ความคิดเห็นที่ 8
หมู่บ้านร่มเกล้า เป็นหมู่บ้านหนึ่งในหลายหมู่บ้านในเขตอำเภอชาติตระการ จ.พิษณุโลก ที่ตั้งของหมู่บ้านอยู่ห่าง ออกไปทางทิศตะวันตกของ อ.ชาติตระการประมาณ 70 กม. (พอกับ กทม.-อยุธยา) และอยู่ห่างจากลาว ประมาณ 10 กม.
ภูมิประเทศของหมู่บ้านร่มเกล้าเป็นทิวเขาสลับซับซ้อนและสูงชัน เช่น ภูสอยดาวที่เดี๋ยวนี้กลายเป็นอุทยานแห่ง ชาติไปแล้ว ราษฏรที่อาศัยอยู่บริเวณนี้ส่วนใหญ่เป็นชาวม้งประมาณ 100 ครัวเรือนหรือประมาณเกือบ 700 คน มีถนนเชื่อมต่อ 3 จังหวัด คือ อ.นาแห้ว จ.เลย อ.ชาติตระการ จ.พิษณุโลก และ อ.น้ำปาด จ.อุตรดิตถ์
ก่อนหน้าที่จะมีการปะทะกับทางลาวนั้น ทหารรัฐบาลเคยมีปัญหากับ ผกค.แถบนี้มาหลายครั้งแล้ว เพราะเป็น พื้นที่ชายแดนที่ติดกับลาว
ในส่วนของพื้นที่ที่เป็นสมรภูมิ จะเป็นพื้นที่บริเวณภูเมี่ยง ภูสอยดาว ซึ่งเป็นทิวเขาที่กั้นระหว่างไทยกับลาว สาเหตุที่เรียกชื่อหมู่บ้านนี้ว่าบ้านร่วมเกล้า เพราะในอดีตเป็นฐานที่มั่นแห่งหนึ่งของ พคท.ซึ่งทางการไทยได้ใช้ กำลังเข้าปราบปรามหลายครั้ง จนกระทั่งสามารถเข้าควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ และมีผู้เข้าร่วมพัฒนาชาติไทย อพยพลงมาหลังปี 2525 ที่พคท.แพ้ศึกอย่างเด็ดขาด ทางรัฐบาลจึงได้จัดสรรที่ดินทำกิน และตั้งหมู่บ้านให้โดยให้ ชื่อว่าบ้านร่มเกล้า โดยได้จัดทหารพรานไว้เป็นชุดคุ้มครองหมู่บ้าน 1 กองร้อย
เหตุการณ์บ้านร่มเกล้าเกิดขึ้นในปี 2530 ซึ่งจากการสืบทราบภายหลัง ทราบว่าได้มีการขนย้ายอาวุธปืนอาร์ก้า จำนวน 50 กระบอก พร้อมกระสุน 50,000 นัด กระสุนอาร์พีจี 1,500 นัด ลูกจรวด 150 ลูก ปตอ.57 จำนวน 2 กระบอก ออกจากคลังอาวุธที่เมืองหลวงพระบางเมื่อวันที่ 11 พ.ค.2530 และเดินทางต่อมายังแขวงไชยบุรีที่ติด กับไทย ขณะที่ในไทยยังไม่มีการรายงานเหตุการณ์ผิดปกติแต่อยางใด วันที่ 30 พ.ค.2530 ได้มีกองกำลังไม่ทราบฝ่ายประมาณ 30 คนใช้อาวุธปืนยิงเข้ามาที่บ้านร่มเกล้า และเผา ทำลายรถแทรกเตอร์ของบริษัทที่ทำไม้สัมปทาน ทหารพรานที่ทำหน้าที่คุ้มครองหมู่บ้านได้เข้าไปปะทะกับกอง กำลังนี้ ผลปรากฏว่าได้รับบาดเจ็บ 2 นาย ชาวบ้านเสียชีวิต 1 นาย พนักงานขับรถแทรกเตอร์เสียชีวิต 1 นาย
วันที่ 1 มิ.ย.30 กองกำลังในเครื่องแบบของทหาร สปป.ลาว ได้เข้มาจับราษฏรไทยในเขตประเทศไทย พร้อมพา ตัวข้ามเขตไปจำนวน 7 คน ซึ่งสามารถหลบหนีมาได้ 1 คน นำไปขังไว้ที่บ่อแตน และส่งเรื่องมาให้นายอำเภอนา แห้วให้เข้าไปเจรจาว่ามีราษฏรไทยบุกรุกเข้าไป ซึ่งนายอำเภอไม่ยอมเจรจา เนื่องจากยืนยันได้ว่าเป็นเขตแดน ไทย 27 ก.ย.2530 ได้เริ่มปะทะกับกองกำลังจำนวนมาก และมีการใช้อาวุธหนักเข้าโจมตี การปะทะยืดเยื้อไปจนถึง 6 ต.ค.และสถานการณ์ได้เงียบสงบลงจนเหมือนกับเหตุการณ์ยุติลงแล้ว
20 ต.ค.30 ทหารไทยเข้าไปเคลียร์พื้นที่ พบร่องรอยการก่อสร้างเพื่อตั้งฐาน และพบว่ายังมีกองกำลังต่างชาติอยู่ ในเขตแดนไทยอีกจำนวนหนึ่งและอยู่ระหว่างการสับเปลี่ยนกำลังและส่งกำลังบำรุง
4 พ.ย.30 กองทัพภาค 3 เสริมกำลังจำนวน 1 กองร้อย ป.155 เข้าสนับสนุนการปฏิบัติการในพื้นที่ เพื่อเตรียมเข้า ยึดที่หมายที่ 1 และ 2 โดยเคลื่อนกำลังเข้าโจมตีจากแนวด้านตะวันตกไปทางตะวันออก สามารถยึดพื้นที่เป้า หมายแรกได้ แต่ไม่สามารถขึ้นไปยึดพื้นที่หมายแห่งที่ 2 ได้ (เนิน 1428) เนื่องจากถูกต่อต้านจากจรวดแซมและ ปืนใหญ่อย่างหนักถึง 5-600 นัด โดยไม่สามารถพิสูจน์ทราบตำแหน่งที่ตั้งปืนใหญ่ข้าศึกได้
6 พ.ย. เปลี่ยนแผนเข้าตีใหม่ โดยเข้าจากทางทิศเหนือ และได้ตรวจพบกองกำลังฝ่ายตรงข้ามจำนวนประมาณ 100 คน ที่ริมน้ำเหือง จึงเข้าโจมตีจนกองกำลังดังกล่าวถอยร่นข้ามเขตแดนไป เสร็จแล้วจึงขึ้นไปตีที่หมายเดิมอีก ครั้ง แต่ไม่สามารถเข้าถึงได้
8 พ.ย. เข้าตีใหม่อีกครั้ง ทางด้านทิศใต้ แต่พบว่าเป็นพื้นที่ที่สูงชันกว่าเดิม ไม่สามารถเข้าถึงได้ จึงต้องกลับมา ปรับแผนใหม่อีกครั้ง
ในการรบที่บ้านร่วมเกล้านั้น กองทัพอากาศมีส่วนในการรบอย่างมาก โดยมีการนำเอาเครื่องเอฟ 5 เข้าโจมตี หลายครั้ง ซึ่งเครื่องหนึ่งได้ถูกจรวดแซม 7 (แบบประทับบ่า)ยิงขึ้นมาถึง 3 ลูก แม้ว่าจะหลบไปได้ 2 ลูก แต่อีกลูก หนึ่งได้ยิงถูกท้ายเครื่องบิน ทำให้เครื่องยนต์หลุดออกมา แม้ว่านักบินจะกระโดดออกมาได้ แต่ก็ต้องเสียเครื่อง บินไป ซึ่งซากเครื่องบินลำดังกล่าวทางลาวได้นำมาตั้งแสดงไว้ที่เวียงจันจนทุกวันนี้
ในส่วนของกองทัพอากาศที่ได้เข้าปฏิบัติการระหว่าง วันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๓๐ ถึง วันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๑ นอกจากเอฟ 5 ซึ่งเป็นเครื่องบินโจมตีหลักแล้ว ยังมีการสนับสนุนด้วยเครื่องโอวี 10 (เครื่องบินที่ผลิตมาเพื่อ ปราบคอมมิวนิสต์โดยเฉพาะ) ซึ่งมีวีรกรรมที่น่ายกย่องของเสืออากาศไทย ซึ่งท่านทั้ง 2 ได้รับเหรียญกล้าหาญ จากสมรภูมินี้ด้วย จึงขอยกมาอ้างถึงในที่นี้เสียด้วยเลย
"ในวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๑ เวลา ๑๒ นาฬิกา ๕๗ นาที นาวาอากาศโท สมนึก เยี่ยมสถาน และ เรืออากาศ เอก ไพโรจน์ เป้าประยูร นักบินกองบิน ๔๑ ฝูงบิน ๔๑๑ ได้รับมอบภารกิจให้นำเครื่องบินโจมตีแบบ ๕ (OV-10) ปฏิบัติการบินโจมตีทางอากาศต่อเป้าหมายทางทหาร ขณะบินปฏิบัติการเหนือพื้นที่ดังกล่าว เครื่องบินถูกกอง กำลังภาคพื้นของฝ่ายตรงข้ามยิงด้วยอาวุธต่อสู้อากาศยานชนิดต่าง ๆ อย่างหนัก นาวาอากาศโท สมนึกฯ และ เรืออากาศเอก ไพโรจน์ฯ ได้ใช้ความรู้ความสามารถในการบินหลบหลีกการยิงต่อต้านของฝ่ายตรงข้าม โดยมิได้ หวาดหวั่นต่ออันตรายใด ๆ คงทำการบินด้วยความมุ่งมั่นให้ภารกิจที่ได้รับมอบสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี จนในที่สุด เครื่องบินถูกยิงที่บริเวณส่วนหางและเครื่องยนต์ด้านขวา ทำให้เครื่องยนต์ระเบิดกลางอากาศ ได้รับความเสีย หายอย่างหนักไม่สามารถบังคับเครื่องบินต่อไปได้ จำเป็นต้องสละเครื่องบินเหนือพื้นที่ที่ฝ่ายตรงข้ามครอบครอง อยู่และได้ถูกควบคุมตัวโดยกำลังฝ่ายตรงข้าม จนกระทั่งในวันที่ ๒๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๑ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ) ได้รับนักบินทั้งสองนายกลับประเทศไทย และทั้ง 2 นายได้รับเหรียญกล้าหาญจากการ ปฏิบัติภารกิจนี้ด้วย เอฟ 5 ลำที่ถูกยิงตกนั้น เป็นหัวหน้าฝูงที่ดิ่งเข้าโจมตีเป็นลำแรก ซึ่งหัวหน้าฝูงเดิมเป็นนักบินอีกคนหนึ่ง ซึ่งก่อนที่ เครื่องบินจะขึ้น มี hot line เข้ามา ห้ามคนนี้ขึ้นบิน (คนนี้เป็นใคร คุณสื่อศิลป คงทราบดีอยู่)
นักบินที่รับตำแหน่งหัวหน้าฝูงแทน ได้รับคำสั่งให้เข้าโจมตีโรงเรียนแห่งหนึ่ง ซี่งแหล่งข่าวแจ้งว่าเป็นที่เก็บอาวุธ และไม่มีระบบป้องกันภัยทางอากาศ แต่เจอ "แซม" เข้าเต็มๆ
นักบินและผู้ช่วยนักบิน ดีดตัวออกได้ทัน แต่ด้วยแรง "จี" ทำให้สลบไปทันที มารู้สึกตัวอีกครั้ง ตอนถูกจับขังไว้ แล้ว แต่จากคำบอกเล่า ทางลาวปฏิบัติต่อเชลยทั้งสองเป็นอย่างดี
นักบินเอฟ 5 คนที่ถูกยิงตกและจับได้นี้ ภายหลังได้ไปเป็นผู้บัญชาการฝูงบินที่เชียงใหม่ ทหารไทยพยายามที่จะหาทางขึ้นเนินเพื่อตีฐานกองกำลังต่างชาติโดยสับเปลี่ยนทิศทาง ไปเรื่อย เพราะแต่ละจุดล้วนมีลักษณะที่สูงชัน ซึ่ง ภาษาทหารเขาเรียกว่า "สูงข่ม" ทำให้ยากลำบากต่อการเข้าตี และสูญเสียมากเวลาที่ถูกตอบโต้ ซึ่งหลังจากความพยายามหลายครั้งเข้าก็ได้ข้อสรุปว่าทิศเดียวที่สามารถขึ้น เนินได้สะดวกที่สุด คือการตีทางทิศตะวันตกสู่ทิศตะวันออก
การโจมตีทางอากาศด้วยการทิ้งระเบิดเกิดขึ้นช่วงนี้แหละครับ โดยมีการทิ้งระเบิด 2 รอบจากเครื่องบินของไทย ลงหัวทหารไทยด้วยกันเอง สูญเสียหลักร้อยทีเดียว ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นทหารจากกองพลทหารม้าภูเขา
การเข้าตียังดำเนินการอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งถึงวันที่ 23 ธันวาคมจึงยึดพื้นที่ได้ และทางกองทัพภาค 3 ได้ส่ง กำลังเพิ่มเติมเข้าไปอีก โดยเฉพาะทหารพรานอีก 2 กองร้อย
23 มกราคม สถานการณ์เริ่มเบาบางลง พล.อ.เปรม เดินทางเข้าตรวจเยี่ยมหน่วย ฉก.พล.ม.1 ซึ่งมีพล.อ.ชวลิต ผบ.ทบ.ในขณะนั้นร่วมคณะด้วย และได้มอบนโยบายให้ทหารไทยตีรุกเข้าไปในดินแดนลาว
2. ก.พ.ฝ่ายตรงข้ามรุกกลับอีกครั้ง โดยใช้จรวดแซมยิงเข้ามาในไทย จำนวน 10 นัด กระสุนตกแถว อ.ด่านซ้าย จ.เลย
16 ก.พ. กองทัพภาค 3 สับเปลี่ยนกำลังพล นำ พล.ร.4 เข้าไปแทน พล.ม.1 เพื่อเตรียมการเข้าโจมตีขั้นเด็ดขาด
17 ก.พ. กองทัพภาค 3 ได้รับคำสั่งจาก T.O.C (Technical Operation Control) ให้ระงับการโจมตีตามแผนที่ กำหนดไว้ และการโจมตีที่หมายอื่น ๆ ต่อกองกำลังต่างชาติทุกระดับ
18 ก.พ.กองกำลังต่างชาติได้ยิงปืนใหญ่ขนาด 105 และ 152 เข้ามายังพื้นที่รวมพลของทหารไทยหลายร้อยนัด ทำให้ฝ่ายเราสูญเสียอย่างหนักอีกครั้ง เพราะไม่ได้มีการเคลื่อนกำลังเข้าตีตามแผนเดิม
19 ก.พ. พล.อ.ชวลิต ในฐานนะ ผบ.สส.ได้แจ้งให้ทางกองบัญชาการทราบว่าได้ทำการตกลงหยุดยิงกับทางรัฐ บาลลาวแล้ว และให้แต่ละฝ่ายถอยห่างจากจุดสู้รบฝ่ายละ 1 กม. (บ้านร่มเกล้าห่างจากชายแดนไทยลาว 10 กม.+ 1 กม.เท่ากับเราเสียดินแดนไป 11 กม.
การยุติสงครามครั้งนั้นมีข่าวมาว่า พล.อ.เกรียงศักดิ์ กับอีกท่านหนึ่งจำชื่อไม่ได้ อดีตเคยเป็น รมว.อุตฯในสมัยรัฐ บาลเกรียงศักดิ์และมีความสนิทคุ้นเคยกับผู้ใหญ่ในลาว ได้เป็นตัวแทนรัฐบาลไทยเดินทางไปเจรจาสงบศึก
ปัจจุบันท่านผู้นี้เสียชีวิตไปแล้ว ในหนังสือที่ระลึกงานศพ ได้มีการเล่าเรื่องนี้ไว้ด้วย โดยให้ชื่อว่า "ผู้ข้ามโขงยาม อรุณรุ่ง" แต่ไม่มีรายละเอียดการสู้รบ เป็นเพียงเรื่องของการเจรจาให้สงครามยุติเท่านั้น
ประเด็นที่เป็นข่าวลืออกมามาก เช่น ทำไมจึงสั่งให้ทหารพล.ท.1 ซึ่งเป็นหน่วยทหารม้าภูเขาเข้าตีเนิน 1428 ก่อน พล.ร.4 ซึ่งเป็นหน่วยทหารราบที่น่าจะส่งเข้าเปิดทางก่อน
ประเด็นการทิ้งระเบิดของกองทัพอากาศที่ลงบนพื้นที่ของกองกำลังพวกเดียวกันถึง 2 ครั้ง ทั้งที่บินไปตามวัน ว. เวลา น.ที่สั่งไว้ทุกอย่าง โดยมีข่าวลืออกมาว่า การสู้รบของทหารไทยกับกองกำลังต่างชาติในช่วงเวลานั้นดุเดือด มาก ถึงขั้นประจัญบานในระยะ 100 หลา และอยู่ในสภาพได้เปรียบ แต่ก่อนที่จะมีการทิ้งระเบิด ทหารฝ่ายตรง ข้ามถอนกำลังถอยไปแล้ว จึงทิ้งระเบิดใส่พวกเดียวกันเอง ซึ่งทำให้ทหารม้าที่ขึ้นไปรบติดพันอยู่ตายและบาดเจ็บ เป็นจำนวนมาก (ถ้านับตามใบปลิวที่ออกมาภายหลังบอกว่ากว่า 500 คนที่ต้องเสียชีวิตและบาดเจ็บจากการทิ้ง ระเบิดครั้งนี้
แม้แต่สาเหตุของการสู้รบ ก็มีการกล่าวกันว่าเป็นเพราะตกลงกันในเรื่องสัมปทานป่าไม้ไม่ได้ระหว่างไทยกับลาว ซึ่งไทยเองก็เป็นภาคเอกชนเท่านั้น
เรื่องเหล่านี้ ยังหาคำตอบที่เป็นลายลักษณ์อักษรอย่างเป็นทางการ สามารถนำไปอ้างอิงได้ ไม่มีสักที (หรือมีแล้ว ผมไม่รู้ ใครรู้ช่วยสงเคราะห์หน่อย)
เรื่องของการรบที่ร่มเกล้าก็เลยกลายเป็นประวัติศาสตร์ที่ไม่กระจ่างของไทยไปอีก 1 เรื่อง
จากคุณ :
คนเมืองเจียงใหม่
- [
2 ส.ค. 49 15:18:49
]
|
|
|