มาอ่านคอลัมน์ร้อนๆ ใน "คิดระหว่างวัน " จาก นสพ.สยามรัฐ ประจำวันที่ 8 มิย. 49
++ มวยหลักอย่าง วรเจตน์
นายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ เป็นอาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ได้แสดงความคิดเห็นในกิจการบ้านเมืองเป็นครั้งคราว ในฐานะนักกฎหมายมหาชนคนหนึ่ง ที่บางครั้งผมก็ไม่เห็นด้วยอย่างเช่นกรณีของไอทีวี แต่ก็มีอีกหลายๆ ครั้งที่ผมเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งต่อความเห็นอย่างตรงไปตรงมาของนักกฎหมายผู้นี้
เมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว นายวรเจตน์ได้แสดงความคิดเห็นผ่านหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน หน้า 14 ฉบับประจำวันศุกร์ที่ 2 มิถุนายน 2549 ในประเด็นที่วิพากษ์วิจารณ์การทำหน้าที่ของนักกฎหมายท่ามกลางสถานการณ์วิกฤตการเมืองของไทยที่ผ่านมา โดยได้ให้ความเห็นไว้ในบางตอนว่า
ในช่วงวิกฤตการณ์ทางการเมืองเช่นนี้ นักกฎหมายต้องทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา ยึดหลักกฎหมายไว้ให้มั่น แต่ที่ผ่านมานักกฎหมายทั้งหลายต่างออกมาให้ความเห็นโดยไม่มีหลัก แต่มีธงนำหน้าแล้วบีบกฎหมายให้เข้ามารองรับเป้าหมาย หรืออุดมการณ์ทางการเมืองของตน ไม่ต่างกับที่เคยเรียกคนของรัฐบาลว่าเป็นเนติบริกร ทำให้ประชาชนผู้รับข่าวสารสับสน ไม่ทราบว่าอะไรคือความจริง เมื่อฟังนักกฎหมายพูดแล้วก็คิดว่านักกฎหมายที่ตีความตามกระแสเป็นฝ่ายถูกต้อง ซึ่งตนเห็นว่าไม่ใช่เสมอไป
ผมมองว่า สถานการณ์ช่วงนี้มันมั่วมาก ทั้งสองฝ่ายใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการเอาชนะกัน ใช้กฎหมายรับใช้การเมือง ผมอ่านหนังสือ 5 เล่ม 10 เล่ม เพื่อถ่ายทอดความรู้ แต่กลับต้องเจอกับนักกฎหมายที่มีธงของตัวเองแล้วมาเล่นถ้อยคำ โดยไม่รู้ว่าความผิด ความถูกอยู่ตรงไหน มีแต่การจะเอาชนะกันในทางการเมือง แล้วใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ ยอมรับว่ากฎหมายต้องคู่กับการเมือง แต่ทั้งสองไม่ใช่สิ่งเดียวกัน นักกฎหมายต้องมองให้เห็นประเด็นทางกฎหมายที่อยู่ในปัญหาการเมืองให้ได้ ไม่ใช่ปะปนกันไปหมดเหมือนขณะนี้
นายวรเจตน์ยังได้ยกตัวอย่างถึงการมองประเด็นเรื่องการกำหนดวันเลือกตั้งของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) 37 วันว่า เป็นความผิด ตนเห็นว่า เรื่องการกำหนดวันเลือกตั้งเป็นอำนาจของกกต.และรัฐบาล ที่สามารถกำหนดได้แต่ต้องภายใน 60 วัน บางเรื่องที่ กกต.มีอำนาจทำได้ ก็ต้องเคารพ แต่การเวียนเทียนผู้สมัครนั้นไม่ถูกต้องก็ต้องว่ากันตามกฎหมาย ในภาวะที่กระแสน้ำเชี่ยวกรากอย่างรุนแรง นักกฎหมายต้องเป็นผู้เอาไม้ไปปักไว้ในน้ำเชี่ยวอย่างมั่นคง ไม่ว่าใครจะพัดไปไหนนักกฎหมายต้องไม่ไปตามกระแส ต้องยืนเป็นหลักให้กับสังคม
ผมขอยกย่องความกล้าหาญ และกล้าแสดงความคิดเห็นบนหลักการที่ยึดหลักกฎหมายของนายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ ที่นอกจากจะเป็นนักกฎหมายแล้ว ยังเป็นอาจารย์สอนวิชากฎหมายอีกด้วย
เหตุที่ผมต้องยกย่องนายวรเจตน์คราวนี้ก็เพราะ มีนักกฎหมายมหาชนหลายคนที่ไม่กล้าแสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมาบนหลักการของนักกฎหมายที่ถูกต้อง แต่กลับแสดงความคิดเห็นลื่นไหลไปตามกระแสและสถานการณ์ทางการเมืองที่ถูก สร้างภาพ ขึ้นตามความต้องการของกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ และพรรคการเมืองบางพรรคการเมือง เพียงเพื่อต้องการที่จะได้รับผลประโยชน์ทางการเมืองหรือสนองตัณหาทางการเมืองของกลุ่มบุคคลบางกลุ่มเท่านั้น
ประเทศไทยเราปกครองตามระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา ที่ต้องยึดถือ หลักนิติรัฐ หากนักกฎหมายของเราที่กระจายกันไปทำหน้าที่ตามสาขาอาชีพต่างๆ ไม่เป็น มวยหลัก ไม่ยึดหลักการของกฎหมายอย่างเที่ยงตรง ไม่สุจริตใจ มีอคติในทุกเรื่อง และยังมีวาระซ่อนเร้นในจิตใต้สำนึกอีกด้วย ก็จะเป็นผลทำให้บ้านเมืองของเรา ลุกเป็นไฟ กระทบต่อความมั่นคงของชาติและความผาสุกของประชาชน จนในที่สุด ก็จะพากันล่มจมกันทั้งประเทศ
ผมจึงขอให้กำลังใจนายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ ต่อการแสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา สมควรที่จะยกย่องในความจริงใจอันทรงคุณค่าแก่การทำหน้าที่ทั้งเป็นนักกฎหมาย และเป็นอาจารย์ผู้สอนวิชากฎหมายในสถาบันอุดมศึกษา
เมื่อมีคนกล้าที่จะแสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา ก็ต้องมีคนกล้าที่จะออกมาให้กำลังใจกันมิใช่หรือ ?
โดย ดุสิต ศิริวรรณ
จากคุณ :
วิสัยทัศน์
- [
8 มิ.ย. 49 09:16:20
]