่างๆ ก็มักมีนักการเมือง ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่และเครือญาติ เข้าไปกุมอำนาจอยู่แทบทั้งสิ้น...เป็นอย่างนี้มาช้านาน สมัยรัฐบาล พลเอกชาติชาย   ได้จัดตั้งพ.ร.บ. สหภาพรัฐวิสาหกิจขึ้นมา ทำให้เกิดอภิสิทธิ์ชนกลุ่มใหม่ขึ้นมาอีก....... คือ กรรมการสหภาพรัฐวิสาหกิจ ขึ้นมาคานอำนาจกับฝ่ายบริหาร และอยู่กันมาได้เพราะแบ่งผลประโยชน์กันลงตัว โดยเอาผลประโยชน์ของรัฐวิสาหกิจในแต่ละแห่งมาแบ่งเฉลี่ยกัน แต่ประสิทธิภาพในการทำงานกลับแย่ลง (ภายหลังกลุ่มนี้ได้จับมือกับกลุ่ม NGO บางกลุ่ม ด้วยวัตถุประสงค์ที่ต่างกันแต่เป้าหมายการต่อสู้เดียวกัน คือการกดดันรัฐบาลเพื่อให้บรรลุสิ่งที่กลุ่มตัวเองต้องการ) จนกระทั่งเหตุการณ์ พฤษภาทมิฬ ........   สมัย พลเอก สุจินดา  อภิสิทธิ์ชนฝ่ายทหารได้ถอนตัวออกไป   พรรคประชาธิปัตย์ และชาติไทย เข้ามาเป็นรัฐบาลแทน และรับช่วงตัวแทนอำนาจและความเป็นอภิสิทธิ์ชนของกลุ่มต่างๆ   มาแทนฝ่ายทหาร......... และอยู่มาได้ เพราะได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มอภิสิทธิ์ชนฝ่ายต่างๆดังกล่าวมาแล้ว ภายหลังเกิดเหตุการณ์เศรษฐกิจล่มและลอยตัวค่าเงินบาท หลังจากพรรคประชาธิปัตย์เข้ามาบริหารได้ระยะหนึ่ง ไม่สามารถแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจได้ และพรรคไทยรักไทยได้ก่อกำเนิดขึ้น ได้เสนอนโยบายแนวใหม่ จนโดนใจประชาชน และได้รับความไว้วางใจให้เข้ามาจัดตั้งรัฐบาล ในช่วงสมัยแรกของไทยรักไทย ทำงานได้โดนใจประชาชนมาก และสามารถแก้ปัญหาของชาติได้มาก เฉลี่ยผลประโยชน์ตกถึงประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ (แม้ว่าอำนาจและความเป็นอภิสิทธิ์ชนจะยังอยู่ในกลุ่มของผู้สนับสนุนนายกทักษิณ แต่อำนาจและความเป็นอภิสิทธิ์ชนจากกลุ่มเดิมๆเริ่มเสื่อมถอยลง) จนกระทั่งได้รับความไว้วางใจจากประชาชนอย่างถล่มทลาย ให้เข้ามาบริหารประเทศอีกสมัยหนึ่ง......... ในสมัยที่สองหลังจากบริหารประเทศได้เกือบปี ได้เกิดกรณีขัดแย้งผลประโยชน์กับนายสนธิ ด้วยเรื่องธุระกิจส่วนตัวของนายสนธิ   จนกระทั่งนายสนธิได้จัดตั้งเวทีด่าหัวหน้ารัฐบาลทุกวันศุกร์ (ภายหลังได้แนวร่วมเพิ่มเติมอีก ๔ กลุ่ม ซึ่งมีวัตถุประสงค์ต่างกันแต่มีเป้าหมายแรกร่วมกัน คือต้องเอา นายกฯทักษิณออกไปก่อนเป็นเป้าหมายแรก) ระหว่างนั้นก็มี อีเมล์ฟอร์เวิดร์ กล่าวร้ายถึงหัวหน้ารัฐบาล จากผู้ที่เสียประโยชน์จากนโยบายไทยรักไทย ส่งไปตามที่ต่างๆอย่างสม่ำเสมอ มีนายเอกยุทธ อัญชัญบุตร ที่เคยหลอกต้มตุ๋นประชาชน และหลบหนีไปสร้างฐานะที่ประเทศอังกฤษ จนร่ำรวย กลับมาหาทางเป็นใหญ่ในประเทศไทยต่อ โดยคิดจะซื้อพรรคปชป.ด้วยเงินถึง 1000 ล้านบาท บังเอิญ เกิดกรณี ขายหุ้นบริษัท ชิน ฯของครอบครัวนายกฯ ให้กับกองทุน เทมาเซ็ก ของสิงคโปร์ ซึ่งได้ติดต่อกันไว้นานแล้วแต่เพิ่งมีผล เนื่องจากการที่นายกฯ และครอบครัวยังถือหุ้นอยู่ในบริษัทดังกล่าว ทำให้ฝ่ายค้านมีเรื่องกล่าวหาได้ไม่เว้นแต่ละวัน และการขายหุ้นออกไปจะทำให้นายกฯ ทักษิณ ตัวเบาขึ้น ที่จะบริหารจัดการเรื่องราวต่างๆของประเทศเกี่ยวกับกิจการสื่อสารของประเทศ ซึ่งมีปัญหาอยู่มากและจำเป็นต้องได้รับการพัฒนา ..... ไม่ว่าจะเรื่องการแปรรูป ทศท. กสท. และการคัดเลือกตัวคณะกรรมการ กสช. และ กทช. แต่เหมือนฝ่ายค้านจะรู้จึงไม่ยอมปล่อยประเด็นนี้ และพยายาม ทุกวิธี ที่จะเช็คบิลนายกฯ ทักษิณ ประกอบกับเรื่องของนายสนธิกำลังสุกงอม โดยได้รับการสนับสนุนจากฝ่าย ปชป.ทั้งทางลับ ทางแจ้ง แก้ไขเมื่อ 06 มิ.ย. 49 11:41:48 จากคุณ : นางสาวหมอนทอง - [ 6 มิ.ย. 49 11:28:48 ]

ความคิดเห็นที่ 160 ต่ออีกนิด........ ฝ่ายสหภาพรัฐวิสาหกิจ ที่ต่อสู้เรื่องการแปรรูป เพราะกระทบถึงประโยชน์ฝ่ายตน ฝ่าย NGO  ที่โดนรัฐบาลปรับลดงบประมาณลง เพราะไม่มีโครงการณ์ที่ดีพอ ฝ่ายสำนัก สันติอโศก ที่มีพลตรีจำลองเป็นแกนนำ ที่มีวัตถุประสงค์ที่จะปักหลักลัทธิโพธิรักษ์ลงมาเป็นคู่แข่งกับฝ่ายมหาเถรสมาคม   ฝ่ายอภิสิทธิ์ชน ดั้งเดิม ที่เริ่มจะศูนย์เสียอำนาจและความเป็นอภิสิทธิ์ชนที่เคยมี บวกกับ กลุ่มที่มีปัญหาต่อเนื่องจากเศรษฐกิจล่ม และกลุ่มพ่อค้า สินค้าเถื่อน หวยเถื่อน  และกลุ่มค้ายาบ้า บรรดาเจ้าพ่อเจ้าแม่ทั้งหลาย... ที่ได้รับผลกระทบจากการทำงานของ พรรคไทยรักไทย (แต่ละกลุ่มมีวัตถุประสงค์ต่างกันทั้งสิ้นและไม่น่ารวมกันได้ แต่เนื่องจากมีเป้าหมายร่วมกันคือต้องจัดการนายกทักษิณออกไปก่อน เป็นเป้าหมายแรกจึงรวมกันอย่างหลวมๆ) กลุ่มเหล่านี้ได้ถือโอกาสที่ ขบวนการของนายสนธิกำลังดำเนินอยู่ ช่วยกันโหมกระพือแรงต่อต้านนายกฯทักษิณ จนกระทั่งนายกฯ ทนกระแสต่อต้านไม่ได้ หลังเข้าพบพลเอก เปรม  รัฐบุรุษ   ในวันรุ่งขึ้นจึงได้ประกาศยุบสภาฯ และกำหนดวันเลือกตั้งใหม่ เป็นที่ผิดคาดของทางพรรคฝ่ายค้าน และกลุ่มต่อต้าน ที่ต้องการกดดันให้นายกฯลาออก จึงได้เป็นที่มาของการบอยคอตการเลือกตั้ง เพื่อกดดันให้คนชื่อทักษิณพ้นออกไปจากวงการเมืองไทยให้ได้ แต่ด้วยบารมีขององค์ในหลวงฯ ..เหตุการณ์จึงเริ่มคลี่คลายลง และเพื่อกู้หน้า และสร้างความชอบธรรมให้กับตัวเอง ทางซีกฝ่ายค้านร่วมจึงต้องหาทางกดดัน กกต.  ให้พ้นจากหน้าที่ต่อไปให้ได้ ตามที่ได้พยายามสร้างกระแสอยู่ในปัจจุบัน โดยมีกลุ่ม ม.๗ เป็นผู้สนับสนุนตลอดกาล คุณอภิสิทธิ์หัวหน้าพรรค ปชป. จึงนับเป็นตัวแทนฝ่ายอภิสิทธิ์ชนรุ่นเก่า  ได้สมชื่อ จริงๆ 'ชัยอนันต์ สมุทรวณิช   เป็นตัวตั้งตัวตีคนหนี่งในการยื่นถวายฎีกา เรื่อง ม.๗ มีธุระกิจร่วมกับนายสนธิ ลูกชายเป็นลูกจ้างนายสนธิ   และเป็นประธานกรรมการ กฟฝ. ชุดที่เสนอ พรฎ. อัปยศที่ศาลปกครองตีกลับ   เหมือนเป็นการวางยารัฐบาล เป็นหัวหอก คณะรัฐศาสตร์จุฬา จึงไม่น่าแปลกที่จะให้ความเห้น ไล่ ทักษิณ อุดมการณ์เดียวกับ นายสนธิ และนายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง จากคุณ : p (หนุ่มหย่าย!) แก้ไขเมื่อ 06 มิ.ย. 49 11:48:18 แก้ไขเมื่อ 06 มิ.ย. 49 11:31:36 จากคุณ : นางสาวหมอนทอง - [ 6 มิ.ย. 49 11:29:37 ]

ความคิดเห็นที่ 161 คห.151 ผม the square  เลือกไทยรักไทยครับ แต่ the squre เพื่อนผมเขาไม่ชอบครับ .. แต่อีกไม่นานครับ รับรองตาสว่าง จากคุณ : The Square - [ 6 มิ.ย. 49 11:33:31 ]

ความคิดเห็นที่ 162 ตามความเห็นของผมนะครับ คุณ นางสาวหมอนทอง ผมว่า ถ้าเป็นตาชั่ง..ก็เอี่ยงกันทั้ง 2 ข้างนั่นแหละครับ ฝ่ายคุณก็พยายามหาข้อมูลมาดิสเครดิตอีกฝ่าย และ อีกฝ่าย ก็หาข้อมูลมาดิสเครดิตด้านคุณ. ผลสรุป...ตายกันทั้ง 2 ฝ่าย เห็นใส้เห็นพุงกันหมด ปลาตายน้ำตื้นครับ จากคุณ : พระรถ - [ 6 มิ.ย. 49 11:41:21 ]

ความคิดเห็นที่ 163 ไม่ว่ากันค่ะ ขอให้พิจารณาด้วยเหตุและผล ด้วยข้อเท็จจริง ขอเพียงอย่าเชื่อเพราะฟังเขามา โปรดตัดสินด้วยวิจารณญาณ ทั้งหมดนี้เพื่อบ้านเมืองของเราค่ะ........ จากคุณ : นางสาวหมอนทอง - [ 6 มิ.ย. 49 11:46:16 ]

ความคิดเห็นที่ 164 ไม่เชื่อฝรั่ง    ไม่ใช่ไม่เก่ง ไม่เป็นกลาง  ไม่ใช่เขาพูดผิด  แต่เขาไม่สามารถลงไปลึกกว่านี้ถึงต้นตอ  และไม่เข้าใจทั้งหมด มันมีความลึกซึ้งกว่านั้นมาก ประเทศเขากับเราต่างกันเยอะ หากไม่เคยสัมผัสทุกอณูของทุกระบบ ทุกชนชั้น จะไม่รู้หรอก ความคิดก็อยู่บนพื้นฐานต่างกันมากเกินไป และที่ชาวต่างชาตินั้นมีหรือเปล่า (ทุกคนที่มีกล่าวอ้างในนี้รวมถึงที่นายกฯต้องไปชี้แจง?) คือความจริงใจ หวังดีต่อประเทศไทย ??? เพราเขาก็ต้องรักประเทศของเขาสิ ต้องฟัง แต่ไม่ควรใช้กล่าวอ้างให้งมงาย จากคุณ : ZtahC - [ 6 มิ.ย. 49 12:19:56 ]

ความคิดเห็นที่ 165 อ่านอีกรอบ เห็นหน้าคนเขียนเลย(สำนวนลายมือวิธีคิดแบบนี้ชัดเลย)5555 สบายดีหรือครับท่าน??? หลังจากอ่านอีกรอบตอบเป็นข้อๆเหมือนขีดกรอบให้ผมเดินตามอีกแล้วไม่เอาดีกว่า ตอนนี้จิตไม่นิ่งสมาธิไม่ดี ไว้มีเวลาจริงๆจะมาตอบ จริงก็อึดอัดแบบท่านเหมือนกัน?(แต่ไม่ใช่อึดอัดที่ไม่ได้ดังใจแบบนี้น่ะ ปล่อยไปก็อันตรายเหมือนกัน)   แต่ที่อึดอัดคือหลังจากอยู่ดีๆก็พากันเรื้อบ้าน พังลงมา ไม่มีเหตุมีผลรองรับที่ดีนอกไล่กัดไล่ตีกันกดดันกันจนบ้านพัง ฝนตกแดดเผาก็ให้ลูกให้หลานมันพากันแย่งเอาสังกะสีปกหัวไปพลางๆก่อนยิ่งตอนนี้หน้าฝนเสียด้วย มรสุมโลกก็ยิ่งกระหน่ำ ทั้งวิกฤตราคาน้ำมัน เศรษฐกิจโลกมีสิทธิเข้าสู่สภาวะคล้ายตอนฟองสบู่อีกรอบ แต่ทีมงานสร้างบ้านใหม่ เรา ทั้งวิศวกวน,สถาปนึก,นักวิชาเกิน ยังกางไม้บรรทัดคนล่ะมาตรา เถียงกันคอเป็นเอ็นไม่จบ? ตอนนี้เริ่มมีออกอาการเอาไม้ที(เขียนแบบบ้าน)แต่กับเป็นอาวุธเห็นเป็นไม้หน้าสามไล่ตีกัน  ปากกาที่มีไว้คิดไว้เขียนแบบก็เปลี่ยนมาเป็นที่จิ้มตากัน หมอนทองเอ้ยฯอย่าไปเท้าความไกลถึงยุคพระเจ้าเหาเลยลูก เอาใกล้ก่อน เราไม่มีบ้านอยู่น่ะลูกตอนนี้ ฝนตกห่าใหญ่คราวนั้น นู๋แย่งสังกะสีเขาปกหัวทันเขาเปล่า(มีข่าวว่าตายกันเกือบร้อย) มรสุมข้างหน้ามีอีกเยอะนู๋ ไอ้คุณเฮดบัดกับนางเฮดฟันนามสกุล"หัวแบะ"มันกำลังปั่นราคาน้ำมันมาขายแบบสายไหมอร่อยจัง กับนโยบายพลังงานแบบตำข้าวสารกรอกหม้อ  พ่อก็ด่าว่ามานานแล้วว่ามันไม่รอดไม่รอด กระสอบทรายหรือฝายแม้วป.ต.ทนั้นกับวิกฤตน้ำมันน้ำท่วมพันปีนั้น  มันเอาไม่อยู่หรอกลูก? พ่อเตือน มานาน ถึงท้าให้เอาแผนพลังงานไปเผาไฟทิ้งถ้าเขียนไม่ได้ดีกว่านี้พ่อจะเขียนให้ใหม่ ที่บังเอิญเสี่ยพุงกาง ป.ต.ทมันผูกขาดด้วยระบบทุนนิยมอย่างเสรีไว้ จนเอาจมูกทางพลังงานที่ไม่มีเป็นของตัวเองไว้หายใจเอาไปเช่าใกล้ชิดติดตูดกับระบบทุนนิยมอย่างเสรี  ให้เจ้าเฮดบัดกับนังเอดฟัน(หัวแบะ)มันตดใส่ นู่เอ้ยตดกลิ่นโรตีนักรักกับนังหร่าน(อีไม่สุภาพ)ผสมขนมปัง ดับเบิ้ลทูบูดไอ้คุณกัน กับราคาน้ำมันแบบนั้นเป็นไงลูก? พ่อบอกหลายครั้งแล้วว่า นโยบายความมั่นคงทางพลังงานนั้นอย่าตำข้าวสารกรอกหม้อ แถมเอาจมูกที่ไม่เป็นของตัวเองไปเช่าต่อกับเสียพุงกาง ทำการผูกขาดการจัดหาจัดซื้อพลังงานผ่านนายหน้าหลายต่อ พ่อเคยบอกว่าให้ต่อท่อตรงมาเลยแบบจีนนั้นเขาจมูกโตไม่พอหายใจเหมือนกัน เศรษฐกิจโตจมูกโตปากโตกว่าเราหลายเท่า เขาไม่เห็นลงไปดิ้นชักดิ้นชักงอ ตอนทุนนิยมมันตดใส่เขาใช้แค่อาวุธเก่าๆเตรียมโละเหมือนไม้จิ้มฟันใช้แล้ว แต่นังหร่าน ที่ใฝ่สูงจะเป็นผู้นำมุสลิมโลกต่อต้านตะวันตก ทำตัวเป็นจุดศูนย์กลางสงครามครูเสดยุคใหม่ เขาเห็นไม้จิ้มฟันจีนสำคัญกว่าเรือรบ เพราะมันยันเรือรบได้ถึงขนาดเอาไปแลกกับน้ำมัน เทียบเป็นราคาแบบไม่ต้องผ่านเฮดบัดกับเอดฟันหัวแบะถูกกว่าครึ่งต่อครึ่งถ้าคิดดีๆเหมือนได้ฟรีเพราะของโล๊ะ แถมนังหร่านดีใจเนื้อเต้นที่ได้ไม้จิ้มฟันเอาไว้ยันเรือรบตะวันตก เอ้าตอนนี้บ้านพังเสียด้วย แถมโดนเขาตดไส่อีก  นู๋มาเอายาดมยี่ห้อ"แม้ว(หน้าวอก)ถือลูกท้อ" ไปดมลูก เดี๋ยวเป็นลมเป็นแล้งไป แล้วช่วยเอาน้ำร้อนไปราด ดุ๊กดิ๊กกับนิกกี้ให้มันเลิกกัดกันหน่อยสิ รำคาญพ่อกำลังฟังเพลงหมาเห่าเพราะๆอยู่ ไม่รู้เป็นไรเปิดทีไรกัดกันทุกที??? จากคุณ : อะตอม (ขอชื่ออะตอม) - [ 6 มิ.ย. 49 13:17:31 ]

ความคิดเห็นที่ 166 โหวตค่ะ  ขอบคุณาสำหรับความพยายามนำสิ่งที่น่าสนใจมาให้อ่านกัน  จริงๆแล้วเมืองไทยเป็นประเทศที่ชาวต่างชาติเขาอยากจะมาอยู่กัน  เรามีทุกอย่างและหลายอย่างที่ต่างชาติเขาไม่มี  เรามีพระเจ้าแผ่นดินผู้ทรงทศพิธราชธรรมที่ประเสริฐที่สุดแล้วในโลก  เรามีทรัพยากรธรรมชาติที่สมบูรณ์  เรามีพระพุทธศาสนาที่ปักรากฝังลึกเจริญรุ่งเรืองมายาวนาน  ประชาชนคนไทยก็มีความรู้ความสามารถไม่ด้อยไปกว่าชาติใดในโลก  แต่ในขณะเดียวกันเราก็มีสิ่งที่เราไม่ควรมีด้วย ซึ่งมีอยู่ในตัวตนคนไทยมานานแล้ว  แต่เมื่อเรารู้ทันมัน เรามีสติและศีลธรรมควบคุมมัน  บ้านเมืองเราก็ร่มเย็น  เมื่อไหร่ที่มันควบคุมเรา บ้านเมืองก็เดือดร้อน    ความริษยา..ไงค่ะ  ถ้าสังเกตดูให้ดีจะเห็นตัวริษยานี้แทรกอยู่ในทุกความเดือดร้อน  ถ้าระดับดีกรีมันไม่มาก  ก็แค่หมั่นไส้  ถ้าดีกรีมันแรงก็ต้องไล่เข่นฆ่าอย่างที่เห็นนี้แหละ  เมื่อมีความริษยามาก สติปัญญาก็ถดถอย  เมื่อขาดสติก็ขาดปัญญา  ถูกจูงถูกลากได้ง่าย  ความเป็นสัตว์สังคมของมนุษย์ก็ทำให้ไม่กล้าแตกต่างจากคนอื่น  แล้วยิ่งจะให้พูดถึงการยืนหย้ดเพื่อความถูกต้องล่ะก็ ... ยาก..  ไหนๆก็ฟังฝรั่งวิจารณ์มาแล้ว  ขอคนไทยเสริมหน่อยแล้วกันนะคะ          ถ้าคนไทยใช้ปัญญากันมากขึ้น  พูดให้น้อยลง  ถอยตัวเองออกมาจากปัญหา  ก็จะเห็นอย่างที่ฝรั่งเขาพูด     ถ้าคนไทยใช้สติให้มากขึ้น พูดและฟังให้น้อยลงแล้วจะรู้ว่าความวุ่นวายทั้งหลายเกิดจากความริษยาในใจมนุษย์นั่นเอง จากคุณ : นางระจัน (นางระจัน) - [ 6 มิ.ย. 49 13:26:31 ]

ความคิดเห็นที่ 167 อ้อ  sprapant ไม่ใช่นักเขียนไม่ใช่นักวิชาเกินที่ไหนหรอกแค่นั่งทางในเขียนแค่นั้นเอง ยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ามันไหลไปได้ยังงัยแบบนั้น  มาอ่านเองบางทียังขำๆ ไอ้คุณบ้าที่ไหน?ใครเขียนภาษาเทพให้เราอ่านว่ะไม่รู้เรื่องเลยจริงไหม?คุณประชาชน(ใคร)??? จากคุณ : อะตอม (ขอชื่ออะตอม) - [ 6 มิ.ย. 49 13:28:44 ]

ความคิดเห็นที่ 168 คุณอะตอม คห. 167 ผมหรือคนอื่นๆ ไม่ได้พูดเล่นนะครับเรื่องคุณเขียนไม่รู้เรื่องนะครับ คุณอย่าเข้าใจผิดว่าเขาแกล้งประชดคุณ คือ ข้อเขียนคุณวกวน น่าเบื่อ ไม่รู้ว่าสื่ออะไร แล้วดันยาว คนอ่านอ่านไปสักสามสี่บรรทัดเขาก็รำคาญ คนอ่านวิจารณ์มามากคุณไม่ปรับปรุงตัวยังเขียนแบบเดิม ผมไม่รู้ว่าจะเรียกว่าอะไรดี แค่โดนวิจารณ์ว่า อ่านไม่รู้เรื่องครั้งเดียวก็น่าจะปรับปรุงตัวแล้ว ไม่ใช่รั้น เขาไม่ได้วิจารณ์ ความคิดคุณนะครับ เขาวิจารณ์ว่าคุณเขียนแล้วอ่านไม่รู้เรื่อง คุณควรจะเข้าใจตั้งแต่กระทู้ก่อนๆ แล้ว ไม่ใช้ยังจะเชื่อว่า เขาแกล้งวิจารณ์ประชดคุณอีก จากคุณ : ประชาชน(ไทย) - [ 6 มิ.ย. 49 15:13:14 ]

ความคิดเห็นที่ 169 ความคิดเห็นที่ 110 ของคุณอะตอมนี่ผมเห็นด้วยนะ เพราะความจริงข้อความมันเหล่านี้ ก็คุ้นตา มันก็เคย วน ๆ เวียน ๆ อยู่ในราชดำเนินมานานแล้ว อย่างบอกได้ว่าตรงกันเลย ส่วนระบบจ้องทำลายความน่าเชื่อถือนี่ ไม่ค่อยจะโสภาเท่าไหร่  ถึงเขาจะเขียนแล้วอ่านไม่รู้เรื่องก็ควรให้เกียรติกันด้วยดีวิจารณ์ในทางสร้างสรรค์ แต่คนก็มีหลายแบบนะ  แต่ก็ไม่อยากเห็นบรรยากาศตอบโต้แบบพรรคการเมืองที่เห็นตามข่าวเลย เอือม จากคุณ : ZtahC - [ 6 มิ.ย. 49 15:28:11 ]

ความคิดเห็นที่ 170 ไม่เป็นไรกับเจตนาที่จะไม่รู้เรื่องครับ? ก็ไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องผมเขียนให้ผมและคนรู้เรื่องอ่าน? แล้วจะมาตอบกระทู้เกี่ยวกับเนื้อหากระทู้ เพราะถ้าผมเขียนเอาแบบรู้เรื่องธรรมดาก็คงไม่ต้องใช้สมาธิเขียนเดี๋ยวมาจริง ๆกำลัง แชตร้อนๆอยู่??? จากคุณ : อะตอม (ขอชื่ออะตอม) - [ 6 มิ.ย. 49 16:00:12 ]

ความคิดเห็นที่ 171 ใช่เลย... สังคมไทยแท้จริงที่ผ่านมา คือ ประชาธิปไตยเพื่อสังคมศักดินา โดยพวกนายทุนค้าขายผูกขาดภายใต้กฏหมายรัฐคุ้มครอง ชั้นชนข้าราชการที่กําหนดความเป็นไปของประเทศโดยขาดวิสัยทัศน์ และ กลุ่มปัญญาชนที่ปกป้องความเป็นลัทธิแห่งตน.. .... จุดนี้คือจุดเปลี่ยนที่สําคัญ ประเทศเราจะทะยานไปข้างหน้า หรือ กลับไปสู่หลังปี 40 จากคุณ : skew - [ 6 มิ.ย. 49 16:22:35 ]

ความคิดเห็นที่ 172 สื่อถูกแทรกแซง..ไม่เคยเห็นสื่อคนไหนติดคุกซักที เห็นแต่ด่าเค้าฟรีไปทั่ว จากคุณ : osap - [ 6 มิ.ย. 49 16:57:15 ]

ความคิดเห็นที่ 173 โหวตให้ครับ แต่ขอยืนยันว่าชนชั้นกลางรวมถึงอาจารย์มหาวิทยาลัยที่ไม่เห็นด้วยกับกลุ่มพันธมิตรฯ อาจารย์มหาวิทยาลัยบางส่วน มาร์ค ม.7และ ป.ช.ป. เพียงแต่คนกลุ่มนี้เป็นพลังเงียบ ไม่ได้ออกมาแสดงพลังอะไร แต่ก็ไม่แน่เหมือนกันนะ หากวันไหนหมดความอดทน แล้วรวมตัวกันออกมาแสดงพลังบ้าง วันนั้น กลุ่มไอ้สนธิกับไอ้มาร์ค ม.7 อาจจะไม่มีแผ่นดินจะอยู่ก็ได้นะจะบอกให้ จากคุณ : สว่างอารมณ์ - [ 6 มิ.ย. 49 17:13:45 ]

ความคิดเห็นที่ 174 คิดเห็น เช่นเดียวกัน ฉนั้น Vote................................... จากคุณ : โตโต้ (somsak_c) - [ 6 มิ.ย. 49 17:27:26 ]

ความคิดเห็นที่ 175 เหตุผลมันทำให้หน้าเชื่อถือได้  แต่จะเป็นจริงนั้นมันอีกเรื่องหนึ่งครับ  ต่างฝ่ายมีเหตุผลกันทั้งนั้น  ถ้าทุกคนรักประเทศจริงป่านนี้เราคงมีเหตุผลที่จะแย้งว่าประเทศไทยนั้นมีปัญหา สงครามไม่มีผู้ชนะที่แท้จริง  คุณหรืผมก็อยู่ในองค์เดี่ยวกันทั้งนั้นอย่าเอาเปรียบกันเลยครับ   อย่างไรๆก็ยังคงเป็นเพียง"การมองไทย"  ปราชญแนวสัจจะนิยมกล่าวว่าคนธรรมดามักเชื่อในสิ่งที่ตาเห็น และโลกนี้จะมีอะไรนอกจากคนธรรมดา   ผมก็มีเหตุผล อาจไม่น่าเชื่อถือมันก็เป็นเหตุผลเหมือนกัน แต่ความจริงคือ?????????????ทท จากคุณ : ไม่รู้อะไร (bus-makong) - [ 6 มิ.ย. 49 17:45:22 ]

ความคิดเห็นที่ 176 ถูกใจมากครับ..นางสาวหมอนทอง ชื่อยังเป็นผลไม้ที่คลั่งไคล้อีก เยี่ยมยอด จากคุณ : ตา..แน่นอน (ตาสาน) - [ 6 มิ.ย. 49 19:45:35 ]

ความคิดเห็นที่ 177 Vote ครับ  ตีแผ่พวกเหลือบที่เกาะกินกันทุกวงการ  พวกนี้คิดถึงตัวเองมากกว่าส่วนรวม จากคุณ : คลื่นในสายลม (คลื่นในสายลม) - [ 6 มิ.ย. 49 19:48:46 ]

ความคิดเห็นที่ 178 อ่านของคุณอะตอมแล้ว  ก็ยังไม่รู้เรื่องอยู่ดี   การยกตัวอย่างเปรียบเทียบ แทนที่จะทำให้เข้าใจง่าย  กลับทำให้ต้องคิดต่อไปอีกว่า ต้องการจะ สื่ออะไร  ประเด็นไหน  แล้วก็จบลงตรงที่เลิกดีกว่า  ถ้าต้อการจะสื่อ ให้เฉพาะคนที่รู้เรื่องอ่าน  ก็ไปส่ง e-mal ให้อ่านกันเป็นส่วนตัวก็แล้วกัน จากคุณ : sao..เหลือ..noi - [ 6 มิ.ย. 49 20:44:10 ]

ความคิดเห็นที่ 179 ครับตอนนี้พอมีเวลาคุยเกี่ยวกับประเด็นของกระทู้แล้วครับ(แต่ในห้องเน็ตคาเฟ่น่ะเพราะอยู่นอกบ้านเสียงดังเหมือนกันสมาธิหลุดไม่รู้จะเขียนออกมาแบบไหน)? ขอไม่แยกข้อตอบแล้วกัน เพราะแต่ล่ะข้อนั้นชี้นำไปในทางความคิดของตัวเองเกินไป ถ้าตามไปอย่างนั้นเราอาจจะหลงไปไกลกลับเขาบ้างเหมือนกัน ผมเห็นว่าประชาธิปไตยจริงๆนั้นคือประชาธิปไตยที่มีจิตวิญญาน  ที่มันจะสะท้อนตัวตนของเราได้ดีที่สุด  แต่ถ้าเรามองประชาธิปไตยไทย ตามแบบของกระทู้นั้นคือ  ประชาธิปไตย เชิงปริมาณเชิงรูปร่างรูปแบบ หรือประชาธิปไตยเชิงตำราหรือประชาธิปไตยลอกคนอื่นมา มันจึงไม่ได้สะท้อนตัวตน ที่มาจากจิตวิญานที่เป็นพื้นฐานจริงๆของคนไทย ดังนั้นเมื่อเราให้ความสำคัญต่อคำว่าประชาธิปไตย เชิงรูปร่างหน้าตา ปัญหาเชิงโครงสร้างของประชาธิปไตยเราจึงเกิด จนสะท้อนเกี่ยวเนื่องไปถึงเชิงพฤติกรรมความคาดหวังจนถึงความเข้าใจที่ถูกต้องต่อกระบวนการทางประชาธิปไตย สิ่งที่สะท้อนว่าเราตอบโจทย์ประชาธิปไตยเชิงรูปร่างโครงสร้างหน้าตา นั้นคือการให้ความสำคัญกับตัวรัฐธรรมนูญ หรือกติกา การแต่งหน้าทาปากให้ประชาธิปไตย  แต่ไม่ได้เน้นหรือมองลงไปลึกถึงจิตใจหรือจิตสำนึกของประชาธิปไตยหรือเข้าใจกระบวนการทางประชาธิปไตยที่จะตอบสนองตัวตนจริงๆของคำว่าประเทศไทย เมื่อเราเน้นเรื่องรูปร่างหน้าตา เราก็จะทำการผ่าตัดเสริมความงามให้กับหน้าตาหรือรูปร่างของเราบ่อย (สังเกตุรัฐธรรมนูญเราสิกี่แผลปะผุแล้ว) ถ้าเป็นคนก็ประมาณไมเคิ้ล แจ็คสัน??? นั้นคือสะท้อนว่าเรากำลังหาตัวตนต่อการตอบโจทย์ประชาธิปไตยยังไม่เจอประชาธิปไตยไทยเราจึงถูกอำนาจนิยม เข้าไปสิง แบบร่างทรง ตั้งแต่อำนาจเก่า ที่จะรักษาสถานภาพการดำรงอยู่ของตัวเองทั้งต่างตอบแทนกันจนถึงช่วงชิงเยื้อแย่ง ความเป็นผู้กำหนดความเป็นผู้ปกครองไปยังผู้ถูกปกครอง(ประชาชนเจ้าของอำนาจที่แท้จริง) ประชาธิปไตยไทยยุคแรกๆจึงเป็นแบบผู้ปกครองแบบเผด็จการทหารซึ่งมีทั้งคานและต่างตอบแทนกับกับอำนาจเก่า ถ้าเมื่อไหร่ สองอำนาจนี้อยู่ในขั่วต่างตอบแทนกันก็จะคือความสงบชั่วคราวแต่ถ้าวันไหน อำนาจทหารคิดอยากแยกขั่วด้วยความมักใหญ่ใฝ่สูงก็จะมีการประกวดกระบอกปืนกันระหว่างรุ่นกันก็คือเมื่อนั้นล่ะ??? การจำกัดกันทางการเมืองเพื่อคงสถาน่ะภาพการดำรงอยู่ของอำนาจและความเป็นผู้ปกครองเกมการจำกัดคู่แข่งจึงมีทั้งกำลังทหารและการใส่ร้ายป้ายสีกัน เพื่อจำกัดกันทางอำนาจและการเมืองจนเกิดตำนานซีรีอมตะนิรันดร์กาล เรื่องเด็ดนั้นคือ """ปอปสยามกับต้นมะขามสนามหลวง""" พระเอกดังรุ่นคลาสสิกที่สุดรุ่นแรกๆก็คือมีดี(ปรีดี)ไม่มีที่อยู่ แต่เมื่อถูกกระทำภายใต้เงื่อนไขปัจจัยความระแวงหลายเรื่องยุคสงครามเย็นส่วนหนึ่งกลัวคอมฯมาก จนสร้างภาพให้น่ากลัวเกินจริง จากผู้ที่กลัวสูญเสียอำนาจจากฐานอำนาจเก่า จนเกิดกรณีขวาพิฆาตซ้ายที่ค่อนข้างรุนแรงเกินเหตุที่มีเงื่อนไขปัจจัยมาจาก การสร้างภาพที่เกินจริงเข้ามาบิดเบือนอีกฝ่ายเพภื่อแย่งชิงมวลชน เกินจริง ด้วยความระแวงจนสุดท้ายซ้ายก็ตกขอบไปตามแรงส่งแรงกดดันหนีเข้าป่าหรืออยู่เมืองไทยไม่ได้??? แต่อำนาจตามระบอบประชาธิปไตยจริงๆจึงถูกเช้งกันไปกันมาตามขนาดปลายกระบอกปืนของแต่ล่ะรุ่นจนเข้าสู่ยุคพฤษาภาทมิฬ อำนาจทหาร สร้างวิกฤตที่รุนแรงจนสังคมเริ่มรับไม่ได้ ความชอบธรรมของอำนาจเผด็จการทหารจึงถูกลดบทบาทลงไปเป็นความล้าสมัยและอันตรายต่อระบอบประชาธิปไตยยุคใหม่ จนทำให้อำนาจนักเลือกตั้งจากกลุ่มทุนและฐานอำนาจเก่ากลุ่มทุนเก่าจึงเข้ามาแทนที่แต่เมื่อความล้มเหลวในระบบรัฐสภาไทย ที่ขาดเสถียรภาพในยุคแรกๆ จึงเป็นเหตุแห่งการผ่าตัดรัฐธรรมนูญใหม่ ที่ออกแบบไว้ให้อำนาจการบริหารมีเสถียรภาพมากขึ้น จนทำให้กลุ่มทุนใหม่ได้ใช้โอกาสตรงนั้นแทรกเข้ามา ตอบโจทย์นั้น ซึ่งในระยะออกตัวสตาร์ทถือเป็นความหวังในการคิดใหม่ทำใหม่  ความมุ่งมั่นรวดเร็วฉับไวเหมือนเข้ามาเติมเต็มระบบราชการที่ที่เชื่องช้าอุ้ยอ้าย เกินเหตุและความไม่เอาไหนทของระบบรัฐสภาที่ไม่มีเสถียรภาพของไทยขณะนั้น อีกทั้งข้าราชการเชื่อช้าอุ้ยอ้ายเพราะมีรอยต่อมาจากระบบเจ้าขุนมูลนายเดิม โครงสร้างเดิมที่มีมานานแล้วจึงอุ้ยอ้ายใหญ่โตมาจากรอยต่อเดิม  ที่มีแนวคิดหลักคิดว่าตัวเองเป็นข้าราชการคือนักปกครอง ไม่ใช่ข้าราชประชาชน หรือผู้รับหรือผู้รับมอบอำนาจทำงานแทนหรือบริการประชาชน และปัญหาเชิงโครงสร้างของการเมืองภาคประชาชนก็มีปัญหา ที่มีโครงสร้างเป็นรูปร่างทรงปิรามิด ที่มีฐานคือรากหญ้า ขึ้นไปหาชนชั้นกลางจนถึงบนสุดยอดปิรามิด  นั้นมีรอยต่อความเหลือมล้ำ ในความเข้าใจ ต่อทั้งความคาดหวังและความเข้าใจในกระบวนการทางประชาธิปไตยต่างกัน โดยรากหญ้าคาดหวังหรือเข้าใจในกระบวนการทางประชาธิปไตยแบบนักปกครอง หรือผู้ถูกปกครองเคยชินกับระบอบสมบูรณ์เดิม นั้นคือรัฐต้องเป็นผู้ให้ผู้ปกครองเพราะมีรอยต่อมาจากการปกครองเดิมหรือระบบเจ้าขุนมูลนาย รวมทั้งระบบข้าราชการไทยก็มีหลักคิดจนถึงพฤติกรรมติดยึดกับเรื่องแบบนี้ จึงตอบสนองต่อการปฎิบัติการไปยังประชาชนที่เชื่องช้าหรือไม่ได้ตอบสนองหรือตอบโจทย์การให้บริการต่อประชาชนตาในหลักคิดปรัชญาหลักของประชาธิปไตยที่ถูกต้อง  นั้นคือข้าราชการทำตัวเป็นนักปกครองเสียเอง  ประชาชนระดับรากหญ้าจึงถูกล็อกไว้สองชั้น ชั้นที่หนึ่งก็คือคือระบบราชการที่ตอบสนองวิธีคิดแบบนักปกครอง ซึ่งก็เข้าล็อกพอดีกับการตอบโจทย์ของนโยบายทักษิณ  ที่เน้นตอบโจทย์หลักคือ นักปกครอง รากหญ้าคือผู้กุมฐานเสียงขนาดใหญ่ผู้กำหนดความเป็นรัฐบาล จึงใช้วิธีการแบบนักปกครองผ่าน CEO และผ่านนโยบายประชานิยม เพื่อกุมยุทธศาสตร์ของฐานเสียง ฐานคะแนนขนาดใหญ่ ต่างตอบแทนกับวิธีคาดหวังต่อกระบวนการทางประชาธิปไตย  แบบผู้ปกครองต้องคือผู้ให้ไม่ใช่ประชาชนเป็นคนมอบอำนาจและสะท้อนผ่านความต้องการผ่านใบมอบอำนาจ ไปยังรัฐบาลที่จะต้องตอบสนองการเป็นตัวแทนตามนั้น นั้นคือรอยต่อความเหลื่อมล้ำที่สำคัญของการเมืองภาคประชาชนที่อ่อนแอ นโยบายทักษิณจึงอาศัยจุดอ่อนส่วนนั้นในการทำลาย ผ่านอุปสรรคที่มีเงื่อนไขเยอะเกินไปจากยอดปริามิด นั้นคือปัญญาชนผู้ที่ยึดปรัชญาหลักของประชาธิปไตยจริงๆ เข้าไปกุมฐานเสียงรากหญ้า เหมือนการยิงตรงแต่โค้งโปรเจคไตล์ ข้ามหัวนักวิชาการ ชนชั้นกลางส่วนหนึ่ง  แต่ยังกุมชนชั้นกลาง ที่เป็นกลุ่มทุนเดียวกันหรือฐานเสียงของพรรค ยิ่งการเมืองภาคประชาชนอ่อนแอเท่าไหร่  การเข้าไปควบคุมทุกภาคส่วนนั้นยิ่งทำได้ง่ายประกอบกับรัฐธรรมนูญชุดนี้ชงไว้ให้ ดังนั้นจึงสะท้อนว่าทำไมนโยบายทักษิณจึงมีนักวิชาการ หรือกลุ่มปัญญาชนต่อต้าน หรือเป็นไม้เบื่อไม้เมากัน  เพราะเป้าหมายของทักษิณนั้นสำคัญกว่าวิธีการจึงพยายามข้ามเงื่อนไขที่เป็นอุปสรรคนี้ไป ยังเป้าหมายแบบนั้น เป็นเผด็จการแบบเบล็ดเสร็จแนวใหม่เป็นศรีธนญชัยยุคโลกาภิวัฒน์ จึงมองได้หลายอย่างว่า ถ้าเจตนาแบบนั้นเป็นเจตนาของผู้มีคุณธรรมระบบตรวจสอบทำงานได้ปกติโปร่งไส บ้านเมืองเราก็จะไปได้เร็วมาก ด้วยภาวะผู้นำตรงนั้น  และทักษิณ ตอบโจทย์ ความคาดหวังของคนส่วนใหญ่ได้ดีตรงที่เมืองไทยต้องมีผู้นำที่มีภาวะผู้นำจริงๆ เพราะพื้นฐานหรือฐานปิรามิดเราแนวคิดยังไม่เป็นประชาธิปไตยที่ถูกต้องรับผิดชอบตัวเองได้แบบต้นฉบับเขาเท่าไหร่ ถ้าจะไปหลักการฝรั่งจ๋า แต่จริงๆคือคนไทยหัวแดงที่ติดยึดหรือระบบราชการที่อุ้ยอ้ายมาคอยถ่วงแบบที่ชวนเคยทำมาแบบนั้นก็เละวนไม่ไปไหน? แต่ความสุ่มเสียงของเจตนาตาม"ทฤษฎีต้มกบ"นี้สูงและอันตรายมากกว่า ถ้าขาดการดุลภาพที่ดีโดยเฉพาะจากการเมืองภาคประชาชน และภาคการตรวจสอบ  แต่เมื่อความเป็นจริงแล้วมามองตัวช่วยส่วนนี้ กลับเป็นอัมพาตหมด เพราะทฤษฎีต้มกบเริ่มเข้าสู่ระยะน้ำร้อนขึ้นแล้ว แขนขากลไกตรวจสอบอื่นๆเริ่มชา นอร์มีนี่เริ่มโผล่ตอเริ่มผุด ซากช้างการคอรัปชั่นเชิงนโยบายเริ่มขึ้นอืด ในขณะที่เรากลับมามองหา ขบวนการจัดการกำจัดของเสียในระบบกับเป็นอัมพาตหมด ดุลภาพในระบบจึงงวดเข้าสู่การควบคุมเชิงปริมาณ และทุนนิยมหรือกลุ่มทุน  เป็นผู้กำหนดทิศทาง บ้านเมือง ประชาชนรากหญ้าถูกตอบสนองด้วยระบบทุนจากภาษีประชาชนในแบบอัถยายกลับมาอัดตายาย  นั้นคือเป็นการจัดระบบนิเวสน์รวมเข้าสู่ระบบทุนนิยมนักล่าแบบสุดขั่ว ขาดการตอบสนองกับพื้นฐานหรือตัวตนจริงๆของรากหญ้า โดยใช้ระบบทุนนิยมสุดขั่วเข้าไปเป็นตัวเร่งในระบบเกินไป แม้จะเจตนาเพื่อฐานเสียงและตอบโจทย์ความคาดหวังหลักๆคือรากหญ็ต้องการมีผูปกครองแบบนั้น  แต่แบบนั้นกลับทำลายความหลากหลายทางพันธุกรรมความต่างหรือวิธีชีวิตดั่งเดิม คืออาจจะถูกออกแบบเข้าสู่ระบบนักล่าทุนนิยมจนเกินไปขาดความหลากหลายในวิธีการจัดระบบนิเวสน์เพราะเจตนารวมศูนย์ จริงระบอบประชานิยมนี้ตอบโจทย์ความคาดหวังของกลุ่มเป้าหมายเกือบถูกนี้ ถ้าไม่เจตนารวมศูนย์เกินไป เพราะผู้ออกแบบเจตนาแบบการตลาด จึงต้องหวังผลแบบการตลาด ประชาชนแทนที่จะรับไปส่วนใหญ่ตามที่ควรจะเป็นแต่จริงๆแล้วกลับเป็นเป้าหมายในทางการตลาดของผู้ออกแบบรับผลไปเต็มๆ นั้นคืออันตรายต่อดุลยภาพในระบบ ถ้าเจตนาคือผลประโยชน์ทับซ้อนตามทฤษฎีต้มกบ ความสุ่มเสียงของสังคมจึงขึ้นอยู่กับเจตนาแบบนั้น ตอนนี้สัญญานบอกเหตุแบบนั้นเริ่มชัดน้ำเริ่มร้อนขึ้นตามทฤษฎีต้มกบ เขาเป็นแบบนั้นชัดเจนไหม? ตอนนี้เขายังตั้งคำถามหาความชอบธรรมว่า เอาหลักฐานมาเอาผิดให้ได้ตามกระบวนการตามกติการะบอบประชาธิปไตยก่อนสิ ค่อยมาพิพากษาเขานั้นคือร้องหากติกาโดยที่พยายามทำให้กติกาเป็นอัมพาต แต่ดูเจตนาหลายอย่างที่จะให้กระบวนการตรวจสอบตามคำท้านั้นทำงาน ก็ทำการหนีจนที่สุดคือวิกฤตที่สุดในโลก ความไม่ชัดเจนตามข้ออ้างก็ยังเป็นความไม่ชัดเจนตามข้ออ้างอยู่ เพื่อเจตนาหาความชอบธรรมจากกติกา ที่ร่วมกันสร้างมาตามเจตนาให้หน้าตามันสวย แต่คนใช้ประชาธิปไตยนั้นกับมองมันแค่เป็นเครื่องมือตอบสนองความต้องการในเป้าหมายส่วนตัว เกินไปประชาธิปไตยเราจึงมีแต่รูปร่างที่ป่วยหนักนอนซมเคลื่อนไหวไม่ได้ ความคิดจิตวิญญานตอนนี้จึงมีแต่ต้องการให้ตัวเองหายป่วย ให้มันเดินเป็นปกติได้เท่านั้น แต่กับมีคนพยายามเข็นประชาธิปไตยที่กำลังป่วย เพื่อตอบสนองความต้องการของตัวเองหรือฉวยจังหว่ะความได้เปรียบจากคนป่วยนั้นเพื่อชิงไหวชิงพริบเป็นความได้เปรียบรอบต่อไปเมื่อหายป่วย ผมจึงเป็นห่วงว่าเดี๋ยวประชาธิปไตยเราจะตายก่อนได้เข็นมาเล่นซนกันรอบใหม่ ล้างไพ่แล้วรีสตารท์กันใหม่ส่ะคิดใหม่ทำใหม่รอบต่อไปของเป็นประชาธิปไตยที่มีจิตวิญญานเพื่อสร้างปริมาณมวลรวมความสุขความพอใจ บนความ"พอดี"กับ GDPของความหลากหลายทางพันธุกรรมความต่างนั้นคือจัดระบบนิเวสน์รอบใหม่ให้"สมดุล"หรือดุลภาพที่ยั่งยืนของสังคม??? จากคุณ : อะตอม (ขอชื่ออะตอม) - [ 6 มิ.ย. 49 20:47:46 ]

ความคิดเห็นที่ 180 พยายามอ่าน  จนพอจะเข้าใจแล้วเชียว  มาตกม้าตายตอน 3 บรรทัดสุด ท้าย  คุณต้องการจะสื่ออะไร... จากคุณ : sao..เหลือ..noi - [ 6 มิ.ย. 49 21:04:59 ]

ความคิดเห็นที่ 181 ครับคุณsao..เหลือ..noi ครับ ผมกำลังจะพูดถึงปรัชญาเศรษฐกิจ"พอดี" หรือสมดุลครับ เพื่อทำความเข้าใจกับการอ้างความเป็นอยู่แบบพอเพียงหรือเศรษฐกิจพอเพียงแบบผิดๆ เพราะต้นฉบับในการนำมาเป็นพรวิเศษไปยังลูกหลานพระองค์ท่านตอนวิกฤตตอนนั้นคือชัดเจนถูกต้องมาก ช่วงนั้นคือการที่เราวิ่งหนีตัวตนของตังเองด้วยเจตนาวิ่งตามก้นระบบการผูกขาดด้วยทุนนิยมอย่างเสรี หรือใช้กิเลสความไม่พอวิ่งตามหาเส้นสุดขอบฟ้าอยู่นั้นจนเราเจอวิกฤต เพราะเมืองไทยเราภูมิคุ้มกันภัยเราบกพร่องตรงนี้ พระองค์ท่านจึงประทานปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อให้สติให้เราหาตัวเองให้เจอ? "สมถะ" พอเพียง จึงเป็นปรัชญาเศรษฐกิจระดับปัจเจก หรือญานลำเล็กนั้นคือการพิจารณาเพิ่อค้นหาตัวตนของเราเอง เพื่อปรับฐานตรงนั้นจากความเป็นตัวตนของเราตรงนั้น การที่เราต้อง"สมถะ"(พอเพียง)เท่านั้นในช่วงเวลาวิกฤตตอนนั้นนั้นจึงจะค้นหาตัวตนของเราเจอ เมื่อเราเจอตรงนั้น แล้ว ที่จะเป็นฐานที่มาจากเสกลระดับปัจเจก เพื่อปรับฐานตรงนั้นให้เป็นความยั่งยืน ส่งต่อไปยังเสกลระดับพหุฯ หรือสังคมรวม  ที่เป็นการรวมความต่างในเสกลที่ใหญ่ๆออกไป  สู่ยานลำใหญ่ นั้นคือ""ประชาธิปไตย"" ดังนั้นการบริหารจัดการกับความต่างจึงต้องจัดระเบียบเป็นความยั่งยืนจากเสกลระดับปัจเจก ที่ความพอเพียงให้ได้ก่อน เพื่อลดปัญหาการเบียดเบียนในการรวมความต่างคราวล่ะมากๆ  ถ้าไม่ลดกิเลสคือความพอเพียง  ปัญหาการเบียนเบียนกันเพื่อแย่งทรัพยากร ในการรวมความต่างมันก็จะมากตามปริมารอัตตาและกิเลส ที่ทุกคนก็อยากได้ ไขว่คว้า หรือวิ่งตามทุนนิยมสุดขั่วเกินไป เพื่อเป็นการบริหารจัดการกับความต่างภายใต้ปรัชญาเรือเล็ก(ระดับปัจเจกตัวตนหนึ่งอัตตา) สมถะพอเพียง เพื่อลงเรือลำใหญ่(ประชาธิปไตย)ร่วมกัน  บนความ"พอดี"หรือ(สมดุล)ตามหลักมัชฉิมาทางในธรรมชาติการรวมความต่างหรือการจัดระบบนิเวสน์  ที่ยึดหลักมัชฉิมาทางกับธรรมชาติ นั้นคือเป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน จนมองเห็นเหตุปัจจัยเงื่อนไขของการรวมความต่างตามหลักปฎิจจสมุปฯ ดังนั้นความยั่งยืนของการอยู่รวมกันในรอบแบบการเกิด หรือการสร้างนั้นคือ"สมดุล" พอดี ในระบบ ไม่มากไม่น้อยไม่สุดโต่งลงทางแคบ นั้นคือหลัก"มัชฉมาทาง" ที่ถูกต้อง ดังนั้น"สมถะ"(พอเพียง) จึงเป็นหนึ่งในนั้นกับ"สมดุล"(พอดี )ที่เกี่ยงโยงถึงกันอย่างมีดุลยภาพตามขนาดและเสกลของการกล่าวถึงเพราะทุกหนึ่งคือในนั้น(อตัมสกสูตร) สังคมดีจึงต้องเริ่มจากแต่ล่ะคนที่เป็นเสกลระดับปัจเจกมีจิตใจดี ไม่ละโมบโลภมาก มีความสมถะพอเพียงในตัวเอง เพื่อลดปัญหาการเบียดเบียนกัน ที่มาจากการต้องการไม่สิ้นสุดเลยต้องวิ่งตามทุนนิยมสุดขั่วที่ใช่การกระตุ้นต่อมไม่พอ ไม่สิ้นสุดตามแนวคิดตะวันตก ที่ยึดติดกับความยิ่งใหญ่ไม่สิ้นสุด อินฟินิตี้ความเป็นนิรันดร์ นั้นคือการวิ่งตามแรงกระตุ้นสุดขอบฟ้าของทุนนิยมสุดขั่ว ก็คืออันเดียวกันกับทุนนิยมที่มากระตุ้นต่อมไม่พอหรือกิเลสมนุษย์ ให้วิ่งตามหาสิ้นสุดขอบฟ้า มันไม่มีหรอก เพราะที่สุดคืออนัตตา(การเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไปของทุกสรรพสิ่ง)  เป็นสัจจธรรมที่เป็นจริงตั้งแต่ระดับเล็กกว่าอะตอมจนถึงจักรวาล  เพราะปรัชญาตะวันตกติดยึดกับความเป็นที่สุด ทุกวันนี้ปรัชญาตะวันตกหรือโลกวิทย์ฯ แม้แต่แนวคิด ไอนสไตน์จนถึง แว่น ฮอร์คกิ้นจึงตามหาที่สุดหรือจุดกำเนิดจังวาลไม่เจอ? ติดอยู่ที่ตรงนั้นที่ระยะก่อนมวลวิกฤต(ซิงคิวฯ) และหลังตรงนั้นคืออะไร? อนัตตาครับ??? นั้นคือการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ดับไปของสรรพสิ่งที่เป็นสะสารเปลี่ยนมาเป็นพลังงานตามสมการนี้คือ E=mc^2 การเกิดขึ้นดับไป หรือหมุนรอบต่อไปของมวลสารและพลังงานตามวงกลมวัฎฯหรือกฎไตรลักษณ์(อนิจจัง,ทุกขัง,อนัตตา)??? จากคุณ : อะตอม (ขอชื่ออะตอม) - [ 6 มิ.ย. 49 22:15:34 ]

ความคิดเห็นที่ 184 หลักเศรษฐกิจแบบ"พอดี"(สมดุล)นี้ผมเคยพูดและเขียนไว้ในนี้(และที่อื่น) เมื่อ ประมาณ6-7ปีที่แล้วหรือมากกว่านั้นในที่อื่นน่ะ ไม่ได้เอาของใครมาพูดเดี๋ยวจะหาว่าผมไปลอกใครมาพูด และรวมถึง อนัตตากับการหาความลับของจุดกำเนิดสิ้นสุดจักรวาล ผมแน่ใจว่าผมคือต้นฉบับถ้าใครมีต้นกว่าต้นฉบับนี้(ยกเว้นพระพุทธเจ้า) และกฎธรรมชาติก็เอามาแย้งได้ จะได้รู้ว่าผมมีคู่แฝดทางความคิดที่ไม่เคยเจอหน้ากันเลย??? จากคุณ : อะตอม (ขอชื่ออะตอม) - [ 6 มิ.ย. 49 22:51:21 ]

ความคิดเห็นที่ 185 คุณอะตอม เขียนได้ดีขึ้น แต่บทความมันไม่มี Thesis Statement นะครับ แล้วยาวไป ข้อสำคัญอย่าพยายามสอนคนอ่าน แต่ก็รู้เรื่องขึ้นเยอะนะครับ จากคุณ : ประชาชน(ไทย) - [ 7 มิ.ย. 49 01:48:32 ]

ความคิดเห็นที่ 186 คุณ อะตอม คะ สุดยอดของความคิดคือ ... หยุดคิดค่ะ พยายามอีกนิดนะคะ... เป็นกำลังใจให้ค่ะ จากคุณ : Ala Moana - [ 7 มิ.ย. 49 06:10:36 ]

ความคิดเห็นที่ 187 ความคิดเห็นที่ 185   คุณอะตอม เขียนได้ดีขึ้น แต่บทความมันไม่มี Thesis Statement นะครับ แล้วยาวไป ข้อสำคัญอย่าพยายามสอนคนอ่าน แต่ก็รู้เรื่องขึ้นเยอะนะครับ จากคุณ : ประชาชน(ไทย)   - [ 7 มิ.ย. 49 01:48:32 เรียนคุณประชาชน(ไทย)ครับ ผมพอเข้าใจในสิ่งที่คุณบอกว่า " อย่าพยายามสอนคนอ่าน  " ครับ แต่ผมมีความรู้สึกว่าถ้าคุณอะตอมเค้าไม่อธิบาย( ขอเรียกว่าอธิบายดีก่านะครับ ) ให้เครีย์ แล้วเนี้ย ผมว่าคนธรรมดา ๆ การศึกษาแบบพื้น ๆ แล้วเนี้ย คงอ่านให้เข้าใจในรอบเดียวนั้นยากครับ คุณคงเข้าใจคำว่า " ปรัชญา " นะครับ เพราะคำเขียนของคุณอะตอมเนี้ย จะประมาณนั้นแหละครับ ต้องอ่านไป ทำความเข้าใจไปกับสิ่งที่คุณอะตอมต้องการจะสือครับ...ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด..เพราะนั้น ใครที่ยังอ่านแล้วไม่เข้าใจ พยายามอีกนิดนะครับ.. แก้ไขเมื่อ 07 มิ.ย. 49 07:13:16 จากคุณ : พระรถ - [ 7 มิ.ย. 49 07:10:45 ]

ความคิดเห็นที่ 188 กำลังพยายามทำความเข้าใจ กับสิ่งที่คุณอะตอมพยายามสื่อออกมา ยอมรับว่าสมาธิไม่ดีพอ......... คงต้องอ่านอีกหลายรอบ แนวเขียนแต่ละคนต่างกัน ในขณะที่เราพยายามสะท้อนความคิด ออกมาให้สั้นๆ ฟังง่ายๆ ........เน้นที่ละประโยค ใช้ภาษาที่พื้นๆ มากที่สุด แต่แนวคุณอะตอมจะใช้คำหรูๆ ชนิดที่ต้องแปลไทยเป็นไทย เช่นประโยคที่ว่า... "....ประชาธิปไตยที่มีจิตวิญญาน เพื่อสร้างปริมาณมวลรวมความสุขความพอใจ บนความ"พอดี" กับ GDP ของความหลากหลายทางพันธุกรรม ความต่างนั้นคือจัดระบบนิเวสน์รอบใหม่ให้ "สมดุล" หรือดุลภาพที่ยั่งยืนของสังคม??? " ยากจริงๆ ค่ะ กับ "ทฤษฎีต้มกบ" ก็ไม่ค่อยเข้าใจ ช่วยอธิบายหน่อยนะคะ ขออภัยที่บังอาจวิจารณ์สไตล์การเขียน ซึ่งปกติไม่ค่อยได้ทำบ่อยนัก............. จากคุณ : นางสาวหมอนทอง - [ 7 มิ.ย. 49 07:57:03 ]

ความคิดเห็นที่ 189 ผู้ดีเดินตรอก ขี้ครอกเดินถนน ก็คงเป็นอย่างนี้ล่ะมั๊ง ตอนนี้ผู้ดีทำอะไรต้องหลบๆ ซ่อนๆ แต่ถ้าผู้ร้ายจะทำอะไร ก็ไม่ต้องเกรงใจ เผยแพร่ออกสถานนีที่เสียตังค์เดือนละ 350 บาทค่าดู พวกขี้ครอกเดินถนน (สายใหญ่) จากคุณ : jadej - [ 7 มิ.ย. 49 10:23:59 ]