คนไทยกำลังสับสนกับระบอบการปกครองที่เรากำลังเป็นกันอยู่ในขณะนี้ ทุกคนรู้และท่องกันจนติดปากว่าเรากำลังปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข แต่หลายคนมองแค่ผิวผ่าน และหลายคนกำลังยึดติดกับรูปลักษณ์จนควานหาแก่นแท้ของประชาธิปไตยไม่เจอ
รูปลักษณ์ที่เรามักเอามาเป็นน้ำยาชุบความเป็นประชาธิปไตยก็คือการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นหนึ่งในตำหรับยาตำราหลวงของประเทศกำลังพัฒนา ทั้งๆที่ประชาธิปไตยไม่ใช่มีพิธีกรรมเฉพาะการเลือกตั้ง ประชาธิปไตยที่แท้จริงต้องการ การมีส่วนร่วมของพี่น้องประชาชนที่อยู่ภายใต้กรอบของกฎหมายต่างหากคือส่วนสำคัญของเนื้อในของประชาธิปไตย
เปรียบได้กับพุทธศาสนาที่เดี๋ยวนี้คนไปหลงยึดติดกับพิธีกรรม จนหลงลืมตัวธรรมะที่เป็นหัวใจของชาวพุทธกันไปหมดแล้ว คนไปยึดติดกับการเสพ-กินพิธีกรรมซึ่งเป็นเนื้อหนังของศาสนาจนเกิดความมัวเมา เอาเปลือกห่อหุ้มมาเป็นแนวปฏิบัติจนไม่รู้แก่นแท้ของศาสนาเราอยู่ตรงไหน
ตัวแก่นของประชาธิปไตยก็คล้ายกับธรรมาธิปไตย ที่มีหัวใจอยู่ที่แนวปฏิบัติให้เราเคารพในกฎกติกาของความดี ศูนย์กลางจะต้องเกิดจากความดี คือมีกฎกติกาที่ดี มีกระบวนการซึ่งนำไปสู่แนวทางการปฏิบัติที่ดี และมีคนดีมาเป็นตัวค้ำจุนองค์กร
(ซึ่งบ้านเราจะมีปัญหามากเพราะตัวเลือกของคนดีในกลุ่มนักการเมืองมีน้อยเหลือเกิน)
แต่ยังดีที่เมืองไทยยังมีสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งถือเป็นมรดกทางสังคมที่เรายังดำรงไว้ เปรียบเสมือนเครื่องกำเนิดพลังเย็นที่ยิ่งใหญ่ ที่ได้ปฏิบัติกันต่อๆมาในกระบวนการคัดกรอง เทวราชา พุทธราชา ให้กลายเป็นธรรมราชา จนกลายมาเป็นสถาบันที่พึ่งพาในเรื่องของคนดี หรือต้นฉบับของคนดี สมเป็นประมุขของแผ่นดินที่ปกครองแผ่นดินโดยธรรม
เมืองไทยของเราจึงมีระบอบประชาธิปไตยที่แปลกแยกจากบ้านอื่นตรงเรามีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นผู้ใช้อำนาจนาจอธิปไตยแทนชวงชน
ธรรมะนั้นมาจากธรรมชาติ ซึ่งเป็นการศึกษาถึงแนวทางของความเป็นไปอย่างธรรมดาของสรรพชีวิตที่อาศัยอยู่บนโลกนี้ ระบบของธรรมชาติอยู่กันเป็นเสมือนสหกรณ์หรือเป็นสังคม เหมือนระบบนิเวศของป่า โดยมีตัวป่าเป็นตัวบ้าน สัตว์ป่าและต้นไม้คือผู้อาศัย ต่างแบ่งหน้าที่กันดูแลซึ่งกันและกันในบ้านหลังใหญ่ การจัดระเบียบจึงเดินตามกฎที่ธรรมชาติสร้างขึ้น คือกฎแห่งการคัดสรรและการแบ่งปัน
กฎของการคัดสรรก็คือผู้แข็งแรงกว่าจะอยู่รอด
แต่กระนั้นกฎดังกล่าวก็ยังคงเป็นไปตามกฎแห่งความสมดุล
ที่หนีไม่พ้นที่สมาชิกต้องแบ่งปันกันหรืออิงอาศัยกัน
ในรอยเชื่อมของสังคมทุกสังคมสิ่งที่จะขาดไม่ได้ก็คือ น้ำใจ ของคนที่อยู่ในสังคมนั้น น้ำใจ
ถือเป็นมรดกทางถ้อยคำที่สื่อสารบรรยายถึงพลังแห่งชีวิตที่มองไม่เห็น ซึ่งสามารถถ่ายโอนความรู้สึกให้ไหลผ่านสู่กันและกันยามเกิดวิกฤตหรือเกิดทุกข์เข็น ถือเป็นประดิษฐ์กรรมทางชีวภาพที่ธรรมชาติสร้างสรรค์ให้สัตว์สังคมมียีสต์แห่งความเอื้ออาทรเชื่อมโยงต่อกันเพื่อรักษาเผ่าพันธุ์ของตนเอาไว้
น้ำใจคือส่วนหนึ่งของธรรมาธิปไตย และจะเป็นตัวช่วยที่จะทำให้ประชาธิปไตยในทางการเมืองอยู่รอดได้
การเมืองของบ้านเราเดี๋ยวนี้ขาดน้ำใจ ประชาธิปไตยก็เอาแต่เปลือกมาหุ้มตัว วิ่งหาการเลือกตั้งแล้วก็สร้างผลผลิตทางประชาธิปไตยแบบพิสดาร ด้วยการใช้เล่ห์กลมายาสาระพัดวิธีที่จะเอาชนะกัน ชนะแล้วก็นิยามกันผิดๆว่าการเมืองคือเรื่องของผลประโยชน์ซึ่งมันอยู่ตรงกันข้ามกับธรรมาธิปไตย
การเล่นการเมืองตามระบอบประชาธิปไตยที่เห็นเป็นอยู่มันไม่น่าจะใช่ มันน่าจะเป็นธนบัตรธิปไตย อนาธิปไตย อัตตาธิปไตย เสียมากกว่า
ยิ่งเอาเรื่องของบ้านของเมืองมาเล่นกันมันถึงได้เป็นอย่างนี้ เพราะคำว่าเล่นมันก็สื่อถึงกิริยาของภาษาอยู่แล้วว่าไม่จริงจัง
หยุดกันได้แล้วครับกับความก้าวร้าว การเอาชนะกัน น่าจะถึงเวลาที่หันหน้ามาคุยกันได้แล้ว
- - - - - - - - - - - - - - - - - -- - - - - - - - - - - - - - -
"...ความสำราญทางกายหรือฝ่ายโลกนั้น ต้อง"ดื่ม"หรือ ต้อง "กิน"อยู่เสมอ จึงจะสำราญ แต่ที่แท้ มันเป็นเพียงการระงับ หรือ กลบเกลื่อนความหิว ไว้ทุกชั่วคราวที่หิวเท่านั้น ส่วนความสำราญทางฝ่ายใจ หรือ ฝ่ายธรรมนั้น ไม่ต้องดื่ม ไม่ต้องกิน ก็สำราญอยู่เอง เพราะมันไม่มีความหิว ไม่ต้องดื่มกิน เพื่อแก้หิว ที่กล่าวนี้..."[ท่านพุทธทาสภิกขุ]
จากคุณ :
ไทยพันธุ์แท้
- [
17 ก.ค. 49 22:50:44
]