ความคิดเห็นที่ 190
บทความ จากพิเภกอินเตอร์ นายปริญญาเมื่อครั้งเป็นประธานสหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทยนั้น เป็นยุคสมัยในช่วงที่สุจินดา คราประยูรครองอำนาจพอดี บทบาทของสหพันธ์นิสิตฯในช่วงที่นายปริญญาเป็นประธานแทบจะเรียกได้ว่ากลวง ไม่มีเครือข่ายนักศึกษาจากสถาบันต่างๆเข้าร่วมเลย มีแต่พวกนักกิจกรรมจากองค์การนักศึกษาธรรมศาสตร์กับจุฬาไม่ถึงสิบคนเท่านั้น องค์การนักศึกษาอื่นไม่ได้เอาด้วย ม.เกษตร,ม.รามฯ ก็ไม่เข้าร่วม ภาคเหนือ ม.เชียงใหม่นำโดยจักรวาล วรรณวงศ์ (นายกสโมสรนักศึกษา มช.) ก็ไม่เข้าร่วมด้วย เนื่องจากเห็นความไม่จริงใจของพวก สนนท. ที่ภาคใต้คุณสุนทร รักษ์รงค์ ประธานสหพันธ์นิสิตนักศึกษาภาคใต้ก็ไม่สนับสนุน รวมถึงพ่อน้องภาคอีสานด้วย(จำชื่อไม่ได้) มีการทำความตกลงร่วมกันขององค์การนักศึกษาที่ไม่ใช่ธรรมศาสตร์-จุฬาว่าแต่ละสถาบันจะไปสร้างเครือข่ายในแต่ละภาคแทน เพราะไม่สามารถให้ สนนท.เป็นตัวแทนได้ (เนื่องจากเห็นว่า สนนท.ชอบอ้างความคิดของตนว่าเป็นความคิดเห็นของนักศึกษา) ... บังเอิญพี่เอก(ปริญญา)อาศัยส้มหล่นในช่วงพฤษภาทมิฬ อาศัยว่าตนเองมีตำแหน่งประธาน สนนท.พอดี ทั้งๆที่จริงๆ สนนท.แทบไม่ได้ทำอะไรในเหตุการณ์นั้น นำมาเป็นทุนทางการเมืองของตนในปัจจุบัน ฤา...นิสัยไม่เปลี่ยนเลยนะพี่เอก(ปริญญา)
ท่าทีของสมัคร มีส่วนเกิดจากการที่สมัครมี "ความทรงจำทางประวัติศาสตร์" บางอย่างเกี่ยวกับเปรมอยู่ ซึ่งเป็นความทรงจำที่แม่นยำกว่าหลายๆคน สิ่งที่หลายคนอาจจะไม่ตระหนัก (จำไม่ได้ ไม่ได้จำ) คือ สมัยที่เปรมเป็นนายกฯนั้น สมัครเป็นฝ่ายค้านคนหนึ่ง และเป็นคนที่ออกมาวิจารณ์เปรมแรงๆเสมอ ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่สมัยนั้นเป็นความสัมพันธ์ที่ BITTER ไม่น้อย ผมคิดว่า ท่าทีของสมัครต่อเปรมคราวนี้ นอกจากเรื่องเฉพาะหน้าขณะนี้แล้ว ยังน่าจะเป็นผลมาจากการที่สมัคร "มอง" เปรม ในลักษณะที่ต่างจากคนอื่นในขณะนี้ คือ ไม่ได้ "รู้สึก" ถึง "AURA" ของเปรม มากเท่ากับคนอื่นๆ อันเนื่องมาจาก "ประวัติศาสตร์" ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่เมื่อ 20 ปีก่อนด้วย ในแง่นี้ ผมเสนอว่า เป็นที่น่าสนใจที่จะดูข่าวเรื่องสมัครนี้คู่กับอีกข่าวหนึ่ง ที่คนของทักษิณคนหนึ่ง (ผมจำไม่ได้เสียแล้วว่าใคร) ออกมาพูดเมื่อไม่กี่วันก่อน ทำนองเปรียบเทียบทักษิณกับเปรมว่า สมัยเปรมเป็นนายกฯถูกโจมตีอย่างหนัก ตอนหลังกลายมาเป็นที่ยกย่องอย่างในปัจจุบัน นัยยะคือ คนที่โจมตีทักษิณมากๆตอนนี้ ในอนาคตจึงจะเข้าใจความดีของทักษิณ อะไรประมาณนั้น (ผมเสียดายที่ไม่ได้ SAVE ข่าวนี้ไว้ เมื่อครู่พยายาม SEARCH หาเท่าไร ก็หาไม่พบ) สำหรับผม ด้านที่เป็น IRONY มากที่สุดของกรณีสมัคร-เปรมนี้ (หรือข่าวที่เพิ่งพูดถึง) คือ สมัครมีความทรงจำทางประวัติศาสตร์ ดีกว่าฝ่าย "ภาคประชาชน" (ปริญญา, ธีรยุทธ)!
นิสิต ป.โทประวัติศาสตร์จุฬาท่านหนึ่ง กำลังเริ่มทำ วพ.เกี่ยวกับยุคเปรม เปรมขึ้นสู่อำนาจได้ด้วยการ (พูดตามภาษาการเมือง) "หักหลัง" เกรียงศักดิ์ ซึ่ง "ดัน" เปรมขึ้นมาอย่างกระทันหัน จากแม่ทัพภาคมาเป็น ผช.ทบ. แล้วเป็น ผบ.ทบ. โดย "เด้ง" เสริม ณ นคร ผบ.ทบ.ขณะนั้น ไปเป็น ผบ.สูงสุด, แต่ในระหว่างเกิดวิกฤติทางการเมืองต้นปี 2523 เปรมก็หันไปร่วมมือกับ "ยังเติร์ก" บีบเกรียงศักดิ์ ลาออกกลางสภา (เดิมตั้งใจจะยุบสภา) ไม่กี่เดือนหลังเป็นนายกฯ เปรมอายุครบ 60 ก็มี "หน้าม้า" ออกมาทำการรณรงค์ขอให้ต่ออายุราชการเปรม นับเป็นผู้นำทหาร/นายกฯ คนแรก หลัง ถนอม-ประภาส ที่ทำเช่นนั้น ทำให้เกิดการประท้วงอย่างกว้างขวาง ทั้งขบวนการนักศึกษาในขณะนั้น และพรรคประชาธิปัตย์ (รูปแบบรณรงค์ของพวก "หน้าม้า" เปรมตอนนั้น ก็ไม่ต่างกับที่บรรดาพวกทำให้ทักษิณตอนนี้นัก เพียงแต่ตอนนั้นไม่มีสื่อสาร DIGITAL ที่สำคัญจึงใช้การ "เขียนไปรษณีย์บัตร") กลุ่มที่ต่อต้านก็ทำการวิพากษ์ต่อต้านอย่างแรงมาก ถึงขนาดว่า ในที่สุดแล้ว ต้องใช้ "อำนาจ" อันใหญ่หลวง มา "เบรก" การเคลื่อนไหวคัดค้านนั้น ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนาม "ข้อมูลใหม่" (คำนี้มาจากการที่ จู่ๆพรรคประชาธิปัตย์ก็ประกาศหยุดการเคลื่อนไหวคัดค้าน โดยให้เหตุผลว่า "ได้รับข้อมูลใหม่" หลังจากนั้นไม่นาน มีใบปลิวแจกทั่วกรุงเทพ เล่าว่า "ข้อมูลใหม่" ดังกล่าวคืออะไร) จนกลายเป็นเรื่อง "ฮือฮา" มาก สรุปว่า เปรมได้ต่ออายุราชการ หลังจากนั้น ตลอดเวลา 8 ปี ที่เปรมเป็นนายกฯ แม้ว่าในช่วงแรกๆ จะสามารถ "ดึง" นักวิชาการชื่อดังไปทำงานให้ (ที่ดังที่สุดคือ ชัยอนันต์ กับ เสน่ห์ นั่นเอง ผมยังจำการสนทนาเรื่องนี้กับอ.ชาญวิทย์ในคืนวันหนึ่ง - ผมกับอ.อานันท์ กาจนพันธ์ ติดรถอ.ชาญวิทย์ไปนอนค้างบ้านอ.ชาญวิทย์ หลังเบียร์หลายขวด (พวกเขาไม่ใช่ผม) - ที่ชาญวิทย์พูดเรื่องนี้ เพราะตอนนั้นเป็นเรื่องใหญ่มาก การที่ปัญญาชน "ทวนกระแส" จะทำงานให้รัฐบาล ชาญวิทย์ ยืนยันในความเคารพต่อเสน่ห์ว่า แม้จะทำงานให้รัฐบาล แต่ไม่ได้ "ขาย" (เขาบอกว่า ยกย่องปัญญาชน 2 คนที่ "ยังไงก็ไม่ขาย") ในระหว่างที่เสน่ห์เป็นที่ปรึกษาให้เปรม ได้ผลิตงานวิจัยชุดหนึ่ง ชื่อ "ชนบทไทย" เรื่องนี้เป็น LANDMARK เกี่ยวกับ "ชนบทนิยม" ในหมู่ปัญญาชนไทย ซึ่งงานของ ยุกติ "ตกหล่น" ไป) แต่ "ระบอบเปรม" เต็มไปด้วยความขัดแย้ง และถูกโจมตีจากวงการเมืองทั้งในและนอกรัฐบาล ที่สำคัญคือ รัฐประหารที่ไม่สำเร็จ 2 ครั้ง (ไม่นับ การเกือบๆจะรัฐประหารอีกหลายครั้ง) ในช่วงท้ายๆ (หลายปี ไม่ใช่เฉพาะ 1-2 ปี) ของ "ระบอบเปรม" เรียกได้ว่า แทบไม่มีใครอยากเอาเปรมเป็นผู้นำอีก แต่ปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้เขาอยู่ในตำแหน่งได้นาน คือ เป็นที่เข้าใจกันว่า เขาได้รับการไว้วางพระราชหฤทัย ซึ่งหลายครั้ง ได้ SAVE เขาไว้ในลักษณะ INTERVENTION ตรงๆ ไม่เพียงกรณีกบฏ 1-3 เมษา (ซึ่ง ROYAL FAMILY อพยพไปอยู่โคราช ซึ่งเป็นศูนย์กลางต่อต้านกบฏ และถ้าผมจำไม่ผิด (น่าจะไม่ผิด) จากการบอกเล่าของอาทิตย์ กำลังเอก เอง ซึ่งเป็นกำลังหลักในการปราบกบฏ ในปาฐกถาที่มีชื่อเสียงมาก เล่าว่า สมเด็จพระนางเจ้าฯ ทรงโทรศัพท์ไปยังบ้านสี่เสา ขณะที่ฝ่าย "ยังเติร์ก" กำลังจะจับตัวเปรมเป็นประกันอยู่แล้ว และทรงรับสั่งว่า ถ้าไม่ให้เปรมออกมา ท่านจะทรงเสด็จฯไปรับเอง ปาฐกถานี้ มีการตีพิมพ์ในนิตยสารที่ชัชรินทร์ เป็น บ.ก.) แต่ยังรวมถึงวิกฤติในช่วงหลังจากนั้นอีกหลายครั้ง โดยเฉพาะ เมื่ออาทิตย์ เริ่มเป็นใหญ่ขึ้นมาถึงขั้นอันตรายต่ออำนาจเปรม ดูเหมือน ครั้งหนึ่ง สมเด็จพระบรมฯถึงกับทรงขับรถจากสนามบินไปส่งเปรม (ที่กลับจากเชียงใหม่) ถึงบ้านสี่เสา และสมเด็จพระนางเจ้าฯทรงแสดงพระกรุณาฯให้เปรมร่วมเดินชมสวนดอกไม้ร่วมกับพระองค์ (ที่เชียงใหม่) และมีพระราชดำรัสเกียวกับการที่ผู้นำที่ดีต้องมีความอ่อนโยนด้วย นัยยะคือ เปรมดีกว่าอาทิตย์ ซึ่งมีสไตล์โผงผางไม่อ่อนโยน ฯลฯ) แต่ INTERVENTION เหล่านี้ ไม่ได้ทำให้เปรมกลายเป็นที่นิยมในหมู่คนที่สนใจการเมืองขณะนั้นไปได้ บรรดา นสพ.ถึงกับตั้ง "ฉายา" เขาว่า "เตมีย์ใบ้" เพราะชอบทำตัว "ลอย" อยู่เหนือความขัดแย้ง ถามอะไรก็ไม่ตอบ คือไม่ยอมออกมาแสดงความรับผิดชอบใดๆทางการเมือง เช่น ถ้ามีปัญหา ขึ้นราคาน้ำมัน ค่าครองชีพแพง ฯลฯ ก็โยนให้เป็นเรื่องของรัฐมนตรี (ซึ่งสังกัดพรรคการเมือง ตัวเขาเองไม่สังกัด) เป็นผู้รับผิดชอบ (รับการถูกด่าไป) แทน บางครั้งนักการเมืองและนสพ.ถึงกับท้าให้เปรมลงเลือกตั้ง เพื่อพิสูจน์ว่า ประชาชนต้องการเขาจริงๆ (สมัยนั้น DISCOURSE ของปัญญาชนไทย ยังไม่มีด้านที่ ANTI "เลือกตั้งธิปไตย" อย่างสมัยนี้) ครั้งหนึ่ง ผมจำได้ว่า เปรม "บ่น" อย่างที่ชอบทำเสมอๆว่า ไม่อยากเป็นนายกฯอีกต่อไป ฯลฯ BANGKOK POST ไปพาดหัวตัวโตว่า "THEN QUIT, PM TOLD" (อาจจะเป็นสมัครด้วยซ้ำที่เป็นคนให้สัมภาษณ์ให้เปรม "ออกไปสิ ถ้าเบื่อน่ะ" แต่จำได้ว่า มีคนจำนวนมากที่เสนอเช่นนี้ รวมทั้งพวกที่อาจเรียกว่าเป็น "ภาคประชาชน" ของสมัยนั้นด้วย)
จากคุณ :
p (หนุ่มหย่าย!)
- [
24 มิ.ย. 49 11:52:07
]
|
|
|