ความคิดเห็นที่ 6
ปัญหาการก่อร้ายในพื้นที่ภาคใต้ของไทยในยุคปัจจุบันได้รับการพลิกฟื้นคืนชีวิตมาจากปัจจัยภายนอก และแรงจูงใจต่อการก่อร้ายในสมัยนี้โดยเฉพาะชาวมุสลิมสุดโต่งในพื้นที่ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากที่อื่น (มุสลิมหัวรุนแรงในตะวันออกกลางซึ่งได้รับอิทธิพลจากความคิดเรื่องมุสลิมปาเลสไตน์ที่ถูกกดขี่ข่มเหงในอิสราเอลก่อให้เกิดขบวนการก่อร้ายอื่นๆตามมามากมาย) เป็นผลให้เกิดความหวาดกลัวในหมู่ชาวมุสลิมในภูมิภาคอื่นซึ่งเป็นชนส่วนน้อยของประเทศ ทั้งนี้เป็นสัญญาณเตือนว่า เมื่อชาวมุสลิมเป็นคนส่วนน้อย พวกเขาดูเหมือนจะไปได้ดีกับคนอื่นและอยู่ร่วมกับคนต่างศาสนาได้เป็นอย่างดี (สังเกตจากชาวไทยมุสลิมในภาคเหนือและภาคกลาง) แต่เมื่อพวกเขาเป็นชนกลุ่มใหญ่ในพื้นที่นั้น( 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้) พวกเขาย่อมมีความรู้สึกหวาดระแวง ต่อระบบรัฐที่นำเข้าไปว่าให้ความสำคัญต่อพื้นฐานความเชื่อของพวกเขาหรือไม่ พร้อมๆกับพวกเขาก็จะเริ่มเปลี่ยนสิ่งที่มีอยู่ (taking away the common space) และใส่วัฒนธรรมมุสลิมบางอย่างลงไป และให้ทุกคนเชื่อตามอย่างพวกเขา ( แทรกซึมทางความคิด ) ในสภาวะแวดล้อมที่เอื้ออำนวยในปัจจุบันประกอบกับความเชื่อว่าบทบาทของเจ้าหน้าที่รัฐในพื้นที่ภาคใต้โดยเฉพาะฝ่ายความมั่นคงสายทหาร (พตท.43) ควรยุติไปเพราะสถานการณ์สงบไม่มีเหตุการณ์รุนแรงเกินไป ความเข้าใจในสถานการณ์ที่ผิดพร้อมๆกับการเพิ่มบทบาทเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ภาคใต้ทำให้แผนความมั่นคงสายทหารถูกกำจัดออกไป ทำให้งานสายข่าวในพื้นที่ไม่สมดุล จนเกินช่องว่างในการทำงานขึ้นในขณะที่ขบวนการโจรก่อการร้าย(ขจก.) ที่ฝังตัวในพื้นที่เริ่มเห็นความแตกแยกต่อระบบการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐ จึงอาศัยช่วงเวลานี้สร้างสถานการณ์ขึ้นโดยประสานการปฏิบัติกับแกนนำในประเทศเพื่อนบ้านเพื่อให้การรับรู้ของสื่อในประเทศเพื่อนบ้านเป็นไปในลักษณะเจ้าหน้าที่รัฐของไทยใช้ความรุนแรงเพื่อปราบปรามมุสลิม ซึ่งในความเป็นจริง ขจก.คือกลุ่มที่ใช้ความรุนแรงมากกว่า สำหรับเป้าประสงค์ของ ขจก.ที่เป็นมุสลิมหัวรุนแรง คือทำอย่างไรก็ได้ให้นานาชาติโดยเฉพาะโลกมุสลิมเห็นว่า รัฐไทยซึ่งถือว่าเป็นรัฐนอกอิสลาม (รัฐพุทธ) ใช้ความรุนแรงกระทำการทารุณกรรมต่อพี่น้องชาวมุสลิม เพื่อให้เกิดแรงกระทบต่อนโยบายต่างประเทศที่มีต่อรัฐไทยของบรรดาประเทศมุสลิม مسلم ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญในการยื่นเรื่องต่อที่ประชุมสหประชาชาติให้เข้ามาแก้ปัญหาในไทย เพื่อให้เกิดการลงประชามติแยกตนออกมาตั้งประเทศมุสลิมปัตตานี ( ปัตตานี ดารุสลาม الإسلام ) เหมือนกับที่เกิดในหลายๆประเทศทั่วโลก เช่นที่ บอสเนีย,ติมอร์ตะวันออก ฯลฯ แต่น่าแปลกใจที่ทำไหมเวลาชาวมุสลิมกระทำการทารุณกรรมและฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวพื้นเมืองผิวดำในแคว้นดาร์ฟูร์ ของซูดาน ไม่มีกลุ่มมุสลิมใดเรียกร้องให้ความเป็นธรรมกับผู้คนผิวดำที่ไม่ได้นับถืออิสลามในซูดานเลย ดังนั้นอย่าได้มีเงื่อนไขเพื่อเปิดทางให้นานาชาติเข้ามาก้าวก่ายงานในพื้นที่ 3 จว.ชายแดนใต้เด็ดขาด มิเช่นนั้นเราคงได้เห็น ประเทศรัฐอิสลามปัตตานี อย่างแน่นอน เราต้องรุกทางสื่อ โดยการให้ความจริงโดยปราศจากอคติต่อเจ้าหน้าที่รัฐให้ปรากฏต่อสื่อทั้งในและนอกประเทศ แต่คงเป็นไปได้ยากในสภาวะที่ประเทศไทยล้างราสงครามมานานความกลมเกลียวและชาตินิยมไม่มีความสำคัญต่อผู้คนในไทย ความเป็นชาตินิยมกลับถูกมองว่าล้าสมัยและเป็นเผด็จการ (สื่อในไทยมองชาตินิยมคือ รัฐนโยบายของยุคผู้นำชาติพ้นภัย สมัย จอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งถูกมองว่าเป็นยุคมืดของประชาธิปไตยในไทย) ดังนั้นปัญหาภาคใต้จะเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ไม่จบไม่สิ้น ยิ่งถ้ายิ่งดูสถานการณ์สงบนั้นแหละคือเชื้อถ่านอย่างดี ภายภาคหน้าอาจปะทุอีกก็ได้หากสถานการณ์อำนวย ไม่มีอัศวินม้าขาวในการแก้ปัญหาภาคใต้หรอกจะบอกให้ ถ้าเราไม่เข้าใจต่อความแตกต่าง แล้วไม่แก้โดยการทำให้ช่องว่าความแตกต่างลดน้อยลงหรือทำให้ดุลกัน ผมได้ยกตัวอย่างกรณีศึกษานโยบายของรัฐบาลจีนต่อปัญหามุสลิมในมณฑลซินเกียงอุยเกอร์ ซึ่งเป็นมณฑลที่มีชาวมุสลิมอาศัยอยู่เป็นจำนวนมากและอยู่ติดกับภูมิภาคเอเชียกลางแหล่งบ่มเพาะนักรบมุสลิมหัวรุนแรง (ใกล้กับ อัฟกานิสถาน,คาซัคสถาน,ทาจิกิสถานและเชชเนีย) กลุ่มแบ่งแยกดินแดนมุสลิมเกิดขึ้นทั่วเอเชีย มณฑลชินเกียงอุยเกอร์ในจีน รัฐแคชเมียร์ในอินเดีย ,เกาะมินดาเนาภาคใต้ของฟิลิปปินส์,สาธารณรัฐเชชเนียในรัสเซีย, 3 จว.ชายแดนภาคใต้ของไทย อีกไม่นานคงจะลามไปถึง รัฐอารกันโยม่าทางภาคตะวันตกของพม่า ,เวียดนามตอนกลางที่อยู่ของมุสลิมจาม หรือแม้แต่ที่ เมืองกัมปงจามในกัมพูชา จงจำไว้อย่างหนึ่งว่าปัญหามุสลิมเป็นเหมือนระเบิดเวลาที่พร้อมจะระเบิดได้ตลอดเวลา หากรัฐไหนอ่อนแอไม่เชื่อรอดูอีกสัก 10 -20 ปีในดินแดนที่กล่าวมาข้างต้น ทำไมเรามีความขัดแย้งที่เกี่ยวกับมุสลิมเยอะจัง!!!!! ชาวมุสลิมสายกลางนั้นก็ ต้องยกเว้นเพราะพวกเขาต้องการอยู่อย่างสงบกับผู้อื่น แต่ปัญหาก็คือ มันมีคนในเปอร์เซ็นต์ที่ต่ำแต่มีอิทธิพลมากอย่างมีนัยยะสำคัญที่ถืออาวุธและตะโกนจิฮัจจ์ นั่นปฏิเสธไม่ได้ว่าคือต้นตอของปัญหาความรุนแรงที่เกิดขึ้นในดินแดนที่ชาวมุสลิมอาศัยอยู่เป็นชนกลุ่มน้อยในประเทศนั้นแต่ทว่าเป็นชนกลุ่มใหญ่ในพื้นที่บางพื้นที่ในประเทศนั้นๆ นี่แหละคือเหตุผลว่าทำไมจึงมีกลุ่มแบ่งแยกดินแดนมุสลิมทั่วเอเชีย ชาวพุทธอ่อนแอเกินที่จะสู้กับชาวมุสลิมอิสลาม ไม่เหมือน ชาวคริสเตียน หรือชาวฮินดู ชาวพุทธอ่อนแอในแง่ทางทหาร (เป็นเพราะพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์นั่นเข้าถึงระดับเหนือกว่าการสงครามเนื่องจากสภาวะการก่อเกิดศาสนาทั้งสองต่างกัน ศาสนาพุทธก่อกำเนิดบนความแตกต่างทางปรัชญาความคิดบนรากฐานแห่งการค้นหาความสัจจริงในชีวิตแต่ศาสนาอิสลามก่อกำเนิดบนความแตกต่างทางสังคมบนรากฐานแห่งการทำสงครามเพื่อให้ได้มาซึ่งการอยู่รอดในภูมิภาคตะวันออกกลาง) โชคร้ายเราอยู่ร่วมกับชาวมุสลิม ไม่ได้อยู่ในสังคมพระศรีอริยเมตไตย ชาวพุทธต้องปรับปรุงธรรมะบางอย่างโดยการอนุญาตให้ใช้ความรุนแรงเมื่อพวกเขาตกอยู่ในอันตราย เมื่อพวกเขาไม่มีหลักธรรมที่อยู่ในตำแหน่งที่ได้เปรียบกว่าพวกโจรมุสลิม (หมายถึงเฉพาะพวกผู้ก่อการร้ายหรือมุสลิมสุดโต่ง) ซึ่งพวกนั้นก็จะชิงความได้เปรียบจากมัน จะเห็นได้ชัดเจนจากเหตุการณ์เมื่อ 500 ปีก่อนในอินเดีย ความพ่ายแพ้ของศาสนาพุทธในนาลันทาต่อกองทัพมุสลิมเตอร์ก จนชาวพุทธถูกล้างออกไปจากแผ่นดินต้นกำเนิดของศาสนาพุทธ (They can not maintain the moral upper hand against barbarians, they'll just take advantage of it. ) ทำไมสื่อในโลกมุสลิมบางประเทศ(มาเลเซีย)จึงมองว่ารัฐไทยใช้อำนาจกดขี่ข่มเหงต่อชาวมุสลิม ผมเคยถามพี่น้องชาวไทยใหญ่ที่เข้ามาทำงานในไทยว่าทำไหมต้องหนีมา เขาบอกว่าเพราะกลัวทหารพม่าไล่ฆ่าและข่มขืนซึ่งเป็นเรื่องจริงเพราะเขาสัมผัสมาและเห็นมา บางทีเราน่าจะมองย้อนไปว่า หรือเป็นเพราะมีชาวมุสลิมบางกลุ่มบางคนไปให้ข่าวที่ไม่เป็นความจริงต่อสื่อมุสลิมโดยนิสัยสื่อแล้วต้องใช้วิชาเหมารวมไปก่อนว่าเจ้าหน้าที่รัฐโหดร้ายฆ่าผู้บริสุทธิ์ ทำให้มองว่ารัฐไทยโหดร้ายสมควรแล้วที่ชาวมุสลิมในไทยจะตอบโต้รัฐให้สาสมตามหลักศาสนาได้ ซึ่งเรื่องนี้สำคัญมาก เงื่อนไขและเนื้อหาของการก่อการร้ายในไทย เป็นเงื่อนไขที่เหมือนบนความแตกต่างของเงื่อนไขการก่อร้ายโดยพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.)ในอดีต การโฆษณาชวนเชื่อบนพื้นฐานความน้อยเนื้อต่ำใจในระบบชนชั้นสังคมในไทย ในอดีตคือยาชั้นดีที่ พคท.ใช้ในการปลุกระดมมวลชนมาเป็นแนวร่วมในการปฏิวัติมาแล้วแต่ทั้งนี้เราต้องยอมรับว่าในสมัยนั้นการกดขี่ข่มเหงโดยเจ้าหน้าที่รัฐหรือชนชั้นปกครองมีจริง ความอดอยาก,ความไม่เท่าเทียมกันในการรักษาพยาบาล ของคนในชนบทมีจริงแต่เราจะเหมารวมมาถึงสมัยนี้ไม่ได้ ผมเข้าใจว่าสื่อของไทยในสมัยนี้คงได้รับอิทธิพลทางความคิดจากเหตุการณ์ในอดีตจนทำให้มองว่ารัฐต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่เชื่อได้เลยครับว่าสมัยนี้สมัยโน่นต่างกัน เจ้าหน้าที่รัฐสมัยนี้เหมือนธุลีดิน สื่อจะเหยียบก็แบนแล้ว ดังนั้นเรื่องไปข่มเหงชาวมุสลิมในพื้นที่ไม่มีแน่นอน การแก้ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ภาคใต้ เป็นปัญหาที่ง่ายมากบนความยากของแนวความคิด ขอยกตัวอย่างการแก้ปัญหานี้โดยรัฐซึ่งได้ชื่อว่า เข้มแข็งที่สุดคือรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนในเรื่องปัญหามุสลิมในมณฑลชินเจียง ซึ่งชนส่วนใหญ่ของมณฑลนี้เป็นชาวมุสลิมการแก้ปัญหาของรัฐบาลจีนแดงง่ายมากแต่ถ้านำมาใช้ในไทยคงโดนสื่อด่าแหลกกระจายแน่ คือของใช้นโยบาย กระจายและตัด คือการกระจายคนจีนฮั่นในภูมิภาคอื่นๆโดยเฉพาะชาวจีนในพื้นที่ทุรกันดารหรือที่แออัด ให้สามารถไปตั้งถิ่นฐานในพื้นที่ว่างเปล่าในซินเกียงได้ โดยรัฐบาลจะสนับสนุนในเรื่องที่ทำกินระบบสาธารณูปโภคให้ เผอิญว่าในมณฑลซินเกียงอุยเกอร์ ขุดเจอก๊าซธรรมชาติอยู่เยอะ โรงงานอุตสาหกรรมต่างๆจึงเกิดขึ้นเพียบ ชาวจีนฮั่น จึงเข้าไปอาศัยอยู่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ลองดูสถิติให้ดีน่ะครับ ปี 1970 อัตราส่วนชาวมุสลิมต่อชาวจีนฮั่นคือ 99:1 ปี 1985 อัตราส่วนชาวมุสลิมต่อชาวจีนฮั่นคือ 90:10 ปี 1990 อัตราส่วนชาวมุสลิมต่อชาวจีนฮั่นคือ 80:20 ปี 1995 อัตราส่วนชาวมุสลิมต่อชาวจีนฮั่นคือ 70:30 ปี 2000 อัตราส่วนชาวมุสลิมต่อชาวจีนฮั่นคือ 60:40 ปี 2005 อัตราส่วนชาวมุสลิมต่อชาวจีนฮั่นคือ 50:50 ปี 2010 อัตราส่วนชาวมุสลิมต่อชาวจีนฮั่นคือ ????? เพราะรัฐบาลจีนแดงรู้ดีว่าชาวมุสลิมจะเป็นคนที่น่ารักมากถ้าเป็นชนกลุ่มน้อยในพื้นที่นั้น จึงใช้นโยบายกระจาย ผมไม่อยากใช้คำว่ากลืน เพราะไม่ใช่การกลืนชาติแต่เป็นการกระจายความหนาแน่นของประชากร ส่วนนโยบาย ตัด คือการตัดรากถอนโคน ชาวมุสลิมที่คิดจะแยกตัวออกจากแผ่นดินจีนอย่างเด็ดขาด รัฐบาลจีนเน้นเฉพาะส่วนหัวและมุสลิมหัวรุนแรงเท่านั้น ซึ่งเรื่องนี้รัฐบาลจีนทำได้ดีมากคือไม่หว่านแหลงไปเพราะรัฐบาลจีนเรียนรู้จากสงครามปฏิวัติประชาชนโดยพรรคคอมมิวนิสต์ซึ่งเป็นสงครามที่พวกเขาเรียนรู้ที่จะแยกปลาออกจากน้ำแยกประชาชนออกจากรัฐบาล ทำให้นโยบาย กระจายและตัด ของรัฐบาลจีนได้ผลแต่ก็ไม่รู้ว่าจะได้ผลอย่างจีรังยั่งยืนหรือเปล่า ถ้ามีอิทธิพลภายนอกเข้ามาเกี่ยว ( ปัจจุบันประเทศอิสลามในเอเซียกลางเกรงอกเกรงใจและเกรงกลังรัฐบาลจีน)แต่อย่างน้อยรัฐบาลจีนก็สามารถพูดได้เต็มปากเต็มคำว่า มณฑลซินเกียงอุยเกอร์ ไม่ใช่ดินแดนของชาวมุสลิม แต่เป็นของคนจีนทุกคนเพราะมีชาวจีนอยู่ในมณฑลนี้ครึ่งค่อนมณฑล
จากคุณ :
รู้ลึกรู้จริง (คนเมืองเจียงใหม่)
- [
วันต่อต้านยาเสพติดโลก 17:09:45
]
|
|
|