ความคิดเห็นที่ 1 เยี่ยมมากครับ สมัยนั้นข้อมูลแบบนี้ถูกปิดบัง เก็บ "ซุกไว้ใต้พรม" เวลาผ่านไปก็เอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่คนอื่น... เห็นรัฐบาลทำดีก็ออกมาพูดหน้าตาเฉยว่า "ทำมาตั้งแต่สมัยตน" ยิ่งขุดคุ้ยก็ทำให้เห็นซึ่งความแตกต่าง ของผลงาน ว่าใคร..คือรัฐบาลที่เข้ามาทำงานมากกว่าดีแต่เอาตัวเองรอดไปวัน ว่ารัฐบาลไหนกล้าชน  กล้าทำงาน  กล้าโดนด่า มากกว่า เพราะอยากจะให้ชาติพัฒนา พัฒนาชาติด้วยการกระทำมากกว่ากว่าผลงาน พวกที่ใช้ปากบริหาร  ผมงานไม่มี คราวหน้าอย่าไปเลือก "มัน" จากคุณ : ปัญญาแห่งตน (My_Wisdom) - [ 3 ส.ค. 49 05:27:06 ]

ความคิดเห็นที่ 2 เด็ดขาดไปเลยค่ะ ต้องเปรียบเทียบกันจะๆ แบบนี้แหละ พวกจะได้เลิกมั่วเสียที จากคุณ : jintanakarn1 - [ 3 ส.ค. 49 06:31:13 ]

ความคิดเห็นที่ 3 อ่านแล้วก็ อ่ะ......... นะ.... จากคุณ : Clarinet Bb - [ 3 ส.ค. 49 06:52:46 ]

ความคิดเห็นที่ 4 555 คุณแตร็ดแตร่คร้าบ ==>"ผู้นำ คนในพรรคประชาธิปัตย์ พากันดาหน้าออกมาตอบโต้ว่า Moody"s และ S&P ใช้ ข้อมูลที่ล้าสมัยในการประเมิน พร้อมทั้งไปว่าจ้างบริษัทใหม่  Fitch IBCA แห่ง สหราชอาณาจักร มาอิงแอบบ ซึ่งเขยิบอันดับความน่าเชื่อถือของไทย"<== ผมหวั่นว่าเขาจะใช้วิธีนี้ในการลดราคาน้ำมันครับ ==>"ผู้นำ คนในพรรคประชาธิปัตย์ พากันดาหน้าออกมาตอบโต้ว่า ปอบ่ท้อ , เอสโส่ย และ เชลซี ใช้ ข้อมูลที่ล้าสมัยในการประเมินราคาน้ำมัน พร้อมทั้งไปว่าจ้างบริษัท เอ็มพีเอเอ็ม แห่ง ปากน้ำ มาอิงแอบบ ซึ่งเขยิบลดราคาน้ำมันเท่ากับน้ำมันเถื่อน"<== คริคริ กรั่กๆๆๆ จากคุณ : เมื่อไรปชป.และสาวกจะเลิกฏอแหล (chatmar) - [ 3 ส.ค. 49 07:01:12 ]

ความคิดเห็นที่ 5 นี้ถือเป็นหมัดเด็ด อีกหมัดหนึ่ง เข้าเป้าจริงๆ           ************** อนาคต ปชป ถ้าได้เป็นรัฐบาล จะเพิ่มรายได้ ลดรายได้ภาครัฐ  ลดค่าครองชีพ ลดราคาน้ำมัน อุ้มรัฐวิสาหกิจเน่า............แล้วคงพาประเทศ กลายเป็นประเทศ ลูกหนี้ ต่อไป แก้ไขเมื่อ 03 ส.ค. 49 08:46:44 จากคุณ : โคถึก (Home TH.) - [ 3 ส.ค. 49 07:44:43 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับ เป็นการตอกย้ำว่า ประเทศไทยสิ้นหวังเสียเหลือเกินครับ ( ถ้าข้อมูลนี้เป็นความจริงทั้งหมดนะครับ ) จากคุณ : rider XXX - [ 3 ส.ค. 49 07:49:56 ]

ความคิดเห็นที่ 7 เราจะเห็นตัวเลขว่าสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อGDP มันสูง ปัญหาคือ ภาระที่ต้องใช้หนี้ ใช้เงินต้น ใช้ดอกเบี้ย ที่คนรุ่นนี้เอาเงินในอนาคตของลูกหลาน แล้วยังเอาไปชดเชยงบประมาณขาดดุลเพื่อใช้จ่ายในปัจจุบันในช่วงดังกล่าว.. ภาระเงินต้น ดอกเบี้ย มันก็สูงตามโดยต้องมาเบียดบังงบประมาณปกติประจำปีของประเทศ แทนที่จะได้ใช้เงินไปลงทุน ไปพัฒนาในปัจจัยอื่นๆของประเทศที่ยังไม่พอเพียง... แต่ที่ผ่านมา มีการกู้มาใช้หนี้ กู้อีกแหล่งหนึ่งมาใช้หนี้ตามกำหนดชำระอีกแหล่งหนึ่ง เหมือนคนมีบัตรหลายเครดิตหลายใบ..หนี้มันก็โป่ง...แล้วยังต้องกู้หนี้มาลงทุนตามงบประมาณรายจ่าย ซึ่งเป็นงบประมาณแบบขาดดุล  เพราะเงินภาษีเก็บไม่พอ...เงินตราต่างประเทศก็ได้มาเพิ่มจากวิธีการกู้มาโปะ ไม่ใช่การหามาได้ด้วยการทำงาน คือดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล คุลการค้าเกินดุล.. ทางแก้ของรัฐบาลทักษิณ มีทางเดียวคือต้องสร้างฐาน GDP ให้มันโตตามหนี้ที่ก่อไว้...ทำอย่างอื่นไม่ได้แล้ว...เพราะสัดส่วนที่มันวิ่งสูงแบบนี้ ประเทศแทบจะไม่ต้องคิดพัฒนาอะไรได้เลย ใครมันจะกล้าลงทุน กล้าให้กู้ เพราะมันกู้มาใช้จนชนเพดานที่กู้ได้...เสมือนคนที่กู้ซื้อบ้านหลังใหญ่ แต่ความสามารถหารายได้ต่ำ แถมยังเจ๊งจากค่าเงินอีก...ก็บักโกรก..การกู้จึงต้องดูฐานรายได้ให้เหมาะสม ซึ่งสิ่งที่แสดงฐานรายได้ ก็คือ GDP ที่หลายคนบอกว่า ทำไมต้อง GDP ถ้าไม่ทำไม ไม่คิดถึง GDP มันก็เป็นเหมือนก่อนระบอบทักษิณไง...กู้หนี้บานโดยไม่สนใจรายได้ตน ความสามารถตนของประเทศมีเท่าไหร่ เอาทรัพย์เอกชนที่ยึดไปขายใช้หนี้ ก็ขาดทุนไป 6 แสนล้าน(ปรส.) ก็เอามาโปะเป็นหนี้สาธารณะ มันก็ยิ่งไปกันใหญ่.... รัฐบาลมีทางเลือกเดียวต้องขยายฐานGDP ต้องขยันทำงาน ขยันค้าขายเพื่อหาเงินตราต่างประเทศมาใช้หนี้ และเป็นตัวเสริมทุนสำรองเงินตราต่างประเทศ ที่รัฐบาลก่อนไปกู้เขามาโปะ... เราเห็นจะว่าจากสัดส่วนตัวเลข และที่เล่ามาข้างต้น รัฐบาลเข้ามาใหม่ไม่มีเงิน ไม่มีงบไปลดหนี้ได้ เพื่อลดสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ทางเดียวก็คือต้องมาสร้างฐานGDP ให้โตเพื่อมีความสามารถในชำระคืนเงินต้น ดอกเบี้ยได้ ไม่ใช่ไปกู้มาจ่ายหนี้ พอกเข้าไป...ให้พ้นไปวันๆ.... จากคุณ : TRAT - [ 3 ส.ค. 49 07:55:30 ]

ความคิดเห็นที่ 8 เป็นการตอกย้ำว่า ประเทศไทยสิ้นหวังเสียเหลือเกินครับ ( ถ้าข้อมูลนี้เป็นความจริงทั้งหมดนะครับ ) จากคุณ : rider XXX ---------------------------- ผมตรวจสอบแล้ว จริงครับ อ้างอิงได้จากสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ และบทวิเคราะห์ สถิติของธนาคารแห่งประเทศไทย.... จากคุณ : TRAT - [ 3 ส.ค. 49 07:56:53 ]

ความคิดเห็นที่ 9 เชื่อครับว่าทุกคนต่าง มีหู มีตา มีปัญญาและรู้จักคิด แต่เพราะ " ไม่เอา " เสียอย่าง เหตุผลและข้อเท็จจริง แม้อาจไพเราะประดุจเสียงซอ แต่คนบางกลุ่มได้ลดตัวไปเป็นพวกที่ฟังไม่รู้เรื่อง แก้ไขเมื่อ 03 ส.ค. 49 08:02:22 จากคุณ : ไม้กวาดขยะ - [ 3 ส.ค. 49 08:01:35 ]

ความคิดเห็นที่ 10 จขกท ช่วยเอาตัวเลขหนี้สินที่แสดงเป็นเม็ดเงินจำนวนเป็นเงินบาทมาให้ดูด้วยซิครับ...ภาพมันจะได้ชัดขึ้น จากคุณ : ม. ๓ (Seaview) - [ 3 ส.ค. 49 08:04:20 ]

ความคิดเห็นที่ 11 คห.10 ครับ ตามที่ผมเข้าใจเองจากข้อมูล คุณ TRAT ถ้าเราเอาตัวเลข GDP ของแต่ละปีมาคูณกับยอดหนี้สาธารณะ ก็น่าจะได้หนี้สาธารณะที่เป็นยอดเงิน ตอนนี้ผมกำลังหาอยู่ครับ แต่ว่า net ช้าอะ ได้มาแต่ link ใครจะลองคำนวณดูมั้ยครับ เอาlink ไปเลยครับ ครบทุกปีหรือเปล่าไม่รู้ net ผมช้ายัง Load มาดูยังไม่ได้เ้่ลย http://www.nesdb.go.th/econsocial/macro/nad.htm จากคุณ : pinestand - [ 3 ส.ค. 49 08:27:23 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ถ้า จขกท.สามารถเอาตัวเลขหนี้สินที่เป็นเม็ดเงินบาทมาแสดงได้แล้ว ก็ช่วยกรุณาแยกหนี้ออกเป็น 3 กองด้วยนะครับ เพราะชาวบ้านคงอยากรู้ว่าหนี้กองไหนเพิ่มเพราะอะไรหรือลดเพราะอะไร ใครเป็นคนทำให้มันลดลงหรือเพิ่มขึ้น ชาวบ้านจะได้หูตาสว่างมากขึ้น... จากคุณ : ม. ๓ (Seaview) - [ 3 ส.ค. 49 08:29:04 ]

ความคิดเห็นที่ 13 การเปรียบเทียบเพื่อให้วิเคาะห์ได้ถึงฐานะของประเทศ ดูด้านเดียวไม่ได้ครับ มันต้องดูทั้งสองด้าน...คือด้านรายรับ และด้านรายจ่าย เหมือนการทำบัญชี... คนที่มีรายได้สูง เขาก่อหนี้ได้สูงตามฐานรายได้...เพราะเขามีความสามารถในการชำระ คนที่มีรายได้ต่ำ และในอนาคตไม่มั่นใจว่าตนเองจะหาได้เพิ่ม การก่อหนี้มันก็จำกัด ตัวเลขก็จะต่ำ... มันสัมพันธ์กันทั้งสองขา...ขายรายรับ ขารายจ่าย บวกทรัพย์สินที่มี...ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น หรือมีสะสมไว้ เป็นASSET การเปรียบเทียบเพื่อวิคราะห์จึงเอา GDP มาเป็นขารายรับ ด้านความสามารถในผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ แล้วหนี้สาธารณะเป็นขารายจ่าย....แล้วเอามาหาสัดส่วนเป็นร้อยละของ GDP เพื่อให้เห็นความแตกต่างว่ามันเพิ่มขึ้นหรือลดลง.. แก้ไขเมื่อ 03 ส.ค. 49 08:49:03 จากคุณ : TRAT - [ 3 ส.ค. 49 08:44:58 ]

ความคิดเห็นที่ 14 รายละเอียดของข้อมูล ตารางหนี้แยกประเภทไปดูได้ที่นี่... มันมีมากครับ...คีย์ไม่ไหว เลือกอ่านดูเองครับ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ http://www.pdmo.mof.go.th/indexhome.html แก้ไขเมื่อ 03 ส.ค. 49 08:47:37 จากคุณ : TRAT - [ 3 ส.ค. 49 08:47:06 ]

ความคิดเห็นที่ 15 สาเหตุของการมี ร้อยละหนี้สาธารณธะต่อ GDP ลดลง  คงมาจากการเติบโตของ GDPเป็นเหตุผลหลัก เพราะถ้าดูในรายละเอียดใน link ที่คุณ TRAT ให้ไว้พบว่า ยอดเงินที่เป็นหนี้สาธารณะคงค้างไม่ได้ลดลงแต่เพิ่มขึ้น คือ 2.6 ล้านล้านบาท ในปี 2542เป็น 3.1 ล้านล้านบาทในปี 2547  (แต่ % ต่อ GDP ลดลงป และที่สำคัญยอดหนี้สาธารณะที่ต้องใช้จ่ายจากงบประมาณในแต่ละปีเพิ่มขึ้นจาก 18.26% ในปี 2542 เป็น 27.68% ในปี 2547 จากคุณ : Lowepro - [ 3 ส.ค. 49 09:24:09 ]

ความคิดเห็นที่ 18 คุณ : Lowepro แน่นอน..ถ้าไม่ขยาย GDP มันจะเอาเงินที่ไหนมาใช้ลงทุนพัฒนาประเทศในระยะยาวได้ เพราะข้าวของเครื่องใช้ในประเทศ สาธารณูปโภคต่างๆ ของประเทศมันทยอยเสื่อม หมดอายุ ใช้งานได้คุณภาพต่ำ โดยไม่การซ่อมแซม หรือหาสิ่งใหม่...เราอยู่แบบนี้มานาน ถ้าประเทศไม่ปรับปรุง ยกเครื่อง ในอนาคตก็แข่งขันไม่ได้...มันจะถูกประเทศอื่นบีบ ดูดเงินออกไป.. รัฐไม่มีทางที่จะลดหนี้ได้ มันต้องหาเงินจากการทำงาน ไม่ใช่การไปกู้มาจ่ายหนี้...มันจึงต้องขยาย GDP ออกไปให้ได้ กระตุ้นการค้า การส่งออกทุกประเภท เอาศักยภาพในท้องถิ่นมาทำงาน รัฐบาลหาตลาด...ในระยะแรก แล้วเติมเม็ดเงินในระบบลงไปที่ฐานล่างให้มันหมุนอยู่ตรงนั้น..ส่วนหนึ่ง เติมข้างบนส่วนหนึ่ง...ตรงกลางมันจะมาเอง... เมื่อเพิ่มGDPได้ ก็รองรับการพัฒนาในระยะยาวที่ต้องทำได้ เช่น สนามบินสุวรรณภูมิ รถไฟฟ้า ซึ่งล้วนเป็นสิ่งจำเป็นต่อการเสริมศักยภาพของระบบคมนาคม การเดินทางที่ประหยัดเวลา ทำให้ประหยัดการใช้พลังงาน...หนี้พวกนี้เป็นหนี้ระยะยาว แต่มีผลตอบแทนดี..เพราะเป็นการลงทุนจริงๆ...เพื่ออนาคต... จากคุณ : TRAT - [ 3 ส.ค. 49 09:43:34 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ถ้ารัฐบาลไม่เพิ่ม gdp มันก็ยากที่จะลงทุนอะไรได้ เพราะหนี้มันชนเพดาน... ถ้าเป็นบัตรเครดิต...ก็ถูกกดบัตรจนไม่เหลือวงเงิน..แล้วทำไง คนในประเทศต้องกินต้องใช้...มันต้องหาเงินมาอุดหนุนโครงการ การพัฒนาที่ยังขาดแคลน...กู้อีกก็ไม่ได้... ทางเดียวคือสร้างฐานรายได้ เพื่อขอเครดิตมาส่วนหนึ่งเพื่อให้มากระตุ้นให้เครื่องจักรประเทศไทยทำงาน แล้วได้ผลผลิตไปขายหาเงินตราต่างประเทศเข้ามา ให้ประเทศเกินดุลบัญชีให้ได้...มันก็เอาไปลดหนี้ระยะสั้นได้ แล้วเมื่อความสามารถมันเพิ่มขึ้นก็เพิ่มวงเงินมาลงทุนในส่วนที่จำเป็นต่อการขยายตัว GDP อีก...แล้วมันก็จะส่งผลให้เดินเครื่องเต็มที่มากขึ้น ก็ไปเพิ่มฐานรายได้ของประเทศให้โต มันก็มีเม็ดเงินทั้งในรูปภาษี ในประเทศ และเงินเกินดุลบัญชี ที่เป็นรูปเงินตราต่างประเทศ...ก๋เอามาชำระหนี้ที่ค้างอยู่ต่อไป.... รักษาวงรอบแบบนี้ไป 10 ปี ติดต่อกันเชื่อว่า ลดได้เกือบหมด...โดยเฉพาะหนี้ภาครัฐ ที่รัฐบาลกู้เอง...เพราะเงินกู้ส่วนนี้ ไม่มีทรัพย์สินค้ำ... จากคุณ : TRAT - [ 3 ส.ค. 49 09:50:37 ]

ความคิดเห็นที่ 20 คุณ : Lowepro แสดงว่าคนไทยมีการพัฒนา หาเงินได้มากขึ้น ลองดูของปชป. ซิ มันไปทางไหน ที่หนี้มันมากขึ้น จงเรียนรู้จากอดีต เพื่อการตัดสินในอนาคต จากคุณ : YJ - [ 3 ส.ค. 49 09:51:06 ]

ความคิดเห็นที่ 22 คุณ : YJ ถูกต้องเลย...ถ้าจีดีพีมันขยาย ขารายรับของประเทศมันโตขึ้น มันแสดงถึงคนไทยทั้งประเทศเดินเครื่องให้ประเทศลดช่องว่างระหว่างรายรับกับยอดหนี้ลงได้...แล้วรักษาระยะห่างให้อยู่ในภาวะ ระยะห่างช่องว่างที่เหมาะสม... เหลือไว้แต่หนี้ภาครัฐที่เป็นหนี้ระยะยาวที่เป็นการลงทุนเท่านั้น.. ส่วนหนี้รัฐวิสหากิจ เขาขดเชยตัวเองเพราะเขามีรายได้เป็นของตนเอง ..ในการกู้ หากแปรรูปเป็นเอกชนในรัฐกำกับ รัฐก็ไม่ต้องค้ำประกัน...มันก็ไม่มีภาระงบประมาณประจำปีที่ต้องมานั่งจ่ายดอก จ่ายต้นตามกำหนด จากคุณ : TRAT - [ 3 ส.ค. 49 10:04:12 ]

ความคิดเห็นที่ 26 คุณ : Twin Goliath อย่าโปรโมท เว็ป ปชป. นักเลย 555555 นายเจ้าของกระทู้คนนั้น มันเพื่อนผมเอง....5555555 ชัดมั๊ย...คุณ : Twin Goliath อ้าว! หายตัวไปซะแล้ว...ความเห็นในกระทู้อุ้มหายไปแล้วเหรอ...ไวจริงๆ... ผมนี่แหละที่ปรึกษาให้นาย FCKU ที่ไปโพสที่นั่น...ข้อมูลแบคอัพไปจากผม หลังไมค์มาแลกเปลี่ยนประจำ....55555555 อ้า...มาอยู่ข้างล่างนี่เอง... V V V V แก้ไขเมื่อ 03 ส.ค. 49 10:13:51 แก้ไขเมื่อ 03 ส.ค. 49 10:12:49 จากคุณ : TRAT - [ 3 ส.ค. 49 10:10:30 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ผมแค่อยากรู้ว่า จะลบได้สักกี่น้ำ จากคุณ : Twin Goliath - [ 3 ส.ค. 49 10:13:07 ]

ความคิดเห็นที่ 29 แตร๊ต ลบได้ผมก็ส่งได้ แต่ผมไม่ลบของ แตร๊ต เพราะมันไม่จำเป็น จากคุณ : Twin Goliath - [ 3 ส.ค. 49 10:14:28 ]

ความคิดเห็นที่ 30 คุณ : Twin Goliath เจ้าของกระทู้ นั่นเด็กฝึกผมเอง....ส่งไปสู้รบปรบมือ..ฝากหน่อยแล้วกัน... เมื่อแกร่งแล้ว ผมก็จะให้มาทำหน้าที่แทนผมที่ราชดำเนิน...5555 จากคุณ : TRAT - [ 3 ส.ค. 49 10:15:59 ]

ความคิดเห็นที่ 31 WE OPEN MIND เป็นอะไรที่ห้ามใช้ในนี้เหรอ 555 จากคุณ : Twin Goliath - [ 3 ส.ค. 49 10:16:21 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ก็พอดูได้ ฝึกอีกนิดก็ทาบรุ่นพี่ได้ คลื่นลูกหลังมันแรงนะ เพราะซึนามิมีบ่อย จากคุณ : Twin Goliath - [ 3 ส.ค. 49 10:17:35 ]

ความคิดเห็นที่ 33 เป็นไง...เล่นแถวนั้นเป๋ไปซะ...ผมเข้าไปอ่านแล้ว ขนบรรดาเซียนออกมาแก้ลำเบี่ยงเบนกันยกใหญ่...เดินไม่เป็น แล้วไปป่วนกระทู้ของ FCKU จากคุณ : TRAT - [ 3 ส.ค. 49 10:18:31 ]

ความคิดเห็นที่ 34 ปล่อยคุณแตร๊ตโชว์ต่อ เชิญครับ จากคุณ : Twin Goliath - [ 3 ส.ค. 49 10:18:56 ]

ความคิดเห็นที่ 35 ถามหาเม็ดเงินบาท ว่าหนี้มากขึ้นหรือไม่ พวกหวังบิดเบือน เป็นหนี้เท่าไรไม่สำคัญเท่ากับ มีหนี้เป็นสัดส่วนต่อรายได้เท่าไร สนับสนุน จขกท ที่นำเสนอข้อมูลในลักษณะนี้ครับ ผมเห็นมีแต่คนมาดิสเครดิตราชดำเนิน แต่ไม่เคยเห็นกล้าโต้แย้งกับข้อมูลข้อเท็จจริงที่มีอยู่ อย่างมากก็มาเลียบๆ เคียงๆ คอมเม้นต์ว่าเขาแล้วก็เลี่ยงไป สมันน้อยอบอุ่นอยู่เฉพาะในฝูงครับ จากคุณ : X-CU - [ 3 ส.ค. 49 10:39:13 ]

ความคิดเห็นที่ 36 แสดงว่าไปเห็นตัวเลขมาแล้วตกใจ เลยไม่กล้านำมาเสนอ หรือกลัวว่าชาวบ้านจะหูตาสว่างเกินไป... จากคุณ : ม. ๓ (Seaview) - [ 3 ส.ค. 49 11:00:22 ]

ความคิดเห็นที่ 37 คุณลองไปหาเพิ่มเติมในข้อมูล นะครับ ยุคชาติชาย นี้แหละ แก้กฎหมาย ไปกู้เงินต่างประเทศได้  มีนักธุรกิจจำนวนไม่น้อย กู้เงิน ต่างประเทศ แล้วเอามากินส่วนต่างระหว่างดอกเบี้ย  จุดนี้แหละครับ ที่เป็นจุดตาย หลังจากนั้นสักระยะหนึ่ง   ก็มีการโจมตีค่าเงิน สถาบันการเงิน พากันเอาดอกเบี้ย เงินกู้มาเล่นปั้นกัน มีบางธนาคาร เอาโครงการห่วย มากู้ กินเงินปากถุงกันจนปากเป็นมัน   บางก็ เอาที่ในเขา มากู้ที่นับร้อยนับพันล้าน  พรรคชาติไทย เป็นคนจุดพลุ ___________________________________________________ ต้นเหตุเกิด ที่รัฐบาลชาติชาย พรรคชาติไทย  สวนรัฐบาลอื่นๆ ที่ตามมา แก้ได้มั้ง ไม่ได้มั้ง ส่วนมาก แก้ไม่ได้กับซ้ำเติมปัญหาเข้าไปอีก หนักสุด ก็ พรรคประชาธิปัติ  กรณี ปรส. ผู้ป่วยถึงกับน็อคเลย   มาฟื้นก็สมัยรัฐบาล ทักษิณ  กำลังจะลุกขึ้นจากเตียง เพื่อบอกทั่วโลกว่าหายแล้ว   ประชาธิปัติ   ก็กระโดดเตะก้านคอ  เอียงกระเท่เล่ มาจนถึงปัจจุบัน อิอิอิ   เตะหนักจริงๆๆ                ******************         Paste ครับ พิมพ์ช้า แต่เสือกอยากออกความเห็นมั้ง   ตอนเด็กๆ ก็จ้างคนทำการบ้านให้ ตอนโตก็ให้เลขาทำอิอิ จากคุณ : โคถึก (Home TH.) - [ 3 ส.ค. 49 11:01:06 ]

ความคิดเห็นที่ 38 ท่าน: ม. ๓ จขกท อาจจะขี้เกียจคำนวนครับ เพราะต้องใช้ข้อมมุลดิบ หลายตัว มาคำนวนใหม่  ผมไปเปิดดูแล้ว  ขี้เกียจคำนวน แล้วต้องอธบายความให้ตัวเลขอีกยาว เพราะมันต่าง กับ การคำนวนทางคณิตศาสตร์   2+2=4 <---ไม่ต้องอธิบาย อิอิ       ***************************            เห็นใจท่าน จขกท ถ้าได้ก็ดี 555 จากคุณ : โคถึก (Home TH.) - [ 3 ส.ค. 49 11:13:59 ]

ความคิดเห็นที่ 39 เห็นใจครับ...เพียงแต่อยากให้มีการนำเสนอข้อมูลที่สมดุลเพื่อให้ชาวบ้านหูตาสว่างขึ้น เหรียญก็ยังมีสองด้าน การนำเสนอข้อมูลสถิติด้านเดียวก็ทำให้เห็นภาพด้านเดียวที่ตัวเองอยากเห็น ถ้าจุดประสงค์ของการนำเสนอข้อมูลเป็นการโฆษณา ท่าน จขกท ก็ทำถูกต้องแล้ว แต่การโฆษณาไม่ใช่เป็นการทำให้ชาวบ้านหูตาสว่างขึ้น จากคุณ : ม. ๓ (Seaview) - [ 3 ส.ค. 49 11:28:04 ]

ความคิดเห็นที่ 40 แล้วหนี้ภาคครัวเรือนละครับ จากคุณ : บองโก้ - [ 3 ส.ค. 49 11:52:29 ]

ความคิดเห็นที่ 41 คุณ : ม. ๓ (Seaview) ฐานข้อมูลได้ทำlink ไว้แล้ว...สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง...ใน คห.ที่ 14 จากคุณ : TRAT - [ 3 ส.ค. 49 12:11:58 ]

ความคิดเห็นที่ 42 ขอขอบคุณ ข้อมูลและคำอธิบายของคุณ TRAT นะครับ.. หลายๆท่านอาจจะเข้าใจได้ยาก ในเรื่องภาพรวมของเศรษฐกิจและภาระหนี้สินของประเทศ.. เช่น.. เมื่อเศรษฐกิจดีขึ้นเติบโตขึ้น อัตราส่วนหนี้สินต่อ GDP ลดลงมาก.. แต่ทำไมยอดรวมของหนี้สินถึงไม่ลดลง แถมยังเพิ่มขึ้นอีก???.. ซึ่งคุณ TRAT ก็ได้ตอบไว้ค่อนข้างชัดเจนแล้วใน #18 และ #19.. ผมจะขอเพิ่มเติม โดยเปรียบเทียบตัวอย่างให้ดู กับองค์กรธุรกิจที่เติบโตอย่างรวดเร็วและมีผลกำไรดี ก็คือ "ปตท." (ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์) จากปี 2545 .. ปตท.มีหนี้สินรวม  = 2.0 แสนล้านบาท.. มีรายได้(ยอดขาย)ในปีนั้น  = 4.1 แสนล้านบาท.. มีผลกำไรสุทธิในปีนั้น  = 2.5 หมื่นล้านบาท.. พอมาในปี 2548.. ปตท.มีหนี้สินรวม  = 3.7 แสนล้านบาท.. มีรายได้(ยอดขาย)ในปีนั้น  = 9.6 แสนล้านบาท.. มีผลกำไรสุทธิในปีนั้น  = 8.6 หมื่นล้านบาท.. สรุปก็คือ.. "ปตท. มียอดหนี้สินรวมเพิ่มขึ้น  = 1.7 แสนล้านบาท" ซึ่งนำมาเป็นทุนหมุนเวียนขยายกิจการให้เติบโตขึ้นมาก จนยอดขาย(ต่อปี)ในปี 48 เพิ่มขึ้นถึง  = 5.5 แสนล้านบาทเมื่อเทียบกับปี 45.. "ก็คือมากขึ้นกว่า 2 เท่า" ผลกำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้น.. ในปี 46  = 3.9 หมื่นล้านบาท.. ในปี 47  = 6.3 หมื่นล้านบาท.. และในปี 48  = 8.6 หมื่นล้านบาท.. รวมผลกำไรสุทธิทั้ง  3 ปี  = 18.8 หมื่นล้านบาท.. นี่ยังไม่รวม"ภาษีรายได้"และภาษีอื่นๆ ที่นำส่งให้รัฐฯไปแล้วใน 3 ปีนี้.. = 8-9 หมื่นล้านบาท.. ดังนั้น การที่"ยอดหนี้สินรวม"ไม่ลดลงหรือสูงขึ้น จึงไม่ใช่เป็นสิ่งที่ไม่ดี.. เพราะในส่วนที่เพิ่มขึ้นนี้จะเป็น"ทุนหมุนเวียน"ในการกระตุ้นความเติบโตทางเศรษฐกิจ และสร้างผลประโยชน์และความมั่นคงให้กับองค์กรฯ อีกมหาศาล.. --------------------- จากข้อมูลในกระทู้นี้ และจากเว็บของ สบน.และกระทรวงการคลัง.. เมื่อสิ้นปี  2543.. เรามียอดหนี้สาธารณะ  = 2.80  ล้านล้านบาท.. โดยมี GDP  = 4.92  ล้านล้านบาท.. และจากประกาศกระทรวงการคลัง.. ณ.วันที่ 31 พค. 49 เรามียอดหนี้สาธารณะ  = 3.28  ล้านล้านบาท.. โดยมี GDP  = 7.87  ล้านล้านบาท.. โดยสรุปก็คือ.. ในช่วง 5 ปีครึ่งของรัฐบาลทักษิณ.. ยอดหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้น  = 0.48  ล้านล้านบาท.. แต่สามารถนำมากระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศจน GPD สูงขึ้นจากเดิมถึง  = 2.95  ล้านล้านบาท.. . จากคุณ : เพดาน ช่างฝัน - [ 3 ส.ค. 49 12:21:34 ]

ความคิดเห็นที่ 43 เห็นใจครับ...เพียงแต่อยากให้มีการนำเสนอข้อมูลที่สมดุลเพื่อให้ชาวบ้านหูตาสว่างขึ้น เหรียญก็ยังมีสองด้าน ------------------------------ การนำเสนอก็ครบถ้วนแล้ว ตามเหตุผลในความเห็นต่างๆ ที่พูดมาหมดแล้ว ว่าการวิเคราะห์เขาดูสัดส่วนหนี้เปรียบเทียบกับรายได้ ไม่สามารถดูตัวเลขใดตัวเลขหนึ่งได้่..เพียงอย่างเดียวได้ เพราะหลักการของมันคือหนี้ กับรายได้มันสัมพันธ์กัน..ถ้าหนี้เพิ่มรายได้ต้องเพิ่มตาม...สัดส่วนระหว่างกันมันต้องน้อยลงจึงถือว่าอยูในเกณฑ์ที่ดี... ถ้าหนี้เพิ่มแต่รายได้ไม่เพิ่ม สัดส่วนมันก็มากขึ้น...ก็ถือว่าแย่ลง... มันเป็นตัวเลขที่สรุปแล้ว โดยสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง... หากงง สงสัยก็ไปศึกษาได้ตาม LINK ดังกล่าว จากคุณ : TRAT - [ 3 ส.ค. 49 12:24:20 ]

ความคิดเห็นที่ 44 ท่าน เพดาน ช่างฝัน เยี่ยม ครับ เอาอีก จากคุณ : โคถึก (Home TH.) - [ 3 ส.ค. 49 12:59:13 ]

ความคิดเห็นที่ 45 ขอถาม จขกท. นะครับ สถานการณ์สมัยที่เป็นรัฐบาลนายกชวน  ถ้าเปลี่ยนจากนายกชวนเป็นนายกทักษิณ เหตุการณ์น่าจะเป็นอย่างไร สถานการณ์ในสมัยรัฐบาลทักษิณ ถ้าเปลี่ยนจากนายกทักษิณ เป็นนายกชวน สถานการณ์จะเป็นอย่างไร หนี้สาธารณะเหล่านี้ ได้รวมหนี้สถาบันการเงินของรัฐ ที่เข้าไปสนองนโยบายของรัฐบาลหรือไม่ เช่น หนี้ที่ธ.ออนสินปล่อยกู้ตามนโยบายประชานิยม หนี้ในโครงการพักหนี้เกษตรของธกส. เพราะถึงแม้หนี้เหล่านี้จะไม่ได้นับเป็นหนี้สาธารณะ แต่รัฐบาสลมีภาระเข้าไปชดเชยหากมีความเสียหาย การที่อ้าง GDP ที่เติบโต ได้มีการศึกษาแล้วหรือไม่ ว่าการเติบโตเป็นส่วนของความสามารถในการบริหารประเทศของนายกทักษิณเท่าไหร่ และเป็นผลจากการที่เศรษฐกิจโลกเติบโตเท่าไหร่ (สมมุติคุณซื้อหุ้นได้กำไร 20% คุณเก่งหรือไม่ ถ้าตลาดทำได้เฉลีย 50%) ขอบคุณครับ จากคุณ : kab - [ 3 ส.ค. 49 13:22:45 ]

ความคิดเห็นที่ 46 เพดานกับ TRAT เกือบดีละ แต่ยังบอกข้อมูลไม่หมดนา ถ้าจะให้ถูกต้องไปดูไล่ที่มาของ GDP ว่าเพิ่มมาจากไหน ใช่เอาเงินงบฯไปละลายแม่น้ำให้ชาวบ้านไปซื้อของฟุ่มเฟือย มอร์ไซค์ มือถือ หรือเติบโตจากการทำงานการลงทุนและขยายตัวทางธุรกิจจริงๆ ส่วนภาคหนี้ก็เหมือนกัน ก็ต้องไปดูที่มาของหนี้ว่ามาจากไหน เพิ่มขึ้นจากอะไร IMF หมดไปจริงหรือไปซุกอยู่กองไหน (Refinance) อธิบายง่ายๆอีกนิด สมมุติ 47 หนี้ 1 ล้านล้าน GDP 2 ล้านล้าน พอ 49 หนี้เพิ่มเป็น 1.5 ล้านล้าน GDP 4 ล้านล้าน นี่ยังสรุปไม่ได้ว่าสัดส่วนหนี้ต่อ GDP ลดลงแล้วดีจริง ต้องไปดูการกระจายรายได้สมมุติว่าปี 47 GDP จากภาคเกษตรเป็น 1 ล้านล้าน รถยนต์และอุปกรณ์ฟุ่มเฟือย 5 แสนล้าน อื่นๆ 5 แสนล้าน พอ 49 การกระจายรายได้ GDP จากภาคเกษตร 8 แสนล้าน รถยนต์และอุปกรณ์ฟุ่มเฟือย 2.5 ล้านล้าน อื่นๆอีก 7 แสนล้าน อย่างงี้ก็ไม่ไหว เพราะรายได้มันไปกระจุกตัวกับภาคของคนขี้ฉ้อ เอาเงินหลวงไปเล่นแร่แปรธาตุ แต่คนจนจริงๆรายได้กลับน้อยลง เป็นหนี้เพิ่มขึ้นเพราะไปกู้มาซื้อแต่ไม่มีปัญญาใช้คืน จากคุณ : หลังเขา - [ 3 ส.ค. 49 13:30:20 ]

ความคิดเห็นที่ 47 ขอบคุณครับ คุณโคถึก.. ขอเพิ่มเติมอีกนิดนะครับ.. ว่าหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้น 4.8 แสนล้านบาท ในช่วง 5 ปีครึ่งนี้.. ซึ่งได้นำมาใช้เสริมกับนโยบายของรัฐบาลฯ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวม และสร้างประโยชน์ให้กับประเทศและประชาชนในหลายๆด้านนั้น.. "ผลดี"ที่เห็นได้เด่นชัด(เฉพาะภาครัฐฯยังไม่รวมภาคเอกชน) ก็คือ "การจัดรายได้ภาครัฐฯในแต่ละปี".. ซึ่งนำมาเป็น"งบประมาณแผ่นดิน"พัฒนาประเทศและความเป็นอยู่ของประชาชน(นโยบายประชานิยมต่างๆ)นั้น.. มีอัตราการจัดเก็บรายได้ฯ ที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องมาตลอด.. http://www.fpo.go.th/fiscaldata/revnue.xls ในปี 43  รายได้ภาครัฐฯ   =  8.18  แสนล้านบาท.. ในปี 44  รายได้ภาครัฐฯ   =  8.75  แสนล้านบาท.. ในปี 45  รายได้ภาครัฐฯ   =  9.59  แสนล้านบาท.. ในปี 46  รายได้ภาครัฐฯ   =  11.05  แสนล้านบาท.. ในปี 47  รายได้ภาครัฐฯ   =  12.90  แสนล้านบาท.. ในปี 48  รายได้ภาครัฐฯ   =  14.74  แสนล้านบาท..(มากขึ้นเกือบเป็น 2 เท่า ของปี 43) ---------------- ตัวเลข"ผลดี".. แค่เฉพาะในเรื่อง"งบประมาณแผ่นดินฯ"นี้.. ลองเทียบกับ"ยอดหนี้ที่เพิ่มขึ้น 4.8 แสนล้านบาท ดูละกันครับ.. . จากคุณ : เพดาน ช่างฝัน - [ 3 ส.ค. 49 13:34:37 ]

ความคิดเห็นที่ 48 ตามเข้ามาเก็บข้อมูลต่อ จากคุณ : pinestand - [ 3 ส.ค. 49 14:26:17 ]

ความคิดเห็นที่ 49 ส่วนหนี้รัฐวิสหากิจ เขาขดเชยตัวเองเพราะเขามีรายได้เป็นของตนเอง ..ในการกู้ หากแปรรูปเป็นเอกชนในรัฐกำกับ รัฐก็ไม่ต้องค้ำประกัน...มันก็ไม่มีภาระงบประมาณประจำปีที่ต้องมานั่งจ่ายดอก จ่ายต้นตามกำหนด จากคุณ : TRAT  - [ 3 ส.ค. 49 10:04:12 ] ประเด็นนี้ผมขอ เอา Post it แปะไว้ก่อนนะครับ คุ้นๆ ว่าผมเข้าใจไม่ตรงกับคุณ TRAT เดี๋ยวลองไปหาข้อมูลมาก่อน ว่างๆอาจจะมาเปิดประเด็นเรื่อง รัฐวิสหกิจต่างๆที่จะต้อง/ไท่ต้อง ค้ำประกัน รวมทั้งการ Classified ว่าเป็นหรือไม่เป็นหนี้ สาธารณะ หากคุณ TRAT มี Link เรื่องการ Classified หนี้ต่างๆ ขอรบกวนหน่อยนะครับเดี๋ยวผมไปสังเคราะห์ต่อ จากคุณ : pinestand - [ 3 ส.ค. 49 14:32:52 ]

ความคิดเห็นที่ 50 สำหรับคุณ #45.. ที่เป็นห่วงเรื่อง"สถาบันการเงิน ที่เข้าไปสนองนโยบายประชานิยมของรัฐบาล" http://203.154.97.19/citizen_report/breaking/read.php?newsid=202990&lang=T คลังยืนยันสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐฐานะแข็งแกร่ง   15:48 น. นายทวีศักดิ์ มานะกุล ผู้อำนวยการส่วนกิจการสถาบันการเงินเฉพาะกิจ 3 กระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐทั้ง 8 แห่ง ในขณะนี้อยู่ในภาวะที่แข็งแกร่ง โดยมีเงินดำรงกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงเป็นไปตามเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กำหนด แม้ว่าบางแห่งจะมีหนี้เสีย (เอ็นพีแอล) มากกว่าร้อยละ 10 ก็ตาม แต่ก็เชื่อว่าจะสามารถปรับลดลงไม่เกินร้อยละ 10 ได้ภายในปี 2551 ตามนโยบายของนายทนง พิทยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และมั่นใจว่าการแก้ไขปัญหาเอ็นพีแอลของสถาบันการเงินเฉพาะกิจทุกแห่งเป็นไปตามกฎเกณฑ์ที่วางไว้โดยไม่มีอะไรเคลือบแฝงแน่โดยเฉพาะธนาคารออมสินที่ล่าสุดเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2548 มีเอ็นพีแอลร้อยละ 3.79 ทั้งนี้ สถาบันการเงินเฉพาะกิจจะถูกตรวจสอบผลการดำเนินงานหรืองบดุล โดยสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) บริษัททริส เรตติ้ง จำกัด สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) รวมถึงสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ดังนั้น จึงมั่นใจได้ว่าสถาบันการเงินเฉพาะกิจนั้นไม่ดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อปกปิดหนี้เสียของตนเองไว้แน่นอน เพราะต้องผ่านการตรวจสอบถึง 5 ระดับ หากหมกเม็ดจริง สตง.จะต้องสะท้อนให้เห็นทางงบดุล อย่างไรก็ตาม ผลการดำเนินงานของสถาบันการเงินเฉพาะกิจในช่วงที่ผ่านมาสามารถสนองตอบนโยบายของรัฐบาลได้เป็นอย่างดีและยังมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะ"ธนาคารออมสิน"ที่ปัจจุบันมีเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงร้อยละ 25.47 ขณะที่มีเอ็นพีแอลเพียงร้อยละ 3.79 มีสินทรัพย์รวมมากถึง 680,000 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 12,342 ล้านบาท ส่วน"ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)" ที่ปัจจุบันมีเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงร้อยละ 10.3 มีหนี้เสียร้อยละ 5.91 มีสินทรัพย์รวมมากถึง 501,000 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 1,765 ล้านบาท นายทวีศักดิ์ กล่าวว่า การที่ระบบสถาบันการเงินต้องดำเนินการตามกฎบาเซิล 2 ที่จะมีผลบังคับใช้ในปี 2552 นั้นสถาบันการเงินเฉพาะกิจไม่อยู่ในข่ายที่ต้องปรับตัวเพื่อรองรับกฎเกณฑ์ดังกล่าวแต่อย่างใด เนื่องจากเป็นสถาบันการเงินเฉพาะกิจที่มีกฎหมายรองรับแต่ละสถาบัน และมีกลุ่มลูกค้าแตกต่างจากธนาคารพาณิชย์ทั่วไปอย่างมาก ดังนั้น จึงยืนยันว่าไม่ได้เป็นการสร้างความไม่เป็นธรรมให้กับธนาคารพาณิชย์ทั่วไปแต่อย่างใด . จากคุณ : เพดาน ช่างฝัน - [ 3 ส.ค. 49 14:34:24 ]

ความคิดเห็นที่ 51 สำหรับ คุณหลังเขา#46 ที่ถามมา.. ดูข้อมูลจากในเว็บนี้ได้ครับ.. http://www.bot.or.th/BOTHomepage/DataBank/EconData/EconFinance/Download/Tab86.xls จากข้อมูลในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา  GDP ภาคการเกษตร(Agriculture) จะมีสัดส่วนอยู่ที่ประมาณ  10%  ของทั้งหมด.. ในขณะที่ GDP ของภาคอุตสาหกรรม,การบริการ,การค้าการลงทุน และอื่นๆ(Non-Agriculture) จะมีสัดส่วนประมาณ  90%  ของทั้งหมด.. ถ้าดูตัวเลข  "Q4 ของปี 48"  เทียบกับ  "Q4 ของปี 43" GDP ภาคการเกษตร จะเพิ่มขึ้น  = 12% และ GDP ของภาคอื่นๆ(Non-Agriculture) จะเพิ่มขึ้น  = 32% . จากคุณ : เพดาน ช่างฝัน - [ 3 ส.ค. 49 14:55:05 ]

ความคิดเห็นที่ 52 http://www.pdmo.mof.go.th/indexhome.html หนี้สาธารณะ (Public Debt) หมายถึงอะไร หนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรง (Government Debt) ซึ่งมีผลผูกพันต่อรัฐบาลในการชำระคืนจากงบประมาณแผ่นดิน และเป็นภาระของประชาชนในฐานะผู้เสียภาษีอากร หนี้รัฐวิสาหกิจ คือเงินกู้ที่รัฐบาลค้ำประกัน หรือเงินกู้ที่รัฐบาลไม่ค้ำประกัน ซึ่งรัฐวิสาหกิจได้มีบทบาทในการก่อหนี้ เพื่อลงทุนในโครงการพื้นฐานเพื่อการพัฒนาประเทศ กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน คือเงินที่กู้เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่สถาบันการเงิน OK อุตส่าไปหามาจนได้ ประเด็นที่ผมสงสัยคือ แล้วหนี้ที่สถาบันการเงินของรัฐปล่อยกู้ตามนโยบายต่างๆมันจัดอยู่ในหนี้สาธารณะมั้ย (ผมกลัวว่าจะเหมือนโฆษณาของ Air Asia นะครับ ว่า ราคาตั๋วเครื่องบินมันถูกจริง แต่ไม่รวมภาษีสนามบิน sucharge น้ำมัน อะไรทำนองเนี่ย) จากคุณ : pinestand - [ 3 ส.ค. 49 15:04:48 ]

ความคิดเห็นที่ 53 เอาเป็นว่าผมสรุปให้ฟังคร่าวๆละกันครับ ตัวเลขของหน่วยงานเหล่านี้ใช้ดูเปแนวโน้มได้ แต่เอาเป็นจริงเป็นจังไม่ค่อยจะได้ครับ ทุกวันนี้แบงค์ชาติและสภาพัฒน์ที่ออกตัวเลข GDP ก็ยังมีปัญหาในการสรุปตัวเลขให้ตรงกันอยู่เลย เวลาที่ใกล้เวลาที่จะต้องออกตัวเลขที่เป็นทางการก็จะทวงถามกันไปกันมาระหว่างหน่วยงานของรัฐที่ดูแลข้อมูลต่างๆในทำนองที่ตัวเลขไม่ตรงกันอยู่ตลอดเวลา อีกทั้งตัวเลขที่ออกมาช่วงหลังมีแนวโน้มไม่น่าเชื่อถือมากขึ้นจากการเอาใจนักการเมือง เมื่อไม่นานมานี้เพิ่งมีการเปลี่ยนตัวเลขทางเศรษฐกิจเพราะนายกทักมาหมาดๆ ตัวเลขพวกนี้มันดิ้นได้ ดูในแง่สรุปไม่ดูรายละเอียดให้ความหมายอย่างนึง พอคลี่ออกมาดูกลายเป็นอีกเรื่องเหมือนที่ผมยกตัวอย่างข้างบน แล้วหน่วยงานไทยก็มีแนวโน้มแสดงตัวเลขที่ทำให้หน่วยงานตัวเองดูดีปกปิดตัวเลขที่ทำให้หน่วยงานตัวเองดูแย่อยู่เสมอ แต่อย่างนึงที่ตัวเลขที่คุณเพดานเอามาตามที่ผมสอบถามคือ ________________________________________ ถ้าดูตัวเลข  "Q4 ของปี 48"  เทียบกับ  "Q4 ของปี 43" GDP ภาคการเกษตร จะเพิ่มขึ้น  = 12% และ GDP ของภาคอื่นๆ(Non-Agriculture) จะเพิ่มขึ้น  = 32% _________________________________________ จะพบว่าภาคการเกษตรโตช้ากว่าภาคอื่นๆ หากเอาไปดูเปรียบเทียบกับตัวเลขเงินเฟ้อ อาจจะพอไปด้วยซ้ำว่าทางเศรษฐศาสตร์แล้ว คนในภาคการเกษตร"จนลง" เมื่อเทียบกับคนในภาคอื่นๆ ผมไม่เถียงว่าภายใต้การบริหารของทักษิณเศรษฐกิจโดยรวมดีขึ้น แต่ผมจะเถียงหากบอกว่าคนจนมีฐานะดีขึ้น การกระจายรายได้แย่ลงเกิดการกระจุกตัวขึ้นอย่างเห็นได้ชัดขึ้น ภายใต้การบริหารของทักษิณคนรวยๆขึ้น ชนชั้นกลางและคนจน "จนลง"ครับ จากคุณ : หลังเขา - [ 3 ส.ค. 49 15:18:58 ]

ความคิดเห็นที่ 54 โหวตกระทู้ให้ละกันครับ จากคุณ : xsan - [ 3 ส.ค. 49 15:34:49 ]

ความคิดเห็นที่ 55 ขอบคุณเพดานนะครับ...ที่อุตส่าห์อธิบาย.. ผมยุ่งงาน..อยู่จึงไม่อาจจะเข้ามาได้ถี่นัก แล้วประเด็นนี่จริงๆว่าจะจบไม่น่าจะเป็นเรื่องเข้าใจยาก... เพราะมันเป็นเรื่องที่ชี้สถานะของประเทศ เสมือนเรามีรายได้ไปกู้เงินซื้อบ้านในระยะยาว...ก็ต้องผ่อนบ้านไป..ยอดกู้ก็ตามฐานรายได้...หลักมันคือแค่นั้น... อยู่ๆไปอยากขยายบ้าน ยังผ่อนไม่หมด ก็ไปกู้เพิ่มได้อีก เพราะมีรายได้มากขึ้นกว่าเดิม ก็มาขยับขยายบ้านให้พอกับคนที่มากขึ้น เช่นมีลูก..มีหลาน...หลักมันคือตรงนี้ วันดีคืนดีต้องการซื้อที่ดินเพิ่ม แต่รายได้เท่าเดิม วงเงินกู้มันก็เต็ม ก็ต้องหารายได้...พ่อบ้าน แม่บ้าน ลูก..ก็ต้องช่วยกันประหยัด ช่วยกันหางาน..หารายได้พิเศษ เพื่อนำไปซื้อที่ดินขยายออกไป...ก็ต้องสร้างรายได้มาชดเชย..เพื่อให้มีเครดิตมีความสามารถที่จะชำระคืนได้... หลักของการสร้างหนี้สาธารณณะของประเทศ มันก็หลักเดียวกันนี้.... ส่วนประเด็นว่า พ่อรายได้มากกว่าแม่ แม่มากว่าลูก..หรือหากเป็นครอบครัวขยาย คนในบ้านนั้นก็มีรายได้ไม่เท่ากัน..ทรัพย์สินส่วนตัวไม่เท่ากัน..แต่ทุกคนอยู่ในบ้านหลังเดียวกันที่ช่วยกันลงเงิน ช่วยกันกู้โดยรวมรายได้ของทุกคนเข้าด้วยกัน...ทำให้มีวงเงินกู้ที่เพียงพอในการนำมาสร้างบ้าน ซื้อที่ดิน...ก็เสมือนการได้มาของรายได้ประชาชาติ..ซึ่งมันก็ไม่เท่ากันตามธรรมชาติของมัน..ตามความสามารถ ตามโอกาส ตามการศึกษา ความรู้ ความขยัน.. แต่ทุกคนในบ้านก็ต้องรับผิดชอบบ้านหลังนี้...ตามฐานรายได้ของตนอยู่แล้ว...คนรายได้น้อยก็เสียภาษีน้อย กว่าคนมีรายได้สูง...มันก็เป็นธรรมอยู่แล้วในบ้านหลังหนึ่งๆ... ถ้าจะลงกันในรายละเอียด เรื่องที่คุณหลังเขาพูดมา...มันเป็นอีกประเด็นหนึ่งเรื่องรายได้ของคนในประเทศ..มันพูดเรื่องขารายรับของคนไม่เท่ากัน นั่นเป็นอีกประเด็นไม่เกี่ยวกับกระทู้โดยตรง.... เพราะตรงนี้มันเป็นภาพรวมของประเทศ หนี้สาธารณะ มันคือหนี้ต่อหัวของประชาชนทุกคน...จะมามองแยกแยะเพื่อดูการกระจายรายได้ มันก็ต้องไปดูในตัวเลขอื่นๆ ไม่ใช่มาใช้ตัวเลขตามกระทู้..แล้วบิดเบือนออกไป... จากคุณ : TRAT - [ 3 ส.ค. 49 15:51:02 ]

ความคิดเห็นที่ 56 สวัสดีครับ คุณหลังเขา แวะมาทักทายนะครับ ท่าทางน่าจะเป็น เศรษฐกรอยู่ที่ไหนซักที่(ขออนุญาตเดา) จากคุณ : pinestand - [ 3 ส.ค. 49 15:51:32 ]

ความคิดเห็นที่ 57 ประเด็นคือ เวลาดูตัวเลขทางเศรษฐกิจ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องดูตัวเลขหลายๆตัวหลายๆด้านประกอบกัน จึงจะทำให้มองเห็นภาพของเศรษฐกิจได้ถูกต้อง ทักษิณและคนของทรท.พยายามนำเสนอตัวเลขเศรษฐกิจในมิติที่ตัวเองดูดีเท่านั้น ไม่นำเสนอตัวเลขภาพรวม ซึ่งเป็นการทำการตลาดไม่ใช่การให้ข้อมูลกับปรชาชนที่แท้จริง สรุปว่าผมไม่เห็นด้วยกับการนำเสนอตัวเลขเพียงด้านใดด้านหนึ่งเพื่อเอาความดีเข้าตัวครับ PS. ทีคุณเพดานเอาตัวเลขสนับสนุนมาไม่เห็นบอกว่านอกประเด็นเลย:P PS2. เทียบเป็นพ่อแม่ลูกยิ่งตลกใหญ่ พ่อรวยขึ้นๆ แม่กับลูกจนลงทุกวันๆเมื่อเทียบกับพ่อแปลว่าอะไร? จากคุณ : หลังเขา - [ 3 ส.ค. 49 16:42:08 ]

ความคิดเห็นที่ 58 คุณหลังเขา #53.. ต้องดู"องค์ประกอบ และอุปสรรค" ทางด้านภาคการเกษตรประกอบด้วยนะครับ.. การจะพัฒนาให้ภาคการเกษตร มีอัตราเติบโตขึ้นสูงเหมือนภาคอื่นๆนั้น.. ในเรื่อง"ปริมาณผลผลิต"นั้น จะมีข้อจำกัดในเรื่องต่างๆคือ 1)พื้นที่เพาะปลูก ซึ่งเราก็ทำกันค่อนข้างเต็มพื้นที่เดิมแล้ว.. ตอนนี้ก็พยายามปันส่วนจากพื้นที่ป่าสงวนเสื่อมโทรม มาทำ สปก. แจกจ่ายให้ทำการเกษตรกันเพิ่ม.. รวมถึงการให้เกษตรกรได้เข้าถึงแหล่งเงินทุน เพื่อมาใช้ทำการเกษตร ซึ่งก็ได้ทำกันอยู่.. 2)ภาวะภัยธรรมชาติ"น้ำท่วม/น้ำแล้ง" ซึ่งก็กำลังรอเมกะโปรเจค ที่จะแก้ปัญหาครอบคลุมพื้นที่ได้ทั่วถึงและในระยะยาว.. ส่วนในเรื่อง"ราคาผลผลิต"นั้น ก็อยู่ที่ภาวะการแข่งขันในตลาดโลก ซึ่งอยู่ที่การพัฒนาคุณภาพ การแปรรูปผลผลิตตามความต้องการของตลาด.. และที่สำคัญที่รัฐบาลต้องช่วยดูแลเป็นพิเศษ ก็คือ"การตลาด เพื่อการส่งออก" ซึ่งถ้าดูจากตัวเลขการส่งออกของ"สินค้าภาคการเกษตร" ในช่วงรัฐบาลนี้.. ก็มีอัตราเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง.. http://www.ops2.moc.go.th/meeting/ExstrucB.xls โครงสร้างสินค้าออกของไทย  ปี       สินค้าเกษตรกรรม          สินค้าอุตสาหกรรมการเกษตร                  ล้านบาท                     ล้านบาท 2541          294,779.7                 176,189.2 2542          265,423.9                 172,437.6 2543          291,956.1                 187,698.6 2544          312,527.8                 213,492.5 2545          305,417.5                 218,941.6 2546          365,037.5                 247,582.4 2547          414,646.8                 255,844.3 2548          418,086.4                 280,210.6 แก้ไขเมื่อ 03 ส.ค. 49 17:01:55 จากคุณ : เพดาน ช่างฝัน - [ 3 ส.ค. 49 16:57:33 ]

ความคิดเห็นที่ 59 อีกอย่าง.. ข้อมูลต่างๆเหล่านี้ ก็ล้วนอยู่ในเว็บต่างๆของทางราชการ เพื่อให้ประชาชนรับรู้ และสามารถนำมาใช้เป็นประโยชน์.. ผมไม่เชื่อว่า"หน่วยราชการ"ไหน? จะกล้าบิดเบือน หรือให้ข้อมูลเท็จ.. เพราะอาจถูกฟ้องร้องได้ตาม"พรบ.ข้อมูลข่าวสารของทางราชการ".. . จากคุณ : เพดาน ช่างฝัน - [ 3 ส.ค. 49 17:11:40 ]

ความคิดเห็นที่ 60 กระทู้นี้ดีจัง  ข้อมูลท่วมทะลัก  อย่างนี้ต้องโหวตครับ จากคุณ : Lowepro - [ 3 ส.ค. 49 18:03:29 ]

ความคิดเห็นที่ 61 อีกอย่าง.. ข้อมูลต่างๆเหล่านี้ ก็ล้วนอยู่ในเว็บต่างๆของทางราชการ เพื่อให้ประชาชนรับรู้ และสามารถนำมาใช้เป็นประโยชน์.. ผมไม่เชื่อว่า"หน่วยราชการ"ไหน? จะกล้าบิดเบือน หรือให้ข้อมูลเท็จ.. เพราะอาจถูกฟ้องร้องได้ตาม"พรบ.ข้อมูลข่าวสารของทางราชการ".. . จากคุณ : เพดาน ช่างฝัน  - [ 3 ส.ค. 49 17:11:40 ] ผมเกรงว่าจะเป็นการนำความจริงมาพูดครับ แต่ไม่ทั้งหมด อย่างที่คุณหลังเขาให้ข้อมูลไว้ครับ ตัดเอาคำพูดของคุณหลังเขามาส่วนนึงนะครับ "สรุปว่าผมไม่เห็นด้วยกับการนำเสนอตัวเลขเพียงด้านใดด้านหนึ่ง" หนับหนุมตรงนี้หละครับ ขอบคุณกระทู้ประเทืองปัญญาครับ ^o^ จากคุณ : pinestand - [ 3 ส.ค. 49 18:23:03 ]

ความคิดเห็นที่ 62 อ. รังสรรค์ ธนะพรพันธ์ ได้เขียนบทความเก่าในสมัยปี 2543 ลองทบทวนดูครับ พูดถึงปัญหาหนี้สาธารณะก่อนระบอบทักษิณ จะเข้ามาไว้อย่างไร...มีหลายตอน ผมยกมาตอนหนึ่งครับ... ================================= ในระหว่างปี 2540-2543 รัฐบาลนายชวน หลีกภัย ก่อหนี้สาธารณะต่างประเทศอย่างไร้สติและใช้เงินกู้ต่างประเทศโดยปราศจากวินัยทางการคลัง การก่อหนี้ต่างประเทศมีเพียงเพื่อดึงเงินตราต่างประเทศเข้าประเทศ โดยมิได้คำนึงว่าโครงการที่ใช้เงินกู้เหล่านี้ให้ ประโยชน์สุทธิแก่สังคมเศรษฐกิจไทยโดยส่วนรวมหรือไม่ มีการกู้เงินต่าง ประเทศเพื่อปูกระเบื้องและปรับปรุงบาทวิถีในกรุงเทพฯมีการกู้เงินต่างประเทศเพื่อทำวิจัย พรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรค แย่งชิงเงินกู้ต่าง ประเทศไม่ต่างจาก "หมาแย่งกระดูก" มิจำเพาะแต่นักเลือกตั้ง หากแต่ข้าราช การก็มีโอกาส "หากิน" กับโครงการเงินกู้ต่างประเทศด้วย ... หน่วยงานซึ่งมีบทบาทสำคัญในการจัดสรรทรัพยากรภายในภาครัฐบาล ดังเช่น สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และกระทรวงการคลัง แทนที่จะทำหน้าที่ "ผู้คุมกฎ" ในการรักษา วินัยทางการคลัง กลับร่วมสังฆกรรมในการ "หากิน" กับโครงการเงินกู้ต่างประเทศไม่น้อยกว่าหน่วยราชการอื่น ในสภาพการณ์ที่โครงการเงินกู้ต่างประเทศมีลักษณะเป็น โครงการ "หากิน" เช่นนี้ สาธารณชนยิ่งมิอาจคาดหวังประโยชน์จากโครงการเหล่านี้ได้   การทุจริตและ ประพฤติมิชอบในโครงการเงินกู้มิยาซาวา นับเป็นตัวอย่างของความข้อนี้แม้เมื่อสำนักตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบพบความไม่ชอบมาพากล ก็ไม่ปรากฏว่า รัฐบาลนายชวน หลีกภัย แสดงความกระตือรือร้นในการ แก้ไขและสอบสวนลงโทษผู้ทุจริตและประพฤติมิชอบ   รัฐบาลนายชวน หลีกภัย ภายใต้การนำของนายธารินทร์ นิมมานเหมินท์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มีส่วนสำคัญในการสร้าง ปัญหาวิกฤติการณ์หนี้สาธารณะ โดยมิอาจแก้ตัวได้น่าเสียดายที่เงินกู้ต่าง ประเทศเหล่านี้มิได้ใช้ไปในการเพิ่มพูนศักยภาพในการผลิตของระบบเศรษฐกิจไทย หากแต่ใช้ไปในการ "ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ"... จากคุณ : TRAT - [ 3 ส.ค. 49 18:47:26 ]

ความคิดเห็นที่ 63 อีกตอนหนึ่งครับในข้อเขียนวิพากษ์ของอาจารย์ท่านนี้ ในสถานการณ์หนี้ท่วมหัว...ของประเทศ. อ่านแล้วเป็นเรื่องน่าอายของรัฐบาล ปชป. ที่พยายามกลบเกลื่อนหรือตกแต่งบัญชี...ไม่รวมเอากองทุนฟื้นฟูเป็นหนี้สาธารณะ ทั้งที่ออกพระราชกำหนดให้เป็นหนี้สาธารณะ...เพื่อให้รัฐเข้าไปอุ้มสถาบันการเงิน ============================= กระทรวงการคลังไม่ยอมรับภาระหนี้ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินเป็นหนี้สาธารณะ เพราะต้องการแสดงสถิติ ให้เห็นว่า ภาระหนี้สาธารณะยังมีไม่มาก เพื่อหักล้างข้อวิพากษ์ที่ว่า รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ก่อหนี้อย่างบ้าระห่ำ เฉพาะเงินกู้จำนวน 500,000 ล้านบาท ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินและจัดการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบ สถาบันการเงิน พ.ศ.2541 ที่กระทรวงการคลังนับเป็นหนี้สาธารณะ ภาระหนี้ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ นอกเหนือจากนี้ กระทรวงการคลังไม่ยอมรับเป็นหนี้สาธารณะ แต่การนำเสนอสถิติหนี้สาธารณะ โดยวิธีการพิสดารเช่นนี้มิได้เป็นไปตามมาตรฐานสากลที่กำหนด โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ดังที่ปรากฏใน Government Finance Statistics กระทรวงการคลังแปรสภาพเป็น "กระทรวงแห่งความจริง" ผู้มีหน้าที่แถลงข่าวเท็จต่อประชาชน แต่แล้วในการนำเสนอ สถิติหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2543 กระทรวงการคลังและ รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์มิอาจทนหลอกตัวเองต่อไปได้ ในเมื่อชุมชนวิชาการในประเทศและชุมชนการเงินระหว่างประเทศต่างเห็นไส้เห็น พุง ภาระหนี้สาธารณะของรัฐบาลไทยสาหัสสากรรจ์ปานใดในคราวนี้ หนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ จำนวน 777,725 ล้านบาทถูกนับเป็นหนี้สาธารณะ ========================== หลอกตัวเอง บิดเบือนบัญชีหนี้...กลบตัวเลขหนี้สาธารณะที่เป็นจริง...แบบนี้เรียกว่าอะไรดีหนอ..   มิน่าปัญหาประเทศถึงหมักหมม แก้ไม่ถูกจุด แก้ไขเมื่อ 03 ส.ค. 49 18:53:49 จากคุณ : TRAT - [ 3 ส.ค. 49 18:53:01 ]

ความคิดเห็นที่ 64 vote ค่ะ  ได้ความรู้มากมาย...นี่คือ ราชดำเนิน  พูดกันด้วยข้อมูล และเหตุผล  เชิญถกเถียงเพื่อประเทืองปัญญา จากคุณ : sao..เหลือ..noi - [ 3 ส.ค. 49 20:48:23 ]

ความคิดเห็นที่ 65 โหวต เป็น กาทู้แนะนำได้แล้วมั้งครับ เจ้านาย !!!!! จากคุณ : โคถึก (Home TH.) - [ 3 ส.ค. 49 21:37:28 ]

ความคิดเห็นที่ 66 น่าจะเปรียบเทียบกับประเทศรอบข้างบ้างนะครับ ตัวเลขแค่นี้ไม่น่าจะบ่งชี้อะไรได้ยกตัวอย่างนะครับ ปีที่ทรท มาเป็นรัฐบาลตัวเลขดีขอให้ดูตลาดโลกด้วยว่า มันขาขึ้นรึเปล่า เอาตัวเลขไปซุกไว้ไหนรึเปล่า ปีที่ ปชป เป็นรัฐบาลดูตลาดโลกว่าขาลงรึเปล่า จากคุณ : ... (O_envi) - [ 4 ส.ค. 49 13:03:14 ]

ความคิดเห็นที่ 67 ผมคิดว่าคนละเรื่องกันครับ คนที่เขาชุมนุมขับไล่ทักษิณเป็นเพราะเขาทราบว่า ทักษิณมีปัญหา แต่ไม่ได้หมายความว่า ปชป. จะดีอะไร ถ้าหากปชป.มาเป็นรัฐบาลได้ ก็ต้องโดนชุมนุมขับไล่เช่นกันครับ สิ่งนี้จะเป็นเรื่องดีถ้าเป็นการปรับเปลี่ยนท่าทีของ ทักษิณครับ ว่าทำอย่างไรประชาชนไม่ชอบครับ หรือไม่ก็เปิดโอกาสให้มีพรรคอื่นเข้ามาคานอำนาจมากขึ้น เพราะเราไม่มีกฏเกณฑ์ว่า ห้ามพรรคใดเข้ามาในสภาเกินกว่า 30% เลยทำให้ พรรคฝ่ายค้านไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพครับ จากคุณ : มิราชช (vilaithong) - [ 4 ส.ค. 49 20:53:23 ]