CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    ผมอยากจะเตือนความจำ ของคนในชาติครับ ใครทำอะไร

    ผมไม่ได้คิดและเขียนขึ้นมาเองนะครับ ผมแค่แต่งเติมในส่วนที่ผมรู้และมีข้อมูลเท่านั้นครับ ส่วนใหญ่ ผมนำมาประติดปะต่อกัน เพื่อให้มองเห็นภาพของความเป็นไปในอดีตที่ผ่านมาเท่านั้น

    ใครชอบก็โหวตให้ผมด้วย ผมอยากจะให้ได้อ่านและเก็บไว้ หาความรู้กันนานๆครับ กว่าจะรวมกันออกมา มันก็ยุ่งมากๆ ขอบคุณล่วงหน้าครับ


    ผมอยากจะเตือนความจำของคนในชาติครับ ใครทำอะไรไว้ เราทุกคนควรรู้ เพราะว่าเราคือประชาชน ที่เป็นเจ้าของประเทศตัวจริงเสียงจริง

    เรามาเริ่มต้นดูตั้งแต่รัฐบาล ท่านนายกชาติชายเลยละกันครับ (สิงหา 2531-กุมภา 2534)

    เป็นยุคของการเปิดเสรีทางการลงทุน ชักชวนต่างชาติมาลงทุน เศรษฐกิจขยายตัวรวดเร็ว และเริ่มมีการสะสมฟองสบู่ โดยเฉพาะที่ดินที่มีการเก็งกำไรกันมาก
    อัตราการขยายตัวประมาณ 11~13%ของ GDP
    ดุลบัญชีเดินสะพัดติดลบประมาณ 3~ 8% ของ GD P
    หนี้ต่างประเทศรวม (ปี 2533) 29600 ล้านดอลลาร์

    และแล้วก็มาถึงรัฐบาล ท่านนายกอานันท์1 (มี.ค. 25 34-เม.ย. 2535) และท่านนายกอานันท์2(มิ.ย 2535-ก.ย.2535)
    รัฐบาลได้สร้างภาพพจน์ต่อต่างประเทศด้วยการเปิดเสรีทางการค้า มีการลดภาษีนำเข้าหลายรายการเช่น รถยนต์ ไทยขาดดุลการค้ามากขึ้น
    อัตราการขยายตัวประมา ณ 8.5 %ของ GDP
    ดุลบัญชีเดินสะพัดติดลบประมาณ 5.5~ 7.5% ของ GDP
    หนี้ต่างประเทศรวม (ปี 2535) 43621 ล้านดอลลาร์

    ต่อมาก็ถึงคิวของรัฐบาล ท่านนายกชวน 1 (ก.ย.35-พ.ค.38)
    นโยบายเปิดเสรีทางการ เงิน อันนี้ได้ใจเลยครับโดยหวังว่าไทยเราจะเป็นศูนย์กลางทางการเงินในภูมิภาคนี้ คนเรามีสิทธ์ที่จะฝันครับ  และในช่วงเวลาที่ไม่ห่างกันมากนัก นโยบายเปิดเสรีทางสาธารณูปโภค ก็เริ่มต้นทำงานเลยครับ ทุกอย่างเพื่อความเป็นเลิศครับ น่าภาคภูมิใจ จริงๆ รัฐบาลชวนหนึ่งนั้น ท่านมีนโยบายจำกัด บทบาทของภาครัฐ โดยให้สัมปทานกับเอกชน และรัฐบาลเป็นผู้เรียกเก็บค่าสัมปทานล่วงหน้า เช่น เรื่องโทรคมนาคม หรือพวกทางด่วนต่างๆ การเพิ่มบทบาทของเอกชนผู้รับสัมปทานนั้น ทำให้ยอดเงินกู้ ที่เอกชนต้องกู้มาเพื่อลงทุน สูงมากเข้าไปอีกเอ้า ยังไม่พอครับ รัฐบาลนี้ยังคงติดยึดอยู่กับที่ ในเรื่องของดอกเบี้ยที่แพงกว่านอกประเทศ ท่านไม่ยอมปรับหรอกครับ คนไทยที่หัวดีทั้งหลาย ก็เลยกู้เงินเอามากินดอกส่วนต่างสบายไปเลยครับ และแล้วความหละหลวมในทางการเงิน เพียงในเวลาไม่กี่ปี หนี้สินต่างประเทศของไทยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ในปี 2537 IMF ได้เริ่มเตือนประเทศเราให้เปลี่ยนนโยบายการเงิน และได้เตือนซ้ำอีกในปี 38 แต่ไม่ได้รับความสนใจจากรัฐบาลที่แสนดีเลยครับ
    ทั้งที่ในเวลานั้นอัตราการขยายตัวของไทย ยังคงอยู่ในระดับสูง คือประมาณ 8~9% ของ GDP แต่ช่วงนี้ก็มีดุลบัญชีเดินสะพัดที่ติดลบรุนแรงเช่นกัน (-5~ -5.5 %ของ GDP ) ส่วนหนี้ต่างประเทศก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก (ปี 2538 ไทยมีหนี้ต่างประเทศ 82,568 ล้านดอลลาร์ หรือเพิ่มขึ้นประมาณ หนึ่งเท่าตัวในช่วงเวลา 3 ปีของรัฐบาล )

    เอ้าเลยมาถึงรัฐบาลท่านนายกบรรหาร จนได้ (ก.ค.2538-ก.ย.39)

    ช่วงรัฐบาลท่านนายกบรรหาร เริ่มมีการเสื่อมลงของ อสังหาริมทรัพย์และหนี้สินในสถาบันการเงิน ตลาดหุ้นตกต่ำลง การส่งออกกุ้งถูกกีดกันจากกฎหมายสิ่งแวดล้อมของสหรัฐ ประจวบกับค่าเงินดอลลาร์ได้สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เงินบาทที่ผูกติดไว้กับดอลลาร์ก็สูงตามไปด้วย ทำให้ความสามารถในการแข่งขันของไทยลดลงไปอีก ปี 2538 และ 2539 ดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยตกต่ำเข้าขั้นวิกฤต สองปีติดต่อกัน คือ -8.2 และ -8.1 ตามลำดับทำให้เงินบาทอยู่ในฐานะที่ล่อแหลมต่อการถูกโจมตี ในเดือน มี.ค. 2539 สถาบันจัดอันดับ Moody’s ได้เตือนว่าจะลดอันดับหนี้ระยะสั้นของไทย และการที่ธนาคารแห่งประเทศไทย แก้ไขปัญหา BBC โดยเพิ่มทุนใหม่โดยไม่ได้ลดทุนเก่าเสียก่อน ยิ่งซ้ำเติมให้ต่างชาติขาดความเชื่อมั่น และกระบวนการขนเงินกลับก็ได้เริ่มต้นขึ้นในเดือน
    ก.ย. 2539 สถาบันจัดอันดับ Moody’s ได้ลดอันดับ พันธบัตรระยะสั้นของไทย ในช่วงรัฐบาลบรรหาร นักเก็งกำไรต่างชาติได้เข้ามาโจมตีค่าเงินหลายครั้ง แต่ยังไม่รุนแรงนักเป็นการหยั่งเชิงว่า ธปท. จะเปลี่ยนนโยบายค่าเงินหรือไม่ ถึงตรงนี้คงจะกล่าวได้ว่า มีนโยบายทางการเงินการคลังที่ควรได้รับการแก้ไข แต่รัฐบาลไทยในอดีต ไม่ได้มีการตัดสินใจใดๆ เลยคือ

    1. ไม่ได้ดำเนินนโยบายทางการเงินที่เข้มงวดพอ

    2. ไม่ได้ดำเนินนโยบายทางการคลังที่เข้มงวดและเกินดุลมากพอ

    3. ไม่ได้เตรียมเงินทุนสำรองระหว่างประเทศให้เพียงพอ ต่อการไหลออกของเงินกู้และใช้ในยามวิกฤติ ขณะนั้นทุนสำรองของชาติมีเพียงพอสำหรับชำระสินค้าขาเข้าราว 4 เดือนเท่านั้น และยังเป็นเงินที่กู้มาเกือบทั้งหมด

    4. ไม่ได้เปลี่ยนนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนทั้งๆ ที่ IMF ได้เคยเตือน ในปี 2537 2538(ชวน1) และ 2539(บรรหาร)

    5  ไม่ได้มีนโยบายสะกัดกั้นการกู้เงินระยะสั้น (ในระยะหลังการกู้เงินจากต่างประเทศส่วนใหญ่เป็นการกู้ระยะสั้น)

    แก้ไขเมื่อ 02 ส.ค. 49 06:00:28

    จากคุณ : chiangraiplus - [ 2 ส.ค. 49 05:43:45 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | PanTown.com | BlogGang.com