ความคิดเห็นที่ 1 นายสุรินทร์ ฐิติปุญญา ว่าที่ ส.ว.พิษณุโลก พร้อมผู้นำชุมชนใน จ.พิษณุโลก กว่า 50 คน เข้ามอบช่อดอกไม้ให้กำลังใจ พล.ท.สพรั่ง กัลยาณมิตร แม่ทัพภาคที่ 3 หลังจากออกมาแสดงจุดยืนต่อสถานการณ์บ้านเมืองที่เกิดขึ้นในขณะนี้ พล.ท.สพรั่ง กัลยาณมิตร แม่ทัพภาคที่ 3 กล่าวกับผู้ที่มาให้กำลังใจถึงเหตุที่ออกมาแสดงจุดยืนว่า เป็นสามัญสำนึกของตนที่มีต่อประเทศชาติและเชื่อว่ามีอยู่ในจิตสำนึกของประชาชนทุกคนอยู่แล้ว สำหรับการออกมาเคลื่อนไหว เพื่อให้ทราบว่า กองทัพและทหารในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีความจงรักภักดีต่อพระองค์และแผ่นดิน พร้อมทั้งส่งสัญญาณไปยังประชาชนว่า ทหารไม่ได้นิ่งเฉยต่อเหตุการณ์ความไม่สงบของบ้านเมือง แม่ทัพภาคที่ 3 กล่าวต่อว่า สิ่งที่ประชาชนทั่วไปได้รับทราบเกี่ยวกับทหารผ่านทางสื่อมวลชนนั้น เป็นเพียงส่วนเล็กน้อยเท่านั้น ในการที่ทหารได้ออกมาแสดงจุดยืนไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ไม่ใช่เพราะอยากเด่นอยากดัง แต่เพราะต้องการปกป้องรักษาสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และไม่ได้นิ่งเฉยต่อเหตุการณ์ความไม่สงบของบ้านเมือง แต่ที่ผ่านมาได้ปล่อยให้การเคลื่อนไหวต่างๆ เป็นไปตามกติกาของระบอบประชาธิปไตย "แต่ในขณะนี้ได้เกิดความขัดแย้งและสร้างความแตกแยกให้เกิดขึ้นในหมู่ประชาชน ทั้งยังมีแนวโน้มว่าเหตุการณ์จะรุนแรงบานปลายไปมากกว่าเหตุการณ์ในสมัย 14 ตุลา และ 16 ตุลา เพราะในขณะนี้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มีแต่การสร้างความแตกแยก ความขัดแย้งให้เกิดขึ้น ชนิดที่เรียกว่า น่าตระหนก จนรู้สึกได้ว่า บ้านเมืองใกล้ถึงคราววิบัติแล้ว" แม่ทัพภาคที่ 3 กล่าวต่ออีกว่า ตนขอประกาศตัวเป็นศัตรูกับทุกคนที่ต้องการสร้างความแตกแยกและทำให้บ้านเมืองเสียหาย พร้อมทั้งจะขอเป็นบุคคลที่ยืนอยู่แถวหน้า เพื่อต่อสู้กับผู้ที่ปองร้ายประเทศชาติ โดยไม่หวั่นอิทธิพลใดๆ ทั้งสิ้น โดยตั้งความหวังคือต้องการให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อย ให้มีคนดีเข้าไปบริหารและปกครองประเทศ ต้องสกัดกั้นไม่ให้คนไม่ดีเข้าไปบริหารบ้านเมือง เพราะมีแต่จะทำให้บ้านเมืองเสียหายล่มจมมากไปกว่านี้ อย่างไรก็ตาม สุดท้ายขอฝากให้ประชาชนทุกๆ คน ได้กลับไปสำรวจตัวเองก่อนว่า เป็นสาเหตุของความขัดแย้งในบ้านเมืองขณะนี้อยู่หรือไม่ ที่สำคัญอยากให้ทุกฝ่ายได้หันกลับไปยึดมั่นในกระแสพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่พระราชทานไว้เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน ควรต้องรู้จักเสียสละและถวายความจงรักภักดี เพื่อทดแทนบุญคุณให้แก่แผ่นดิน ทดแทนบุญคุณให้ในหลวง ซึ่งพระองค์ทรงเป็นพ่อของแผ่นดินด้วย สำหรับ พล.ท.สพรั่ง นั้น เป็นนักเรียนเตรียมทหารรุ่น 7 เติบโตในกองทัพภาคที่ 3 ตำแหน่งก่อนขึ้นเป็นแม่ทัพคุมพื้นที่ 17 จังหวัดนั้น เป็นแม่ทัพน้อยที่ 3 มาก่อน ช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา มีรายงานข่าวว่า พล.ท.สพรั่ง จะถูกย้ายเข้ามาประจำกองทัพบก โดยมี พล.ต.มนัส เปาริก รองแม่ทัพภาคที่ 3 ซึ่งเป็นนักเรียนเตรียมทหารรุ่น 10 รุ่นเดียวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี ขึ้นรับตำแหน่งแม่ทัพแทน โดยในช่วงสถานการณ์การเมืองกำลังร้อน มีการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรนั้น พล.ท.สพรั่ง เดินทางเข้าพบ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ซึ่งช่วงนั้นก็มีข่าวลือว่า กองทัพภาคที่ 3 ตบเท้าเคลื่อนพล และต่อมากระแสข่าวก็พัฒนาตัวเองไปจนถึงขั้นที่ว่าจะมีการปฏิวัติ จากคุณ : จอมกระบี่ไร้พ่าย - [ 21 ก.ค. 49 02:23:15 ]

ความคิดเห็นที่ 2 แกนนำเตรียมทหารรุ่น  10  ซึ่งขัดแย้งกับแม่ทัพภาคที่ 3 มองว่า การเคลื่อนไหวของแม่ทัพภาคที่  3  ในห้วงเวลาที่ผ่านมา มีวัตถุประสงค์ที่จะชิงกระทำการรัฐประหารเอง  และเป็นการเคลื่อนไหวเพื่อสนองตอบต่อการแต่งตั้งโยกย้ายที่จะมีขึ้น  เพราะ  พล.ท.สพรั่ง  ซึ่งจะเกษียณอายุราชการในปี  51  ต้องการขยับเข้ามาในไลน์  5  เสือ  ทบ.สอดคล้องกับความต้องการของ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) เองก็ต้องการถ่วงดุลกับเตรียมทหารรุ่น 10 แหล่งข่าวจากเพื่อนร่วม  ตท.10  เปิดเผยว่า  การที่ พล.ท.สพรั่ง แม่ทัพภาคที่ 3 ออกมาแสดงจุดยืนเป็นปฏิปักษ์กับฝ่ายรัฐบาล โดยเฉพาะการต่อต้านท้ารบกับนักการเมืองที่ทำลายประเทศชาตินั้น   เพราะแม่ทัพภาคที่  3 รู้ว่าการที่เขาแสดงจุดยืนครั้งนี้ เพื่อต้องการเข้าไลน์  5 เสือ ทบ. ซึ่งถือว่าเป็นกลวิธีที่ทำอยู่ในขณะนี้ ทั้งนี้แม่ทัพภาคที่ 3 มั่นใจว่า รัฐบาลจะหมดอำนาจลง ถึงได้แสดงจุดยืนอยู่ตรงข้ามกับรัฐบาล ซึ่งแม่ทัพภาคที่  3  เป็นกลุ่มทหารที่อยู่เหนือการควบคุมของรัฐบาล และไม่พอใจระบอบประชาธิปไตยที่เป็นอยู่จนอาจจะถึงขั้นรัฐประหาร "แม่ทัพภาคที่ 3 ได้เตรียมกำลังเอาไว้จำนวนหนึ่งมีประมาณ  3-4  กองพัน พร้อมวางแผนมาตลอด  โดยอ้างว่าจะมารักษาความปลอดภัย  แต่ในความเป็นจริงจะทำรัฐประหาร และยังมีกลุ่มเพื่อนอยู่ใน กทม.จำนวนหนึ่ง มีการซ้อมรบในเวลากลางคืนและมีการปลุกระดมทหารที่อยู่เหนือการควบคุมของรัฐบาล" แกนนำ ตท.10 กล่าว และว่าความเป็นจริงแล้วแม่ทัพอยู่ในการควบคุมของรัฐ แต่มาประกาศตัวสนับสนุนผู้อยู่เหนือการควบคุมของรัฐ ซึ่งจะทำให้ประเทศวุ่นวาย เป็นทหารไม่น่าจะเข้ามายุ่งเรื่องนี้ นอกจากประชาชนจะได้รับความเดือดร้อนและมีความสั่งมาทหารถึงจะออกไป แหล่งข่าวคนเดิมกล่าวต่อว่า เท่าที่ทราบมากลุ่มของแม่ทัพภาคที่ 3 มีการเตรียมพร้อมมาหลายครั้งแล้ว ในช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา และในวันที่มีการเลือกตั้งกลุ่มนี้ก็มีการเคลื่อนไหว ซึ่งเขาได้คิดแผนการว่าถ้าเอากองกำลังเข้ามาใน กทม. ซึ่งได้กำหนดสถานที่ไว้เรียบร้อยแล้ว  ที่ออกมาพูดใน  2-3 วันนี้ มันไม่ใช่เรื่องของทหาร และไม่ใช่หน้าที่ของทหาร ทำให้ทหารเสีย  และเกิดความแตกแยกของคนในชาติรวมทั้งทหารด้วย  ซึ่งแม่ทัพภาคที่ 3 เป็นคนที่มีพฤติกรรมไม่ดี เปรียบได้กับสมัย รสช.ชอบคิดการณ์ไม่เข้าท่า คนคนนี้ต้องระวังเพราะไม่มั่นใจว่าเขาจะเป็นทหารยุคเก่าหรือไม่ ทั้งนี้  ยังมีคนมีอำนาจเหนือกว่าหนุนหลังอยู่ด้วย  ซึ่งเรื่องที่ทางกองทัพภาคที่  3 เตรียมกำลังพลเคยมีข่าวออกมา แต่เขาก็ปฏิเสธโดยอ้างว่าเป็นการฝึกซ้อมธรรมดา แกนนำ  ตท.10  คนเดิม กล่าวด้วยว่า เมื่อครั้งที่นายกฯ เรียกประชุมหัวหน้าส่วนราชการแล้วได้พูดถึงผู้มีบารมีที่อยู่นอกเหนือรัฐธรรมนูญ    แท้ที่จริงแล้วนายกฯ  หมายถึงกลุ่มนี้  ทั้งนี้ตนได้มีโอกาสพบกับนายกฯ ในงานเลี้ยงรุ่น ตท.10  นายกฯ ได้พูดไว้เสมอว่า จะดีไม่ดีอย่างไร ก็ไม่ให้ทำการรัฐประหาร ให้รักษาระบอบประชาธิปไตยไว้  แม้ว่าจะต้องล้มลุกคลุกคลานก็ขอให้  ตท.10  อย่าออกมาเคลื่อนไหว อย่าออกมาเป็นเครื่องมือของใคร หากรุ่น 10 จะออกไปดำเนินการใดๆ นั้น ก็ต้องเนื่องมาจาก ผบ.ทบ.เป็นคนสั่ง และต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย แหล่งข่าวคนเดิมกล่าวอีกว่า ตนทราบดีว่า พล.ท.สพรั่ง ซึ่งแม้จะเป็นผู้บังคับบัญชาตน ก็ทราบดีว่าไม่ชอบรัฐบาล ในใจท่านต้องการปฏิวัติ มีความคิดมักใหญ่ใฝ่สูง ไม่หวังดี ใครก็รู้ท่านไม่ชอบการปกครองระบอบประชาธิปไตย เป็นคนชอบระบอบเผด็จการ การที่ท่านออกมาพูด ออกมาแสดงจุดยืนต่างๆ เป็นการทำนอกเหนือหน้าที่ ปลุกให้ทหารไม่เป็นไปตามกลไกของรัฐ "ขณะนี้มีกลุ่มทหารพวกเกษียณไม่พอใจรัฐบาล และคอยถือหางแม่ทัพภาคที่ 3 ที่จริงไม่น่าจะเคลื่อนไหว ถ้าหวังดีต่อชาติก็ไม่ควรจะออกมาอย่างนี้ ควรจะออกมาตามคำสั่ง ก่อนเกิดวิกฤตการณ์ได้สั่งกำลังพลในหน่วยพร้อม ทั้งที่ ทบ.ไม่ได้สั่งการ" เพื่อน  ตท.10  ยังกล่าวถึงการเปรียบเทียบรัฐบาลทักษิณ  ที่ พล.อ.เปรม  ติณสูลานนท์  ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ  ออกมากล่าวถึงการบริหารงานของรัฐบาลเปรียบเหมือนเช่นจ๊อกกี้ว่า  ไม่เหมือนจ๊อกกี้บางคนสมัยปี  2523-2524  ที่มีการเปลี่ยนนายทหารข้ามหัวแบบมหาศาล  อย่างไรก็ตามตนพร้อมสนับสนุนคำพูดของนายสมัคร  สุนทรเวช ที่ออกมากล่าวติคำพูดของ พล.อ.เปรม ที่เปรียบรัฐบาลเหมือนจ๊อกกี้ เพื่อให้ป๋าท่านรู้ว่าท่านเคยทำอย่างนี้มาแล้ว "ท่านก็เป็นจ๊อกกี้ไม่ได้เรื่อง  เกษียณมาแล้วก็ไม่ควรมายุ่ง  ควรจะจบ  ผมไม่ได้เป็นลูกป๋า  ลูกเป็นอะไรหรอก  ผมรับราชการเมื่อเกษียณก็จบทันที  การที่ไปพูดจูงใจ สร้างความแตกแยก ไม่ใช่ครั้งนี้ครั้งเดียว  สมควรแล้ว  ที่ต้องมีคนอย่างนี้บ้าง  ที่กล้าออกมาพูด  ต้องรู้หน้าที่ตัวเองไม่ใช่อยู่เพื่อสร้างบารมีตัวเอง" แหล่งข่าวกล่าว เมื่อถามว่ากระแส   ตท.10  ที่จะดัน  พล.อ.พรชัย กรานเลิศ ผช.ผบ.ทบ.ขึ้นเป็น ผบ.ทบ.นั้น แหล่งข่าวกล่าวว่า  ยังไม่ถึงเวลา  ควรจะขึ้นเป็นรองก่อนตามขั้นตอน  ถ้าไม่อาวุโสก็ขึ้นไม่ได้ เว้นแต่ ผบ.ทบ.จะให้ปีนี้ เพราะยังไง พล.อ.พรชัย ก็ได้เป็น ผบ.ทบ.อยู่แล้วไม่ต้องรีบ อย่างไรก็ตาม นายกฯ ท่านเป็นสุภาพบุรุษ ไม่เคยล้วงลูก พล.อ.สนธิ  บุญยรัตกลิน  ผบ.ทบ.  กล่าวถึงกรณีที่  พล.ท.สพรั่ง  กัลยาณมิตร แม่ทัพภาคที่ 3 ออกมาวิพากษ์วิจารณ์สถานการณ์การเมืองว่า  พล.ท.สพรั่งแสดงออกว่าเขาเป็นคนไทยมีความรักชาติ และรักพระมหากษัตริย์ ซึ่งถือเป็นหน้าที่เขา และเป็นหน้าที่ของเรา ผู้สื่อข่าวถามว่า  การที่  พล.ท.สพรั่ง ออกมาพูดแบบนี้จะทำให้เกิดความแตกแยก ที่ทหารออกมาพูดเรื่องการเมืองหรือไม่ พล.อ.สนธิ ย้อนถามว่า "การเมืองตรงไหน ขอให้ยกตัวอย่าง" ผู้สื่อซักถามว่า พล.ท.สพรั่ง  ไม่ยอมให้คนไม่ดีมาอยู่ในสังคม  พล.อ.สนธิ กล่าวว่า ก็เป็นเรื่องการบริหารจัดการประเทศต้องเอาคนดีมาบริหารประเทศอยู่แล้ว เมื่อถามว่า สิ่งที่ พล.ท.สพรั่ง ออกมาพูดถูกต้องหรือไม่ พล.อ.สนธิ กล่าวว่า "เขามีความรักชาติและห่วงชาติ เขาก็มีสิทธิ์" พล.อ.สนธิ ยังกล่าวถึงกรณีกระแสข่าว พล.อ.พรชัย กรานเลิศ ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบกเข้าพบ เพื่อเคลียร์ปัญหาเกี่ยวกับกระแสข่าวแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารประจำปี 2549 ว่า พล.อ พรชัย มาคุยกับตนเกือบทุกวัน  ส่วนใหญ่จะคุยเรื่องทางธุรการและเรื่องส่วนตัว  ทั้งนี้  สำหรับการปรับย้ายนายทหารประจำปี  พล.อ.เรืองโรจน์  มหาศรานนท์  ผู้บัญชาการทหารสูงสุด  ให้เอกภาพการทำงานของกองทัพอย่างเต็มที่ เช่นเดียวกับกองทัพบกที่ให้แต่ละกองทัพภาคมีเสรีในการจัดทำบัญชี เพื่อให้เกิดความเป็นเอกภาพในการปกครองและการบังคับบัญชา เมื่อถามว่า  การแต่งตั้งโยกย้ายจำเป็นต้องสนองความต้องการของฝ่ายการเมืองหรือไม่ พล.อ.สนธิ  กล่าวว่า ฝ่ายการเมืองให้แนวทางมาชัดเจนและให้เสรีภาพในการจัดทำ ซึ่งหลายคนคงเป็นห่วงและมีความปรารถนาดีต่อกองทัพ ซึ่งต้องขอขอบคุณ แต่ขณะนี้ฝ่ายการเมืองไม่ได้เข้ามายุ่ง ทั้งนี้ ไม่รู้สึกหนักใจและคิดว่า  ตท.10 คงไม่ได้กดดันตน ซึ่งการจัดทำบัญชีแต่งตั้งโยกย้ายของกองทัพบก คงเสร็จภายในสิ้นเดือนกรกฎาคมนี้ ทั้งนี้  การจัดทำบัญชียังอยู่ในอำนาจของกองทัพ  ซึ่งขั้นตอนสุดท้ายคงจะมีการหารือกันในรายละเอียดกับผู้บัญชาการเหล่าทัพ   และรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมอีกครั้ง  แต่เบื้องต้นยังไม่ได้หารือในรายละเอียดกับรักาาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม  มีเพียงการรับนโยบายจากผู้บัญชาการทหารสูงสุดเท่านั้น วันเดียวกันนี้มีการแจกจ่ายสำเนาคำสั่งกองทัพบก  ที่  423/2549 เรื่องให้นายทหารรับราชการ  จำนวน  129 นาย โดยคำสั่งดังกล่าวเป็นคำสั่งปรับย้ายนายทหารระดับผู้บังคับกองพัน หรือตำแหน่งผู้พัน ซึ่งการจัดทำครั้งนี้ถือว่าเป็นการจัดทำที่เร่งด่วน เพราะฤดูการปรับย้ายนายทหารระดับผู้บังคับกองพัน จะกระทำในห้วงหลังการสวนสนามรักษาพระองค์  ครั้งนี้ถือว่าเป็นค่ำสั่งนอกฤดูการ เพราะในคำสั่งได้ระบุให้รับเงินประจำตำแหน่งตั้งแต่กันยายนที่จะถึงนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคำสั่งปรับย้ายนายทหารระดับผู้บังคับกองพันดังกล่าว พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน  ผบ.ทบ. ได้หารือ และให้อำนาจแก่ พล.ท.อนุพงษ์ เผ่าจินดา แม่ทัพภาคที่ 1 อย่างเต็มที่ โดยได้เน้นย้ำให้นายทหารที่จะเข้ามาคุมกำลังจะต้องเป็นนายทหารที่มีความรู้  ความสามารถ  โปร่งใส ปราศจากเด็กนักการเมือง และผู้บังคับบัญชาสามารถควบคุมได้ จึงให้อำนาจเต็มแก่แม่ทัพภาคที่ 1 ผู้สื่อข่าวรายงานต่อว่า   สำหรับ  พล.ท.อนุพงษ์  เป็นเพื่อนร่วมรุ่น (ตท.10) กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกฯ แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์วิกฤติในบ้านเมืองในช่วงที่ กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยออกมากดดันชุมนุมขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ   ทางเพื่อนร่วมรุ่นที่อยู่ในตำแหน่งไม่ว่าจะเป็น  พล.ท.จิรสิทธิ์ เกษะโกมล  แม่ทัพน้อยที่  1 พล.ต.พฤณฑ์ สุวรรณทัต ผบ.พล.1 รอ. พล.ต.ศานิต พรหมาศ ผบ.พล.ม.2 รอ. พล.ต.เรืองศักดิ์ ทองดี ผบ.พล.ปตอ. พล.ต.ทวนชัย พันธุ์เพิ่มศิริ รอง จก.ทหารช่าง ต่างประชุมหารือกันบ่อยที่สโมสร พล.ปตอ. เพื่อยืนเคียงข้าง พ.ต.ท.ทักษิณ แต่ทาง พล.ท.อนุพงษ์ประกาศจุดยืนตลอดว่า เป็นทหารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และประเทศชาติ จนถูกเพื่อนร่วมรุ่น ตท.10 บอยคอตต์มาตลอด โดยถูกกดดันว่าเป็นเพื่อน ตท.10/1 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ส่วนการปรับย้ายนายทหารระดับผู้พัน พล.ท.อนุพงษ์ ได้หารือกับ  พล.อ.สนธิ  เพื่อต้องการให้ทหารอยู่ในจุดยืนไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง จึงไม่ได้หารือกับ พล.ต.พฤณฑ์ สุวรรณทัต ผบ.พล.1 รอ. ที่เป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรงของผู้บังคับกองพันหลายกองพันที่คุมกำลังหลักใน กทม.ที่ครั้งนี้โดนย้ายไปคนละทิศละทาง จึงเกิดความตึงเครียดในหมู่ ตท.10 โดยเฉพาะ พล.ต.พฤณฑ์ หรือ "บิ๊กโอ๋" กับ พล.ท.อนุพงษ์  ต่างไม่พูดจา  และไม่มองหน้ากันในช่วงนี้   และเกิดการแบ่งเป็น  2 ฝ่ายภายใน ตท.10 ด้วยกันคือ ผู้ที่จะเลือกอยู่ฝ่าย พล.อ.สนธิ และฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ สำหรับตำแหน่งผู้พันหลักที่คุมกำลังหลักในกรุงเทพฯ ที่โดนปรับออกประกอบด้วย พ.ท.โฆษิต ชินวลัญช์ ผบ.ม.พัน.4 รอ. (ตท.23) ซึ่งคุมรถถังหลักใน กทม. และเป็นลูกเขยของ พล.ต.ศานิต พรหมาศ ผบ.พล.ม.2 รอ. ถูกย้ายกระเด็นไปเป็น เสธ.จทบ.สระบุรี จากคุณ : จอมกระบี่ไร้พ่าย - [ 21 ก.ค. 49 02:23:35 ]

ความคิดเห็นที่ 3 กองทัพบกออกหนังสือแจง กระแสข่าวโยกย้ายกำลังพลสกัดปฏิวัติ ประชาไท—21 ก.ค. 2549 กองทัพบกออกหนังสือชี้แจงและวิงวอนสื่อกรณีกระแสข่าวโยกย้ายกำลังพล ระบุหากมีการวิพากษ์วิจารณ์โดยไม่ได้อยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง จะยิ่งสร้างความสับสนให้สังคมไทยมากขึ้น ด้าน แม่ทัพภาคที่ 3 ชี้ข่าวว่ากองทัพภาคที่ 3 ซ่องสุมกำลังเพื่อก่อปฏิวัติออกมาตามสื่อมวลชนแขนงต่างๆ นั้น เป็นเพราะมีทหารเลว 2-3 คน พยายามสร้างข่าวเอาไปเชลียร์ รักษาการนายกรัฐมนตรี หลังจากมีคำสั่งโยกย้ายนายทหารระดับผู้บังคับกองพันของกองทัพบกที่คุมกำลังหลักในเมืองหลวงเป็นกรณีเร่งด่วนเมื่อวันที่ 19 ก.ค. ท่ามกลางกระแสข่าวว่าเป็นการสกัดกั้นการปฏิวัตินั้น ล่าสุด กองทัพบกได้ออกเอกสารชี้แจงกรณีดังกล่าว โดยกองทัพบกเห็นว่าการเสนอข่าวดังกล่าวอาจทำให้สาธารณชนสับสน และเข้าใจผิดในระบบการบริหารงานของกองทัพบกได้ จึงขอชี้แจงว่าการแต่งตั้งครั้งนี้เป็นไปตามวงรอบของการแต่งตั้งโยกย้าย แต่สาเหตุที่ล่าช้าเนื่องจากปีนี้การแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารระดับนายพลของกระทรวงกลาโหม มีขึ้นช่วงปลายเดือนเมษายน ทำให้การปรับย้ายในระดับรองลงมาต้องเลื่อนระยะเวลาตามไปด้วย ทั้งนี้ ในการแต่งตั้งโยกย้ายทุกตำแหน่ง กองทัพบกมีนโยบายชัดเจนที่มอบหมายให้ผู้บังคับหน่วยขึ้นตรงกองทัพบกเป็นผู้รับผิดชอบพิจารณาตามความเหมาะสม ทั้งด้านความรู้ ความสามารถ และเมื่อมีการเสนอรายชื่อมาตามขั้นตอนจนถึงระดับกองทัพบก จะมีคณะกรรมการพิจารณากลั่นกรองอีกระดับหนึ่ง โดยมีรองผู้บัญชาการทหารบกเป็นประธานคณะกรรมการ และจะใช้การประชุมเพื่อพิจารณาคัดสรรให้ได้บุคลากรที่มีคุณสมบัติเหมาะสมกับตำแหน่งต่างๆ กองทัพบกจึงขอชี้แจงให้สาธารณชนรับทราบ รวมทั้งขอวิงวอนสื่อมวลชน ตระหนักถึงการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องดังกล่าวด้วย โดยเฉพาะในขณะนี้ประเทศชาติต้องการความรัก ความสามัคคี อีกทั้งกองทัพบกยังเป็นองค์กรหลักด้านความมั่นคง หากมีการวิพากษ์วิจารณ์โดยไม่ได้อยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง จะยิ่งสร้างความสับสนให้สังคมไทยมากขึ้น ดังนั้น หากมีข้อสงสัยในการบริหารงานของกองทัพบก สามารถสอบถามข้อมูลที่ศูนย์ประชาสัมพันธ์กองทัพบก กองบัญชาการกองทัพบก ถ.ราชดำเนินนอก กรุงเทพมหานคร ได้ตลอดเวลา ด้านพล.ท.สพรั่ง กัลยาณมิตร แม่ทัพภาคที่ 3 กล่าวว่า กรณีที่มีข่าวว่ากองทัพภาคที่ 3 ซ่องสุมกำลังเพื่อก่อปฏิวัติออกมาตามสื่อมวลชนแขนงต่างๆ นั้น เป็นเพราะมีทหารเลว 2-3 คน พยายามสร้างข่าวเอาไปเชลียร์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี เพื่อหวังยศ ตำแหน่ง โดยไม่คำนึงถึงกองทัพ เป็นการสร้างความแตกแยกในกองทัพเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง ส่วนประเด็นการลอบฝึกความพร้อมรบของทหารในสังกัดกองทัพภาคที่ 3 นั้น พล.ท.สพรั่ง ระบุว่า ได้ปฏิบัติมาตั้งแต่ตนเองเข้ามารับตำแหน่งในวันแรกอยู่แล้ว เพราะต้องพร้อมเผชิญเหตุการณ์ภัยคุกคามที่มีอยู่ทุกรูปแบบในปัจจุบัน ทั้งเรื่องของการก่อการร้าย ปัญหาความไม่สงบในภาคใต้ ปัญหายาเสพติด แม้แต่การเกิดภัยพิบัติต่าง ๆ สิ่งเหล่านี้เป็นหน้าที่ของทหารอาชีพ ที่ต้องมีความพร้อมสามารถปฏิบัติการได้ตลอดเวลา ไม่ใช่กองทัพภาคที่ 3 เตรียมความพร้อมเพื่อซ่อมสุมกำลังพลรอการปฏิวัติ แก้ไขเมื่อ 21 ก.ค. 49 02:25:27 จากคุณ : จอมกระบี่ไร้พ่าย - [ 21 ก.ค. 49 02:24:55 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ตามมาด้วยการ ใส่ฟืนใส่ไฟ ของ หนังสือพิมพ์ ผู้จัดการ เมื่อหาญกล้า‘ถ่มน้ำลายรดฟ้า’ ก็ต้องรับผล‘ละเลงหน้าตัวเอง’ โดย ผู้จัดการรายวัน 21 กรกฎาคม 2549 00:37 น.      "กระบี่พระราชทาน ปานประหนึ่งฟ้าให้      ไว้ตัดหัวผู้คิดคด ทรยศต่อแผ่นดินสยาม      กระทำผิดคิดมิชอบ กอปรด้วยกิเลส      เศษมนุษย์มาผุดมาเกิด เชิดใบหน้าด้วยภิกขุ      ใจคุกรุ่นโลกีย์ หากผู้ถือกระบี่เล่มนี้เป็นเอง      ขอให้วอดวาย ตายตามเทอญ"            นี่คือคติของทหารรักษาพระองค์ทุกคน !            เมื่อพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรหาญกล้าเปิดยุทธการชนฟ้าระยะที่ 1 เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2549 การตอบโต้ก็เกิดขึ้นในทันที            พล.ท.สพรั่ง กัลยาณมิตร มท.ภ.3 เริ่มเดินสายออกมาแสดงท่าทีของ “ทหารอาชีพ” และ “ทหารของพระเจ้าอยู่หัว” อย่างชัดเจนต่อสาธารณะตั้งแต่ต้นเดือนกรกฎาคม 2549 แต่ยังไม่ปรากฏเป็นข่าว และยังไม่ได้รับการจับตาจากสังคมภายนอกมากนัก หนึ่งในสถานที่ ๆ แม่ทัพภาคที่ 3 เดินสายไปเป็น “ถ้ำเสือ” โดยแท้ นั่นคือการไปพูดต่อหน้ากำลังพล โดยประกาศอย่างชัดเจนแสดงความไม่พอใจนักการเมืองที่ปากกล้า เหิมเกริม      ในบ้านเกิดของรักษาการนายกรัฐมนตรีเลยทีเดียว            ค่ายกาวิลละ จังหวัดเชียงใหม่            การเคลื่อนไหวของแม่ทัพภาคที่ 3 ยิ่งชัดเจนขึ้นเป็นลำดับตั้งแต่ช่วงวันที่ 7 กรกฎาคมเป็นต้นมา เมื่อมีคำสั่งให้สถานีวิทยุกองทัพภาคที่ 3 ทั้ง 23 สถานีในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ ประชาสัมพันธ์ชี้แจงให้ประชาชนได้ทราบว่าอย่าได้ตกเป็นเครื่องมือของฝ่ายการเมืองที่หวังระดมพลเข้ากทม.            ที่จังหวัดเพชรบูรณ์ กองกำลังผาเมือง (ทหารม้า) ส่งหน่วยประชาสัมพันธ์ออกเตือนประชาชนว่าอย่าหลงการปลุกระดมของบุคคลบางฝ่าย            จากกองทัพภาคที่ 3 ข้ามฟากมาสู่กองทัพภาคที่ 2 เวลาเดียวกัน ที่จังหวัดนครราชสีมา กองกำลังสุรนารี สั่งให้หน่วยขึ้นตรงเข้าพบทำความเข้าใจกับประชาชนถึงบันไดบ้าน ทุกครอบครัว ทุกหมู่บ้าน เพื่อขอร้องให้อยู่ในความสงบ อย่าไปหลงเชื่อผู้ที่มาชักชวนไปชุมนุม หรือไปก่อการอย่างใดที่ใดก็ตาม และมีรายงานว่าทหารได้เขียนป้าย “เราคือทหารของพระเจ้าอยู่หัว” ติดข้างรถยีเอ็มซี. เพื่อแสดงจุดยืนที่ชัดเจนของตนเอง            ปรากฏการณ์ที่เป็น “แอ็คชั่น” ในช่วงสัปดาห์แรกหลังจากวาทะชนฟ้าในรอบนี้ มีที่มาที่ไป            เพราะอย่างน้อย พล.ท.สพรั่ง กัลยาณมิตร ก็เป็นหนึ่งในบรรดา “ลูกป๋า” ที่ยืนอยู่ข้าง พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผบ.ทบ. ตั้งแต่ครั้งคุมเชิงประลองกำลังในสถานการณ์ชุมนุมประท้วงเดือนมีนาคม 2549            ในห้วงเวลานั้นข่าวทางเปิด พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน มีเพียงหน่วยสงครามพิเศษ (นสศ.) เท่านั้นที่ไว้วางใจได้ จึงได้ให้ “พลร่มป่าหวาย”, “หมวกแดง” ขยับเข้ากทม. ทดแทนกำลังทหารจากพล.ปตอ. ที่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของ ตท. 10 แต่แท้จริงแล้ว นอกจากกองกำลังจากป่าหวาย ผบ.ทบ.ยังมีกำลังสำรองในสายรบพิเศษจากต่างจังหวัด เช่น จากเชียงใหม่ อีกจำนวนหนึ่ง ที่ได้รับคำสั่งเตรียมพร้อม 24 ชั่วโมง โดยเครื่องซี.130 ของกองทัพบก ที่สแตนด์บายเอาไว้ 2 ลำ            สถานการณ์คุมเชิงระหว่าง ตท.10 กับ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ไม่ได้สิ้นสุดลงเมื่อหมดม็อบ            เพราะหลังสถานการณ์การเมืองหลังม็อบพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยพักรบเมื่อสิ้นเดือนมีนาคม และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรถูกบีบจนต้องประกาศเว้นวรรคออกจากตำแหน่ง 4 เมษายน 2549 กลับยิ่งทวีความแหลมคม            เพราะมีข่าวการขยับอย่างผิดสังเกตของนายทหารที่ใกล้ชิดพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ว่าด้วยการใช้กำลังรองรับอำนาจให้กับรัฐบาลพรรคไทยรักไทยอยู่ต่อไป            ช่วงนี้เองที่มีการพูดคุยด้วยท่วงทำนอง “พี่น้องเลือด จปร.” สีเดียวกัน เพื่อป้องปรามไม่ให้เกิดการใช้กำลังทหารออกมาเพื่อรองรับอำนาจการเมือง            ช่วงเทศกาลสงกรานต์ต่อเนื่องถึงสิ้นเดือนเมษายน 2549 เป็นช่วงที่ผบ.พัน ทั้ง 15 กองพัน ในสังกัด 3 กองพลใหญ่หัวใจรัฐประหาร ไม่ได้หยุดพักเช่นเดียวกับประชาชนทั่วไป            เพราะเป็นช่วงของการตรวจแถว วัดหัวใจ ใครจะยืนตรงไหน            เมื่อถึงเวลาที่ต้องการ ใครจะออก หรือใครปฏิเสธไม่ออก            ซึ่งในแวดวงทหารก็รับรู้กันว่า การผูกสัมพันธ์เพื่อนร่วมรุ่นตาม “วิธีการทักษิณ” นั้นเขาใช้อะไรผูก            ระดับนายพลเพื่อนร่วมรุ่นนั้นชัดเจนว่าอยู่กับรักษาการนายกรัฐมนตรีคนนี้แล้ว “อิ่ม” จึงบังเกิดการปล่อยข่าวลือแพร่ในกองพันเมืองกรุงต่าง ๆ นานาในทำนองว่า...            “เงินมาแล้ว กรมนี้ได้มา 3 ล้าน...แบ่งกองพันละล้าน”            แต่ที่สุดแล้ว การเคลื่อนไหวจัดทัพ จัดคน ของทหารเมืองหลวง ก็ถูกจัดการด้วยวิธีการแบบพี่น้อง และบรรดาผบ.พันส่วนใหญ่ปฏิเสธที่จะเข้าร่วมหากมีปฏิบัติการ            ข่าวปฏิวัติเริ่มแพร่ออกมาสู่ภายนอกในช่วงกลางเดือนเมษายน 2549 สอดคล้องกับที่พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวถึงความไม่สบายพระทัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในระดับที่ทรงยืนเหม่อทอดพระเนตรมองทะเลเป็นเวลานาน            ต้นเดือนพฤษภาคม 2549 ผบ.เหล่าทัพเข้าเฝ้าฯ ภาพที่เป็นข่าวปรากฏภายนอกคือการเข้าเฝ้าระยะสั้น ๆ หากแท้จริงแล้วหลังจากกล้องโทรทัศน์เสร็จภารกิจ มีรายงานข่าวว่าพล.อ.สนธิ บุญยรัตกลินยังคงอยู่ถวายรายงานต่อเพียงคนเดียวอีกช่วงหนึ่ง ท่าทีเช่นนี้ ทำให้ผู้มีอำนาจทางการเมืองไม่สบอารมณ์ และใช้วิธีที่เคยใช้กับ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลลานนท์ ครั้งเป็นผบ.ทบ. คือเข้าไปถามตรง ๆ ในกรณีนี้ คำถามที่ผบ.ทบ.ได้รับก็คือ...            “พี่จะปฏิวัติผมเหรอ ?”            ซึ่งคำตอบที่ให้กลับมา มี “นัย” ซ่อนอยู่ “ระหว่างบรรทัด” อย่างชัดเจน            “ในช่วงนี้ถ้าผมยังอยู่ในตำแหน่ง การปฏิวัติจะทำไม่ได้ แต่ถ้ามี คนที่จะทำได้คือผม”            คำตอบที่ซ่อนนัยดังกล่าวตีความเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ นอกจากว่า หากคนอื่นที่ไม่ใช่พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลินหากคิดจะทำ - ก็ทำไม่ได้เช่นกัน            เรื่องของกระแสการขยับเคลื่อนไหวของทหารใกล้ชิดอำนาจบริหารยังไม่จบ เพราะผู้ที่ต้องเกี่ยวข้องด้วยอีกคนหนึ่ง ก็คือ พล.เปรม ติณสูลานนท์ ที่ตามหน้าที่แล้วต้องรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้น            ในแวดวงนายทหารเล่ากันว่า งานศพของแม่ยายพล.อ.มงคล อัมพรพิศิษฎ์ ที่วัดเทพศิรินทร์ ในห้วงเวลาที่การขยับประลองกำลังของขุนทหารเสร็จสิ้นไประยะหนึ่ง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์เดินทางเป็นประธานในพิธี ในตอนกลับบุตรเขยของผู้ตายเจ้าของสมญา “บิ๊กหมง” ได้แนะนำนายทหารที่มาร่วมงาน ในจำนวนนั้นมีนายพลเอกหัวขบวนของ ตท. 10 ที่คั่วตำแหน่งผบ.ทบ.คนต่อไปรวมอยู่ด้วย ประธานองคมนตรีที่ปกติไม่พูด แต่วันนั้นก่อนขึ้นรถเอ่ยขึ้นว่า            “คนนี้เหรอที่คิดปฏิวัติ”            กลายเป็นเรื่องเล่าในแวดวงนายทหารรุ่นต่าง ๆ เพราะเป็นที่รู้กันว่านายพลเอกคนนี้ไม่ได้โตมาในสายคุมกำลัง แต่กำลังลัดขั้นตอนโตเร็วหวังตำแหน่งใหญ่ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมในบรรดาแวดวงทหาร ขณะที่บิ๊กหมงนั้นเดิมจัดอยู่ในชั้น “ลูกป๋า” ระดับ “วงใน” แต่ระยะหลังใกล้ชิดรัฐบาล มีตำแหน่งใหญ่หลายตำแหน่ง หลัง ๆ ใกล้ชิดนายพลหัวขบวนตท. 10 มากขึ้น เมื่อเจอเหตุการณ์ดอกนี้ ถึงกับสะอึกไป            แท้จริงแล้ว เกมการคุมกำลัง หยั่งกันในเชิงอำนาจ ระหว่างทหาร 2 ฝ่าย ได้เริ่มขึ้นมาตั้งแต่การโยกย้ายนายทหารประจำปี 2546 ที่เริ่มมีการขยับ ตท. 10 ขึ้นมาคุมกำลังสำคัญในทุกกองทัพ โดยเฉพาะในกทม. แต่ในช่วงนั้นอำนาจทางการเมืองของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรยังมีอยู่เต็มเปี่ยม กระแสความนิยมยังไม่ตก จึงไม่มีแรงกระเพื่อมภายในกองทัพออกมาให้เห็น            ระบอบทักษิณจึงแทรกเข้าไปวางอำนาจภายในกองทัพอย่างชัดเจนตั้งแต่ยุคพล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตรข้ามห้วยมาขึ้นเป็นผบ.ทบ. และเริ่มวางเพื่อนร่วมรุ่นตท. 5 คุมกำลังหลัก แต่ที่สุดก็มาสะดุดในการโยกย้ายนายทหารประจำปี 2548 อันเป็นประวัติศาสตร์ที่โผทหารถูกเก็บไว้นานเกือบ 1 เดือน และก็ไม่เป็นไปตามที่รัฐบาลได้เสนอไปรอบแรก จนเกิดรอยร้าวที่ชัดเจนจากกรณี “ปากก้าวร้าว-วาจาจาบจ้วง” ของลูกผู้พี่ลูกผู้น้องในตระกุลชินวัตร 2 คน นั่นคือ...            ทางตรง - พาดพิงถึงพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี ในฐานะผู้กลั่นกรองโผ            ทางอ้อม - การบอกนักข่าวทำนองว่า “ถ้าถือ(โผ)ไปเองเรื่องก็เรียบร้อยแล้ว” ถือว่านี่คือการจาบจ้วงพระมหากษัตริย์ ทั้งไม่สนใจขั้นตอนตามที่เคยปฏิบัติมา และไม่คำนึงถึงพระราชอำนาจในฐานจอมทัพไทยตามรัฐธรรมนูญ และพระบรมราชวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญและนิติประเพณี            และที่สุด “รอยร้าว” ที่เกิดขึ้น 2 สาย            ระหว่าง พล.อ. สนธิ บุญยรัตกลิน กับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และ ตท.10 -- สายหนึ่ง            และระหว่าง พล.อ. เปรม ติณสูลานนท์ กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร -- อีกสายหนึ่ง            ก็ได้มาบรรจบกันเพราะการเปิดยุทธการท้าชนฟ้า–จาบจ้วงผู้เสมือนมีบารมีนอกรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2549            ก่อให้เกิดปฏิบัติการ “หักปีกทักษิณ” ขึ้นในห้วงเวลาต่อมาอย่างทันทีทันใด            ระยะแรกของปฏิบัติการ ดูประหนึ่งว่าผู้ที่ไม่พอใจคำพูดของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีไม่มาก และไม่กล้าแสดงตนออกมา            จนกระทั่งการเคลื่อนไหวเป็นทัพหน้าของ พล.ท.สพรั่ง กัลยาณมิตร ในห้วงวันที่ 8 - 14 กรกฎาคม 2549 ที่เริ่มจากปฏิกิริยาเล็ก ๆ จากนายทหารต่างจังหวัด            และก็มาถึง “สัญญาณธง” ที่พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์สวมชุดทหารหมวกเบเร่ต์ดำ ถือโบกสะบัดเหนือโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าในวันที่ 14 กรกฎาคม 2549            เป็น “สัญญาณธง” ที่ชัดเจนไม่ต้องตีความอ้อมค้อมอีกต่อไป            ดูเหมือนว่าพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรเพียงคนเดียวที่ไม่เข้าใจความหมายของสัญญาณ หรือหากเข้าใจก็ได้แสดงท่าทีชัดเจนว่าไม่ใสนใจ ไม่ใส่ใจ ไม่มีความหมาย            เพราะวันรุ่งขึ้นเสาร์ 15 กรกฎาคม 2549 เขาก็ประกาศในรายการวิทยุว่าจะทูลเกล้าฯเสนอร่างพรฎ.กำหนดวันเลือกตั้งในหลังวันที่ 15 สิงหาคม 2549 ทั้ง ๆ ที่ข้อเท็จจริงแล้วร่างพรฎ.ดังกล่าวพ้นจากคณะรัฐมนตรีไปแล้ว อยู่ในขั้นตอนของสำนักราชเลขาธิการ ไม่บังควรที่จะไปก้าวล่วงแต่ประการใด เพราะจะเท่ากับเป็นการกดดันพระเจ้าอยู่หัว            ปฏิบัติการ “หักปีกทักษิณ” 19 กรกฎาคม 2549 จึงเกิดขึ้นอย่างทันควัน            และปฏิบัติการนี้ จะรวมถึงการไล่กวาดล้างอิทธิพลของระบอบทักษิณในกองทัพอย่างขนานใหญ่ตามมาในเร็ววัน            ซึ่งไม่เพียงจะส่งสัญญาณต่อระบอบทักษิณว่าห้ามข้องแวะสร้างอิทธิพลเหนือกองทัพเท่านั้น            ยังจะส่งผลสะเทือนที่ยิ่งใหญ่กว่า            เพราะนี่คือจุดเปลี่ยนสำคัญที่จะเป็นจุดเริ่มต้นของขบวนคลื่น “ข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” ที่จะเริ่มทยอยแสดงตนปฏิเสธอำนาจของระบอบทักษิณอย่างไม่กลัวเกรงอีกต่อไป สังคมเริ่มจับตาได้แล้วที่กระทรวงการต่างประเทศ กับการเปิดเผยจดหมายถึงคุณพ่อจอร์จ ดับเบิ้ลยู. บุช เชื่อว่าอีกไม่นานจะจับตาเห็นได้ที่กระทรวงการคลัง และกระทรวงอื่น ๆ            อีกไม่นานระลอกคลื่นเหล่านี้จะพัฒนาเป็น “สึนามิ” ถล่มเข้าไปที่พรรคไทยรักไทย และคณะรัฐมนตรีรักษาการ อย่างแน่นอน            เป็นเลือดที่ไหลออกชนิดท่วมทะลักชนิดที่เจ้าตัวคาดไม่ถึง !            และทางเลือกของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรจะเหลืออยู่ไม่มาก !!            ที่สุดถ้ายังไม่ยอมรับ “สุรามงคล” ชะตากรรมที่อาจจบลงด้วยการจำต้องลิ้มรส “สุราจับกรอก” ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ !!! จากคุณ : จอมกระบี่ไร้พ่าย - [ 21 ก.ค. 49 02:27:33 ]

ความคิดเห็นที่ 5 30กว่าปีที่แล้วในรัฐบาลทหารซึ่งใครหลายๆคนอาจเกิดไม่ทัน.. สื่อถูกริดรอนสิทธิ์..ถูกปิดถูกทำลายเครื่องพิมพ์..ข่าวสารโทรทัศน์วิทยุ จะต้องผ่านการกรองจากรัฐบาลก่อน..ผู้ใดตั้งกลุ่มทางการเมืองเรียกร้องสิทธิของประชาชนอันพึงมี ถูกตั้งข้อหาบ่อนทำลายความมั่นคงของชาติ..การประท้วงเดินขบวนถูกสลายด้วยความรุนแรง.. ถ้าวันนี้กลับไปสู่วันนั้น บอร์ดอย่างที่นี่คงเหลือไว้เพียงเสียงกระซิบเล่าขาน.. ชีวิตของวีรชนที่สูญไปก็จะเสียเปล่า.. เลือกเอาเถอะครับทุกท่าน..เหตุอย่างวันนั้นยังไม่เกิดถึงเกิดเราก็คงเรียกร้องสิทธิของเรากลับคืนมาได้ แต่..เราจะต้องแลกกับอะไรบ้างอย่างที่ วีรชนในอดีตของเราเคยแลก.. โปรดอย่าใช้สิทธิของท่านนำอดีตกลับมา แต่โปรดใช้สิทธิของท่าน ยืนอยู่ข้างประชาธิปไตยอย่าล้มประชาธิปไตยเพียงเพราะความเกลียดชังใคร..ดำเนินการตามระบอบตามระบบเป็นหนทางที่จะให้อดีตไม่หวนกลับมา ด้วยความเคารพครับ.. จากคุณ : Vee&Cat - [ 21 ก.ค. 49 02:36:22 ]

ความคิดเห็นที่ 7 พงษ์เทพ (กระดานชนวน) ปัจจัยหลักที่ทำให้ทหารเกลียดรัฐ พูดด่าป๋าโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์แค่คิดปกป้องนาย ตอนนี้คงนอนฝันหวานว่าตัวเองพูดได้ดีมากๆ คนหน้าเหมือนหมูอีกตัว....ปากคอมัน.... ประเทศเราไม่รู้จะมีครั้งแรกไหม ทหารรัฐบาลกับทหารประชาชน แก้ไขเมื่อ 21 ก.ค. 49 02:53:38 จากคุณ : ลงค์กา - [ 21 ก.ค. 49 02:40:38 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ผมให้ทหาร ทะเลาะกันตรงไหน ผมนำข่าว มาให้อ่าน เพราะ ใช่ว่าจะไม่มีมูลความจริง สิ่งที่เอามาลง ก็เอามาจากหนังสือพิมพ์ทั้งสิ้น ประชาชน คนไทย เป็นเจ้าของประเทศ ทุกคน ต้องนำข่าวสาร มาวิเคราะห์รอบด้าน และ ตัดสินใจให้ดี แก้ไขเมื่อ 21 ก.ค. 49 02:47:20 แก้ไขเมื่อ 21 ก.ค. 49 02:44:29 จากคุณ : จอมกระบี่ไร้พ่าย - [ 21 ก.ค. 49 02:43:03 ]

ความคิดเห็นที่ 9 เพราะไม่มีใครพูดความจริงทั้งหมด และความจรืงหลายๆเรื่อง จะไม่ถูกเปิดเผย ตลอดกาล เช่นเดียวกับเรื่องราวต่วยตูน ในวงการสีเขียว 2 เรื่องข้างบน เพราะฉนั้น...ชนะเป็นเจ้า  แพ้คือกบฏ จากคุณ : daryl_jr - [ 21 ก.ค. 49 02:48:51 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ทหารออกมา ผมก็จะออกไปเหมือนกัน จากคุณ : Composite - [ 21 ก.ค. 49 03:04:54 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ส่วนใหญ่แล้วการที่ทหารออกมา  มักเกิดจากการทนไม่ได้กับเหตุการณ์ที่อึมครึม  และการออกมาให้ท้ายแก่คนในกลุ่มกระทำการพูดจายั่วยุ   ช่วงก่อนหน้านี้ จะเห็นการพูดจาเยาะเย้ยถากถางผู้นำเก่า ตามที่ต่างๆ  ทั้งในสังคมเน็ตและสังคมระดับอื่นๆ  มันเหมือน" ฟางเส้นสุดท้าย"  ถึงทำให้ทหารออกจากที่ตั้ง และเรื่องๆของเรื่องก็คงประเมินกำลังกันผิด  คนรอบข้าง นายก ที่รู้จริงถึงกึ่นถึงธรรมชาติของทหารก็ไม่มี   อาศัยซ้ายเก่าที่หวังแต่มวลชนยืนอยู่ข้าง  ทั้งที่ประวัติศาสตร์ก็บอกแล้วว่า "อำนาจมาจากปลายกระบอกปืน" พคท ล่มสลายเพราะอะไร ยังไม่สรุปบทเรียนกันอีก  ทั้ง อดีต สหาย สุภาพ , อดีต สหาย ดวง หรือ อดีต สหาย ต๊ะ น่าจะอ่านออกว่า "ขุน" กำลังจนมุมแล้ว " ความจริงมักเจ็บปวด " จากคุณ : ซอยวัดไผ่ตัน - [ 21 ก.ค. 49 03:54:17 ]

ความคิดเห็นที่ 12 เท่าที่ผมสังเกตจากข่าว ทหาร ก็แบ่งเป็น 2 ฝ่ายเหมือนกัน ฝ่ายไม่ชอบทักษิณ ก็มี ฝ่ายที่สนับสนุนทักษิณ ก็มี หากมีการปฏิวัติ ผมว่า มีโอกาส เกิดสงครามกลางเมืองสูง เว้นแต่ นายก ทักษิณ จะไม่สู้ ยอมแพ้ แต่โดยดี จากคุณ : จอมกระบี่ไร้พ่าย - [ 21 ก.ค. 49 04:01:29 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ทหารที่ปฏวัติ ไม่ใช่ทหารของพระเจ้าอยู่หัว จากคุณ : Ken - [ 21 ก.ค. 49 05:08:25 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ถ้าปฏิวัติกันเละเทะขนาดนั้น .... เฮ้อ ...   หมดกำลังใจที่จะกลับไทยจริงๆนะ (ใครอยากด่าว่าไม่รักชาติก็ตามสบายครับ...  ท้อแท้กับสังคมไทยจริงๆ) จากคุณ : champ_ee85 - [ 21 ก.ค. 49 06:17:52 ]

ความคิดเห็นที่ 16 อำนาจ  ทำให้คนหน้ามืดตามัว   เห็นประเทศชาติเป็นแค่กระดานหมาก สุดท้ายที่ย่อยยับ คือ ประเทศชาติ หยุดแบ่งแยก ทหาร ออกจากประชาชน เลย ถ้ามีกำลังเหลือเฟือ ภาคใต้รอผู้กล้า ลงไปทำให้สงบ จากคุณ : honeymon - [ 21 ก.ค. 49 06:23:22 ]

ความคิดเห็นที่ 17 อ้ายหน้าไหนก็ตามที่กล้าฉีกระฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญที่พ่อข้าได้ปฏิบัติตาม...และได้แนะนำให้ทุกคนปฏิบัติตาม...มันผู้นั้น...จะไม่มีแผ่นดินอยู่....อย่าคิดว่าปลายกระบอกปืนจะบังคับข้าได้... จากคุณ : หนูถ้ำ - [ 21 ก.ค. 49 07:02:21 ]

ความคิดเห็นที่ 18 เมา  เครียด ปฎิวัติ ~!! จากคุณ : คนผ่านทาง (คนผ่านทางV.mem) - [ 21 ก.ค. 49 07:08:12 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ถึง  จขกท  ว่าน่าจะขอความคิดเห็น นะว่า  จะให้ ทหาร ทำอย่างไรมากกว่า  เพราะผมคนหนึ่งที่ไม่เห็นด้วยกับการปฎิวัต  แต่ที่ต้องการตอนนี้เลย คือ  ให้ทหารนำกลุ่มพวกนี้ไปในสถานที่ไม่สามารถออกข่าวทำลายประเทศไทยเท่านั้น  ดูได้จากไม่ว่านักการเมือง  นักแสดง  นักข่าว  อัยการ ศาล ก็ อยู่ในกลุ่มพวกกบถ  ทั้งนั้น  แล้วจะให้ชาวบ้านทำอย่างไร    ถือสากกระเบือ  ครก  ถือมีอีโต้  ขี่ควาย    ไปสู้กับกลุ่มกบถอย่างไร   แต่ถ้าทหารของชาติยังนิ่งเฉยก็คงต้องทำแม้นจะตายก็คงไม่เป็นไรดีกว่าที่จะขอร้องทหารหาญ  ที่คุยโมว่าเป็นรั้วผุ่ๆของชาติแล้วกินเงินเดือนไปวันๆ จากคุณ : คน72000 - [ 21 ก.ค. 49 07:30:30 ]

ความคิดเห็นที่ 20 คิดอะไรที่มันเป็นไปไม่ได้ -*- เอ๊ะ หรือว่าจะ think outside the box (คิดนอกกรอบ) จากคุณ : pinestand - [ 21 ก.ค. 49 08:51:41 ]

ความคิดเห็นที่ 21 สงสารประชาธิปไตย ครับ ถูกปล้นและถูกจับเป็นตัวประกันนานเหลือเกิน     ทหารคงไม่ต้องปฏิวัติหรอกครับ  เพราะคณะอาริยะปฏิวัติ ได้ทำการปฏิวัติไปตั้งนานแล้วครับ        ที่ทหารออกมาโชว์เอ็กเซอไซร์  เพียงขู่ว่าห้ามสู้จงถอยจงเลิกเล่นการเมืองไปโดยดีเท่านั้นครับ  ประชาชนเราถูกปฏิวัติไปตั้งนานแล้วครับ  อำนาจที่แท้จริงถูกยึดไปหมดแล้ว อยู่ในมือของ คณะอาริยะปฏิวัติ หมดแล้วครับ   ใครไม่เชื่อฟังก็ตัดสินให้ผิดหมดละครับ            ครั้งนี้ผมยอมรับว่าเป็นการปฏิวัติ ที่ไม่มีโอกาส ให้ผู้ต่อต้านได้ขัดขืนเลยครับ จากคุณ : คนไร้สภาพ - [ 21 ก.ค. 49 08:58:47 ]

ความคิดเห็นที่ 22 กระทู้นี้ผมมิได้โหวต  เพราะกำลังโศกกับประเทศครับ จากคุณ : คนไร้สภาพ - [ 21 ก.ค. 49 09:01:37 ]

ความคิดเห็นที่ 23 มันทำเพื่อพวกพ้องหรืประชาชนกันล่ะเนี่ย จากคุณ : 48 (วงแหวนรอบนอก) - [ 21 ก.ค. 49 09:05:24 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ช่างหัวมั.น ง่าวนักก็จับเจียนให้หมดประเทศเลย จากคุณ : หลังบ้าน (หลังบ้าน) - [ 21 ก.ค. 49 09:06:14 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ปัญหาที่พูดถึงนี่เท่าที่ผมวิเคราะห์ดูน่าจะมีประเด็นดังนี้ 1. พล.อ.เปรม  ซึ่งผมก็ไม่ทราบจริงๆว่าทำไมท่านจึงยังต้องไปยุ่งกับกองทัพเขาไม่ว่าการแต่งตั้งโยกย้าย หรือกิจกรรมทางทหารก็ตามทั้งที่ท่านได้เกษียณจากราชการมาแล้วยี่สิบกว่าปี ทำไมไม่ปล่อยให้ทหารเขาจัดการกันเองแม้ว่าท่านจะสามารถเข้าไปยุ่งได้ ที่สังเกตุดูถ้าท่านมิได้เป็นองค์มนตรีทหารยังจะเข้าไปสวามิภักดิ์หรือไม่ หรือถ้าท่านคิดว่าท่านเป็นองค์มนตรีท่านควรกระทำเช่นนี้หรือไม่ซึ่งก็เป็นดุลย์พินิจของท่านเอง .2.ผบ.ทบ. ผมว่าท่านเดินหมากเกมส์นี้น่าจะผิดพลาดในการโยกย้ายคนของ ผบ.พล.1 โดย ผบ.พล.1 ไม่ทราบหรือไม่ได้รับการหารือเลย ถามว่าทำไมท่านจึงทำเช่นนี้ท่านหวังอะไรในการทำอย่างนี้ อย่าพูดว่าท่านมีอำนาจทำอะไรก็ได้เพราะท่านเป็น ผบ.ทบ. ถ้าคิดอย่างนี้ผิดถนัดเลยเพราะมันไม่ใช่หลักบริหารที่ดี 3.มีทหารบางคนพูดว่าท่านเป็นทหารของประชาชน และของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เรื่องแบบนี้ใครเขาก็ทราบทุกคน แต่ถามว่าท่านพูดทำไมต้องการพูดให้นายกทราบหรือไม่ อย่าลืมว่าทหารก็คือข้าราชการอยู่ใต้การบังคับบัญชา การกำกับดูแลของรัฐบาล ท่านก็รู้ใช่หรือไม่ว่าใครเป็นคนแต่งตั้งท่าน ใครสามารถโยกย้ายท่าน เรื่องนี้ประชาชนทุกคนเขารู้ดีทั้งนั้น 4.แม่ทัพภาคที่ 3 ที่ออกมาเคลื่อนไหวตอนนี้ในสายตาของผมและอาจคนอื่นด้วยเห็นว่าไม่เหมาะสมโดยเฉพาะการออกมากล่าวหาลูกน้องของท่านว่า รุ่น 10 บางคนที่เป็นทหารเลว ทำไมท่านดูถูกทหารรุ่น 10 ที่คิดไม่เหมือนท่านว่าเป็นทหารเลว นี่แสดงว่าท่านเป็นทหาร ที่ดีสุดยอดใช่หรือไม่ การที่เป็นผู้บังคับบัญชาคนแล้วหูเบาแล้วออกมาโพนทะนาว่าลูกน้องของตัวเองเลวนี่ไม่รู้ว่าท่านเป็นผู้บังคับที่ดีหรือไม่ 5.เรื่องทัพภาคสามเตรียมกำลังพลจะขนทหารมาทางเครื่องบินหรือเคลื่อนกำลังพลมาเพื่อปฎิวัติ นั้นผมว่าท่านถ้าทำอย่างนั้นมันไม่ฉลาด เจ้าของพื้นที่ใครเขาจะให้ท่านแสดงความเก่งกล้าในเขตรับผิดชอบของเขา 6.ทางที่ดีที่สุดคือการเมืองต้องแก้ด้วยวิธีทางการเมืองตามกติกา คือต้องมีการเลือกตั้งโดยเร็ว ใครจะได้รับเลือกตั้งมาหรือไม่มันเป็นเรื่องของประชาชนที่มีสิทธิเลือกตั้ง นี่คือการเมืองในระบอบประชาธิปไตย 7.ทหารที่ว่าท่านเป็นทหารของในหลวงนั้นถามว่าที่มีคนก้าวล่วงถึงพระองค์ท่านทำไมทหารจึงหุบปากเงียบหรือนี่คือความจงรักภักดีที่ท่านมีให้ จากคุณ : คนพิจิตร - [ 21 ก.ค. 49 09:12:27 ]

ความคิดเห็นที่ 26 คงเป็นทางเลือกสุดท้ายที่ต้องทำ จากคุณ : จริงๆ (ขนุนอ่อน) - [ 21 ก.ค. 49 10:12:08 ]

ความคิดเห็นที่ 27 เลือกตั้งไงครับ ถามคนส่วนใหญ่ไง ระบบมันก็มีอยู่นี่นา ทหารไม่ต้องออกมาหรอกครับ แต่ที่มันเป็นอยู่อย่างทุกวันนี้เพราะพรรคการเมืองทั้งหลายไม่เดินตามกติกาเท่านั้นเอง  ถ้าลงเลือกตั้งกันหมดก็จบแล้ว      ส่วนเลือกตั้งที่ผ่านมา ที่เป็นโมฆะไปแล้วนั้น ก็เห็นอยู่แล้วว่าคนส่วนใหญ่ในประเทศเลือกแบบไหน  ส่วนที่มีคนออกมาปากสุนัขว่าคนส่วนใหญ่ในครั้งนั้น มีค่าหัว ๆ ละ 1,000 นั้น  ควรจะมีสมองคิดให้มากกว่านี้หน่อยน๊ะครับ คนไทยไม่ได้ถูกซื้อได้ทุกคนน๊ะครับ จากคุณ : ขนมขม (ขนมขม) - [ 21 ก.ค. 49 10:51:15 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ทหารย่อมมีวินัย  การที่จะตัดสินปัญหาบ้านเมือง  ทำไมไม่เลือกตั้ง  เราเป็นประช่ธิปไตย จัดมีเลือกตั้ง  ถูกต้องที่สุด   ในเวลานี้มีแต่คิดที่จะทะเลาะกันหรือ  พ่อป่วยอยู่มีใครยังคิดแต่เรื่องผลประโยชน์ส่วนตัวกันอยู่ได้   จิตสำนึกที่ถวายสัตย์ปฏิญาณยังมีอยู่ไหม  คนแก่ก็ควรสอนลูกหลานในสิ่งที่ถูกที่ควร   จะยังหวงอำนาจอยู่ทำไม จากคุณ : julasechumpu - [ 21 ก.ค. 49 14:04:58 ]

ความคิดเห็นที่ 29 อยากให้เป็นเหมือน 30กว่าปีที่แล้วจัง ในรัฐบาลทหารซึ่งใครหลายๆคนอาจเกิดไม่ทัน.. สื่อถูกปิดถูกทำลายเครื่องพิมพ์..ข่าวสารโทรทัศน์วิทยุ มันต้องงั้นถึงจะดี ล้างบางสื่อชั่วให้หมด จับได้ก็ยิงเป้าหรือจับขังคุกไปเลย แล้วให้คนรุ่นใหม่ที่มีจรรยาบรรณ มีจริยธรรม มีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล ยืนหยัดกับความถูกต้อง ความยุติธรรมของสังคม ไม่มีจิตใจสกปรก คิดเอาแต่ได้ โดยไม่นึกถึงผลเสียที่จะมีต่อสังคม ต้องรู้จักหน้าที่ รู้จักการสร้าง ไม่ใช่การทำลาย ให้สังคมมีความรักความสามัคคี เพื่อที่จะขับเคลื่อนประเทศชาติให้มั่นคงและก้าวหน้าต่อไป .......ทำกันได้มั้ย ??? จากคุณ : malesh - [ 21 ก.ค. 49 16:05:33 ]