คอลัมน์คิดระหว่างวัน ประจำวันที่ 6/7/2549 จากสยามรัฐ
++ ไม่น่าเลย ++
เมื่อวันพุธที่ 5 กรกฎาคม 2549 หนังสือพิมพ์เกือบทุกฉบับได้ไปคัดลอกบทความในคอลัมน์ ความคิดเสรีกับมีชัย เรื่อง ความรับผิดชอบของนายกรัฐมนตรี ในเว็บไซต์ www.meechaithailand.com ของนายมีชัย ฤชุพันธุ์ อดีตประธานวุฒิสภา ซึ่งได้ทำหน้าที่ระหว่างปี พ.ศ.2535-2543 ผมจึงมีความเห็นว่า หากผมไม่ร่วมแสดงความคิดเห็นท้วงติงความเห็นของนายมีชัย ฤชุพันธุ์ เอาไว้เสียในคราวนี้ด้วย ก็อาจจะทำให้ประชาชนโดยทั่วไปรวมทั้งสื่อสารมวลชนและนักการเมืองบางกลุ่มบางพวก หลงเออออห่อหมกไปกับนายมีชัยต่อกรณีนี้ ก็จะยิ่งทำให้บ้านเมืองและประชาชนส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบจากความคิดความอ่านของผู้คนที่ผมนึกไม่ถึงว่า จะเลอะเทอะได้กันถึงเพียงนี้
ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ ผมก็เคยออกความเห็นที่ไม่เห็นด้วยกับการพูดของนายกรัฐมนตรีในเรื่องอย่างนี้มาหลายวันแล้ว แต่เมื่อมีคนอยากต่อความยาวสาวความยืด จะด้วยเหตุผลใดก็ตาม เมื่อผมทำหน้าที่เขียนบทความอยู่ตรงนี้ ผมก็จำเป็นที่จะต้องมีหน้าที่ท้วงติงในสิ่งที่มันไม่ถูกต้องเหมาะสม ตามความคิดของผมที่ผมเห็นว่าไม่สมควรที่จะไปเพิ่มปัญหา ทำให้บ้านเมืองและประชาชนสับสนมากยิ่งขึ้นไปกว่าเดิม
นายมีชัยได้แสดงความเห็นโดยอ้างถึงคำพูดของนายกรัฐมนตรี ที่ได้เคยพูดเอาไว้ว่า วันนี้องค์กรนอกรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่รัฐธรรมนูญคือ บุคคลซึ่งดูเหมือนมีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ เข้ามาวุ่นวายองค์กรที่มีในระบบรัฐธรรมนูญมากไป มีการไม่เคารพกติกา
บางคนยังเข้าใจว่า ตัวเองมีความสำคัญมากกว่าคนจำนวนมาก เพราะฉะนั้นเสียงของตัวเองต้องดังและมีความหมายกว่าเสียงของคนอื่น ไม่เคารพการตัดสินใจของประชาชน มีคนอยากเป็นนายกรัฐมนตรีมาตรา 7 ทั้งๆ ที่มีพระราชดำรัสรับสั่งออกมาแล้วว่า มาตรา 7 นั้น ไม่เป็นประชาธิปไตย เลยทำให้วุ่นวายกัน...
โดยนายมีชัย ได้แสดงความเห็นท้วงติงนายกรัฐมนตรีเอาไว้ในตอนหนึ่งว่า ...ความคลางแคลงใจของประชาชนที่มีต่อคำกล่าวของท่านนายกรัฐมนตรี จะผิดหรือถูกเป็นเรื่องหนึ่ง แต่ที่สำคัญก็คือว่า รัฐธรรมนูญมาตรา 8 องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใดๆ มิได้...
ผมไม่เข้าใจเหมือนกันว่า นายมีชัยจะไปอ้าง ประชาชน แล้วนำไปเกี่ยวโยงกับบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญมาตรา 8 กันไปได้อย่างไร ? เพราะผมเห็นว่า เรื่องของมาตรา 8 เป็นเรื่องขององค์พระมหากษัตริย์โดยแท้ และเมื่อทบทวนคำพูดของนายกรัฐมนตรีที่นายมีชัยยกมาอ้างในบทความของนายมีชัย ก็ไม่มีทางที่จะเป็นไปอย่างที่นายมีชัยเข้าใจไปอย่างนั้นได้ โดยเฉพาะที่นายกรัฐมนตรีได้พูดถึงมาตรา 7 เอาไว้อย่างชัดเจน ก็เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปแล้ว
ผมจึงอยากจะถือโอกาสนี้ นำข้อบังคับการประชุมวุฒิสภา พ.ศ.2541 ที่นายมีชัย เป็นประธานวุฒิสภาอยู่ในเวลานั้น และผมก็เป็นสมาชิกวุฒิสภาอยู่ในวุฒิสภาชุดนั้นกับเขาด้วยเหมือนกัน
ข้อบังคับการประชุมวุฒิสภา พ.ศ. 2541 ในข้อ 52 กำหนดเอาไว้ว่า การอภิปรายต้องอยู่ในประเด็นหรือเกี่ยวกับประเด็นที่กำลัง ปรึกษากันอยู่ ต้องไม่ฟุ่มเฟือย วนเวียน ซ้ำซาก หรือซ้ำกับผู้อื่น และห้ามมิให้นำ เอกสารใดๆ มาอ่านหรือนำวัตถุใดๆ เข้ามาแสดงในที่ประชุมวุฒิสภา เว้นแต่ประธานของที่ประชุมจะอนุญาต แต่ทั้งนี้ไม่เป็นการตัดสิทธิสมาชิกที่จะเขียนคำอภิปรายของตน และอ่านคำอภิปรายนั้นในที่ประชุมวุฒิสภา
ห้ามมิให้ผู้อภิปรายแสดงกิริยาหรือใช้วาจาอันไม่สุภาพ ใส่ร้ายหรือ เสียดสีบุคคลใด และห้ามมิให้กล่าวถึงพระมหากษัตริย์ หรือออกชื่อสมาชิกหรือ บุคคลใดโดยไม่จำเป็น
ท่านผู้อ่านครับ การประชุมวุฒิสภายังมีข้อห้ามมิให้กล่าวถึงพระมหากษัตริย์โดยไม่จำเป็นเอาไว้อย่างชัดเจนถึงเพียงนี้ แล้วเหตุไฉน?ผู้คนสมัยนี้ เขาจึงชอบเอาเรื่องทางการเมืองแล้วโยงไปถึงสถาบันพระมหากษัตริย์มาประกอบความเห็นของตนโดยไม่มีความจำเป็นใดๆ อย่างที่นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ได้แสดงความเห็นเอาไว้ในคราวนี้ เป็นคำถามที่ อดีตสมาชิกวุฒิสภารุ่นเดียวกับผมหลายคน ตั้งเป็นคำถามถามผ่านผมไปถึงนายมีชัย ฤชุพันธุ์ อดีตประธานวุฒิสภาในวุฒิสภาชุดเดียวกันว่า คิดกันเลยเถิดไปอย่างนั้นด้วยเหตุผลใด ?
โดย ดุสิต ศิริวรรณ
จากคุณ :
วิสัยทัศน์
- [
6 ก.ค. 49 14:35:06
]