แตกประเด็นจาก
http://www.pantip.com/cafe/rajdumnern/topic/P4595339/P4595339.html
--------
แนวคิด
--------
[0]
การแก้ รธน. กำลังใกล้เข้ามาถึง โอกาสที่เราจะได้มีส่วนร่วมในการเตรียมแนวคิด ใน รธน ฉบับใหม่นี้ ยังเปิดอยู่
[1]
รธน. และกฏหมาย ปัจจุบัน ใช้กฏเกณฑ์การเขียนทางด้านกฎหมาย และหลีกเลี่ยงทีจะเขียนกฏหมายแบบชัดแจ้ง (explicit style)
+ ความขัดแย้งล่าสุดในเชิงการเมือง ก่อให้เกิดการตีความในทางกฏหมายที่แตกต่างกัน ก่อให้เกิดการตีความที่แตกต่าง กฏหมายที่ดีไม่ควรเกิดความแตกต่างในการตีความ ผิดควรจะเป็นผิด ถูกควรจะเป็นถูก
+ กฏหมายคือกฏเกณฑ์ที่ควรจะตกลงกันก่อนล่วงหน้า ก่อนเกิดเหตุการใด ๆ เพื่อที่จะรักษาไว้ซึ่งความเที่ยงตรงในกฎเกณฑ์ กล่าวคือ ไม่ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ใด ๆ หากมีการกระทำผิด (จากหลักการ) ก็ควรจะว่ากันไปตามผิด หรือ ถูกก็ว่ากันไปตามถูก
+ การตีความกฎหมายหลังเกิดเหตุ ก่อนให้เกิดโอกาสที่จะมีการเอนเอียง เมื่อมีโอกาส (possiblity) เกิดการเอนเอียง ย่อมหมายถึง โอกาสที่เราจะผดุงความยุติธรรม (fairness) ก็สูญเสียไป
[2]
เมื่อขาดกฏหมายเป็นที่ยึดเหนี่ยว จึงไม่มีใครเชื่อใครเลย (ขณะนี้เรายังโชคดีที่เรายังมีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทุกฝ่ายให้ความจงรักภักดี) สถานะการณ์ที่ขาดกฏหมายเป็นที่ยึดเหนี่ยวทำให้เรา เสี่ยงต่อการเกิดสงครามกลางเมือง (civil war) และ เสี่ยงต่อการปกครองแบบอนาธิปไตย (anarchy)
--------
ทางออก
--------
ควรใช้แนวคิดเชิงการเขียนโปรแกรม (computer programming) มาช่วยในการร่างกฏหมาย เพื่อให้เกิดความชัดแจ้งในข้อกำหนดของกฏหมาย
ตัวอย่างเช่น
[1] complete if-then-else
บอกให้รู้ว่า ถ้าเกิดแบบนี้ ทำอะไร ถ้าไม่เกิด ทำอะไร
[2] range check
บอกให้รู้ว่า กรอบระยะเวลาเป็นแบบไหน
----------------------------------------
ตัวอย่างปัญหาที่อาจจะแก้ได้ล่วงหน้า
----------------------------------------
[1] รธน. ไม่ได้ทำ range check และไม่ใช้ complete if-then-else
กรณี ให้มีการเลือกตั้งใหม่ ภายใน 90 วัน ไม่ได้มีการบอกไว้เป็น range ถ้าเช่นนั้น อาจจะหมายความว่า มันเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่จะเลือกตั้งภายใน 1 วัน หรือ 2 วัน หลังยุบสภา หรือ วันหมดวาระ (เรื่องนี้ ถ้าไม่เขียน ก็จะปล่อยให้กลายเป็นเรื่องจริยธรรม ซึ่ง จริยธรรม เป็นเรื่อง subjective ตีความได้แตกต่างกันหลายแง่หลายมุม)
[2] รธน. ไม่ได้กำหนดบทลงโทษองค์กรตาม รธน. อย่างครบถ้วน
กรณี รธน. กำหนด ให้ ฝ่ายโน้น ทำอย่างโน้น ฝ่ายนี้ ทำอย่างนี้ ภายในกำหนดเวลาเท่านั้น เท่านี้ รธน. ไม่ได้กำหนดบทลงโทษ อย่างชัดเจน (หรือ ข้อยกเว้นอย่างชัดเจน)
[3] รธน. ไม่ควรใช้คำว่า "โดยอนุโลม"
เช่น ให้นำ มาตราโน้น มาตรานี้ มาบังคับใช้ โดยอนุโลม เพราะคำว่า โดยอนุโลม ก่อให้เกิดการตีความได้หลากหลาย ว่าอย่างไร ถึงเรียกอนุโลม (และเป็นการตีความที่หลากหลายแบบที่ไม่มีข้อสิ้นสุด)
[4] ในการให้หน้าที่ รธน. ควรคำนึงถึงว่า องค์กรนั้น ๆ มีอำนาจเต็มเหนือหน้าที่นั้นหรือไม่
กรณี กกต. ถ้า รธน. กำหนดให้ กกต. "ต้อง" จัดการเลือกตั้ง และ "ต้อง" ให้ได้ สส. เข้ามาครบทุกเขต แบบนั้น อาจจะไม่ชัดแจ้ง (explicit) เพราะการจัดหา สส. ให้ได้ ครบทุกเขต นั้น ไม่ได้ขึ้น อยู่กับ "กกต." เพียงอย่างเดียวแต่ยังขึ้นอยู่กับ "จำนวนผู้สมัคร" และ "การลงคะแนนเสียง" ของประชาชน
เมื่อพิจารณาว่าเห็นว่า การเขียนแบบนั้น ไม่ชัดแจ้ง ทำให้เรามีทางเลือก เราอาจจะเลือกใส่ ข้อยกเว้น ไว้ หรือจะเลือกเขียนอย่างไรก็ได้ใครครอบคลุมโอกาสที่จะเกิดในทุกกรณี และ ไม่เกิดควรคลุมเคลือ (non-ambiguous)
กรณีอื่น ๆ ก็จำเป็นต้องทำให้ชัดแจ้ง (explicit)
[5] รธน. ไม่ได้กำหนดจำนวน สส. ในส่วนของ สภาผู้แทนราษฎร ว่าต้องมาจากพรรคเพียงกันได้เพียงกี่คน ทำให้ "มีโอกาส" ที่จะเป็นไปได้ที่พรรคการเมืองใด พรรคการเมืองหนึ่ง จะได้รับเสียง "มาก" เช่น 300, 350, 400, 450, 500
ในกรณีเช่นนั้น ทำให้เกิดความคลุมเครือ คือ มองได้สองทาง จะเรียกว่า เผด็จการรัฐสภาก็ได้ หรือ จะเรียกว่า ได้รับความไว้วางใจจากประชาชน อย่างท่วมท้นก็ได้
รธน. ซึ่งเป็นตัวแทนของกรอบกติกา ที่เขียนขึ้นโดยคนไทย เพื่อคนไทย ต้อง เขียนให้ชัดว่า อยากได้แบบไหน อาจจะเขียนไว้ว่า
5.1] ผลจากการเลือกตั้ง โดยไม่คำนึงถึง สังกัดพรรคการเมืองของ สส. ไม่ว่าจะเป็นจำนวนเท่าใด ย่อม ไม่ก่อให้เกิด เผด็จการรัฐสภา
หรือไม่ก็
5.2] หากมี สส สังกัดสมาชิกพรรคการเมืองเดียวกัน เกิด 300 เสียง ให้พรรคการเมืองนั้น สละสิทธิ์ สส. ในบางเขต เพื่อให้เกิดการตรวจสอบได้ทั่วถึง (ในการนี้ สส. ในสังกัดพรรครัฐบาลจะมีเสียงเกิน 300 เสียงมิได้)
----------------------
โอกาสการหาเสียง
----------------------
[1] เตรียมร่าง รธน. ฉบับใหม่ให้ประชาชนพิจารณาว่า เป็นนโยบายของพรรค
(โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฉบับที่ต้องการให้ รธน. เป็นกฏหมายที่ไร้ความคลุมเครือ)
[2] ผลักดันสังคมไทยไปสู่สังคมที่ใช้กฏหมาย และมีระบบยุติธรรมที่พึ่งพาได้
คำว่า พี่งพาได้ หมายถึง เป็นหลักในการแก้ไขปัญหา และเป็นหลักในการหาข้อยุติได้
ถ้าคดีเยอะเกินไป ให้เพิ่มจำนวนบุคคลากรในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรมให้มากขึ้น encourage ให้คดีขึ้นสู่ศาลมากขึ้น และให้การดำเนินคดีต่าง ๆ เป็นไปอย่างรวดเร็วมาขึ้น
เพิ่มจำนวน สถานที่, ศาล, ผู้พิพากษา, อัยการ, ตำรวจ, etc
[3] ปรับแต่ง องค์กรที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรมภายใต้หน้าที่ของ รัฐบาล ให้มีการคานอำนาจที่ชัดเจน
องค์กรบางองค์กรขณะได้ เป็นที่รู้กันดีถึงความไร้ประสิทธิภาพ กินส่วย เป็นขบวนการ
แต่ไม่สามารถเอาผิดใครได้
[4] ให้การฟ้องร้องเกิดขึ้นได้ง่าย ๆ ไม่ว่าจะเป็นการฟ้องร้อง เจ้าพนักงาน หรือ การฟ้องร้องข้าราชการ หรือการฟ้องร้อง นักการเมือง หรือการฟ้องร้อง ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
จากคุณ :
StoneFox
- [
5 ส.ค. 49 11:16:05
]